
The Essays of Warren Buffett ลำนำผู้ทำเงิน (1)
เป็นเวลาหลายปีที่ชื่อของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ปรากฏใกล้กับของบิลล์ เกตส์ เมื่อนิตยสาร Forbes เสนอรายชื่ออภิมหาเศรษฐีประจำปีของนิตยสาร แต่บัฟเฟตต์ไม่มีบริษัทเทคโนโลยีขนาดยักษ์เป็นหัวจักรขับเคลื่อนการสร้างความร่ำรวยในยุคโลกไร้พรมแดนเช่นบิลล์ เกตส์ หากเป็นนักลงทุนและถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท Berkshire Hathaway (BH) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมา 170 ปีแล้วเพื่อทำธุรกิจ
ด้านสิ่งทอ บัฟเฟตต์ใช้ BH ซึ่งเขากับหุ้นส่วนร่วมกันซื้อและเป็นประธานผู้บริหารเมื่อปี 2508 เป็นทางผ่านของการลงทุนจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มจาก 4 ดอลลาร์เมื่อปี 2508 เป็น 75,000 ดอลลาร์เมื่อปี 2548 หรือเพิ่มขึ้นปีละ 28%

แม้การลงทุนโดยการซื้อหุ้นในบริษัทอื่นจะมีกำไรดี แต่ BH จ่ายเงินปันผลเพียงครั้งเดียวเมื่อปี 2510 ในจำนวนหุ้นละ 10 เซนต์
บัฟเฟต์ตั้งค่าตอบแทนให้ตัวเองต่ำมากหากเทียบกับผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ที่มีค่าตอบแทนปีละหลายสิบล้านดอลลาร์ ข้อมูลบ่งว่าค่าตอบแทนของเขาเมื่อปี 2549 เท่ากับ 100,000 ดอลลาร์ ฉะนั้นความเป็นอภิมหาเศรษฐีของเขาส่วนใหญ่จึงวัดจากค่าหุ้นที่เขาถืออยู่ใน BH ซึ่งเมื่อต้นปี 2551 มีค่าเกินกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ส่งผลให้เขาเข้าไปแทนที่บิลล์ เกตส์ ในฐานะอภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลกหลังจากเกตส์ครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 13 ปี
จากปี 2513 บัฟเฟตต์เขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นใน BH เป็นประจำ จดหมายเหล่านั้นพูดถึงปรัชญาและแนวคิดด้านการทำธุรกิจของเขา เมื่อปี 2539 Lawrence A. Cunningham ได้นำจดหมายเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นหนังสือชื่อ The Essays of Warren Buffett: Lessons for Corporate America ซึ่งได้รับการปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อปี 2551 เป็นหนังสือขนาด 291 โดยแยกนำเสนอเป็น 7 ภาคเสริมด้วยบทส่งท้าย
ภาคแรก พูดถึงหลักธรรมาภิบาลของการทำธุรกิจ (Corporate Governance) บัฟเฟตต์ มองว่าผู้บริหารคือผู้พิทักษ์เงินทุนของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารที่ดีที่สุดต้องทำตัวเสมือนเป็นเจ้าของบริษัทไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร แต่บางครั้งผลประโยชน์ของผู้บริหารกับของเจ้าของบริษัทก็อาจขัดกันได้ บัฟเฟตต์จึงเน้นการมองหาทางเพื่อลดการขัดกันพร้อมกับทางที่จะเอื้อให้ผู้บริหารทำงานจนบรรลุเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยแรกได้แก่ความตรงไปตรงมาของผู้บริหารในการสื่อสารกับผู้ถือหุ้น ตามหลักข้อนี้รายงานประจำปีของเขาจึงไม่ใช่จำพวกใช้กระดาษเงาวับพิมพ์ออกมาอย่างงดงาม หากเน้นข้อมูลและคำอธิบายง่าย ๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องราวที่เขาต้องการสื่อได้ทันที นอกจากนั้นบัฟเฟตต์ยังเลี่ยงการคาดการณ์ในอนาคตซึ่งเขาเชื่อว่ามักนำไปสู่การตกแต่งตัวเลข
อีกปัจจัยหนึ่ง บัฟเฟตต์ไม่เน้นเรื่องโครงสร้างของการบริหารตามตำราซึ่งเขามองว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ สำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดได้แก่การเลือกคนที่มีความสามารถ ซื่อสัตย์และทุ่มเทโดยเฉพาะตัวประธานผู้บริหาร หรือ CEO เนื่องจากเขามองว่าประธานผู้บริหารต่างจากพนักงานทั่วไป 3 ข้อคือ ข้อแรก ผลงานของประธานผู้บริหารวัดยากเนื่องจากมาตรฐานที่ใช้กันขาดประสิทธิภาพและง่ายต่อการปรุงแต่ง ข้อสอง ไม่มีใครอยู่เหนือประธานผู้บริหาร ฉะนั้นผลงานของผู้อยู่เหนือนั้นก็วัดไม่ได้ และข้อสาม คณะกรรมการบริษัทก็ไม่มีบทบาทของผู้อยู่เหนือผู้บริหารอย่างแท้จริงเนื่องจากตามปกติความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายจะเป็นแบบกันเอง
