อยู่ไม่สุข...จริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 1
26 February 2005
Value Way : อยู่ไม่สุข...จริงๆ ~มนตรี นิพิฐวิทยา
เรื่องราวของการอยู่ไม่สุขไม่ใช่มีแค่การไม่รู้จะไปทำอะไรถ้าไม่ซื้อขายหุ้น การที่อยู่ไม่สุขยิ่งขึ้นไปอีกก็คือการซื้อๆ ขายๆ ยิ่งทำกิจกรรมทั้งสองอย่างนั้นอย่างรวดเร็วและหลายรอบในวันเดียวกันนั้น ถือเป็นการอยู่ไม่สุขเป็นอย่างยิ่ง
ผมเองเมื่อเริ่มลงทุนเองก็ทำการซื้อขายในวันเดียวกันบ่อยมาก เรียกว่าทำได้ทุกวันและวันละหลายรอบเป็นที่สนุกสนานยิ่งนักเพราะได้เงินใช้ทุกวัน แม้ว่าบางวันจะพลาดบ้างก็ยังไม่ค่อยเจ็บตัวเท่าไรในความรู้สึกตอนนั้น
การจะทำการซื้อขายแบบหักลบกันในวันเดียวหรือ Net settlement แล้วได้เงินนั้น มักจะเกิดในช่วงหุ้นนั้นๆเป็นขาขึ้น และที่สำคัญต้องรู้ข่าวมาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะได้บ้างเสียบ้าง จนสุดท้ายเสียมากกว่าได้
ถ้าหากเป็นช่วงตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นและหุ้นส่วนใหญ่ขึ้นจะเล่นง่ายมาก เพราะซื้อตัวไหนมันก็ขึ้น ได้เงินใช้จนเกิดอาการผยองกันเลยก็ว่าได้
...เล่นไม่ยากนี่หว่า!
มาดูตลาดหุ้นช่วงหลังๆนี่เล่นยากขึ้นมาก โอกาสได้เงินใช้น้อยกว่าโอกาสเสียเงิน เพราะแม้ตลาดหุ้นจะขึ้นแต่ก็ขึ้นไม่มาก แกว่งตัวแคบๆ ไม่ค่อยมีช่วงให้ทำกำไรเร็วๆ ยิ่งบางช่วงผันผวนเสียจนสิงห์ Net ทั้งหลายกระเป๋าฉีกไปตามๆ กัน
เมื่อวันก่อนเก็บกวาดบ้านก่อนวันตรุษจีน เกิดไปเจอกับข้อมูลที่ผมเคยซื้อขายหุ้นเมื่อหลายปีก่อนที่ทั้งซื้อและขายอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มก่อนหมดสภาพกลายเป็นกามนิตติดยา ก็เลยเก็บเอามาดูและนึกสนุกเอามาคิดเล่นๆยามว่างหลังตรุษจีน ผลที่ได้เป็นที่น่าตกใจยิ่งนัก...
