เราจะปรับตัวอย่างไรเมื่อทุกอย่าง "ฟรี" (ตูจะหาเงิน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pawawit
Verified User
โพสต์: 38
ผู้ติดตาม: 0

เราจะปรับตัวอย่างไรเมื่อทุกอย่าง "ฟรี" (ตูจะหาเงิน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หนังสือ "FREE" หนังสือของ Chris Anderson ยังคงหลอนอยู่ในหัวผม ว่ามัน(จริงหรือ!!) ..นาย Lewis Strauss อดีตผู้อำนวยการโครงการนิวเคียร์ ..."ทำนายว่าปี 1950s ทุกคนในโลกจะได้ใช้พลังงาน ถูกจนเกือบ "ฟรี" เนื่องจากพลังงานนิวเคียร์จะทำให้ต้นทุนการผลิดไฟฟ้าถูกลงเรื่อยๆ เหมือนกับที่มันเกิดกับ Bandwidth ที่ถูกจนเกือบฟรีในปัจจุบัน ....แต่จนปัจจุบัน "ค่าไฟฟ้า"เราขึ้นเอา ๆ(เพราะไม่มีประเทศไหนกล้าใช้นิวเคียร์เป็นพลังงานหลักนอกจาก ฝรั่งเศส)

อย่าง ในประเทศไทย เราเลือกใช้ "ก๊าซธรรมชาติ เป็นหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนจีน เลือกถ่านหิน เพราะมีในประเทศจีนมีถ่านหินเยอะมาก (คุณรู้ไหมที่ "บริษัทถ่านหิน อย่าง BANPU ที่ราคาวิ่งจาก 160 มาจน 600 บาทต่อหุ้นในตอนนี้ ผมว่า "คุณ ชนินท์ ว่องกุศลกิจ ต้องวิ่งไปขอบคุณเมืองจีนที่เลือกถ่านหินเป็นหลังงานหลัก ) ตอนนี้(นักธุรกิจ และนักลงทุนกำลังจับตาดูว่า ต่อไปจีนจะเลือกอะไร เช่น เงิน Currency Reserve ถ้าจีนเพิ่มน้ำหนักใน "ทอง" ให้เท่ากับที่ ยุโรปถือ "คุณเห็นราคาทองวิ่งเลย 2,000 สบายๆ หรือ หากจีนเลือก เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทน เราจะเห็น "การเกิดใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน(ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ Silicon Valley)เกิดขึ้นในจีนอย่างแน่นอน"

เพราะ ปัจจุบัน จีนแค่ใช้ กังหันลม และ ก็ Solar Cell เพียงนิดหน่อย--ยังส่งผลให้เจ้าของ Sun Tech "นายซู เซี่ยหลง"กลายเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆของโลก ไปเลย (แค่ตอนนี้ จีนเพิ่งกระเถิบนิดๆไปทางพลังงานทดแทน ก็ทำให้ ยอดรวมของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน มีความใหญ่แซงหน้าอเมริกา ไปเกือบสองเท่าแล้ว (ตอนนี้ขนาด OBAMA พยายามผลักดันให้จีนมุ่งสู่ทิศทาง"พลังงานทดแทน" รวมทั้ง Lobby ให้จีนเปิดตลาดให้ บริษัทต่างชาติไปลงทุน เพราะถ้า สิ่งนี้เกิดเป็นรูปธรรม จะส่งผลให้ เกิดการสร้างงานใหม่ ในอเมริกา หลายล้านตำแหน่ง และอาจเป็น "จุดกำเนิดอุตสาหกรรมใหม่ เหมือนที่เกิดกับ Hi-Tech ก่อนหน้านี้"

--ซึ่ง สิ่งที่ผม พูดถึง "มันมีผลที่ อาจทำให้ทั้งโลก พ้นจากเศรษฐกิจตกต่ำ ไปรุ่งโรจน์อีกครั้ง(เหมือนอย่างที่ Bill Clinton นำ Silicon Valley ดึงอเมริกาออกจาก เศรษฐกิจตกต่ำยุคก่อนหน้านี้ได้)...ประเด็นที่ผมพูดถึงคือ "ทางเลือกของจีน" จะส่งผลต่อโลกนี้อย่างมหาศาลนั่นเอง

