โพสต์
ตอนเช้า..
กระผมอ่านข่าว บริษัทในตลาดทำ "รอยค้อน" กำลังเจอปัญหา hostile takeover
ครั้งสุดท้ายเท่าที่จำได้ เกิดขึ้นกับ matichon
ความน่าจะเป็นที่ข่าวจะออก หัว และ ความน่าจะเป็นที่ข่าวจะออก ก้อย มีอยู่เท่าๆ กัน
ความน่าจะเป็น 50:50 เป็นคุณสมบัติของข่าว ติดอยู่กับข่าว
ความจริงคือ .คุณสมบัตินี้ มันไม่เคยหายไปไหน!
เหมือนความน่าจะเป็นที่ติดอยู่กับเหรียญ และมันคือคุณสมบัติของเหรียญ
ในงาน ปาร์ตี้ของผู้รอดชีวิต หรือ meeting ของชมรม....
ทันทีที่เจอหน้ากันทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเก็บไว้ก่อน แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าวรรณะ ยังถูกเก็บไว้หมดสิ้น
กรtผมชอบคุยกับเพื่อนอยู่ท่านหนึ่ง เราจะคุยกันถึงเกรแฮมและบัฟเฟตแกล้มกับหมูอบ ถั่วอบ แลเบียร์
ตอนที่กระผมพบเขาครั้งแรกในปี 2007 เขาดูจะเร่งรีบไม่มีเวลาอยู่เสมอ แต่เขาเป็นนักลงทุนที่มีพรสววค์มาก โหน่ง แกทัก เป้นไงสบายดี ให้เราสมมุติว่า หุ้นตัวนี้มีค่าต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น และมีเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นกับบริษัท
ข้อดีของการคุยกับแกคือ การที่เราได้คิดอะไรใหม่ที่แตกต่างจากในกฏ 3 ข้อของ Graham อะไรที่เราสามารถเอาไปใช้ได้ตลอดชีวิต และเรามีสิทธิที่เราจะสร้างกฏบางอย่างขึ้นมาเองได้ อย่างที่พวกเราบอก PE ใช้ชั่งน้ำหนักราคาหุ้น ก้โอเค ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามันเป้นอย่างนั้น แต่ถ้ามันใช้ไม่ได้ในทุกกรณีละ ผลคืออะไร? ทำไมบางคนขับรถด้านขวาเสมอในเมื่อตามกฎหมายถ้าขับช้าๆ ควรจะขับด้านซ้าย
มันทำให้เราเกิดความคิดว่า เราน่าจะจัดงานสัมนาหุ้นประเภทสุดขั้ว เราจะเชิญพวกที่มีคุณสมบัติแปลกประหลาดที่สุดในชมรมที่เราเคยรู้จักมาร่วมงาน โดยที่เราไม่บอกว่าทำไมเขาถึงได้รับเชิญ ปล่อยให้พวกเขาคิดกันเองว่าจะคิดออกไหม
เขาบอกผมว่า......
ทฤษฎี 3 ข้อ ของ Graham
1. Circle of Competence -เป้นคุณสมบัติของตัวเรา
2. Mr. Market เป็นคุณสมบัติของตลาด
3. Margin of Safety เป็นคุณสมบัติของหุ้น
ทั้ง 3 สิ่งนี้อยู่เวลาเดียวกันเมือไหร ใครๆ ก็รวยได้ทั้งนั้น แต่นั่นละครับคือปัญหา
เขาชอบเรียกทั้งสามข้อนี้ว่า
ทฤษฎีบทดำ
ใครก็ตามถ้าไปจริงจังกับมันมากไป อาจจะบ้าได้ อย่างข้อ 1. มีหลายคนที่เก่ง ๆ ที่เลิกลงทุน เพราเขารู้สึกแย่เมือพบว่าการเข้าใจทุกอย่างเป้นสิ่งที่เป็นไปไมได้ อย่างถ้าเราชอบสะสมสแตมป์ เราสามารถหาทุกดวงได้จนครบ แต่ในการลงทุน เราไม่สามารถเข้าใจทุกบริษัทได้
