ลั่นดาล Window Dressing
หมดหวังเห็นแรงซื้อ ทำ Window dressing ก่อนปิดงวดบัญชี Q3/52 โบรกฯ ประสานเสียง เพราะดัชนีฯก่อนหน้า ลากหุ้นหลายกลุ่มพุ่งทะยานมามากแล้ว บล.ซิตี้ คอร์ป ชี้ ต่างชาติส่งสัญญาณบวกต่อหุ้นไทย แถมเม็ดเงินยังไหลเข้า แต่เตือน นลท.ระวังแรงขายทำกำไร ด้าน บล.พัฒนสิน มอง หากจะมี Window dressing คาดเป็นกลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจโรงแรม เพราะเป็นกลุ่มปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด ขณะที่ EPFR Globalเผย เม็ดเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ สูงสุดในรอบ 39 สัปดาห์ ที่ 2.07พันล้านดอลลาร์ ด้านบล.กิมเอ็ง เชื่อ เศรษฐกิจฟื้นดัน SETไปต่อ ปรับเป้าสิ้นปีนี้เป็น800จุด ส่วนปีหน้า 900 จุด ส่วนหุ้นไทยสัปดาห์นี้ บล.ฟินันเซียไซรัส ทำนาย ผันผวน ประเมินแนวต้าน 730 จุด แนะเล่นรายกลุ่ม ชู กลุ่มพลังงาน ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง โดดเด่น
การทำราคาปิด ก่อนสิ้นงวดบัญชีในไตรมาส 3/52 หรือ Window Dressing ช่วงโค้งสุดท้ายสัปดาห์นี้ คาดว่าอาจไม่ได้เห็น เหมือนกับในหลายไตรมาสที่ผ่านมา หลังโบรกฯมองดัชนีฯตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมามากแล้วก่อนหน้านี้ และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
*โบรกนอก ชี้ window dressing ไม่มีผลชี้นำดัชนีฯ เหตุที่ผ่านมาขึ้นแรงแล้ว
ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า อาจจะไม่มีการทำ window dressing หรือ การเข้าซื้อหุ้นเพื่อปิดงวดบัญชี ในช่วงไตรมาส 3/52 นี้ โดยหากจะมีก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลชี้นำต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมากนัก เพราะที่ผ่านมาดัชนีฯ ได้ทะยานเพิ่มขึ้นมาพอสมควร และราคาหุ้นหลายกลุ่มได้ปรับเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างแรงแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาก ก็จะมีนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าซื้อต่อเนื่อง เพราะกลัวพลาดโอกาสหากดัชนีฯ และเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง ทั้งนี้ มุมมองของนักลงทุนต่างชาตินั้น ก็ส่งสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งพิจารณาจากการเข้าซื้อหุ้นต่อเนื่อง และเม็ดเงินที่ยังคงไหลเข้า แนะนำ นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุน เพราะราคาหุ้นหลายกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง จึงอาจจะมีนักลงทุนบางส่วนเทขายทำกำไรออกมาบ้าง
ม.ล.ทองมกุฎ คาดการณ์ ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในปี 2553 อยู่ที่ 780 จุด หลังสภาพคล่องในระบบค่อนข้างเยอะ และเป็นไปตามการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะเริ่มพลิกฟื้นกลับมาดีขึ้นจากในปี 2552
*บล.พัฒนสิน มอง หากจะมี Window dressing คาดเป็นกลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจโรงแรม เพราะปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า หากในสัปดาห์นี้ กองทุนจะเข้าทำ Window Dressing คงเป็นเพียงการเลือกทำบางกลุ่ม เพราะต้องยอมรับว่าราคาหุ้นที่ผ่านมาในหลายกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรง ซึ่งปกติหากมีการทำ Window Dressing กองทุนมักจะเลือกหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาด โดยฝ่ายวิจัยมองว่าน่าจะเป็นกลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจโรงแรม
แต่อย่างไรก็ดีภาพรวมบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเชื่อว่ายังอ่อนตัวลง โดยประเมินกรอบในสัปดาห์หน้าไว้ที่ 710 -740 จุด กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว ในหุ้นที่ราคาขยับเพิ่มขึ้นไม่มาก
* EPFR Global เผย เม็ดเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ สูงสุดในรอบ 39 สัปดาห์ ที่ 2.07พันล้านดอลลาร์