โดยทั่วไปการทำให้ผลประโยชน์ของผู้บริหารและของผู้ถือหุ้นเป็นไปในแนวเดียวกันมักอาศัยมาตรการเช่นการให้สิทธิซื้อหุ้น การแยกหน้าที่ระหว่างประธานกรรมการบริษัทและประธานผู้บริหาร และการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้าน เช่น ด้านตรวจบัญชีและด้านค่าตอบแทน นอกจากนั้นสิ่งที่มักนิยมทำกันมากได้แก่การเชิญคนนอกมาเป็นกรรมการบริษัท แต่บัฟเฟตต์มองว่า วิธีเหล่านั้นแก้ปัญหาไม่ได้ ซ้ำร้ายอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงเสียอีก ทางออกของเขาคือ การเลือกเฟ้นประธานผู้บริหารที่สามารถทำงานได้ดีแม้จะอยู่ท่ามกลางโครงสร้างที่อ่อนแอ และต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อประเมินการทำงานของประธานผู้บริหารบ่อย ๆ โดยที่ไม่มีเขาร่วมประชุมด้วย
สำหรับการบริหารบรรดาบริษัทลูก หรือบริษัทที่ BH เป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ ประธานผู้บริหารของบริษัทลูกเหล่านั้นได้รับคำสั่งให้ยึดหลักการ 3 อย่างคือ ทำตัวเสมือนเขาเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว บริษัทนั้นเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่เขามีอยู่ และเขาไม่สามารถขาย หรือควบรวมกับใครได้ภายในเวลา 100 ปี บัฟเฟตต์มองว่า หลักการเหล่านี้แก้ปัญหาอันเกิดจากผู้บริหารยึดเฉพาะตัวเลขผลกำไรในระยะสั้นเป็นเกณฑ์โดยปราศจากการพิจารณาปัจจัยในระยะยาว ผู้บริหารที่ดีจะต้องมีความสามารถในการหาความสมดุลระหว่างผลกำไรในระยะสั้นกับผลที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะยาว บัฟเฟตต์เองก็เคยประสบเหตุการณ์ที่ต้องเลือกตัดสินใจในสภาพที่ผลกำไรในระยะสั้นขัดกับวิวัฒนาการในระยะยาวเมื่อเขาต้องปิดกิจการด้านสิ่งทอเมื่อปี 2525 เนื่องจากเขามองว่ากิจการด้านสิ่งทอในอเมริกาหมดอนาคตแล้ว เขาเน้นย้ำเรื่องการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่ไม่มีความสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
บางครั้งการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของผู้บริหารกับของผู้ถือหุ้นยากแก่การมองเห็น เช่น เรื่องการกุศล โดยทั่วไปผู้บริหารจะจัดผลกำไรส่วนหนึ่งไว้เพื่อการกุศลและเลือกองค์กรที่จะได้รับผลนั้น แต่การเลือกองค์กรของผู้บริหารมักไม่ตรงกับผลประโยชน์ของกิจการและของผู้ถือหุ้น BH เองไม่ทำเช่นนั้น หากจะให้บริษัทลูกทำตามที่เคยทำมาก่อนที่ BH จะเข้าไปซื้อกิจการ นอกจากนั้นจะให้ผู้ถือหุ้นของ BH บอกว่าจะให้บริษัททำการกุศลกับองค์ใดและในจำนวนเท่าไร
สำหรับเรื่องการให้สิทธิซื้อหุ้นแก่ผู้บริหาร บัฟเฟตต์มองว่า นอกจากมันจะไม่มีผลในด้านการทำให้ผลประโยชน์ของผู้บริหารกับของผู้ถือหุ้นเป็นไปในแนวเดียวกันแล้ว มันยังจะปกปิดความแตกต่างระหว่างประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายนี้อีกด้วย เช่น บางบริษัทวัดผลงานและให้รางวัลสิทธิการซื้อหุ้นแก่ผู้บริหารซึ่งค่าของหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเก็บผลกำไรเอาไว้ในบริษัท ไม่ใช่เพราะการนำเงินไปใช้ให้เกิดผลกำไรสูงขึ้นเป็นพิเศษ นั่นหมายความว่า การให้สิทธิซื้อหุ้นมักทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ในขณะที่ผู้บริหารได้ประโยชน์โดยไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากนั้น การให้สิทธิซื้อหุ้นมักไม่มีเงื่อนไข ยกเลิกไม่ได้และไม่วางอยู่บนผลของการปฏิบัติงานของผู้บริหารเลย ฉะนั้น เขาแนะนำให้ผู้ถือหุ้นตรวจตราเรื่องการให้สิทธิซื้อหุ้นอย่างถี่ถ้วน
โปรดอ่านตอนต่อไป The Essays of Warren Buffett ลำนำผู้ทำเงิน (2)