เปิด 7 บจ.สุขภาพอ่อนแอหวั่นเพิ่มทุนใน1ปี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
i_sarut
Verified User
โพสต์: 1808
ผู้ติดตาม: 0

เปิด 7 บจ.สุขภาพอ่อนแอหวั่นเพิ่มทุนใน1ปี

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ภายใต้สถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลกระทบให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีความสามารถทำกำไรลดลง

สะท้อนจากตัวเลขผลประกอบการงวดปี 2551 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 3.13 แสนล้านบาท ลดลง 25% จากปีก่อน


หากพิจารณาถึงแนวโน้มความสามารถการทำกำไรในปีนี้ ตัวเลขจากสมาคมนักวิเคราะห์ที่รวบรวมความคิดเห็นของ บล.ส่วนใหญ่ ประเมินว่า ความสามารถการทำกำไรของ บจ.จะดีขึ้น เพราะฐานปีก่อนอยู่ระดับต่ำผิดปกติ ซึ่งเกิดจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือเหล็กน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

ทั้งนี้ นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ไทย บล.เอเซีย พลัส วาดให้เห็นภาพรวมของผลประกอบการปี 2552 ว่า ฝ่ายวิจัยคาดหมายกำไรของตลาด น่าจะขยายตัวที่ระดับ 24.9% โดยมี EPS เท่ากับ 49.2 บาท ซึ่งการจัดทำประมาณการดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานหลัก ว่า GDP ปี 2552 จะติดลบ 3.2%

ส่วนปีนี้ฝ่ายวิจัยได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพของกำไรมากขึ้น จึงทำการการวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน เพื่อตรวจสอบสุขภาพของบริษัทจดทะเบียนอย่างละเอียด โดยการวิเคราะห์จากงบการเงินล่าสุดงวดไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งทำให้เห็นสัญญาณบริษัทจดทะเบียนในบางแห่ง และในบางอุตสาหกรรม เริ่มประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินรุนแรงขึ้น เพราะรับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ผลจากวิกฤติซับไพร์ม ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่กลางปี 2550

เขาบอกว่า การที่กำลังซื้อตกต่ำทั่วโลก ไม่ได้กระทบแต่ยอดขายที่ลดลงเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความสามารถการชำระหนี้ที่ลดลง และสินค้าคงคลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามมาด้วย

ขณะเดียวกันเจ้าหนี้ยังเร่งรัดการจ่ายชำระหนี้ให้เร็วขึ้น เพราะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเช่นเดียวกัน ทำให้วงจรเงินสด (Cash Cycle) ของกิจการมีแนวโน้มยาวนานขึ้น นั่นหมายความว่า ผู้ประกอบการต้องจัดหาเงินทุนหมุนเวียน เพื่อลงทุนในลูกหนี้และสินค้าคงคลังที่มีระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น

ส่วนผลกระทบที่ตามมาคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ของกิจการมีแนวโน้มลดลง หรือบางกิจการถึงขั้นติดลบกิจการที่มี CFO ลดลงหรือติดลบ แม้เมื่อรวมกับเงินสดในมือแล้ว ยังไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ระยะสั้นที่มีอายุครบ 1 ปีข้างหน้า เป็นสัญญาณลบที่สะท้อนให้เห็นว่า กิจการเริ่มมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การกู้ยืมเพิ่มเติม โดยอาจอยู่ในรูปเงินกู้ยืมระยะสั้น หรือระยะยาว อาจเกิดจากการแปลงหนี้สินระยะสั้น เป็นหนี้สินระยะยาว แต่การกู้ยืมดังกล่าว อาจจะมีอุปสรรค


ย้ำเพิ่มทุนมีความจำเป็น

ส่วนข้อมูลจากฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า การเพิ่มทุนเป็นสิ่งจำเป็นหลังการกู้ยืมเต็มเพดาน นอกจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัว ผู้ประกอบการบางธุรกิจ ยังมีความจำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ เช่น กรณีของผู้ประกอบการในกลุ่มพัฒนาบ้านขาย ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐ ทำให้ผู้ประกอบการทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯ ต่างทยอยออกตราสารหนี้การเงินระยะสั้น เช่น ตั๋วบีอี (Bill of Exchange) มูลค่าราว 1 แสนล้านบาท จากที่ออกแล้ว 35 บริษัท และหุ้นกู้อีกราว 7.8 หมื่นล้านบาท จากผู้ที่ออก 15 บริษัท