เมื่อแรกก็คิดเหมือนกันว่า เล่นหุ้นได้บ่อยๆ ทำไมเงินทองมันไม่ค่อยจะเพิ่มขึ้นเท่าไรเลย แต่มันก็มีความสุขที่ได้เล่นและได้เสีย นี่ถ้าไม่หมดสภาพซะก่อนก็คงไม่รู้ตัวหรอกว่าเป็นเพราะอะไร
การเล่นเร็ว ซื้อขายหุ้นบ่อยๆ นั้นมันมีต้นทุนที่แฝงอยู่ครับ นั้นคือค่าคอมมิชชั่น และภาษีมูลค่าเพิ่ม บางคนอาจจะคิดว่า มันจะเท่าไรกัน ก็แค่ 0.25 % กับ อีก 7% จากค่าคอมมิชชั่นนั้น รวมๆ แล้วก็แค่ 0.267%
มันไม่มากเลยครับ เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด เช่นซื้อหุ้น 1,000,000 บาท ค่าคอมฯ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วแค่ 2,875 บาท แต่ถ้าเอามาเทียบกับมูลค่าของผลตอบแทนที่ได้รับแล้วน่าคิดครับ
ผมไม่ได้บอกว่ามันสูงหรือต่ำแต่กำลังบอกให้คิด ลองคิดดูว่า วันหนึ่งคุณซื้อหุ้นราคา 70 บาท จำนวน 10,000 หุ้น เป็นเงินลงทุน 70,000 บาท เสียค่าคอมมิชชั่น 1,872.5 บาท ปรากฏว่าหุ้นนั้นขึ้นไปหนึ่งบาท ได้กำไรแล้วหนึ่งบาทต่อหุ้น หรือหนึ่งหมื่นบาท ถ้าขายเลย (เก็บไว้เดี๋ยวลงจะอด) คุณจะเหลือเงินกำไรนี้หลังหักค่าคอมฯและภาษีทั้งสองขาแล้วเท่ากับ 6,228.25 บาท คิดเป็นผลตอบแทนเท่ากับ 0.89% ทั้งนี้คุณจ่ายค่าคอมฯและภาษีฯสองขาเท่ากับ 3,771.75 บาท คือแบ่งผลกำไรของคุณไปให้โบรกเกอร์และรัฐบาลเท่ากับ 37.72%
ในกรณีอย่างนี้ผลกำไรที่คุณจะได้ทั้งสิ้น ถูกแบ่งไป 37.72% สำหรับผมแล้วมากเอาการ แต่บางคนบอกก็ได้ฟรีนี่นา ซื้อเช้าขายบ่าย ได้ก็ถือว่าดีแล้ว
อาจจะจริงครับ ถ้าได้แล้วเลิกเลยก็ได้เงินใช้ แต่ถ้าวันต่อมาเสียละก็...
วันรุ่งขึ้นซื้อหุ้นเดิมอีกเพราะลงมา 70 บาทให้ซื้อได้อีก ซื้อเท่าเดิมคือ 10,000หุ้น วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานหุ้นลงมาที่ 69 บาท คิดง่ายๆขาดทุนไป 10,000 บาท ยังไม่หมดครับ ยังมีค่าคอมฯและภาษีฯอีกนิดหน่อย (?) รวมๆ แล้วต้องจ่ายทั้งสิ้น 13,718.25 บาท เวลาได้เงินได้แค่ 6,228.25 บาท เวลาเสียทำไมจ่ายมากกว่า 2 เท่าเลยละนี่? สรุปรวมแล้วสองวันจ่าย 7,490 บาท
ถ้าคุณโชคดีเล่นได้สองครั้งเสียหนึ่งครั้ง คุณยังเสียเงินอยู่ดีครับ แต่ถ้าได้สามครั้งเสียหนึ่งครั้งคุณถึงจะได้เงิน แต่ก็แค่ 4,966.5 บาท ไม่ใช่ 20,000 บาท
ตัวอย่างนี้ยกมาให้เห็นง่ายๆ ว่าถ้าคิดจะรวยเพราะเล่นเร็วละก็ "ยากส์..." โอกาสจะรวยก็มี แต่ผมว่าน้อยมาก และเห็นมีไม่กี่คนหรอกครับ เพราะพวกนี้เขามีอะไรดีๆ เช่นวงใน หรือไม่ก็ขาใหญ่ ส่วนถ้าไม่ใช่พวกวงในหรือขาใหญ่แล้วต้องมีวินัยอย่างสูง ได้แล้วต้องเลิก ขาดทุนน้อยๆ แล้วต้องรีบขาย คือเอาไว้ก่อนไม่อย่างนั้นอด...