รายงานข่าวจากต่างประเทศแจ้งว่า บริษัทอีพีเอฟอาร์ โกลบัล (EPFR Global) ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวของกองทุน เปิดเผยว่า นักลงทุนได้เข้าลงทุนในกองทุนหุ้นทั่วโลกด้วยปริมาณเงินลงทุนสูงสุดในปีนี้ ทั้งนี้ กองทุนหุ้นทั่วโลกมีเงินลงทุนไหลเข้าสูงสุดในรอบ 102 สัปดาห์ ที่ 2.04 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าในรอบ 10 สัปดาห์อยู่ที่ระดับรวม 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กองทุนหุ้นของตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีเงินทุนไหลเข้าสูงสุดในรอบ 39 สัปดาห์ที่ 2.07 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่ 3ของเดือนก.ย.ขณะที่กองทุนต่างๆได้รับเงินทุนไหลเข้าในสัปดาห์ล่าสุด 478 ล้านดอลลาร์หลังจากปริมาณเงินทุนไหลเข้าได้ลดลงถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี MSCI หุ้นทั่วโลกแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 11 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่แตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 1 ปีจากความเชื่อมั่นที่ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้เงินทุนไหลเข้ากองทุนพันธบัตรตลาดเกิดใหม่ยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 189 สัปดาห์ที่ 727 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย.
ส่วนกองทุนพันธบัตรสหรัฐและพันธบัตรโลกมีเงินทุนไหลเข้ามากที่สุดในรูป สกุลดอลลาร์นับตั้งแต่ EPFR เริ่มเก็บข้อมูลในช่วงต้นปี 2001 โดย EPFR ระบุว่ากองทุนพันธบัตรสหรัฐมีเงินทุนไหลเข้า 3.57 พันล้านดอลลาร์
* บล.กิมเอ็ง ปรับเป้าSETสิ้นปีนี้เป็น800จุด ส่วนปีหน้า 900 จุด
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้ออกบทวิเคราะห์ ประจำเดือนตุลาคม 2552ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 61.2% ตั้งแต่ต้นปี สู่ระดับ 724.37 จุด หรือเพิ่มขึ้น 75.4% จากจุดต่ำสุดที่ 413.09 จุด ในเดือนมีนาคม โดยคำถามหลักที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญในเดือนตุลาคมคือ ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวดีของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งหมดแล้วหรือยัง และมีโอกาสที่หุ้นจะถูกกดดันจากแรงขายขายทำกำไรในระยะสั้นหรือไม่
เราเห็นว่าตลาดหุ้นยังคงมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยเรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางตลาด และคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ 720 780 จุด เราได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีขึ้นจาก 750 จุด เป็น800 จุด แต่เรายังคงเป้าหมาย ดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2553 ที่ระดับ 900 จุด หรืออีกนัยหนึ่งเรายังแนะนำให้นักลงทุนถือหุ้นต่อในระยะสั้น
และสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้ลงทุนอย่างเต็มที่ ก็แนะนำให้หาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เนื่องจากเราคาดว่าตลาดหุ้นยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องภาพรวมตลาดที่เป็นบวกของเรานั้นมาจากมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ ของหุ้นกลุ่มหลักและรายตัวโดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเราคาดว่าจะปรับตัวขึ้นโดดเด่นในเดือนนี้ โดยหุ้นที่เราขอแนะนำในเดือนนี้ได้แก่ ADVANC, KBANK, PTTEP, SCCC, CPF, SPALI, TASCO และTVO
*บล.ฟินันเซียไซรัส มอง ศก.ฟื้น -ทุนนอกไหลเข้า ฟันธง ไร้ window dressing
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า ในช่วงที่จะประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3/52 ของแต่บริษัทฯจดทะเบียนนั้น เชื่อว่าไม่มีแรงซื้อปิดงวดบัญชีไตรมาส3/52ของนักลงทุนสถาบัน (window dressing) แต่อย่างใด เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/52 ของแต่ละบริษัทฯจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณในเชิงบวก ประกอบกับ ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา โดยประเด็นหลักมาจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์ส่งสัญญาณอ่อนตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ดังนั้น ทำให้มองว่าปัจจุบันนักลงทุนเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปกว่านี้
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนี้เชื่อว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรลอีกซักระยะหนึ่ง เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่าในปีหน้าปริมาณการขายน้ำมันจะดีขึ้น แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆจะส่งสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดีขึ้นจริงหรือไม่ ส่วนเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยนั้นจะออกไปเมื่อไรนั้น ไม่สามารถตอบได้เนื่องจากเม็ดเงินดังกล่าวเป็นส่วนที่เหลือจากเม็ดเงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษบกิจของประเทศต่างๆ ซึ่ง 2 วันที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯได้ประกาศหยุดแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไป ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ดังนั้น ควรระมัดระวังการลงทุน เพราะช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยหนุนตลาดฯทั่วโลกที่แน่นอน
* บล.ฟินันเซียไซรัส ทำนาย สัปดาห์นี้หุ้นไทย ผันผวน ประเมินแนวต้าน 730 จุด แนะเล่นรายกลุ่ม ชู กลุ่มพลังงาน ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสัปดาห์นี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่องจากวันนี้ เนื่องจาก ดัชนีฯได้ไต่ระดับขึ้นสูงพอสมควรแล้ว อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีกว่าราคาหุ้นในตลาดฯ อย่างไรก็ตาม คาดว่า สัปดาห์นี้นักลงทุนจะยังไม่มีการเก็งกำไรจากปัจจัยผลประกอบการไตรมาส3/52 โดยอาจจะมีการตอบรับกับประเด็นดังกล่าวประมาณสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค. นี้เพราะสัปดาห์แรกของเดือนหน้าตลาดฯเปิดการซื้อขายเพียง 2 วันทำการ
'หุ้นสัปดาห์นี้จะยังผันผวน เพราะดัชนีฯขึ้นไปสู่ระดับสูงแล้ว สำหรับนักลงทุนที่สนใจเก็งกำไร หุ้นรายตัวจะขึ้นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับประเด็นข่าวที่จะเข้ามา
หนุนด้วย โดยเชื่อว่าดัชนีฯสัปดาห์หน้าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 715-730 จุด' นายสมชาย กล่าว
กลยุทธ์การลงทุน แนะเก็งกำไรกรอบแนวรับ-ต้าน โดยเล่นเป็นรายกลุ่ม อาทิ กลุ่มพลังงาน ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง แต่หากนักลงทุนจะเก็งกำไรจากปัจจัยผล
ประกอบการไตรมาส 3/52 แนะนำหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะจะประกาศผลประกอบการเป็นกลุ่มแรก ประมาณกลางเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเชื่อว่าผลประกอบการจะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัว โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 715 จุด และประเมินแนวต้านไว้ที่ 730 จุด
* 28 ก.ย.คลังเล็ง ปรับ จีดีพี Q3/52 ดีขึ้น หลังเศรษฐกิจฟื้น คาด ติดลบอยู่ที่ 3-4%
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ก.ย. 52 นี้ สศค.จะมีการทบทวนอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยปี 52 ประจำไตรมาส 3 หลังจากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นหลายตัว โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้ จะขยายตัวติดลบ 3-4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ติดลบ 7.1% และไตรมาส 2 ที่ติดลบ 4.9%
http://www.efinancethai.com/index.aspx