มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้
โพสต์ที่ 1
สิ่งที่เราได้จาก บ.ที่เราถือหุ้นอยู่ จริงๆแ้ล้วเราได้อะไรจาก บ. ครับ
บ้างก็ว่า EPS
บ้างก็ว่า ปันผล
บ้างก็ว่า FCF
อย่าง บัฟเฟต บอกว่าที่เราได้จาก บ.คือ กระแสเงินสดอิสระ
แต่ ผมรู้สึกแย้ง เพราะ หากเราเป็น ผถห ใหญ่ที่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร นำเงินไปลงทุนอย่างที่เราคิดสิ่งที่เราได้จากบ.ก็คงจะเป็น FCF อย่างที่ บัฟเฟต กล่าว แต่กรณีที่เราเป็น ผถห รายย่อย(ย่อยมากๆๆ) ไม่มีสิทธินำ FCF ของบ.ไปลงทุนตามที่เราคิดเหมือน บัฟเฟต
อย่างนั้นสิ่งที่เราได้่จาก บ. จริงน่าจะคือ EPS DIV และ Growthของ บ. ใช่ไหม
ผมคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับการคำนวณมูลค่า บ. เพราะเราได้อะไรตอบแทนการลงทุนเราก็มักจะคำนวณจากสิ่งนั้น บางคนคำนวณมูลค่าบ.จากทรัพย์สิน บางคนคำนวณราคาในการลงทุนจาก ผลตอบแทนที่เราได้รับ
ถึงแม้จะคำนวณมูลค่า บ.จากทรัพย์สิน แต่สุดท้ายก็ต้องมาจบที่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาแค่ไหน ดังนั้นบรรทัดสุดท้ายของการลงทุน น่าจะอยู่ที่ผลตอบแทน ผมจึงคิดว่ามันโยงกลับไปที่ว่าจริงๆแล้วเราได้อะไรจาก บ. ที่เราลงทุนกันแน่
บ้างก็ว่า EPS
บ้างก็ว่า ปันผล
บ้างก็ว่า FCF
อย่าง บัฟเฟต บอกว่าที่เราได้จาก บ.คือ กระแสเงินสดอิสระ
แต่ ผมรู้สึกแย้ง เพราะ หากเราเป็น ผถห ใหญ่ที่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร นำเงินไปลงทุนอย่างที่เราคิดสิ่งที่เราได้จากบ.ก็คงจะเป็น FCF อย่างที่ บัฟเฟต กล่าว แต่กรณีที่เราเป็น ผถห รายย่อย(ย่อยมากๆๆ) ไม่มีสิทธินำ FCF ของบ.ไปลงทุนตามที่เราคิดเหมือน บัฟเฟต
อย่างนั้นสิ่งที่เราได้่จาก บ. จริงน่าจะคือ EPS DIV และ Growthของ บ. ใช่ไหม
ผมคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับการคำนวณมูลค่า บ. เพราะเราได้อะไรตอบแทนการลงทุนเราก็มักจะคำนวณจากสิ่งนั้น บางคนคำนวณมูลค่าบ.จากทรัพย์สิน บางคนคำนวณราคาในการลงทุนจาก ผลตอบแทนที่เราได้รับ
ถึงแม้จะคำนวณมูลค่า บ.จากทรัพย์สิน แต่สุดท้ายก็ต้องมาจบที่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาแค่ไหน ดังนั้นบรรทัดสุดท้ายของการลงทุน น่าจะอยู่ที่ผลตอบแทน ผมจึงคิดว่ามันโยงกลับไปที่ว่าจริงๆแล้วเราได้อะไรจาก บ. ที่เราลงทุนกันแน่
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 872
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 2
ถ้าคิดจากปลายน้ำเลยจริงๆ
ก็ต้องไล่จาก
1.Dividend
2.Capital gain
รึเปล่าครับ
จากนั้นก็ไล่ไปต้นน้ำก็คือ
Div ในปัจจุบันและอนาคต <- ผลประกอบการ,ผลประกอบการที่คาดหวัง <- ความคาดหวังในการ growth ,ศักยภาพในการ growth
Capital gain <- ความเชื่อมั่นของ "ผู้ที่จะซื้อหุ้น" ที่มีต่อบริษัท ซึ่งสิ่งนี้ก็จะได้มาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ศักยภาพในการทำกำไรปัจจุบัน,ศักยภาพที่คาดหมายไว้ในอนาคต
ความแข็งแกร่ง, จริยธรรมของผู้บริหาร etc.