ทีนี้มาดูว่าถ้าเราปล่อยให้กำไรมันสูงขึ้นแล้วเราขาย เราจะมีต้นทุนค่าคอมฯและภาษีมากน้อยอย่างไรครับ จากการคำนวณแล้วพบว่า ถ้าขายที่ผลตอบแทน 10% เราจะต้องจ่ายค่าคอมฯและ ภาษี เท่ากับ 5.62% ที่ผลตอบแทน 20% จ่าย 2.94% ที่ผลตอบแทน 30% จ่าย 2.05% ยิ่งผลตอบแทนยิ่งสูงมากขึ้นเท่าใดเรายิ่งจ่ายน้อยลง กำไรก็จะเป็นของเรามากขึ้น
ลองคิดว่าถ้าเราลงทุนซื้อหุ้นราคา 10 บาท 100,000 หุ้น ใช้เงิน 1,000,000บาท ถ้าเราขายที่ผลตอบแทน 1% เราจ่ายค่าคอมฯ กับภาษีฯ เท่ากับ 5,376.75 บาท คิดเป็นร้อยละจากผลตอบแทนแล้ว เท่ากับ 53.77% เงินกำไร 10,000 เหลือแค่ 4,623.25 บาท แต่ถ้าขายที่ผลตอบแทน 20% เราจ่ายค่าคอมฯกับภาษีฯ เท่ากับ 5,885 บาท คิดเป็นร้อยละจากผลตอบแทนแล้ว เท่ากับ 2.94% เงินกำไร 200,000 บาท ได้จริงๆ 194,115 บาท
มันต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ และถ้าคุณปล่อยให้ผลตอบแทนมากถึง 100% คุณลองคิดดูว่ากำไรที่ได้มาอีกหนึ่งล้านบาท เสียค่าคอมฯกับภาษีฯแค่ 8,025.214บาทเอง คุณเอาเงิน 992,054.70 บาท เข้ากระเป๋ากับบ้านสบายๆ
ดังนั้นแทนที่จะอยู่ไม่สุขในทางซื้อๆ ขายๆแล้วละก็ ลองที่จะกลับนิสัยมาอยู่ไม่สุขโดยการเลือกสรรหาบริษัทดีๆ ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม เมื่อได้หุ้นดีๆ แล้วก็ควรจะอยู่เป็นสุขเสียที รอเวลาคอยนับเงินดีกว่าครับ
ไม่เช่นนั้นคนที่จะคอยนับเงินของคุณจะเป็นโบรกเกอร์ของคุณนั่นแหละ
Value Way : อยู่ไม่สุข...จริงๆ ~มนตรี นิพิฐวิทยา
เรื่องราวของการอยู่ไม่สุขไม่ใช่มีแค่การไม่รู้จะไปทำอะไรถ้าไม่ซื้อขายหุ้น การที่อยู่ไม่สุขยิ่งขึ้นไปอีกก็คือการซื้อๆ ขายๆ ยิ่งทำกิจกรรมทั้งสองอย่างนั้นอย่างรวดเร็วและหลายรอบในวันเดียวกันนั้น ถือเป็นการอยู่ไม่สุขเป็นอย่างยิ่ง
ผมเองเมื่อเริ่มลงทุนเองก็ทำการซื้อขายในวันเดียวกันบ่อยมาก เรียกว่าทำได้ทุกวันและวันละหลายรอบเป็นที่สนุกสนานยิ่งนักเพราะได้เงินใช้ทุกวัน แม้ว่าบางวันจะพลาดบ้างก็ยังไม่ค่อยเจ็บตัวเท่าไรในความรู้สึกตอนนั้น
การจะทำการซื้อขายแบบหักลบกันในวันเดียวหรือ Net settlement แล้วได้เงินนั้น มักจะเกิดในช่วงหุ้นนั้นๆเป็นขาขึ้น และที่สำคัญต้องรู้ข่าวมาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะได้บ้างเสียบ้าง จนสุดท้ายเสียมากกว่าได้
ถ้าหากเป็นช่วงตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นและหุ้นส่วนใหญ่ขึ้นจะเล่นง่ายมาก เพราะซื้อตัวไหนมันก็ขึ้น ได้เงินใช้จนเกิดอาการผยองกันเลยก็ว่าได้
...เล่นไม่ยากนี่หว่า!
