นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจเดือน ธ.ค.ขยายตัวติดลบและเป็นการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดหมายของ ธปท.ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 ของปี 51 เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ทำให้ทั้งปี 2551 เศรษฐกิจไทยขยายตัวระหว่าง 3-3.5% เท่านั้น
ขณะที่ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้หากเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน คาดว่าจะติดลบต่อเนื่องอีก 1 ไตรมาส โดยจะติดลบมากกว่า 0.5% ขึ้นไป เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่ขยายตัว 6% แต่หากเทียบไตรมาสกับไตรมาส ธปท.หวังว่า ความพยายามออกมาตรการของรัฐบาลไทยและรัฐบาลทั่วโลกจะทำให้การขยายตัวของไตร มาสแรกของปีนี้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 อย่างไรก็ตาม หากผลของมาตรการไม่เป็นไปอย่างที่คิด โอกาสที่ไตรมาส 1 จะหดตัวเมื่อเทียบไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาก็มีเช่นกัน
สำหรับปี 2551 ที่ผ่านมา การขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับที่ดีมากเป็นตัวฉุดให้การขยายตัวทั้งปีให้ยังคงเพิ่มขึ้นในระดับที่ใช้ได้ ในขณะที่ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง และเข้าสู่ภาวะติดลบในไตรมาสที่ 4 ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน ภาคการส่งออกในเดือน ธ.ค.ที่ติดลบ 15.7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากเดือน พ.ย.ที่ติดลบ 17.7% ส่งผลให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวเพียง 16.8% ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างชัดเจน
รายงานข่าวจาก ทำเนียบรัฐบาลเผยว่ากระทรวงการคลังจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.วันที่ 3 ก.พ.นี้ พิจารณาเห็นชอบให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากสถาบันการเงินและองค์กรระหว่าง ประเทศ 3 แหล่งคือ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือไจก้า วงเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อนำมา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศโดยมีต้นทุนอยู่ที่ 2.38-3.70% ต่อปี
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ ครม.เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ใน ประเทศและสถาบันการเงินเฉพาะกิจวงเงินไม่เกิน 200,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ในรูปแบบของชอร์ตเทิร์มฟาซิลิตี้ (Short term facility) เพื่อเสริมความคล่องตัวในการบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศให้แก่รัฐ วิสาหกิจและให้สามารถค้ำประกันเงินกู้ได้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง
ทั้ง นี้ กระทรวงการคลังจะนำเงินกู้จากสถาบันการเงินและองค์กรต่างประเทศ 70,000 ล้านบาท มาใช้ใน 4 โครงการคือเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินของรัฐเพื่อนำไปขยายสินเชื่อ ตามนโยบายของรัฐบาล, ลงทุนในโครงการภาครัฐทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างการจ้างงานในระยะสั้นไม่เกิน 15 เดือน รวมทั้งลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ และสังคม ส่วนการจัดหาเงินกู้ “ชอร์ตเทิร์มฟาซิลิตี้” อีก 2 แสนล้านบาท เพื่อให้รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐสามารถกู้เงินในประเทศระยะสั้น ได้โดยตรง เป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการ บริหารจัดการ
นอกจากนี้ ในส่วนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.เห็นชอบโครงการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างประเทศ หรือทรานซิต พาสเซนเจอร์ (Transit Passenger) เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาแวะที่สนามบินสุวรรณภูมิสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่จัดไว้ให้ ระหว่างรอการเปลี่ยนเครื่องได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมทิศทางการท่องเที่ยวปี 52-53 ว่า ททท.ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อมากำหนดเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องและวางแผน การตลาดปี 53 ให้เร็วขึ้น ททท.ได้ผลสรุปว่าจะตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ 14 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 505,000 ล้านบาท จากเดิม ททท.ตั้งใจว่าจะตั้งเป้าหมายที่ 14.8 ล้านคน สร้างรายได้ 530,000 ล้านบาท.
แหล่งข่าว : http://www.thairath.co.th/news.php?sect ... ent=121512
คาดว่าไตรมาส 1 ปีนี้ จะติดลบต่อเนื่องอีก 1 ไตรมาส
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
คาดว่าไตรมาส 1 ปีนี้ จะติดลบต่อเนื่องอีก 1 ไตรมาส
โพสต์ที่ 3
ยืนตามพี่นริศnaris เขียน:ถ้าลบแค่ไตรมาสเดียวก็ดีครับ ผมกลัวจะสองถึงสามไตรมาส :lol:
ตอนนี้วิกฤติของความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นกลับมา เศรษฐกิจก็กลับมาเอง
แต่ความเชื่อมั่นของคน ณ ตอนนี้มองไปในอนาคต
ยังไม่เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ แล้วไซร้ ปัญหานั้นแก้ไขได้หรือ
ถ้ามีแสงเพียงน้อยนิดที่ปลายอุโมงค์ ก็ย่อมมีกำลังใจให้ทุกฝ่ายทำงาน รับมือกับปัญหา และ ผ่านพ้นปัญหานั้นได้