อสังหาฯ ส่งสัญญาณบวก
2เดือนแรกยอดดีเกินคาด
'พฤกษา-เอเชี่ยน-แสนสิริ'เล็งขยายลงทุนเพิ่ม
ยอดขายบ้าน 2 เดือนแรกดีเกินคาด ชี้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯแผลงฤทธิ์ ยักษ์ตลาดบ้านทั้ง "พฤกษา-เอเชี่ยน-แสนสิริ" ทำยอดขายพุ่ง 30-50% ระบุตลาดมีสัญญาณบวก เล็งปรับแผนลงทุนเพิ่ม ขณะที่ขุนคลัง "กรณ์ จาติกวณิช" อ้าง เป็นผลจากการเมืองมีเสถียรภาพ ส่วนคิวเฮ้าส์-แลนด์-เพอร์เฟค-ศุภาลัย ยังไม่มั่นใจ
นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่าตลาดเริ่มฟื้นกลับมา โดยบริษัทมียอดขายต่อสัปดาห์อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันช่วง 2 เดือนที่ผ่านมากลับเพิ่มเป็น 150 ล้านบาท สาเหตุหลัก เป็นเพราะกำลังซื้อได้ถูกอั้นไว้ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2551 จึงส่งผลให้ผู้ที่ต้องการบ้านอยู่อาศัยรีบตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น นอกจาก นี้ยังเชื่อว่า เป็นผลมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวต่ำลง ทำให้กลุ่มคนมีเงินฝากธนาคาร นำเงินออกมาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย เพราะสามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ 7-8% ซึ่งสูงกว่าการนำเงินฝากธนาคาร
ทั้งนี้พฤติกรรมการเลือกซื้ออสังหาฯของผู้บริโภคปัจจุบัน จะให้ความสำคัญของแบรนด์ หรือบริษัทผู้พัฒนาสินค้าเป็นหลัก ซึ่งผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก อาจเสียเปรียบในเรื่องแบรนด์ ซึ่งจากแนวโน้มความต้องการของผู้ซื้อที่มีทิศทางที่ดี บริษัทอาจจะต้องขยายการลงทุนเพิ่มจากเดิมที่กำหนดแผนไว้ 11 โครงการ มูลค่าขาย 17,700 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูสถานการณ์ตลาดไปอีกสัก 1 เดือน จึงจะสามารถตอบแผนธุรกิจใหม่ที่ชัดเจนได้
ส่วนนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดในไตรมาส 4 ปี 2551 ออกมาติดลบไปประมาณ 17% โดยในแง่ของมูลค่าตลาดได้หายไปถึง 40% ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
อย่างไรก็ดีล่าสุดในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ต้นปี 2552 ที่ผ่านมา พบว่าสถานการณ์ตลาดได้ฟื้นกลับมาอย่างน่าตกใจ โดยในเดือนแรกของปี 2552 บริษัทมียอดขายเกือบ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากเดือนธันวาคมปีก่อนถึง 50% และในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 มียอดขายราวๆ 1,400 ล้านบาท ถือเป็นสถานการณ์ที่ดีเกินความคาดหมายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่
นอกจากนี้ในช่วง 1 สัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม 2552 บริษัทสามารถทำยอดขายได้ถึง 700 ล้านบาท โดยพบว่าลูกค้าเข้าชมโครงการในเดือนมกราคม 2552 กลับมาอยู่ที่ 3,000 รายจาก 2,500 รายในเดือนธันวาคมปี 2551 ขณะเดียวกัน สถิติผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ยังเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2552 จำนวน 33% แสดงให้เห็นว่าตลาดมีสัญญาณฟื้นตัวแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ภาครัฐออกมาตรการมากระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ
ทั้งนี้คาดว่าบริษัทจะต้องทบทวนแผนการลงทุนอีกครั้ง จากเดิมที่กำหนดไว้แค่ 22 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาทและตั้งเป้ารายได้ที่ 17,000 ล้านบาท จำนวนลดน้อยลงจากปีก่อนที่เปิดถึง 39 โครงการ มูลค่า 21,773 ล้านบาท ส่วนเป้ารายได้ปีก่อนตั้งไว้ที่ 14,000 ล้านบาท แต่ทำได้ 13,000 ล้านบาทโดยจะขยายการลงทุนเพิ่มทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ล่าสุดบริษัทได้ซื้อที่ดิน 1 ไร่ครึ่งเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรู "ไอวี่ ไชน่าทาวน์" ในย่านทำเลเยาวราช มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท มีขนาดความสูง 37 เมตร สูง 11 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 4 ชั้น ซึ่งตามข้อกำหนดผังเมืองสามารถสร้างสูงได้ไม่เกิน 37 เมตรหรือ 11 ชั้น แต่หัวใจสำคัญของการซื้อที่อยู่อาศัยในย่านเยาวราชคือต้องมีที่จอดรถ บริษัทจึงได้ทำที่จอดรถไว้รองรับถึง 7 ชั้นคือบนดิน 2 ชั้น และใต้ดินอีก 4 ชั้นรองรับการจอดรถได้ถึง 194 คัน โดยให้ที่จอดรถสูงสุดอยู่ที่ 4 คันต่อขนาดห้อง 3 ห้องนอน เพื่อเป็นจุดขายที่โดดเด่นนอกเหนือจากทำเล