ถ้าเล่น Asset play ก็อาจจะหวังว่าในวันข้างหน้าจะมีคนเอาของไปขายแล้วเอาเงินมาแจกผู้ถือหุ้น, อาจจะหวังมีมีคนอื่นๆเห็นคุณค่าเหมือนกับที่เราเห็น
แต่สงสัยอย่างครับ Berkshire ของลุง Buffett นี่ไม่เคยจ่ายปันผลแท้ๆ
ไม่รู้ผู้ถือหุ้นหวังอะไรกัน สงสัยจะหวังว่าผู้ถือหุ้นรุ่นต่อไปจะเอาเงินสดมาจ่ายปันผลก็ได้
ก็ต้องไล่จาก
1.Dividend
2.Capital gain
รึเปล่าครับ
จากนั้นก็ไล่ไปต้นน้ำก็คือ
Div ในปัจจุบันและอนาคต <- ผลประกอบการ,ผลประกอบการที่คาดหวัง <- ความคาดหวังในการ growth ,ศักยภาพในการ growth
Capital gain <- ความเชื่อมั่นของ "ผู้ที่จะซื้อหุ้น" ที่มีต่อบริษัท ซึ่งสิ่งนี้ก็จะได้มาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ศักยภาพในการทำกำไรปัจจุบัน,ศักยภาพที่คาดหมายไว้ในอนาคต
ความแข็งแกร่ง, จริยธรรมของผู้บริหาร etc.
ถ้าเล่น Asset play ก็อาจจะหวังว่าในวันข้างหน้าจะมีคนเอาของไปขายแล้วเอาเงินมาแจกผู้ถือหุ้น, อาจจะหวังมีมีคนอื่นๆเห็นคุณค่าเหมือนกับที่เราเห็น
แต่สงสัยอย่างครับ Berkshire ของลุง Buffett นี่ไม่เคยจ่ายปันผลแท้ๆ
ไม่รู้ผู้ถือหุ้นหวังอะไรกัน สงสัยจะหวังว่าผู้ถือหุ้นรุ่นต่อไปจะเอาเงินสดมาจ่ายปันผลก็ได้
- Paul Octopus
- Verified User
- โพสต์: 798
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 3
ส่วนตัวแล้ว วัดถุประสงค์มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา และ ประสบการณ์ที่เราสะสมมา
ผมเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน มี Cash In-Flow ที่มั่นคง สามารถคาดการณ์ได้ ดังนั้นการลงทุนเป็นการมองสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเราเลิกทำงานแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเกษียณ หรือ early retire ก็ตาม
ความหวังคือว่าหลังเกษียณต้องมี Cash Generation จากการลงทุนเพียงพอกับการใช้ เที่ยว และ ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงญาติพี่น้องที่เราต้องดูแล Cash Generation นี้ต้องเพียงพอจนเหลือเก็บสะสมตอนหลังเกษียณ สำหรับการซื้อ Durable Assets ที่เสื่อมสภาพเช่น รถยนต์ ซ่อมบ้าน ฯลฯ ซี่งต้องหวัง Divident เป็นหลักจริงๆ
ในส่วนของ Capital Gain นั้นขอเพียงให้สูงกว่า Inflation ในระดับ 2-3% หรือ อย่างน้อยต้องไม่แพ้ Inflation
ดังนั้นหุ้นใน Port ของผมจะเป็น High Alpha (performance ดีใน Industry นั้นๆ) และ Low Beta (ขึ้นลงน้อยกว่าการขึ้นลงของ SET)
ผมจะไม่สนใจว่ามี Stocks ที่วิ่งเป็นจรวด หรือ มีข่าวที่กำลังจะทำให้ Price over shoot
ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ต้องทำให้ผมสุขมากขึ้น (กว่าที่มีเงินได้จากงานประจำ) การลงทุนต้องเติมเต็มส่วนที่ขาด และ ลดความเสี่ยงเมื่อเรามีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่องรายได้ (หลังเกษียณ)
บริษัทฯที่ธรรมาภิบาลต่ำ มีจ้าวคอยปั่น เป็นธุรกิจที่ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ว่าจะแมลง หรือ สัตว์ปีก รวมถึงทำลายสภาพแวดล้อมปล่อย CO มากๆ หรือ แม้กระทั่งปล่อยถ่าน ออกมาทำร้ายสภาพแวดล้อม ผมไม่เอาเลยครับ มันต้องสบายใจที่เป็นเจ้าของ
ผม อาจ ต่างจากคุณ Jo และ หลายๆท่าน แต่แค่นี้ผมเพียงพอครับ
ขอให้อ่านเป็น ข้อมูลครับ
ผมเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน มี Cash In-Flow ที่มั่นคง สามารถคาดการณ์ได้ ดังนั้นการลงทุนเป็นการมองสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเราเลิกทำงานแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเกษียณ หรือ early retire ก็ตาม
ความหวังคือว่าหลังเกษียณต้องมี Cash Generation จากการลงทุนเพียงพอกับการใช้ เที่ยว และ ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงญาติพี่น้องที่เราต้องดูแล Cash Generation นี้ต้องเพียงพอจนเหลือเก็บสะสมตอนหลังเกษียณ สำหรับการซื้อ Durable Assets ที่เสื่อมสภาพเช่น รถยนต์ ซ่อมบ้าน ฯลฯ ซี่งต้องหวัง Divident เป็นหลักจริงๆ
ในส่วนของ Capital Gain นั้นขอเพียงให้สูงกว่า Inflation ในระดับ 2-3% หรือ อย่างน้อยต้องไม่แพ้ Inflation
ดังนั้นหุ้นใน Port ของผมจะเป็น High Alpha (performance ดีใน Industry นั้นๆ) และ Low Beta (ขึ้นลงน้อยกว่าการขึ้นลงของ SET)
ผมจะไม่สนใจว่ามี Stocks ที่วิ่งเป็นจรวด หรือ มีข่าวที่กำลังจะทำให้ Price over shoot
ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ต้องทำให้ผมสุขมากขึ้น (กว่าที่มีเงินได้จากงานประจำ) การลงทุนต้องเติมเต็มส่วนที่ขาด และ ลดความเสี่ยงเมื่อเรามีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่องรายได้ (หลังเกษียณ)
บริษัทฯที่ธรรมาภิบาลต่ำ มีจ้าวคอยปั่น เป็นธุรกิจที่ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ว่าจะแมลง หรือ สัตว์ปีก รวมถึงทำลายสภาพแวดล้อมปล่อย CO มากๆ หรือ แม้กระทั่งปล่อยถ่าน ออกมาทำร้ายสภาพแวดล้อม ผมไม่เอาเลยครับ มันต้องสบายใจที่เป็นเจ้าของ
ผม อาจ ต่างจากคุณ Jo และ หลายๆท่าน แต่แค่นี้ผมเพียงพอครับ
ขอให้อ่านเป็น ข้อมูลครับ
- kmphol
- Verified User
- โพสต์: 417
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 4
ตั้งแต่ลงทุนในบริษัทจดทะเบียบฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อยมา สิ่งที่ได้มาตลอดคือ
1.ปันผล
2.เครดิตภาษีปันผล
3.อนาคตของบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ไม่ว่าทางดีหรือร้าย (สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ได้กำไรหรือขาดทุนจากการถือหุ้น)
4.ความคล่องตัวในการตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไปจากบริษัทนี้ คือไม่ต้องทนเมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่ธุรกิจที่ดี
ไม่เหมือนการไปทำธุรกิจเอง ความคล่องตัวแบบนี้แทบไม่มีเลย จะดีไม่ดีอย่างไรก็ต้องทนจนถึงที่สุดเพราะมันเป็นของเรา (สิ่งนี้เป็นจุดเด่นที่ผมเลือกทำธุรกิจผ่านตลาดทุน เราลงแค่ทุนอย่างเดียว ไม่ต้องลงแรงกาย ไม่ต้องลงแรงใจ ความเสี่ยงต่ำกว่าลงทุนทำธุรกิจเองมากมาก
ส่วนที่คิดว่าตัวเองไม่เคยได้รับเลยในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย คือความเป็นเจ้าของ เพราะเราไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการในสิ่งที่เราต้องการได้เลย เพราะจริงแล้วเราเป็นเพียงแค่หุ้นส่วนส่วนน้อยที่ไม่มีสิทธิจะทำอะไรได้เพราะจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่มันน้อยเกินไปที่จะทำได้ เลยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของเลยสักบริษัท เมื่อจะไปจากบริษัทก็ไปเลยไม่ต้องคิดอะไรมาก อยากไปเมื่อไรก็ไป จะกลับมาเมื่อไรก็มา คล่องตัวกว่าเจ้าของมากมาก :lol:
1.ปันผล
2.เครดิตภาษีปันผล
3.อนาคตของบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ไม่ว่าทางดีหรือร้าย (สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ได้กำไรหรือขาดทุนจากการถือหุ้น)
4.ความคล่องตัวในการตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไปจากบริษัทนี้ คือไม่ต้องทนเมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่ธุรกิจที่ดี
ไม่เหมือนการไปทำธุรกิจเอง ความคล่องตัวแบบนี้แทบไม่มีเลย จะดีไม่ดีอย่างไรก็ต้องทนจนถึงที่สุดเพราะมันเป็นของเรา (สิ่งนี้เป็นจุดเด่นที่ผมเลือกทำธุรกิจผ่านตลาดทุน เราลงแค่ทุนอย่างเดียว ไม่ต้องลงแรงกาย ไม่ต้องลงแรงใจ ความเสี่ยงต่ำกว่าลงทุนทำธุรกิจเองมากมาก
ส่วนที่คิดว่าตัวเองไม่เคยได้รับเลยในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย คือความเป็นเจ้าของ เพราะเราไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการในสิ่งที่เราต้องการได้เลย เพราะจริงแล้วเราเป็นเพียงแค่หุ้นส่วนส่วนน้อยที่ไม่มีสิทธิจะทำอะไรได้เพราะจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่มันน้อยเกินไปที่จะทำได้ เลยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของเลยสักบริษัท เมื่อจะไปจากบริษัทก็ไปเลยไม่ต้องคิดอะไรมาก อยากไปเมื่อไรก็ไป จะกลับมาเมื่อไรก็มา คล่องตัวกว่าเจ้าของมากมาก :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 61
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 5
ตอนแรกก็เคยมีคำถามแบบนี้ในใจเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นแค่ Zero sumgame รึเปล่า พอคิดไปคิดมาก้อน่าจะแยกได้เป็น 2 ส่วน
1. Divident ปันผลที่ได้
2. Capital gain ซึ่งก้อคือมูลค่าของบริษัทที่เพิ่มขึ้น จากกระแสเงินสดที่ได้ (Income + Depriciation) แต่ก้อต้อง Maintain ด้วย Capital expenditure ด้วยนะ เด๋วบริษัทจะไปไม่รอด ก้อเลยออกมาเป็น Owner earning ของปู่่ Buffet เค้า ; แต่สุดท้ายแล้วมันก้อเป็นมูลค่าของบริษัท เรื่องราคาก้อคงขึ้นกับ Mr.Market อีกน่ะแหละ หรือจะพูดให้สวยๆก้อคงจะว่าเป็นคนที่จะมาซื้อต่อจะให้ราคาเท่าไหร่ ก้อขื้นอยู่กับ Capital rate ที่เค้าจะให้ละมั้ง
คิดเอง เออเอง รอผู้รู้จริงมาตอบอีกทีละกัน
1. Divident ปันผลที่ได้
2. Capital gain ซึ่งก้อคือมูลค่าของบริษัทที่เพิ่มขึ้น จากกระแสเงินสดที่ได้ (Income + Depriciation) แต่ก้อต้อง Maintain ด้วย Capital expenditure ด้วยนะ เด๋วบริษัทจะไปไม่รอด ก้อเลยออกมาเป็น Owner earning ของปู่่ Buffet เค้า ; แต่สุดท้ายแล้วมันก้อเป็นมูลค่าของบริษัท เรื่องราคาก้อคงขึ้นกับ Mr.Market อีกน่ะแหละ หรือจะพูดให้สวยๆก้อคงจะว่าเป็นคนที่จะมาซื้อต่อจะให้ราคาเท่าไหร่ ก้อขื้นอยู่กับ Capital rate ที่เค้าจะให้ละมั้ง
คิดเอง เออเอง รอผู้รู้จริงมาตอบอีกทีละกัน
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 6
สิ่งที่ผมต้องการคือความสามารถในการทำเงินของบริษัทที่เราลงทุนครับ
ถ้าบริษัทสามารถนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมได้อีก ความสามารถในการทำเงินก็เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนที่เหลือใช้ก็จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล
ถ้าบริษัทสามารถนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมได้อีก ความสามารถในการทำเงินก็เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนที่เหลือใช้ก็จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 7
คิดให้เรียบง่ายเข้าไว้ดีกว่าครับ
หลักลงทุนทุกอย่างในโลก ขั้นตอนก็มี 1.จ่ายเงินออกไปก่อน 2.ได้กระแสเงินสดเข้า - ออก = กระแสเงินสดสุทธิกลับมา เรียกให้หรูๆ ก็ Initial capital outlays กับ Stream of cashflow
ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับพลังหรือความแรงของกระแสเงินสดสุทธิ (หากมองจากมุมวิเคราะห์งบการเงิน concept ในส่วนของหุ้นก็คือ Free cash flow)
หากเป็นหุ้น ไอ้ตัวเงินที่วิ่งเข้ามาสู่ asset มันก็ มาถึงผู้ถือหุ้นได้ 2 ทาง คือ ปันผล และ capital gain
ส่วนแรก ปันผลก็แบ่งมาจากตัวกำไรสุทธิ จากงบกำไรขาดทุนงวดปีนั้นๆ ซึ่งจะถึงมือผู้ถือหุ้นส่วนน้อยอย่างพวกเรามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับ ความมีจรรยาธุรกิจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร ดีๆ ก็มีมาก ที่ไมดีก็พบบ่อย อาทิ siphonเงิน+กำไร ผ่านค่าใช้จ่าย เงินเดือน หรือบางที่เล่นกั๊กที่นโยบาย หรือที่ประชุมเลย ว่าไม่ค่อยจ่ายผู้ถือหุ้นรายย่อย อาทิ บริษัทสิ่งทอบางแห่งเป็นตัวอย่างว่า กำไรมาก แต่ไม่ค่อยจ่ายปันผล
ตัวเครดิตภาษีจากเงินปันผลก็นับได้ว่าเป็นผลพลอยได้จากข้อนี้
ส่วนที่สอง capital gain ขึ้นกับหลายอย่าง ตั้งแต่ 1.เมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ แล้วมันให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหรือไม่ 2.ตอนนั้น mr market อยู่ในอารมณ์ไหน มีตั้งแต่ ยังมองไม่เห็นค่าหุ้นมัน จนถึงมองแง่ดีเกินเหตุ
ก็ลองดูครับ ผมลองเอามาเรียบเรียงให้เรียบง่าย เพื่อทบทวนความคิดตนเองและแชร์กันครับ
หลักลงทุนทุกอย่างในโลก ขั้นตอนก็มี 1.จ่ายเงินออกไปก่อน 2.ได้กระแสเงินสดเข้า - ออก = กระแสเงินสดสุทธิกลับมา เรียกให้หรูๆ ก็ Initial capital outlays กับ Stream of cashflow
ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับพลังหรือความแรงของกระแสเงินสดสุทธิ (หากมองจากมุมวิเคราะห์งบการเงิน concept ในส่วนของหุ้นก็คือ Free cash flow)
หากเป็นหุ้น ไอ้ตัวเงินที่วิ่งเข้ามาสู่ asset มันก็ มาถึงผู้ถือหุ้นได้ 2 ทาง คือ ปันผล และ capital gain
ส่วนแรก ปันผลก็แบ่งมาจากตัวกำไรสุทธิ จากงบกำไรขาดทุนงวดปีนั้นๆ ซึ่งจะถึงมือผู้ถือหุ้นส่วนน้อยอย่างพวกเรามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับ ความมีจรรยาธุรกิจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร ดีๆ ก็มีมาก ที่ไมดีก็พบบ่อย อาทิ siphonเงิน+กำไร ผ่านค่าใช้จ่าย เงินเดือน หรือบางที่เล่นกั๊กที่นโยบาย หรือที่ประชุมเลย ว่าไม่ค่อยจ่ายผู้ถือหุ้นรายย่อย อาทิ บริษัทสิ่งทอบางแห่งเป็นตัวอย่างว่า กำไรมาก แต่ไม่ค่อยจ่ายปันผล
ตัวเครดิตภาษีจากเงินปันผลก็นับได้ว่าเป็นผลพลอยได้จากข้อนี้
ส่วนที่สอง capital gain ขึ้นกับหลายอย่าง ตั้งแต่ 1.เมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ แล้วมันให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหรือไม่ 2.ตอนนั้น mr market อยู่ในอารมณ์ไหน มีตั้งแต่ ยังมองไม่เห็นค่าหุ้นมัน จนถึงมองแง่ดีเกินเหตุ