กลับมาใน เรื่องของ "ฟรี"-- จริงๆ "ไม่มีอะไรฟรี" เพราะท้ายสุดทุกคนต้องการ "รายได้อยู่ดี"...เพียงแต่ที่เราคิดว่า สิ่งต่างๆที่ฟรี --"มันไม่ใด้ฟรี..เพียงแต่ต้นทุนมันต่ำลง"ราคาถูกลงมากๆ" จากผลของการผลิตที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น(Economic of Scale)นั่นเอง"...ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเกิด Economic Of Scale ทำให้ Server ราคาลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น เราเลยได้ อานิสงค์ คือ ได้ใช้ Email และ บริการหลายๆอย่างฟรีนั่นเอง (แต่นั้นมันอยู่บนพื้นฐานของ การที่มี "คนอื่น" ยอมจ่ายให้เรา)..ถ้าวันนี้ Google กับ Yahoo ล้มละลาย ผมว่า"เราคงจะเริ่มต้องเริ่มเสียเงินค่าใช้ Email อย่างแน่นอน" --จริงๆ ไอ้คนเริ่มใช้กลยุทธิ์ "ฟรี" มันมีมาแต่โบราณแล้ว ตั้งแต่สมัย Standard Oil แจกตะเกียงน้ำมันให้เมืองจีน "ฟรี" จนในที่สุด "คนจีน"เลยต้องกลับมาซื้อ "น้ำมัน"... หรืออย่างที่ CP เอาหม้อหุ้งข้าว ไปแจกให้ลูกค้าคนจีนฟรีๆ(สอนให้คนจีนหุงข้าวเป็น) จนท้ายสุด "ลูกค้าจีนก็ต้องกลับมาซื้อข้าวของ CP"นั้นเอง ..ในยุคของ Microsoft ก็มีการแจก Web Browser ให้ฟรีๆพ่วงกับ Window ทำให้ Netscape เจ๊งไปเลย (คุณคิดให้ดี ว่า"เบื้องหลังของฟรี"มันย่อมมีอะไรแอบแฝง) ..จนหลายๆคนกล่าวว่า "Free" มันไม่ใช่ แนวโน้มหรือ Trend อะไรสวยหรู เพราะมันก็คือ เครื่องมือ Marketing อีกตัวที่ใช้มา "ตั้งแต่โบราณแล้ว"

ส่วน ปัญหาของ "ฟรี" ใน Internet มันเกิดจาก "ผู้ผลิตเนื้อหา"เขามีต้นทุนต่ำ และ การ "เผยแพร่" ก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย เช่น นักร้องสามารถทำ Music Video เองแล้วก็ เผยแพร่ทาง YouTube "ไม่เสียเงิน"..จุดนี้มันสร้างให้เกิดการแข่งขันที่ "รุนแรง" แล้วที่หลายๆคนบอกว่า "คุณภาพของเนื้อหาหรือข่าวสาร"จะแย่ลง แต่ผมว่า "มันจะดีขึ้นเรื่อยๆต่างหาก"

ทุกวันนี้ Search อย่าง "Google" ได้สร้างบรรทัดฐานให้กับ คุณภาพของ Web site "เพราะดูจากจำนวน Link ภายนอก"..ซึ่งจุดนี้หมายความว่า "Web site" คุณต้องเป็นที่นิยมจริงๆ จึงจะมีคนอื่น link เข้ามาหรือ เอาเนื้อหาคุณไปอ้างอิง (จุดนี้เอง ผมว่า มันเป็นก้าวแรกของ คุณภาพของเนื้อหาที่ดีขึ้น)--ที่จะพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการถูกจัดอันดับต้นๆใน Web Search ย่อมหมายถึง Web site ของคุณได้ถูกคนส่วนใหญ่ approveยอมรับ "ไม่ใช่อย่าง ทีวี หรือ วิทยุในปัจจุบันที่อำนาจการจัดอันดับจะอยู่เจ้าของ อะไรประมาณนั้น"

ก้าว ต่อไป ผมว่า "มันจะไม่ใช่แค่การจัด คุณภาพของแต่ Web site เหมือนอย่างที่ Google ทำ ..มันจะต้องลงลึกลงไปใน "เนื้อหา" เช่น เราสามารถพิมพ์ เหมือน คำถามที่เราอยากรู้ จากนั้นคนกลางเช่น Google ก็จะตอบทุกเรื่อง (แต่ประเด็นไม่ใช่ ง่ายๆ ที่จะไปจ้างคนมานั่งตอบ เพราะนั่นจะมีความลำเอียง Bias --ดังนั้น ประเด็นจึงต้องเป็นอย่างที่ Google ทำคือ ต้อง Link จาก "สังคมส่วนใหญ่เป็นคนตัดสิน" ..ดังนั้น ความยากมันจึงอยู่ที่ "คำถามที่ถามนั่นเอง" เพราะหัวข้อเดียวกัน "ร้อยคนอาจมี การถามไม่เหมือนกันเลย --แล้วคุณจะทำอย่างไรให้ทั้ง ร้อยคำถามที่ถามไม่เหมือนกัน..แสดง "ผลลัพธ์" เหมือนกันได้ (ช่องว่างนี้ผมมองว่า Google ได้เปิดโอกาสให้คนทั่วโลกเข้ามาแข่งขันแล้ว ..ไม่แน่ว่า Billionaire คนต่อไป อาจเป็นคุณ หรือ ลูกคุณ ก็ได้ ถ้าสามารถ "เติมเต็มช่องว่างตรงนี้" (ก็ดูกันต่อไปครับ)..
เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.blogspot.com
โพสต์โพสต์