มาดูตลาดหุ้นช่วงหลังๆนี่เล่นยากขึ้นมาก โอกาสได้เงินใช้น้อยกว่าโอกาสเสียเงิน เพราะแม้ตลาดหุ้นจะขึ้นแต่ก็ขึ้นไม่มาก แกว่งตัวแคบๆ ไม่ค่อยมีช่วงให้ทำกำไรเร็วๆ ยิ่งบางช่วงผันผวนเสียจนสิงห์ Net ทั้งหลายกระเป๋าฉีกไปตามๆ กัน
เมื่อวันก่อนเก็บกวาดบ้านก่อนวันตรุษจีน เกิดไปเจอกับข้อมูลที่ผมเคยซื้อขายหุ้นเมื่อหลายปีก่อนที่ทั้งซื้อและขายอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มก่อนหมดสภาพกลายเป็นกามนิตติดยา ก็เลยเก็บเอามาดูและนึกสนุกเอามาคิดเล่นๆยามว่างหลังตรุษจีน ผลที่ได้เป็นที่น่าตกใจยิ่งนัก...
เมื่อแรกก็คิดเหมือนกันว่า เล่นหุ้นได้บ่อยๆ ทำไมเงินทองมันไม่ค่อยจะเพิ่มขึ้นเท่าไรเลย แต่มันก็มีความสุขที่ได้เล่นและได้เสีย นี่ถ้าไม่หมดสภาพซะก่อนก็คงไม่รู้ตัวหรอกว่าเป็นเพราะอะไร
การเล่นเร็ว ซื้อขายหุ้นบ่อยๆ นั้นมันมีต้นทุนที่แฝงอยู่ครับ นั้นคือค่าคอมมิชชั่น และภาษีมูลค่าเพิ่ม บางคนอาจจะคิดว่า มันจะเท่าไรกัน ก็แค่ 0.25 % กับ อีก 7% จากค่าคอมมิชชั่นนั้น รวมๆ แล้วก็แค่ 0.267%
มันไม่มากเลยครับ เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด เช่นซื้อหุ้น 1,000,000 บาท ค่าคอมฯ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วแค่ 2,875 บาท แต่ถ้าเอามาเทียบกับมูลค่าของผลตอบแทนที่ได้รับแล้วน่าคิดครับ
ผมไม่ได้บอกว่ามันสูงหรือต่ำแต่กำลังบอกให้คิด ลองคิดดูว่า วันหนึ่งคุณซื้อหุ้นราคา 70 บาท จำนวน 10,000 หุ้น เป็นเงินลงทุน 70,000 บาท เสียค่าคอมมิชชั่น 1,872.5 บาท ปรากฏว่าหุ้นนั้นขึ้นไปหนึ่งบาท ได้กำไรแล้วหนึ่งบาทต่อหุ้น หรือหนึ่งหมื่นบาท ถ้าขายเลย (เก็บไว้เดี๋ยวลงจะอด) คุณจะเหลือเงินกำไรนี้หลังหักค่าคอมฯและภาษีทั้งสองขาแล้วเท่ากับ 6,228.25 บาท คิดเป็นผลตอบแทนเท่ากับ 0.89% ทั้งนี้คุณจ่ายค่าคอมฯและภาษีฯสองขาเท่ากับ 3,771.75 บาท คือแบ่งผลกำไรของคุณไปให้โบรกเกอร์และรัฐบาลเท่ากับ 37.72%
ในกรณีอย่างนี้ผลกำไรที่คุณจะได้ทั้งสิ้น ถูกแบ่งไป 37.72% สำหรับผมแล้วมากเอาการ แต่บางคนบอกก็ได้ฟรีนี่นา ซื้อเช้าขายบ่าย ได้ก็ถือว่าดีแล้ว
อาจจะจริงครับ ถ้าได้แล้วเลิกเลยก็ได้เงินใช้ แต่ถ้าวันต่อมาเสียละก็...