ในหนังสือ Intelligent Investor นั้น Graham ไม่ได้แสดงการพิสูจน์กฏ 3 ข้อ ไว้มากนัก และมันไม่ใช่การพิสูจน์อย่างที่นักลงทุนในยุคนั้นเขาทำกัน การเรียนเรื่องการลงทุนในสมัยนั้นก็ไม่ต่างจากสมัยนี้เท่าใดนัก หนังสือ value investing ทั่วไปทั้งหลายจะพูดแก่นของเรื่องโดยรวม จากนั้นก็ให้คนอ่านไปพิสูจน์เอาเอง ไล่ไปทีละขั้นตามตรรกะวิธีที่คนแต่งเขียนให้ไว้ อาจจะเติมอะไรเล็กน้อยๆ
ไม่ถูกเป๊ะ เหมือนกับในหนังสือเลยทีเดียว
วิธีเรียน value investing ที่ดีที่สุดไม่ใช่การรับมาอย่างเออ ๆ ออ ๆ ตามกัน หรือปล่อยให้มันซึมซาบเหมือนอ่านนิยายโรแมนติก ในการเรียน value investing เราควรที่กล้ารุก กล้าที่จะท้าทาย ต้องก้าวร้าว และตื่นตัวเสมอเหมือนกับนักเล่นหมากรุก
การศึกษาบทที่ Graham ให้ไว้แล้วเหมือนเป็นเครื่องจักร และไม่ได้ส่งเสริมให้เราคิดเองเลยเพราะมันจะเหลือโอกาสให้เราทำอะไรด้วยตัวเองน้อยมาก บางเล่มที่ได้มีโอกาสศึกษาในสองสามปีมานี้ มันเป็นแบบเรียนที่จะเรียนตามๆ กันไปมากกว่าเป็นอะไรที่จะสนับสนุนให้พวกเรากำหนดเส้นทางของตัวเอง
หนังสือ Intelligent Investor มีผลต่อนักเรียนหัวปานกลาง หรือแม้แต่ที่ฉลาดในระดับปกติขนาดไหนนั้น เราพอขาดเดาได้แล้ว
แต่ในกรณีของ Warren Buffet มันเหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง In..In ได้จุดไฟอัฉริยะของเขา ทำให้สมองของเขาเป็นอิสระ.มันได้ให้ทิศทางแก่เขา
และที่สำคัญที่สุด..
ความทีมันเป็นวิธีใหม่ในสมัยนั้นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนี่เอง ด้วยเหตุนี้ Buffett จึงต้องบุกตะลุยเข้าไปในป่าดงดิบของหนังสือ In..In ที่หนาทึบด้วยทฤษฎีบทมากมายหลายสิบข้อ แต่ออกมาจากป่าเล่มนั้นด้วยวิธีที่เขาคิดขึ้นเองและหยิบออกมาเพียง 3 ข้อเท่านั้น
ในโลกที่เปิดออกแก่เขานั่นเอง ที่ Buffett ได้เป็นผู้เผยแพร่ value investing ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือสิ่งที่เราทราบกันทุกคน
เขาอ่านหนังสือตอนอายุ 19 ปี 1949 แต่ Buffett เริ่มมีชื่อเสียงตอนปี 1996-97
ช่วงเวลา 40 กว่า ปี เหล่านั้น.เขาหายไปไหน
ความแตกต่างที่สมองที่จะได้รับจากการอ่าน กับการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเองเป้นบางส่วนหรือทั้งหมดนั้น ยิ่งใหญ่กว่ากันมาก เปรียบได้กับการสัมผัสความเพลิดเพลินในการเดินทางด้วยตนเอง กับความเพลิดเพลินที่ได้จากการอ่าหนังสือท่องเที่ยว ทางหนึ่งนั้นนักเดินทางจะถูกพาเดินไปตามทางที่นิยายบอกไว้ ไม่มีโอกาสได้สำรวจดูสถานที่แปลกๆ ขณะที่อีกทางหนึ่ง เราจะได้ค้นพบทางด้วยตนเองโดยใช้แผนที่ช่วยเท่านั้น
ความจริงแล้ว Graham ไมได้ให้ไว้แม่แต่แผนที่เลย เพียงแต่บอกคร่าวๆ ทำนองว่า
พอออกจากตัวเมืองแล้วให้เลี้ยวซ้าย
เหมือนคุณสมบัติของเหรียญที่ติดตัว นิสัย adventurous ของการหาทางเปิดโลกใหม่ด้วยตัวเองติดอยู่กับ Buffett มันคือคุณสมบัติของเขา และมันจะติดตัวไป Waren Buffett ไปตลอดชีวิต!