ก็ลองดูครับ ผมลองเอามาเรียบเรียงให้เรียบง่าย เพื่อทบทวนความคิดตนเองและแชร์กันครับ
"ปฏิกจฺเจว กยิรา ยํ ชญญา หิตมตฺตโน
รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แก่ชีวิต ก็ให้รีบลงมือทำ"
รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แก่ชีวิต ก็ให้รีบลงมือทำ"
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 8
+1peacedev เขียน:สิ่งที่ผมต้องการคือความสามารถในการทำเงินของบริษัทที่เราลงทุนครับ
ถ้าบริษัทสามารถนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมได้อีก ความสามารถในการทำเงินก็เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนที่เหลือใช้ก็จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: มีเรื่องนึงที่ผมสงสัยและคิดมานานแต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ไ
โพสต์ที่ 9
กำไรสุทธิ , กระแสเงินสดอิสระ และ ปันผล มีความเกี่ยวข้องและเนื่องกันอยู่ตลอด หากเรามองถึงภาพรวมในระยะยาว...
แต่ในภาพระยะสั้น สามสิ่งนี้อาจไม่สอดคล้องกันก็ได้ และอาจเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวราคาในระยะสั้นที่อาจไม่เป็นไปตามความสามารถในการดำเนินงานของกิจการที่แท้จริง...
ผมเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ที่สุดของที่สุด ต้องใช้ FCF เพราะ กระแสเงินสดนี่แหละของจริง จะจ่ายปันผลได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับกระแสเงินสด ถึงแม้ปันผลในปัจจุบันยังน้อย แต่ถ้าธุรกิจสร้างกระแสเงินสดอิสระได้เยอะจริงๆ สุดท้ายก็ต้องจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นอยู่ดี
แต่ในระยะสั้นแล้วจะใช้อะไรก็ใช้เถอะครับ แต่จะให้ดี สิ่งที่ใช้ คือ สิ่งที่ตลาดเชื่อ และมองเห็นตาม ถึงจะรวยได้ ซึ่งกระแสตลาดก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตามความโลภ ความกลัว และตามปัญญาของนักลงทุน
สำหรับตัวผมแล้ว... ผมเลือกหุ้น โดยมองภาพระยะยาวผ่าน FCF ในการหามูลค่ายุติธรรม และหา Catalyst ในระยะสั้น เพื่อจัดสัดส่วนของพอร์ตครับ...
แต่ในภาพระยะสั้น สามสิ่งนี้อาจไม่สอดคล้องกันก็ได้ และอาจเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวราคาในระยะสั้นที่อาจไม่เป็นไปตามความสามารถในการดำเนินงานของกิจการที่แท้จริง...
ผมเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ที่สุดของที่สุด ต้องใช้ FCF เพราะ กระแสเงินสดนี่แหละของจริง จะจ่ายปันผลได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับกระแสเงินสด ถึงแม้ปันผลในปัจจุบันยังน้อย แต่ถ้าธุรกิจสร้างกระแสเงินสดอิสระได้เยอะจริงๆ สุดท้ายก็ต้องจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นอยู่ดี
แต่ในระยะสั้นแล้วจะใช้อะไรก็ใช้เถอะครับ แต่จะให้ดี สิ่งที่ใช้ คือ สิ่งที่ตลาดเชื่อ และมองเห็นตาม ถึงจะรวยได้ ซึ่งกระแสตลาดก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตามความโลภ ความกลัว และตามปัญญาของนักลงทุน
สำหรับตัวผมแล้ว... ผมเลือกหุ้น โดยมองภาพระยะยาวผ่าน FCF ในการหามูลค่ายุติธรรม และหา Catalyst ในระยะสั้น เพื่อจัดสัดส่วนของพอร์ตครับ...
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?