VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 1
คือผมไปอ่านหนังสือ The Intelligent Invester ของ Benjaman Graham
และ เคยมี นัก VI ที่เคยเริ่มเล่นและมีปัญหาชอบดูดัชนีบ่อยหรือเปล่าครับหรือไปดูราคาหุ้นตนเองเป็นประจำปะครับ
เพราะผมรู้ดีไม่น่าจะดูราคาบ่อยแต่มันอดใจไม่ได้มีเทคนิคแก้อาการไหมครับหรือต้องทุบคอมทิ้ง - -" เพราะดัชนีมันเหมือนขี่รถไฟเหาะที่ดิสนี่แลนด์ตอนนี้เลย
ขอบคุณไปก่อนครับก่อนครับ
และทำไมหุ้นที่มีพื้นฐานดีต้องตก....A...P
โพสผิดหรือถูกบอกหน่อยครับจะได้โพสต่อและเรียนรู้และกระทู้นี่โพสเป็นภาษาอื่นได้ปะครับผม
ขอบคุณครับ
และ เคยมี นัก VI ที่เคยเริ่มเล่นและมีปัญหาชอบดูดัชนีบ่อยหรือเปล่าครับหรือไปดูราคาหุ้นตนเองเป็นประจำปะครับ
เพราะผมรู้ดีไม่น่าจะดูราคาบ่อยแต่มันอดใจไม่ได้มีเทคนิคแก้อาการไหมครับหรือต้องทุบคอมทิ้ง - -" เพราะดัชนีมันเหมือนขี่รถไฟเหาะที่ดิสนี่แลนด์ตอนนี้เลย
ขอบคุณไปก่อนครับก่อนครับ
และทำไมหุ้นที่มีพื้นฐานดีต้องตก....A...P
โพสผิดหรือถูกบอกหน่อยครับจะได้โพสต่อและเรียนรู้และกระทู้นี่โพสเป็นภาษาอื่นได้ปะครับผม
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 2
ความรู้ผมมีแค่นี้ละครับ รอผู้รู้มาตอบด้วยคนUnstablemind เขียน: เคยมี นัก VI ที่เคยเริ่มเล่นและมีปัญหาชอบดูดัชนีบ่อยหรือเปล่าครับหรือไปดูราคาหุ้นตนเองเป็นประจำปะครับ
ขอออกตัวก่อนนะครับว่ามือใหม่เหมือนกัน และก็ไม่ได้ศึกษาพื้นฐานเพื่อเป็น VI
แต่ผมศึกษาพื้นฐานเพื่อกินส่วนต่าง (trader) ผมก็เริ่มลงทุนเมื่อเดือนสิง
หาเหมือนกันครับ แต่ปัญหาการยึดติดกับดัชนีไม่มีผลกับผมมากเท่าไร อย่าง
ตอนนี้ ดัชนี้ร่วงจาก 1050 มาอยู่แถว 1000 ก็ไม่กระทบกับหุ้นที่ผมถืออยู่
1.ถ้าเรามั่นใจว่าเราซื้อหุ้นที่มัน undervalue ไม่ว่าตลาดจะเคลื่อนไปในทิศ
ทางใด มันก็ไม่มีผลอะไรต่อเราเพราะถึงอย่างไรราคามันก็วิ่งเข้าหามูลค่าอยู่ดี
2.หุ้นที่ VI ซื้อไม่จำเป็นต้องวิ่งทันทีมันอาจจะนิ่งหน่อย หรือขึ้นๆลงๆก็ปล่อย
ตามประสามัน ไม่งันคนที่เป็น VI คงไม่กล้าซื้อหุ้นตอนดัชนีอยู่ที่ 300 จุดแน่ๆ
3.ทางที่ดีหากเรามั่นใจว่าเราคิดถูก มันใจว่าเราทำการบ้านมาดี เราก็ไม่จำ
เป็น ต้องมีอารมณ์อ่อนไหวตามตลาด เพราะเราลงทุนโดยใช้เหตุผล ไม่ได้
ลงทุนโดยใช้อารมณ์
อย่างผมลงทุนเป็นรอบเดือนก็ไม่ได้ไปเปิดดูเลยจนถึงสิ้นเดือน (นอกจากมีพี่ๆ PM มาเตือน ผมก็จะเข้าไปเช็คดูหน่อยว่าควรจะปรับพอร์ตส่วนไหนบาง)
และทำไมหุ้นที่มีพื้นฐานดีต้องตก....A...P
ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าหุ้น A.. P... มันเป็นหุ้นวัฏจักร ราคามันเคลื่อนไหว
ไปตามปัจจัยของวัตถุดิบ ที่มันตกตอนนี้ก็เพราะมีแรงเชียร์จาก โบรกเกอร์
มากไปหน่อย ทำให้รายย่อยเข้าไปเก็งกำไรกันมากๆ ซึ้งเขามีทัศนคติต่าง
จาก VI ทำให้แรงซื้อแรงขายส่วนใหญ่ไปอยู่กับเขา (ลองสังเกตุดูVOLนะครับว่าหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมันน้อยเพราะฉะนั้นราคามันก็เลยมีการขึ้นลงที่รวด
เร็ว แสดงว่ากลุ่มคนที่มีทุนหนาถือมันอยู่)
ซึ่งนักเก็งกำไรจะมีความ อ่อนไหวตามตลาดอยู่แล้ว ราคามันก็เลยเคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ของนักเก็งกำไร
ดูรูปนี้จะเข้าใจมากขึ้นครับ
ฉะนั้นหากเรามั่นใจว่าผลประกอบการ Q ต่อไปจะออกมาดี ยิ่งมันตกมันก็เป็น
ผลดีกับเราไม่ใช้หรือครับ ที่จะได้ซื้อของลดราคาแม้ว่ามันจะไม่ undervalue
ก็เถอะ
ที่สำคัญหุ้นพื้นฐานดีก็ตกได้ทุกๆตัวครับ ลองสังเกตุดูตอนวิกฤต 2008 หุ้น
พื้นฐานดีๆหลายตัวก็ร่วงตามดัชนีของตลาด แต่ผมคิดว่าคงไม่มี VI คนไหนที่
มองว่ามันเป็นวิกฤต กับเป็นโอกาสทองของบุลคลเหล่านี้มากกว่าครับ เพราะ
จะได้ซื้อหุ้นที่ต่ำกว่า undervalue เป็นอย่างมากและที่สำคัญมีส่วนเผื่อเพื่อ
ความปลอดภัยสูงด้วย
อนัตตตา แปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน มิใช่ อัตตา มิใช่ตัวตน
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 3
เห็นรูปและเข้าใจยิ่งครับผม :idea: :idea: ....แต่เสียดายไม่มีเงินเหลือไปเอาหุ้นตอนตกอยู่...ห้าๆก็คงต้องรอระยะนานไป :D
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 5
ราคาหุ้นผมเปิดดูทุกวันครับ วันละครั้งตอนตลาดปิด แต่ก่อนดู ตั้งใจไว้เลยว่าถึงรู้ก่อนวันนี้หุ้นตกอย่างไร ก็จะไม่ตกใจกับราคาหุ้นของเราเอง ส่วนกรณีถ้าเห็นหุ้นขึ้นก็รู้สึกงั้นๆ เพราะไม่ได้อยากได้กำไรแค่ระยะสั้นๆ กลัวขายแล้วไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร สุดท้ายต้องกลับมาซื้อใหม่แพงกว่าเดิม
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 7
thanks kub....
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 8
ดูทุกวัน ก็ดีนะครับ
อย่าดูทั้งวัน ก็พอ เสียเวลาทำงาน
ผมก็เป็นคนนึงที่ดูเกือบทุกวัน อ่านข่าวก็ทุกวัน
มือใหม่ ประสบการณ์ไม่ได้มากอะไร
ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเข้าใจ นะครับ
แรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่า ทำไมต้องลง
ยิ่งดูทุกวัน อ่าน โน้นนี้ ก็พอจะทำความเข้าใจ อะไรมาเองได้บ้าง
ตั้งแต่ ใช้แนวทาง VI ก็ ไม่ค่อยตกใจ กับ การขึ้นลงของราคาเท่าไร
ส่วนคำตอบที่ว่า ทำไม หุ้นพื้นฐานดี ราคาจึงตกผมไม่แน่ใจเหมือนกัน
ในมุมมองของผม คิดว่า เพราะบางทีหุ้นที่คิดว่า พื้นฐานดี แต่ในขณะนั้น
ราคาได้สะท้อนถึงพื้นฐานไปแล้วบางส่วน หรือ รับข่าวดี ไปแล้ว
ในช่วงนี้นักเก็งกำไร ก็จะซื้อๆขายๆ กันเยอะ
ส่วน VI อาจจะอยู่เฉยๆ หรือ ซื้อเพิ่มเมื่อมีโอกาส
เมื่อมีข่าวอะไร ไม่ค่อยจะสู้ดี แม้จะไม่เกี่ยวกับ ตลาดหุ้น หรือ บริษัทนั้น
หลายคนเกิด ความกลัว เพราะเข้ามาเก็งกำไร อย่างไม่ทันคิด
การขายออกมาจะเป็นสิ่งแรกๆที่ทำกัน โดยยึดหลักว่า กำไรมากกำไรน้อยขอให้กำไรไว้ก่อนดีกว่า
อีกอย่างนึง คือ เรา ประเมินผิดพลาดแม้ว่าพื้นฐานจะดีแค่ไหน
หรือถ้าบริษัทเกิดการสะดุดในไป 1-2 ไตรมาสนั้นแต่ในระยะยาว ยังทำได้ดีอยู่ แบบนั้น ราคาก็น่าจะตกลงเยอะ เช่นกัน
สุดท้ายการเกิดเหตุที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ เช่น การประกาศต่างๆของ รัฐที่มีผลกระทบโดยตรงกับบริษัท
ซึ่งข้อนี้ ต้องทำใจกับการเมืองบ้านเราแหละครับ
อย่าดูทั้งวัน ก็พอ เสียเวลาทำงาน
ผมก็เป็นคนนึงที่ดูเกือบทุกวัน อ่านข่าวก็ทุกวัน
มือใหม่ ประสบการณ์ไม่ได้มากอะไร
ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเข้าใจ นะครับ
แรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่า ทำไมต้องลง
ยิ่งดูทุกวัน อ่าน โน้นนี้ ก็พอจะทำความเข้าใจ อะไรมาเองได้บ้าง
ตั้งแต่ ใช้แนวทาง VI ก็ ไม่ค่อยตกใจ กับ การขึ้นลงของราคาเท่าไร
ส่วนคำตอบที่ว่า ทำไม หุ้นพื้นฐานดี ราคาจึงตกผมไม่แน่ใจเหมือนกัน
ในมุมมองของผม คิดว่า เพราะบางทีหุ้นที่คิดว่า พื้นฐานดี แต่ในขณะนั้น
ราคาได้สะท้อนถึงพื้นฐานไปแล้วบางส่วน หรือ รับข่าวดี ไปแล้ว
ในช่วงนี้นักเก็งกำไร ก็จะซื้อๆขายๆ กันเยอะ
ส่วน VI อาจจะอยู่เฉยๆ หรือ ซื้อเพิ่มเมื่อมีโอกาส
เมื่อมีข่าวอะไร ไม่ค่อยจะสู้ดี แม้จะไม่เกี่ยวกับ ตลาดหุ้น หรือ บริษัทนั้น
หลายคนเกิด ความกลัว เพราะเข้ามาเก็งกำไร อย่างไม่ทันคิด
การขายออกมาจะเป็นสิ่งแรกๆที่ทำกัน โดยยึดหลักว่า กำไรมากกำไรน้อยขอให้กำไรไว้ก่อนดีกว่า
อีกอย่างนึง คือ เรา ประเมินผิดพลาดแม้ว่าพื้นฐานจะดีแค่ไหน
หรือถ้าบริษัทเกิดการสะดุดในไป 1-2 ไตรมาสนั้นแต่ในระยะยาว ยังทำได้ดีอยู่ แบบนั้น ราคาก็น่าจะตกลงเยอะ เช่นกัน
สุดท้ายการเกิดเหตุที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ เช่น การประกาศต่างๆของ รัฐที่มีผลกระทบโดยตรงกับบริษัท
ซึ่งข้อนี้ ต้องทำใจกับการเมืองบ้านเราแหละครับ
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 9
ตรงนี้ก็พอจะเห็นบ้างและอะไรที่น่าตกใจ...ไม่นานนี้เองหุ้นอสังตกออกมีเดียกระจาย พอ มันพุ่งกันแรงมีเดียไม่พูดอะไรเลยลองสังเกต Volume ของ 25 november
ผมคิดน่ะ SET มันคงไม่ต่างจาก Wallstreet
The stock market is a zero sum game.
แต่ตอนนี้ดูดัชนีน้อยลงล่ะ
การเมืองไทยนี้จริงๆๆ ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถือนานถือทนสู้ๆน่ะทุกคน
ขอบคุณครับ
ผมคิดน่ะ SET มันคงไม่ต่างจาก Wallstreet
The stock market is a zero sum game.
แต่ตอนนี้ดูดัชนีน้อยลงล่ะ
การเมืองไทยนี้จริงๆๆ ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถือนานถือทนสู้ๆน่ะทุกคน
ขอบคุณครับ
Its all about getting alpha.
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 10
ถ้าซื้อถูก ขายแพง ทุกครั้ง
จะเป็น zero sum game ได้ยังไงครับ
จะเป็น zero sum game ได้ยังไงครับ
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 11
What i meant is that even if somebody buys low or sells high or buys high and sells low.Boyadvance เขียน:ถ้าซื้อถูก ขายแพง ทุกครั้ง
จะเป็น zero sum game ได้ยังไงครับ
In the end when you trade you give somebody a stock and the stock just passes on to them.
The market as a whole is just money fluctuating from one person to another, there will be winners and there will be suckers.
And there are alot of suckers....... ...i just hope i am not one.
Its all about getting alpha.
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 12
ถ้าสมมติว่าUnstablemind เขียน:What i meant is that even if somebody buys low or sells high or buys high and sells low.Boyadvance เขียน:ถ้าซื้อถูก ขายแพง ทุกครั้ง
จะเป็น zero sum game ได้ยังไงครับ
In the end when you trade you give somebody a stock and the stock just passes on to them.
The market as a whole is just money fluctuating from one person to another, there will be winners and there will be suckers.
นาย A ซื้อหุ้นมาที่ราคา 10 บาท 3 ปีแรกไต่ๆอยู่แถว 12-13 ทนถือไป 5 ปี บริษัทกำไรดีหุ้นขึ้น เลยขายทิ้งไปที่ 20 บาท
นาย B ซื้อต่อมาที่ราคา 20 บาท ถือไปไม่กี่เดือนหุ้นดันขึ้นไป 25 นาย B พอใจแล้ว ขายไปที่ 24
นาย C ซื้อต่อมาที่ราคา 24 บาท ตอนซื้อชอบธุรกิจมาก ให้ MOS น้อยไปหน่อย ถือไปซักพักลงไป 21 ก็ยังไม่ขาย ถือไปอีก 3 ปี ขายไปที่ 35 บาท
เหตุการณ์อย่างนี้มัน Zero-Sum ตรงไหน
ถ้ามองว่าหุ้นมันเป็นแค่เกมส์พนันก็อาจจะเป็น Zero-sum ได้ โยนเผือกกันไปมา แต่เนื่องจากว่าหุ้นมันมีปันผล ผลประกอบการอยู่ที่จะคอยเป็นตัวบ่งชี้ราคา บริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ปันผลได้เพิ่มขึ้น ราคาของบริษัทก็ต้องสูงขึ้น
แน่ใจหรือครับว่าอ่าน Intelligent Investor แล้ว กลับไปอ่านอีกสองรอบครับ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 13
สงสัยต้องกลับไปอ่านอีกรอบแหะ
Its all about getting alpha.
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 14
ผมเองก็พยายามไม่ดูเหมือนกันครับ หลังๆนี้เปลี่ยนมุมมอง เป็นลืมไปเลยว่าซื้อหุ้นไว้
คือตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจอยู่ แล้วก็เข้าซื้อบริษัทเพื่อให้บริษัททำเงินให้ ดังนั้นผมก็เลยสนใจแต่เรื่องของกิจการของบริษัท คิดซะว่าตัวเองซื้อบริษัท ไม่ได้ซื้อหุ้น พอคิดได้แบบนี้ผมก็เลิกสนใจตลาดหุ้นไปเลย
...ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะแบบนี้
คือตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจอยู่ แล้วก็เข้าซื้อบริษัทเพื่อให้บริษัททำเงินให้ ดังนั้นผมก็เลยสนใจแต่เรื่องของกิจการของบริษัท คิดซะว่าตัวเองซื้อบริษัท ไม่ได้ซื้อหุ้น พอคิดได้แบบนี้ผมก็เลิกสนใจตลาดหุ้นไปเลย
...ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะแบบนี้
มีอุปสรรค... แต่ไม่มีปัญหา...
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 15
ผมดูวันที่ว่างครับ(พอดีหยุดวันธรรมดา) บ้างก็ดูทั้งวัน เป็นมานานละ ก็ดันหยุดวันที่ตลาดเขาเทรดกัน :lovl: พอนานๆไปหุ้นจะขึ้นจะลงผมก็ไม่ยักกะรู้สึกเครียดหรือเป็นอะไรนะครับ
หลังๆเลยมีเเนวคิดว่าดูบ่อยๆไม่ผิดแต่อยู่ที่ใจว่านิ่งพอจะทนดูราคาที่แกว่งมากๆได้หรือป่าว ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าดูเพราะจะขายหมูหรือติดดอยเอาง่ายๆครับ
หลังๆเลยมีเเนวคิดว่าดูบ่อยๆไม่ผิดแต่อยู่ที่ใจว่านิ่งพอจะทนดูราคาที่แกว่งมากๆได้หรือป่าว ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าดูเพราะจะขายหมูหรือติดดอยเอาง่ายๆครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 16
พอดี ผมมานั่งอ่าน วิถี การลงทุนของแต่ละคนอีกครั้งนึง แล้วติดใจประโยคนึงที่ marketing direction
วิธีการและแนวทางการลงทุน ของWilliam O’Neil
คล้ายๆ กับ จิม สแลตเตอร์ เขาให้ส่วนผสมของข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือก หุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลง
เขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้
C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings)
มองหาบริษัทมีเพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40 – 500%
A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases)
มอง หาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกันห้าปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25%ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ PE Ratio ซึ่งช่วงของ PE อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป
N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)
หุ้น ที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่
S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand)
หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้
L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards)
เลือก ลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆซัก 2 -3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80 – 90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน
I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship)
หา ให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ
M = ทิศทางของตลาด (Market direction)
ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญณาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น
ตัดขาดทุน เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นออกเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม
ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20%ภายใน13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4 – 5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด
ใน กรณีที่หุ้นที่คุณซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บ หุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรในช่วงนี้.
วิธีการและแนวทางการลงทุน ของWilliam O’Neil
คล้ายๆ กับ จิม สแลตเตอร์ เขาให้ส่วนผสมของข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือก หุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลง
เขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้
C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings)
มองหาบริษัทมีเพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40 – 500%
A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases)
มอง หาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกันห้าปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25%ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ PE Ratio ซึ่งช่วงของ PE อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป
N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)
หุ้น ที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่
S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand)
หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้
L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards)
เลือก ลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆซัก 2 -3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80 – 90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน
I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship)
หา ให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ
M = ทิศทางของตลาด (Market direction)
ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญณาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น
ตัดขาดทุน เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นออกเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม
ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20%ภายใน13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4 – 5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด
ใน กรณีที่หุ้นที่คุณซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บ หุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรในช่วงนี้.
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 17
แต่ผมไม่เห็นด้วยกับที่ว่า "ใน กรณีที่หุ้นที่คุณซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บ หุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรในช่วงนี้."
การถือไว้ น่าจะดีกว่านะครับ สำหรับ หุ้นในเมืองไทย
การถือไว้ น่าจะดีกว่านะครับ สำหรับ หุ้นในเมืองไทย
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 18
Canslim sounds like active portfolio management to me
Its all about getting alpha.
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI มือใหม่ครับเพิ่งเริ่มสิงหามคม2010ครับมีคำถาม
โพสต์ที่ 19
ผมไม่รู้ว่าคนที่ช่วยผมตอนผมเริ่มใหม่แต่อยากจะขอบคุณที่ช่วยไห้เห็นภาพออกอดทนมานานและในที่สุด HAPPY!!!!
Its all about getting alpha.