กระผมจะพาท่าน "เลี่ยวซ้าย" กลับไปที่งบดุลบริษัท "รอยค้อน"
ASSETS (หน่วย: ล้านบาท)
CASH AND CASH EQUIVALENTS 108.68
SHORT-TERM INVESTMENTS 5.00
TRADE ACCOUNTS AND NOTES RECEIVABLE-NET 391.85
OTHER SHORT-TERM LOANS 80.00
INVENTORIES/REAL ESTATE 336.94
TOTAL CURRENT ASSETS 922.48
PROPERTY, PLANT AND EQUIPMENT, NET 952.22
LAND FOR FUTURE BUSINESS EXPANSION 26.00
INTANGIBLE ASSETS 14.15
OTHER NON-CURRENT ASSETS 10.04
TOTAL NON-CURRENT ASSETS 1,002.42
TOTAL ASSETS 1,924.90
LIABILITIES & EQUITY (หน่วย: ล้านบาท)
BANK OVERDRAFTS AND SHORT-TERM LOANS FROM FINANCIAL INSTITUTIONS 480.18
TRADE ACCOUNTS AND NOTES PAYABLE-NET 112.97
CURRENT PORTION OF LONG-TERM LIABILITIES 84.87
OTHER CURRENT LIABILITIES 44.91
TOTAL CURRENT LIABILITIES 722.93
OTHER LONG-TERM LOANS 335.39
LONG-TERM LOANS-NET OF CURRENT PORTION 334.00
LIABILITY UNDER HIRE-PURCHASE AGREEMENTS/ FINANCE LEASE AGREEMENTS 1.39
TOTAL NON-CURRENT LIABILITIES 335.39
TOTAL LIABILITIES 1,058.32
AUTHORIZED SHARE CAPITAL 350.00
AUTHORIZED SHARE CAPITAL - COMMON SHARES 350.00
ISSUED AND PAID-UP SHARE CAPITAL 250.96
ISSUED AND PAID-UP SHARE CAPITAL - COMMON SHARES 250.96
ADDITIONAL PAID-IN CAPITAL 407.77
PREMIUM (DISCOUNT) ON COMMON STOCKS 407.77
TOTAL RETAINED EARNINGS (DEFICIT) 207.79
RETAINED EARNINGS (DEFICIT) - APPROPRIATED 12.71
RETAINED EARNINGS (DEFICIT) - UNAPPROPRIATED 195.09
TOTAL EQUITY ATTRIBUTABLE TO THE COMPANY'S SHAREHOLDERS 866.52
MINORITY INTERESTS 0.06
SHAREHOLDERS' EQUITY 866.58
สิ่งที่กระผมค้นพบคือ บริษัทนี้ 1.56 bht/share ซื้อขายตำกว่ามูลค่าเลิกกิจการ หรือ liquidation value อยู๋มาก เมื่อเทียบผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง หรือ reward/risk ratio มันน่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ตัวอย่างหุ้นที่มี Margin Of Safety สูงได้แก่ บริษัททำพัดลมในตลาด SET เสียลูกค้ารายใหญ่ รายได้เหลือเพียง 20/100 ราคาตกจาก 10 บาท เหลือเพียง 1 บาทกว่า ๆ แต่ตอนนั้นมูลค่าเลิกกิจการมันอยู่ที่ 4 บาท และพี่ท่านไม่มีหนี้เลย!
แปลว่า....ถ้าเขาหาลูกค้าใหม่มาแทนรายรับที่หลายไปได้ ราคาจะต้องเด้งกลับอย่างรวดเร็วเป็นแน่แท้ และเป็นไปตามนั้น มันเด้งขึ้น 3 เท่าทีเดียว
แต่คิดแบบ backward ...ข่าวนี้อาจทำหน้าที่เป็น "นกหวีด" อย่างดีทีเดียว
และถ้าเราร้อง เมี๊ยว เมี๊ยว เข้าไปติดกลับอย่างนั้นแล้วละก็
"รอยค้อน" ที่ว่า อาจไมได้ทำให้เรา "รวยคั๊ก ๆ" แต่กลับทำให้เรา...
"รวยค้อน" แทนก็เป็นไปได้ครับ! :closedeyes:
Keep in Mind :
-- ลิงที่นับเลขได้ 1 -10 เป็นลิงชั้นยอด หาใช่นักคณิตศาสตร์ชั้นยอดไม่
--- William Gann บอกไว้ว่าอย่างนี้ครับ ให้เอา ratio Volumn/Free Float เป็นเครื่องมือในการเช็ค กล่าวคือ ถ้าปริมาณหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับ free float ของหุ้นตัวนั้น ( อย่างบริษัท "รอยค้อน" ตอนเช้าปิดลิ่ง แต่ Volumn/Free Float เพียงแค่ 23% เท่านั้น ) Gann บอกว่า ตัวเลขสัก 40-50% บอกถึงการเปลี่ยนมือของเจ้าของหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าสัก 2-3 เท่า แสดงว่าเป็นการเกร็งกำไรล้วนๆ
-- ถ้านักลงทุนเชื่อในสิ่งเดียวกันหมด ความเชื่อนั้นมักเป้นความเชื่อที่ให้ผลลัพธ์การลงทุนที่ผิดพลาดมากที่สุด
-- หุ้นที่ต้องการ catalyst, stimuli, theme, story ถ้าไม่มี value ที่เหมาะสม ในที่สุดราคาจะตกอย่างรวดเร็ว
-- หุ้น small cap มักมีการใช้ inside information สูง การใช้ technical analysts จับสัญญาณ เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจาก small cap มี asymmetic information ที่สูงนั่นเอง
ถ้า"เขือ"ละแย่กว่านี้อีก
บันทึกไม่สำเร็จ