ด้านนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การฟื้นตัวของกำลังซื้อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาน่าจะมาจากปัจจัยประกอบหลายด้าน ทั้งเรื่องของการเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพและดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดต่ำลง คนที่มีเงินเก็บจึงหันมาลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะกำลังซื้อที่อั้นมาตั้งแต่ช่วงปี 2551 ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าราคาบ้านในปีนี้จะถูกกว่าปีที่ผ่านมา แต่เมื่อราคาบ้านไม่ได้ปรับลดมากอย่างที่คาดหวัง ประกอบกับมีมาตรการลดหย่อนทางภาษีเข้ามา ผู้บริโภคจึงต้องรีบตัดสินใจซื้อบ้านทันที
ในส่วนของแอล.พี.เอ็น.นั้นมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน จากเดือนธันวาคมปีก่อนที่มียอดขายเพียงสัปดาห์ละ 20 ยูนิต ปรับขึ้นเป็น 100 ยูนิตต่อสัปดาห์ เทียบเท่ากับเมื่ออดีต คิดเป็นมูลค่าขายราว 150 ล้านบาท หรือขึ้นไปถึง 200 ล้านบาทในบางสัปดาห์ จากการประเมินช่วง 2 เดือนมียอดขายแล้วประมาณ 1,250 ล้านบาท หากสถานการณ์เป็นไปอย่างนี้ผู้ประกอบการจะต้องใส่งบการตลาดเพิ่ม แต่ทั้งนี้บริษัทยังไม่นิ่งนอนใจคงจะต้องติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนแผนการลงทุนยังคงแผนเดิมที่ 8 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้รับรายงานถึงแนวโน้มการซื้อขายที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการพบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นกลับมา โดยมียอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีสัญญาณเป็นบวกในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว
จากการตรวจสอบยอดขายของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยได้จัดงาน Living in Style 2009 ขึ้นเมื่อวันที่ 6-8 มีนาคมที่ผ่านมาปรากฏว่าสามารถทำยอดขายกว่า 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 354 ยูนิต และหากรวมกับแคมเปญ 0% ที่ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะมียอดรวมทั้งสิ้น 565 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,300 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาสแรกได้ปรับเป้าขายใหม่เป็น 6,500 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเพียง 5,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะรองรับโอกาสการขยายตัวของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในปี 2552 ส่วนเป้าทั้งปียังคงเดิมตามที่ประกาศไว้
ส่วนมุมมองของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ เช่น บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยังคงดำเนินนโยบายระมัดระวังในการลงทุน แต่ยืนยันว่าสถานการณ์การตลาดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมากำลังซื้อเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติแล้ว
ขณะที่นายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ สำหรับ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จะสามารถช่วยผลักดันยอดขายบ้านใหม่ได้มากแค่ไหน โดยส่วนตัวยังมองเห็นภาพไม่ชัด คงต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อบ้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยังผูกติดกับปัจจัยเรื่องความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ และ การปล่อยกู้ ของสถาบันการเงิน ส่วนเป้ายอดขายในปีนี้ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท เป็นยอดเดียวกับปีที่ผ่านมา ยอดรับรู้รายได้ก็น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนคือเกือบ 7,000 ล้านบาท โดยมีโครงการใหม่ที่จะเปิดในปีนี้อีก 3 โครงการ รวมมูลค่า 6,600 ล้านบาท ซึ่งเดิมทั้ง 3 โครงการจะเปิดในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 คือ โครงการย่านราชพฤกษ์, พัฒนาการ สาทร โดยมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 6 แห่ง คิดเป็นมูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท แต่ต้องเลื่อนไป 3 โครงการ
ดังนั้น !!! ข่าวนี้อาจเป็นข่าวร้ายของผู้ที่จะรอโอกาสทอง ในการซื้อบ้าน เพราะทางผู้ประกอบการ ไม่น่าที่จะต้องออกมาตรการลดราคา กระตุ้นยอดขาย กันอย่างที่คิดไว้ ถ้าใครจำเป็นเรื่องที่อยู่อาศัยจริงๆ ก็ควรตัดสินใจได้แล้ว เศรษฐกิจก็จะได้เดินไปอย่างปกติได้ ไม่เป็นวิกฤตอย่างประเทศอื่นๆ
TraveLArounD
ข่าวจาก : ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thannews.th.com/subnews.php? ... issue=2410