ทั้งนี้ ยังไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่มีแผนจะออกหุ้นกู้อีกราว 25 บริษัท คาดเป็นเงินราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งพบว่ากระจุกตัวใน 5 กลุ่มหลักคืออสังหาริมทรัพย์, วัสดุก่อสร้าง, สื่อสาร, พลังงาน และ ปิโตรเคมี

หากพบว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของกิจการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มทุนในที่สุด สะท้อนว่ามีหลายกลุ่มที่เริ่มส่งสัญญาณมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจาก CFO บวกกับเงินสดคงเหลือในมือ ยังน้อยกว่าหนี้สินระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี จัดว่าเป็นกลุ่มที่ฐานะการเงินอ่อนแอมากที่สุด ซึ่งจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม ที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มขนส่งเหล็ก วัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์

กลุ่มขนส่ง ซึ่งไม่รวมธุรกิจเดินเรือ พบว่า มีปัญหาเป็นส่วนใหญ่ เช่น บริษัท การบินไทย (THAI) หลังได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงปลายปี 2551 และบริษัทรถไฟฟ้าใต้ดิน ประสบภาวะการขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ เพราะปริมาณผู้โดยสารโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 2 แสนคนต่อวัน ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนที่ 3 แสนคนต่อวัน


บริษัทเหล็กบางแห่งเข้าขั้นติดลบ

กลุ่มเหล็ก พบว่าเริ่มมีปัญหาตั้งแต่งวดไตรมาสที่ 3 ปี 2551 เป็นต้นมา เพราะแม้จะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่าหนึ่งเท่าก็ตาม แต่ความต้องการเหล็กที่ลดลงรวดเร็ว ตามการหดตัวของอุตสาหกรรมหลักๆ เช่น ภาคก่อสร้าง ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลักดันให้วงจรเงินสดยาวนานขึ้น และส่งผลให้กระแสเงินสดลดลงเป็นส่วนใหญ่ และบางบริษัทถึงขั้นติดลบ เช่น บริษัท ไทยคูน เวิลด์ไวด์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัท สหวิริยา (SSI) และ บริษัท บางสะพานบาร์มิล (BSBM) ส่วน จีสตีล (GSTEEL) แม้จะมีกระแสเงินสด เป็นบวก แต่ยังมีปัญหาในการชำระหนี้มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้ และอีก 215 ล้านดอลลาร์ ในปีถัดไป


อสังหาฯเริ่มขาดสภาพคล่อง

กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มผู้พัฒนาบ้านเพื่อขาย พบว่ามีสัญญาณบ่งบอกว่าหลายบริษัท เริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่อง พิจารณาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ยอดสินค้าคงคลัง เมื่อเทียบกับสินทรัพย์รวม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ราว 60% โดยที่ไม่มีคำสั่งซื้อของลูกค้ารองรับ หรือ สินค้าที่มีอยู่ไม่สามารถขายได้ เพราะคุณภาพสินค้าไม่ตรงกับความต้องการของตลาด

รวมทั้งอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าหนึ่งเท่า (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มต่ำกว่าหนึ่งเท่า) บริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเข้าข่ายที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านการเงิน ได้แก่บริษัท อารียา (AREEYA)  บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ (KTP) บริษัท ปรีชา กรุ๊ป (PRECHA) บริษัท ไรมอน แลนด์ (RAIMON) บริษัท กฤษดามหานคร (KMC) บริษัท เมเจอร์ ดิเวลลอปเม้นท์ (MDJ) และบริษัท ปริญสิริ (PRIN)

ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดว่าความเสี่ยงทางการเงินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะนอกจากดีอีที่สูงราว 1.7 เท่าแล้ว กระแสเงินสดเมื่อรวมบวกกับเงินสดในมือยังต่ำกว่าหนี้สินระยะสั้น ที่จะครบกำหนดใน 1 ปี อย่างมาก เช่น บริษัท อิตาเลียนไทยฯ (ITD) ซึ่งมีหลายอุตสาหกรรมที่ตกอยู่ในช่วงกลางของภาพข้างต้น ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังส่งสัญญาณไม่เด่นชัดว่ามีปัญหา


หวั่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์หนี้ท่วมทุน

ทั้งนี้กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มยานยนต์ หากพิจารณารายบริษัท คาดว่า หลายบริษัทในกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะประสบปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้นมากขึ้น และจะมีความชัดเจนในปีนี้ หากภาคส่งออกยังไม่ฟื้นตัวภายในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า

โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บางบริษัทซึ่งนอกจากจะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงแล้ว ยังมีหนี้สินระยะสั้น เมื่อเทียบกับหนี้สินรวม ในอัตราที่สูงอีกด้วย เช่น บริษัท เคซีอี (KCE) มี ดีอี ประมาณ 2.5 เท่า และ บริษัท แคล-คอมพ์ฯ (CCET) มี ดีอี หนึ่งเท่า ทำให้การกู้ยืมอาจจะยากลำบาก และมีความเสี่ยงต่อการเพิ่มทุนในอนาคต

ขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ แม้ว่าประสบปัญหากำลังซื้อตกต่ำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จะกดดันให้ กระแสเงินสดลดลง แต่สภาพคล่องโดยรวมของกลุ่มยังดี เพราะนอกจากโครงสร้างหนี้สินต่อทุนที่ต่ำแล้ว ยังมีเงินสดในมือสูง ยกเว้นเพียงบางบริษัทที่มีแนวโน้มว่าจะเผชิญกับปัญหาขาดสภาพคล่องในระยะสั้น เช่น บริษัท ยานภัณฑ์ (YNP) และ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ (IHL)

กลุ่มสื่อสาร แม้จะอยู่ในกลุ่มที่ปลอดภัยก็ตาม แต่พบว่าผู้ประกอบส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง หนี้สินระยะสั้นสูงกว่ากระแสเงินสด โดยเฉพาะผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีศักยภาพในการแข่งขันลดน้อยลง และจะดำเนินธุรกิจอย่างยากลำบากในระยะยาว เพราะนอกจากต้นทุนค่าบริการที่สูง แล้ว พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมานิยมใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ให้บริการ โทรศัพท์พื้นฐาน ต้องเผชิญกับกระแสเงินสดลดลง


เกษตรพ้นบ่วงปัญหาสภาพคล่อง

ส่วนกลุ่มเกษตร แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มที่อ่อนแอเพราะเมื่อนำ CFO บวกกับเงินสดในมือแล้วน้อยกว่าหนี้สินระยะสั้นที่ครบกำหนดภายในหนึ่งปีก็ตาม แต่หากพิจารณาอัตราส่วนทุนหมุนเวียน พบว่าสูงมากถึง 1.4 เท่า และแม้อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว จะอยู่ที่ระดับเพียง 0.5 เท่าก็ตาม แต่เนื่องจากสินค้าคงคลังส่วนใหญ่เป็นอาหาร ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ ทำให้สามารถเปลี่ยนเงินสดได้เร็ว จึงไม่มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่อง

จากข้อจำกัดของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูงขึ้นในหลายกิจการ ทำให้เป็นอุปสรรคในการสร้างภาระหนี้สินไม่ว่าจะเป็นกู้ยืมจากประชาชนทั่วไป หรือการออกหุ้นกู้ จะกดดันให้มีการเพิ่มทุนเพิ่มเติมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการวิเคราะห์ฐานะการเงินของบริษัทจดทะเบียน ทำให้คาดว่าในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า จะเห็นบริษัทจดทะเบียนบางแห่งต้องเพิ่มทุน มีประมาณ 7 บริษัท ประกอบด้วย

บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) โดย CFO ปี 2552 จะเริ่มติดลบ ขณะที่สัดส่วน D/E ยังสูงถึง 2.4 เท่า ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินระยะสั้นกว่า 80% ของหนี้สินรวม บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) CCET บริษัท การบินไทย (THAI) สัดส่วนหนี้ต่อทุนสิ้นปี 2551 เพิ่มเป็น 4.7 เท่า ทำให้ต้องส่งแผนฟื้นฟูให้กับรัฐบาล บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR)

บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) เงินสดในมือที่มีอยู่รวมกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอาจไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้น ซึ่งมีหนี้ต่อทุนสูงถึง 2.07 เท่า รวมทั้งยังมีแผนงานลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภค เหมืองแร่เพิ่มขึ้น และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งการเพิ่มทุนรอบนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2552 เนื่องจากการเพิ่มทุนครั้งแรกไม่สำเร็จ



บจ.เมินเพิ่มทุน-ชี้ฐานแกร่ง
จากการสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารของบริษัทที่ถูกคาดการณ์ว่า จะต้องเพิ่มทุนในระยะเวลาอันใกล้ ก็ได้รับการยืนยันว่า บริษัทไม่ได้อยู่ในฐานะที่แย่ขนาดจะต้องเพิ่มทุน และมั่นใจว่าสภาพคล่องที่มีอยู่สามารถประคับประคองให้ผ่านวิกฤติในครั้งนี้ได้

ด้าน นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) กล่าวยืนยันว่าปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง และยังไม่มีแนวคิดที่จะเพิ่มทุน แต่ยอมรับว่าสัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูงเกินหนึ่งเท่า

ดังนั้น จึงยืนยันว่าบริษัทยังมีฐานะการเงินที่แข็งแรง โดยประเมินว่าแนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี และมั่นใจว่าปลายปีนี้สถานการณ์ที่เลวร้ายต่างๆ น่าจะปรับตัวดีขึ้นได้

"เรากลับมองตรงกันข้ามกับโบรกเกอร์ การเพิ่มทุนไม่ใช่ทางเลือกที่เราจะมองในตอนนี้ และยังไม่ได้อยู่ในความคิด เพราะเชื่อว่าจะประคองตัวได้และสถานการณ์ต่างๆ และแนวโน้มราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นได้ โดยเฉพาะช่วงปลายปี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว


บีเอ็มซีแอลชี้ปีหน้าอีบีด้าบวก

สอดคล้องกับด้านของนายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) ชี้แจงในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ว่า บริษัทจะประคองอยู่ได้ และคาดภายในปีหน้าจะเริ่มมีอีบีด้าที่เป็นบวกได้ และล่าสุดได้รับการผ่อนปรนเงื่อนไขจากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ในการดำรงสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้เพิ่มขึ้นเป็น 2.7 เท่า จากเดิม 1.5 เท่า

ดังนั้น แสดงให้เห็นว่า เจ้าหนี้ของบริษัทยังมีความมั่นใจในธุรกิจจึงให้ยอมขยายเพดานหนี้ต่อทุน ดังนั้นเรื่องการเพิ่มทุนอาจจะยังไม่ใช่ทางเลือกในระยะสั้นนี้

"ถึงแม้จะยอมรับว่าผลการดำเนินงานปีนี้ยังขาดทุน แต่จะน่าลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุน 1.45 พันล้านบาท ส่วนรายได้คาดว่าจะเติบโต 8-10% เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มขึ้น 4% มาอยู่ที่ 1.7-1.8 แสนคน/วัน และบริษัทมีการปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน มั่นใจในปี 2556 บริษัทจะพลิกเป็นกำไรได้ หากได้เป็นผู้บริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพราะจะได้เงินค่ารับจ้างเดินรถ และมีผู้โดยสารเพิ่มเข้ามาในระบบสถานการณ์ของบริษัทน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น" กรรมการผู้จัดการ กล่าว
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet

สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย

http://www.sarut-homesite.net/
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

เปิด 7 บจ.สุขภาพอ่อนแอหวั่นเพิ่มทุนใน1ปี

โพสต์ที่ 2

โพสต์

BSBM กระแสเงินสดไม่น่าจะติดลบนะครับ
โพสต์โพสต์