วันรุ่งขึ้นซื้อหุ้นเดิมอีกเพราะลงมา 70 บาทให้ซื้อได้อีก ซื้อเท่าเดิมคือ 10,000หุ้น วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานหุ้นลงมาที่ 69 บาท คิดง่ายๆขาดทุนไป 10,000 บาท ยังไม่หมดครับ ยังมีค่าคอมฯและภาษีฯอีกนิดหน่อย (?) รวมๆ แล้วต้องจ่ายทั้งสิ้น 13,718.25 บาท เวลาได้เงินได้แค่ 6,228.25 บาท เวลาเสียทำไมจ่ายมากกว่า 2 เท่าเลยละนี่? สรุปรวมแล้วสองวันจ่าย 7,490 บาท
ถ้าคุณโชคดีเล่นได้สองครั้งเสียหนึ่งครั้ง คุณยังเสียเงินอยู่ดีครับ แต่ถ้าได้สามครั้งเสียหนึ่งครั้งคุณถึงจะได้เงิน แต่ก็แค่ 4,966.5 บาท ไม่ใช่ 20,000 บาท
ตัวอย่างนี้ยกมาให้เห็นง่ายๆ ว่าถ้าคิดจะรวยเพราะเล่นเร็วละก็ "ยากส์..." โอกาสจะรวยก็มี แต่ผมว่าน้อยมาก และเห็นมีไม่กี่คนหรอกครับ เพราะพวกนี้เขามีอะไรดีๆ เช่นวงใน หรือไม่ก็ขาใหญ่ ส่วนถ้าไม่ใช่พวกวงในหรือขาใหญ่แล้วต้องมีวินัยอย่างสูง ได้แล้วต้องเลิก ขาดทุนน้อยๆ แล้วต้องรีบขาย คือเอาไว้ก่อนไม่อย่างนั้นอด...
ทีนี้มาดูว่าถ้าเราปล่อยให้กำไรมันสูงขึ้นแล้วเราขาย เราจะมีต้นทุนค่าคอมฯและภาษีมากน้อยอย่างไรครับ จากการคำนวณแล้วพบว่า ถ้าขายที่ผลตอบแทน 10% เราจะต้องจ่ายค่าคอมฯและ ภาษี เท่ากับ 5.62% ที่ผลตอบแทน 20% จ่าย 2.94% ที่ผลตอบแทน 30% จ่าย 2.05% ยิ่งผลตอบแทนยิ่งสูงมากขึ้นเท่าใดเรายิ่งจ่ายน้อยลง กำไรก็จะเป็นของเรามากขึ้น
ลองคิดว่าถ้าเราลงทุนซื้อหุ้นราคา 10 บาท 100,000 หุ้น ใช้เงิน 1,000,000บาท ถ้าเราขายที่ผลตอบแทน 1% เราจ่ายค่าคอมฯ กับภาษีฯ เท่ากับ 5,376.75 บาท คิดเป็นร้อยละจากผลตอบแทนแล้ว เท่ากับ 53.77% เงินกำไร 10,000 เหลือแค่ 4,623.25 บาท แต่ถ้าขายที่ผลตอบแทน 20% เราจ่ายค่าคอมฯกับภาษีฯ เท่ากับ 5,885 บาท คิดเป็นร้อยละจากผลตอบแทนแล้ว เท่ากับ 2.94% เงินกำไร 200,000 บาท ได้จริงๆ 194,115 บาท
มันต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ และถ้าคุณปล่อยให้ผลตอบแทนมากถึง 100% คุณลองคิดดูว่ากำไรที่ได้มาอีกหนึ่งล้านบาท เสียค่าคอมฯกับภาษีฯแค่ 8,025.214บาทเอง คุณเอาเงิน 992,054.70 บาท เข้ากระเป๋ากับบ้านสบายๆ
ดังนั้นแทนที่จะอยู่ไม่สุขในทางซื้อๆ ขายๆแล้วละก็ ลองที่จะกลับนิสัยมาอยู่ไม่สุขโดยการเลือกสรรหาบริษัทดีๆ ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม เมื่อได้หุ้นดีๆ แล้วก็ควรจะอยู่เป็นสุขเสียที รอเวลาคอยนับเงินดีกว่าครับ
ไม่เช่นนั้นคนที่จะคอยนับเงินของคุณจะเป็นโบรกเกอร์ของคุณนั่นแหละ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณมากๆนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 5
คนที่เล่นก็คงไม่ได้ตั้งเป้าเอาชนะค่าคอมนะ แล้วโดยทั่วไปเขาคงไม่เล่นหุ้น 70 บาท หวังกำไรแค่ 1 บาท แล้วออกpicklife เขียน: ขอบคุณครับที่แบ่งปัน
... โอกาสที่จะเอาชนะค่าคอมในระยะยาวได้นั้นยากมากๆครับ
:lol:
ก็คงเหมือนเราซื้อหุ้นลงทุน หลังจากศึกษามาดี ก็คงไม่ได้หวังว่าได้แค่ชนะดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ในความเป็นจริงได้มากกว่า หรือน้อยกว่า หรือขาดทุนก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
...
ว่าไปแล้วช่วงนี้เอียนกับการพูดถึงวิธีการเล่นหุ้นลงทุนหุ้นในแต่ละแบบจริงๆ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ยังไง ถ้าอยากพูดถึงก็น่าจะออกในทางสร้างสรรค์ที่ทำให้มีพัฒนาการในวิถีนั้นๆดีกว่า
จริงๆการเป็นนักลงทุน ก็ต้องมี skill set ที่ต้องศึกษา และหมั่นฝึกฝน และการเป็นเทรดเดอร์ก็ต้องมี skill set เหมือนกัน แต่อาจจะเป็นทักษะคนละตัวที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น ไม่ว่าแบบไหน เล่นแบบมั่วๆ ก็มีโอกาสขาดทุนพอกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับ ที่นำข้อมูลดี ๆ มาเสนอ ...
ผมเองก็ทราบ แต่ว่าไม่เคยคิดออกมาเป็นตัวเลขชัด ๆ แบบนี้ ...
ขอบคุณมากครับ
ผมเองก็ทราบ แต่ว่าไม่เคยคิดออกมาเป็นตัวเลขชัด ๆ แบบนี้ ...
ขอบคุณมากครับ
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- หมีบึงกุ่ม
- Verified User
- โพสต์: 408
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณครับ กับตัวอย่างง่ายๆ นี้ กระจ่างเลยที่สงสัยมานาน
"Good practice makes perfect"
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 15
แก้ไขหน่อยครับ
ผมไม่ได้บอกว่ามันสูงหรือต่ำแต่กำลังบอกให้คิด ลองคิดดูว่า วันหนึ่งคุณซื้อหุ้นราคา 70 บาท จำนวน 10,000 หุ้น เป็นเงินลงทุน 70,000 บาท เสียค่าคอมมิชชั่น 1,872.5 บาท
น่าจะเป็นเจ็ดแสนบาท เลขศูนย์หายไปครับ
ผมไม่ได้บอกว่ามันสูงหรือต่ำแต่กำลังบอกให้คิด ลองคิดดูว่า วันหนึ่งคุณซื้อหุ้นราคา 70 บาท จำนวน 10,000 หุ้น เป็นเงินลงทุน 70,000 บาท เสียค่าคอมมิชชั่น 1,872.5 บาท
น่าจะเป็นเจ็ดแสนบาท เลขศูนย์หายไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
อยู่ไม่สุข...จริงๆ
โพสต์ที่ 18
2-3วันมานี้ มือไม้ผมชักอยู่ไม่สุข แล้วล่ะสิครับ เพื่อนๆ
นี่ขนาดจำกัดเงินไว้ไม่เกิน 10 % พอร์ต นะเนี่ย
ต้องหักดิบ ซะแล้ว เดี๋ยวจะเสียวินัย จนเสียคน :wall:
นี่ขนาดจำกัดเงินไว้ไม่เกิน 10 % พอร์ต นะเนี่ย
ต้องหักดิบ ซะแล้ว เดี๋ยวจะเสียวินัย จนเสียคน :wall:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง