วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 1
พอดีช่วงนี้ฟิตๆอยากลุกขึ้นมาเขียนอะไรให้พี่น้องชาว VI วิจารณ์หน่อยครับ
เนื่องจากปี 2551 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการลงทุนของผม กำไรที่ทำได้ในปี 2550 ได้คืนไปจนหมดในปี 2551 นี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าถึงเวลาทบทวนแนวทางการลงทุนของตัวเองอย่างจริงจังสักที
ผมคิดว่าน่าจะแบ่งวิวัฒนาการการลงทุนของผมในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาได้เป็น 2 ช่วง
ช่วงแรกคือ 2 ปีแรก (2544-2545) ตอนนั้นกำลังหาอะไรทำที่รวยง่ายๆตามประสาเด็กจบใหม่ ที่เข้ามาเล่นเพราะอ่านหนังสือว่าสามารถเล่นหุ้นทางอินเตอร์เน็ตได้ และพอดีผมเป็นคนขี้เกียจก็นึกเอาเองว่า โห .. ถ้าสามารถทำเงินได้จากที่บ้านหรือแม้กระทั่งบนเตียงนอนเลยคงจะดีไม่น้อย ช่วงนี้เป็นช่วงเข้ามาแตะๆตลาดด้วยเงินทุนน้อยๆก่อน ก็เล่นไปตามยถากรรม(สะกดผิดแน่ๆ) กำไรบ้างขาดทุนบ้าง ไม่ได้เล่นตลอด ส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์และโบรคเกอร์
ช่วงที่สองคือ 5-6 ปีหลังที่เข้ามาลงทุนในตลาดผมเริ่มอ่านหนังสือการลงทุนเกี่ยวกับหุ้นทุกเล่มที่หาได้ (แน่นอนที่เป็นภาษาไทยครับ ) เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ล่ะ อ่านเยอะไว้ก่อน จนผมคิดว่าแน่แล้วก็ลองลงทุนตามที่เข้าใจเอาเอง โดยพยายามทำความรู้จักบริษัทที่เราลงทุนมากๆ หาข้อมูลให้เยอะที่สุดจนสามารถประมาณกำไรของบริษัทในระยะอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้านี้ออกมาให้ได้ ใกล้เคียงหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องตีข้อมูลเป็นตัวเลขให้ได้ ส่วนมูลค่าเหมาะสมก็ปรับไปตามความพอใจ (ของผมเอง) เช่น หุ้นเกรดไม่ดีก็ให้ p/e ต่ำๆ หุ้นเกรดดีหน่อยก็ให้สูงๆ (แบ่งเกรดตามความเข้าใจของผมเอง) การถือหุ้นก็ถือน้อยตัวเน้นตัวที่ชัวร์ๆเป็นหลัก โดยช่วงนี้ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนที่ดีมาก
ในช่วงหลังๆผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เราลงทุนอยู่และมีกำไรอยุ่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร ที่ผมคิดได้คือ
1. ตลาดไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้ข้อมูลที่ผมใช้ในการประเมินมูลค่า ซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะ ไม่ได้ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นอย่างสมเหตุสมผลและรวดเร็วพอ
2. ในช่วงที่ผ่านมาตลาดมองสั้นๆเหมือนกับวิธีที่ผมใช้คือ 1-2 ปี ไม่เกินนี้ ทำให้ถ้าแนวโน้ม 1-2 ปีข้างหน้านี้จะดี ถ้าหุ้นถูกพอราคาหุ้นก็จะไปตาม ถึงแม้ว่าหลังจาก 2 ปีนี้จะไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นยังไงก็ตาม
3. ฟลุค ไม่ว่าจะด้วยอะไรที่ทำให้ผมทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นการทายถูกติดต่อกัน 6-7 ปีก็ได้ ซึ่งเอาจริงๆผมก็ซื้อหุ้นไม่กี่ตัวในช่วงที่ผ่านมาตัวที่กำไรหนักๆนับได้ไม่ถึง 5 ตัว โอกาสฟลุคก็เป็นไปได้
4. อื่นๆที่ผมยังนึกไม่ออก
มาถึงปี 2551 ผมก็ขาดทุนมากและพบปัญหาสำคัญๆคือ
1. สภาพคล่อง สำคัญมากจริงๆ ผมจะเจ็บตัวน้อยกว่านี้อีกมากถ้าออกได้เมื่ออยากออก
2. มาร์จิ้น อันนี้ไม่ต้องพูดถึง เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในทางลบอันนี้ทำให้เจ๊งได้จริงๆ
3. คุณภาพของบริษัทที่เลือก เมื่อก่อนผมลงทุนหุ้นเกรดประมาณ B-C โดยเน้นความคุ้มค่าด้านราคาเหนือคุณภาพ ทำให้เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายๆ บริษัทเกรดรองๆอาจจะต้านทานได้น้อย ไม่เหมือนบริษัทใหญ่ๆ
4. การทุ่มซื้อตัวเดียว เมื่อรวมกับข้อ 1และ2 ด้วย หายนะที่ผมมองข้ามไปตลอด ด้วยคิดว่าตัวเองเก่งและควบคุมความเสี่ยงได้ก็บังเกิด
จากปัญหาในปีที่ผ่านมาทำให้ผมคิดว่าผมควรจะต้องปรับปรุงวิธีการบริหารความเสี่ยงของตัวเองอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พอร์ตผมทนทานต่อเหตุการณ์พิเศษได้มากกว่านี้
แนวทางที่ผมอยากเดินไปต่อจากนี้ซึ่งคงจะเรียกว่าเป็นช่วงที่สามของชีวิตการลงทุนของผมคือ
1. เลือกหุ้นโดยเน้นคุณภาพมากกว่าการคาดการณ์กำไรแค่ช่วงสั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทนั้นจะอยู่ไปอีกนานที่สุดหรือแพ้เป็นบริษัทท้ายๆในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
2. สภาพคล่องในการซื้อขายต้องมากพอให้เข้าออกได้อย่างรวดเร็ว
3. มีจุด cut loss ที่ชัดเจน ไม่ต้องกลัวเรื่องมูลค่า ถ้าลงจนเปลี่ยนเทรนก็ต้อง cut ไปก่อน แล้วถ้า cut แล้วผิดทางไม่ว่าโดนหลอกหรือตลาดเปลี่ยนค่อยซื้อคืนใหม่ โดยใช้ technical เข้าช่วย
4. ปัจจัยเรื่องการกระจายความเสี่ยงจำนวนหุ้นไม่สำคัญเท่าไหร่ ถ้าผมมีข้อ 2-3 แล้วผมจึงคิดว่าการกระจายตัวหุ้นยังไม่สำคัญมากสำหรับผมจึงยังคงลงทุนแบบ 1-2 ตัวไปก่อน ถ้าพอร์ตใหญ่กว่านี้ค่อยว่ากัน
ขอคำแนะนำด้วยครับ
เนื่องจากปี 2551 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการลงทุนของผม กำไรที่ทำได้ในปี 2550 ได้คืนไปจนหมดในปี 2551 นี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าถึงเวลาทบทวนแนวทางการลงทุนของตัวเองอย่างจริงจังสักที
ผมคิดว่าน่าจะแบ่งวิวัฒนาการการลงทุนของผมในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาได้เป็น 2 ช่วง
ช่วงแรกคือ 2 ปีแรก (2544-2545) ตอนนั้นกำลังหาอะไรทำที่รวยง่ายๆตามประสาเด็กจบใหม่ ที่เข้ามาเล่นเพราะอ่านหนังสือว่าสามารถเล่นหุ้นทางอินเตอร์เน็ตได้ และพอดีผมเป็นคนขี้เกียจก็นึกเอาเองว่า โห .. ถ้าสามารถทำเงินได้จากที่บ้านหรือแม้กระทั่งบนเตียงนอนเลยคงจะดีไม่น้อย ช่วงนี้เป็นช่วงเข้ามาแตะๆตลาดด้วยเงินทุนน้อยๆก่อน ก็เล่นไปตามยถากรรม(สะกดผิดแน่ๆ) กำไรบ้างขาดทุนบ้าง ไม่ได้เล่นตลอด ส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์และโบรคเกอร์
ช่วงที่สองคือ 5-6 ปีหลังที่เข้ามาลงทุนในตลาดผมเริ่มอ่านหนังสือการลงทุนเกี่ยวกับหุ้นทุกเล่มที่หาได้ (แน่นอนที่เป็นภาษาไทยครับ ) เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ล่ะ อ่านเยอะไว้ก่อน จนผมคิดว่าแน่แล้วก็ลองลงทุนตามที่เข้าใจเอาเอง โดยพยายามทำความรู้จักบริษัทที่เราลงทุนมากๆ หาข้อมูลให้เยอะที่สุดจนสามารถประมาณกำไรของบริษัทในระยะอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้านี้ออกมาให้ได้ ใกล้เคียงหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องตีข้อมูลเป็นตัวเลขให้ได้ ส่วนมูลค่าเหมาะสมก็ปรับไปตามความพอใจ (ของผมเอง) เช่น หุ้นเกรดไม่ดีก็ให้ p/e ต่ำๆ หุ้นเกรดดีหน่อยก็ให้สูงๆ (แบ่งเกรดตามความเข้าใจของผมเอง) การถือหุ้นก็ถือน้อยตัวเน้นตัวที่ชัวร์ๆเป็นหลัก โดยช่วงนี้ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนที่ดีมาก
ในช่วงหลังๆผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เราลงทุนอยู่และมีกำไรอยุ่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร ที่ผมคิดได้คือ
1. ตลาดไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้ข้อมูลที่ผมใช้ในการประเมินมูลค่า ซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะ ไม่ได้ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นอย่างสมเหตุสมผลและรวดเร็วพอ
2. ในช่วงที่ผ่านมาตลาดมองสั้นๆเหมือนกับวิธีที่ผมใช้คือ 1-2 ปี ไม่เกินนี้ ทำให้ถ้าแนวโน้ม 1-2 ปีข้างหน้านี้จะดี ถ้าหุ้นถูกพอราคาหุ้นก็จะไปตาม ถึงแม้ว่าหลังจาก 2 ปีนี้จะไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นยังไงก็ตาม
3. ฟลุค ไม่ว่าจะด้วยอะไรที่ทำให้ผมทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นการทายถูกติดต่อกัน 6-7 ปีก็ได้ ซึ่งเอาจริงๆผมก็ซื้อหุ้นไม่กี่ตัวในช่วงที่ผ่านมาตัวที่กำไรหนักๆนับได้ไม่ถึง 5 ตัว โอกาสฟลุคก็เป็นไปได้
4. อื่นๆที่ผมยังนึกไม่ออก
มาถึงปี 2551 ผมก็ขาดทุนมากและพบปัญหาสำคัญๆคือ
1. สภาพคล่อง สำคัญมากจริงๆ ผมจะเจ็บตัวน้อยกว่านี้อีกมากถ้าออกได้เมื่ออยากออก
2. มาร์จิ้น อันนี้ไม่ต้องพูดถึง เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในทางลบอันนี้ทำให้เจ๊งได้จริงๆ
3. คุณภาพของบริษัทที่เลือก เมื่อก่อนผมลงทุนหุ้นเกรดประมาณ B-C โดยเน้นความคุ้มค่าด้านราคาเหนือคุณภาพ ทำให้เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายๆ บริษัทเกรดรองๆอาจจะต้านทานได้น้อย ไม่เหมือนบริษัทใหญ่ๆ
4. การทุ่มซื้อตัวเดียว เมื่อรวมกับข้อ 1และ2 ด้วย หายนะที่ผมมองข้ามไปตลอด ด้วยคิดว่าตัวเองเก่งและควบคุมความเสี่ยงได้ก็บังเกิด
จากปัญหาในปีที่ผ่านมาทำให้ผมคิดว่าผมควรจะต้องปรับปรุงวิธีการบริหารความเสี่ยงของตัวเองอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พอร์ตผมทนทานต่อเหตุการณ์พิเศษได้มากกว่านี้
แนวทางที่ผมอยากเดินไปต่อจากนี้ซึ่งคงจะเรียกว่าเป็นช่วงที่สามของชีวิตการลงทุนของผมคือ
1. เลือกหุ้นโดยเน้นคุณภาพมากกว่าการคาดการณ์กำไรแค่ช่วงสั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทนั้นจะอยู่ไปอีกนานที่สุดหรือแพ้เป็นบริษัทท้ายๆในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
2. สภาพคล่องในการซื้อขายต้องมากพอให้เข้าออกได้อย่างรวดเร็ว
3. มีจุด cut loss ที่ชัดเจน ไม่ต้องกลัวเรื่องมูลค่า ถ้าลงจนเปลี่ยนเทรนก็ต้อง cut ไปก่อน แล้วถ้า cut แล้วผิดทางไม่ว่าโดนหลอกหรือตลาดเปลี่ยนค่อยซื้อคืนใหม่ โดยใช้ technical เข้าช่วย
4. ปัจจัยเรื่องการกระจายความเสี่ยงจำนวนหุ้นไม่สำคัญเท่าไหร่ ถ้าผมมีข้อ 2-3 แล้วผมจึงคิดว่าการกระจายตัวหุ้นยังไม่สำคัญมากสำหรับผมจึงยังคงลงทุนแบบ 1-2 ตัวไปก่อน ถ้าพอร์ตใหญ่กว่านี้ค่อยว่ากัน
ขอคำแนะนำด้วยครับ
It's earnings that count
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 2
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 2
เข้ามาอ่านครับ ขอบคุณมากนะครับที่มาสรุปความผิดพลาดและความสำเร็จของตัวเองเป็นฉากฉากให้นักลงทุนรุ่นใหม่ศึกษาอยู่เสมอ
แก้ไขล่าสุดโดย sai เมื่อ อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 10:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 530
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 4
นับถือน้ำใจครับ ยอมรับเมื่อผิดพลาด และก็ต้องเริ่มกันใหม่
ผมก็เหมือนกันครับ ที่ได้ปี 50 ก็กลับคืนไปในปี 51 แถมมีของฝากไปอีกนิด ๆ สรุปแล้ว ก็คล้าย ๆ กันกับน้องเลือดน้ำเงินละครับ
ส่วนที่จะเพิ่มเติมก็คือ
- อย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป ทั้งในตัวเอง หรือ คนอื่น หรือในข่าว หรือ ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม
- อย่ารักหุ้นในแต่ละตัวมากเกินไป เมื่อขึ้นถึงเป้า ก็ต้องพอใจในกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วให้ขายหุ้นทำกำไรไป หรืออย่างน้อยขายไปบางส่วน อย่าคิดว่าเรารู้จักบริษัทนี้ดี หรือ รู้จักธุรกิจนี้ดี เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นกับนอกประเทศ ซึ่งนอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งก็คิดว่าจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แม้อาจจะเป็นคนละรูปแบบ
- รักษา discipline ที่ตั้งไว้
สามข้อนี้ เป็นข้อผิดพลาดของผมในปีที่ผ่านมา ปีใหม่นี้ ก็ขอให้ทุกคนโชคดี ทำกำไรกลับคืนมา ที่ผ่านมา ที่ทำกำไรได้ก็เป็นเพราะว่าโชค และ ฟลุ๊ค นึกไม่ออกว่าครั้งนี้ ได้จากความสามารถ
ส่วนที่จะฝากเพิ่มเติมนั้น ก็คือ การทำตัว และ ทำใจ รับสภาพให้ได้กับการสูญเสียที่ผ่านมา แม้ว่าจะมากมายมหาศาล สู้เข้าไว้ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำจิตให้สบาย แล้ว ก็จะมีพลังสู้ต่อ อันนี้ ทำให้อย่างนี้ ก็มีโอกาสทำกำไรคืนมา มีหลาย ๆ คน หมกมุ่นกับเสียใจ และ เสียดาย ทำให้ไม่สามารถทำงานต่อ หรือสู้ต่อได้ โอกาสที่จะทำกำไรคืนก็จะค่อย ๆ หมดไป
ผมเคยบอกผู้ใหญ่ไปว่า อย่าให้แสดงความคิดเห็นว่าทำกำไรจากการลงทุนได้อย่างไร แต่ควรให้คนได้แสดงความคิดเห็นและประสบการณ์เมื่อประสบกับการขาดทุน สูญเสีย อันนี้จะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ มากกว่า
ผมก็เหมือนกันครับ ที่ได้ปี 50 ก็กลับคืนไปในปี 51 แถมมีของฝากไปอีกนิด ๆ สรุปแล้ว ก็คล้าย ๆ กันกับน้องเลือดน้ำเงินละครับ
ส่วนที่จะเพิ่มเติมก็คือ
- อย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป ทั้งในตัวเอง หรือ คนอื่น หรือในข่าว หรือ ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม
- อย่ารักหุ้นในแต่ละตัวมากเกินไป เมื่อขึ้นถึงเป้า ก็ต้องพอใจในกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วให้ขายหุ้นทำกำไรไป หรืออย่างน้อยขายไปบางส่วน อย่าคิดว่าเรารู้จักบริษัทนี้ดี หรือ รู้จักธุรกิจนี้ดี เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นกับนอกประเทศ ซึ่งนอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งก็คิดว่าจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แม้อาจจะเป็นคนละรูปแบบ
- รักษา discipline ที่ตั้งไว้
สามข้อนี้ เป็นข้อผิดพลาดของผมในปีที่ผ่านมา ปีใหม่นี้ ก็ขอให้ทุกคนโชคดี ทำกำไรกลับคืนมา ที่ผ่านมา ที่ทำกำไรได้ก็เป็นเพราะว่าโชค และ ฟลุ๊ค นึกไม่ออกว่าครั้งนี้ ได้จากความสามารถ
ส่วนที่จะฝากเพิ่มเติมนั้น ก็คือ การทำตัว และ ทำใจ รับสภาพให้ได้กับการสูญเสียที่ผ่านมา แม้ว่าจะมากมายมหาศาล สู้เข้าไว้ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำจิตให้สบาย แล้ว ก็จะมีพลังสู้ต่อ อันนี้ ทำให้อย่างนี้ ก็มีโอกาสทำกำไรคืนมา มีหลาย ๆ คน หมกมุ่นกับเสียใจ และ เสียดาย ทำให้ไม่สามารถทำงานต่อ หรือสู้ต่อได้ โอกาสที่จะทำกำไรคืนก็จะค่อย ๆ หมดไป
ผมเคยบอกผู้ใหญ่ไปว่า อย่าให้แสดงความคิดเห็นว่าทำกำไรจากการลงทุนได้อย่างไร แต่ควรให้คนได้แสดงความคิดเห็นและประสบการณ์เมื่อประสบกับการขาดทุน สูญเสีย อันนี้จะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ มากกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 772
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 5
ปีที่ผ่าน port ผมก้อติดลบหลายเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน เป็นกำลังใจให้ครับ :D :D
ร็อคกี้ บัลโบว : ชีวิตไม่สำคัญว่าจะต่อยได้หนักแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเรารับการโดนต่อยได้แค่ไหน (ชีวิตจุดสำคัญอยู่ที่การทนทุกข์ มากกว่าการประสบสุข)
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 7
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่มีอะไรแนะหรอกนะครับBlueblood เขียน:พอดีช่วงนี้ฟิตๆอยากลุกขึ้นมาเขียนอะไรให้พี่น้องชาว VI วิจารณ์หน่อยครับ
ขอคำแนะนำด้วยครับ
แหม ใครจะกล้าสอนท่านหนู
ผมขอแชร์ idea แล้วกัน เดี่ยวกระทู้จะเหงา
ไม่มีคนมาแชร์ idea
Blueblood เขียน:4. ปัจจัยเรื่องการกระจายความเสี่ยงจำนวนหุ้นไม่สำคัญเท่าไหร่ ถ้าผมมีข้อ 2-3 แล้วผมจึงคิดว่าการกระจายตัวหุ้นยังไม่สำคัญมากสำหรับผมจึงยังคงลงทุนแบบ 1-2 ตัวไปก่อน ถ้าพอร์ตใหญ่กว่านี้ค่อยว่ากัน
ขอคำแนะนำด้วยครับ
ผมเองเห็นด้วยเลยครับ
เพราะก็เล่นแค่ 1 ถึง 2 ตัว
ถามว่าคนเล่นหุ้น 1 ตัวตอน set 400 กลับเล่น 5 ตัวตอน set 900
ใครน่าจะขาดทุนมากกว่า
ผมว่ามันอยู่ที่จังหวะมากกว่า
ผมว่าเรื่องการกระจายความเสี่ยงไม่มีคำว่าผิดหรือถูก
แต่อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า
ถ้าส่วนใหญ่เราเจอหุ้นที่น่าเล่นตัวเดียว
ทำไมเราต้องพยายามซื้อหลายๆตัว เพื่อที่จะได้ขึ้นชื่อว่า
บริหารความเสี่ยงด้วยล่ะครับ
ผมเองขอเสนอมุมมองในแบบ fundflow analysis บ้างนะครับ
จริงๆแล้วหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าปีที่แล้วไม่ใช่ไม่มีเหตุผลนะครับ
ที่ลงมา เพียงแต่มันลงมารับข่าวปีนี้ล่วงหน้าเท่านั้นเอง
เรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
ถ้าเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นที่ usa เราก็คงจะไม่ถือหุ้นต่อ
อย่างผมล้าง port ประมาณ 590 หลังจาก lehman ล้ม
เพราะว่าเป็นการล้มที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ใหญ่กว่าที่ worldcom เคยล้มถึง 6 เท่าตัว
และสิ่งที่น่ากลัวก็คือการถ่างออกของ ted-spread
จะเห็นว่าข่าว lehman ล้มในช่วงเดือนกันยาทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดทุน
หายไป โดยดูจากการถ่างออกของ ted-spread ที่ libor สูงขึ้นและ
t-bill ต่ำเตี้ยติดดิน(ถ้าวันหลัง ted-spread ถ่างออกอีก พี่น้องก็เตรียมตัวนะครับ
ผมศึกษาเรื่อง libor ย้อนหลัง นับว่าเป็น signal ที่ยอดมากเลยครับ)
ตอนนั้นผมนั่งคิดว่าสถานการณ์นี้ ฝรั้งมีโอกาศ net buy หุ้นไทยแค่
5% โอกาศขาย 95%
เพราะ cds ทำให้คนล้มได้ข้ามคืนและต้องดึงเงินกลับ
ต่อให้ไม่มีใครล้มอีก ก็จะทำให้ทุกคนเก็บเงินติดตัวเพื่อรอดูสถานการณ์ครับ
และสาเหตุที่ผมกลับมาซื้ออีกครั้งเพราะว่า ted-spread ลดต่อเนื่อง
จาก t-bill ที่แถบจะเหลือ 0% ถ้า fed ลดดอกยังไง libor ก็ต้องลง
การเล่นหุ้นตอน ted-spread หดตัวนับว่าเสี่ยงต่ำว่าตอนถ่างออกเยอะมาก
จริงๆแนวคิดเรื่อง fundflow ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากแชร์ แต่ว่าผมขอแชร์
ในส่วนของประสบการณ์ปีที่แล้วก่อนนะครับ
พี่หนูครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราดูเม็ดเงินเป็นหลักเราก็จะ
follow smart money ได้ จริงๆแล้วตลาดหุ้นคนเราคาดการณ์ไม่ได้
fundflow จึงเป็นการลดความเสี่ยงเวลาเราเข้าซื้อหุ้นแล้วจะโดนฝรั้งเทกระจาดสวนออกมาครับ
สำหรับผมนับว่าใช้ได้ผลมากๆครับ
แชร์กันเฉยๆนะครับ
ไม่บังอาจแนะนำ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- Luty97
- Verified User
- โพสต์: 1520
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 9
ขอเพิ่มมุมมองละกันครับ ว่าการที่จะคิดว่าหุ้นเกรดไหน บางคนก็ให้ไม่เท่ากัน บางเวลา A ก็ไปเป็นเป็น B C หรือในทางกลับกัน B อาจอัพเกรดไปเป็น A ก็ได้ เช่นBlueblood เขียน:3. คุณภาพของบริษัทที่เลือก เมื่อก่อนผมลงทุนหุ้นเกรดประมาณ B-C โดยเน้นความคุ้มค่าด้านราคาเหนือคุณภาพ ทำให้เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายๆ บริษัทเกรดรองๆอาจจะต้านทานได้น้อย ไม่เหมือนบริษัทใหญ่ๆ
ขอคำแนะนำด้วยครับ
Mint BGH BH UEC เมื่อก่อน A โคดๆ ตอนนี้เริ่มสงสัยว่า Aจริงเหรอ :roll:
BOL ก่อนหน้านี้คงแค่ B แต่ตอนนี้หลายคนให้ A แต่ก็ A จริงเหรอ
ก็คงต้องตามดูกันต่อไปนะครับ :D
หลักของความสมดุล
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 10
ผมว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้ง่าย แถมได้ศึกษาเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตอีก
วิธีเดิมที่ฉาบฉวยอาจใช้ได้ไม่กี่ครั้ง เพราะเดี๋ยวหลายคนจะรู้ทัน
สิ่งที่หลายคนคาดไว้มักไม่เกิด สิ่งที่เกิดก็มีไม่กี่คนที่คาดไว้
การกระจายความเสี่ยงผมคิดว่าจำเป็นระดับนึงต่อให้เรามั่นใจหุ้นตัวนั้นมากก็เถอะ
ซื้อหุ้นด้วยความไม่รู้มีความเสี่ยง แต่ใช่ว่ารู้ดีทุกอย่างความเสี่ยงจะหมดไป
คิดดูถ้าเราถือหุ้น 1 ตัวเป็น Santika เราก็หมดตัวไปแล้ว
ดำเนินตนด้วยความไม่ประมาทครับ เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน
วิธีเดิมที่ฉาบฉวยอาจใช้ได้ไม่กี่ครั้ง เพราะเดี๋ยวหลายคนจะรู้ทัน
สิ่งที่หลายคนคาดไว้มักไม่เกิด สิ่งที่เกิดก็มีไม่กี่คนที่คาดไว้
การกระจายความเสี่ยงผมคิดว่าจำเป็นระดับนึงต่อให้เรามั่นใจหุ้นตัวนั้นมากก็เถอะ
ซื้อหุ้นด้วยความไม่รู้มีความเสี่ยง แต่ใช่ว่ารู้ดีทุกอย่างความเสี่ยงจะหมดไป
คิดดูถ้าเราถือหุ้น 1 ตัวเป็น Santika เราก็หมดตัวไปแล้ว
ดำเนินตนด้วยความไม่ประมาทครับ เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 11
คิดไปคิดมา ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนแหงๆ :lol:
ยังชื่นชมคุณ Blueblood ครับ
ยังชื่นชมคุณ Blueblood ครับ
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 12
Blueblood เขียน:
3. มีจุด cut loss ที่ชัดเจน ไม่ต้องกลัวเรื่องมูลค่า ถ้าลงจนเปลี่ยนเทรนก็ต้อง cut ไปก่อน แล้วถ้า cut แล้วผิดทางไม่ว่าโดนหลอกหรือตลาดเปลี่ยนค่อยซื้อคืนใหม่ โดยใช้ technical เข้าช่วย
ขอคำแนะนำด้วยครับ
ผมว่าผมพูดเรื่อง fundflow น้อยๆดีกว่า
พูดทีไรไม่มีใครคุยด้วยเลย เหมือนพูดอยู่คนเดียว
อายจังเลย
:lol: :lol:
แชร์มุมมองแบบ vi ละกัน
ผมว่าจริงๆแล้ว มักจะมีคำถามนะครับว่าการ cutloss
เป็นวิธีที่ vi ทำกันไหม
เพราะถ้าเราบอกว่า vi ทำ สิ่งที่เราลงทุนก็จะขัดกับหลักการของ buffet
ซึ้งเราบอกว่าเขาเป็น vi ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
buffet บอกว่าลงทุนในหุ้นเหมือนลงทุนในธุรกิจ
ซึ้งการ cutloss มองในมุมไหนก็ไม่เกี่ยวกับการคิดว่าเราลงทุนในธุรกิจเลย
การ cutloss เป็นการบริหารความเสี่ยงของเรามากกว่า
และ buffet ก็บอกอีกว่า
ถ้าเห็นหุ้นที่ลงทุนลงไป 50% ไม่ได้ก็อย่าเล่นหุ้น
แต่คงไม่มีใครตั้งระบบ cutloss สูงถึง 50% หรอก
ฉะนั้นผมว่าแนวทางที่ว่าคงไม่เรียกว่า vi มัง้ครับ
(ไม่ได้บอกว่าแนวทางvi ดีหรือไม่ดีนะ)
การที่เรารู้ว่าเราเป็นแบบไหน น่าจะทำให้เราไม่สับสนนะครับ
ผมว่าถ้าจะเล่นแบบนั้น เราควรจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นกึ่งๆ trader แล้วนะครับ
ไม่ใช่ vi
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 13
Blueblood เขียน:
1. เลือกหุ้นโดยเน้นคุณภาพมากกว่าการคาดการณ์กำไรแค่ช่วงสั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทนั้นจะอยู่ไปอีกนานที่สุดหรือแพ้เป็นบริษัทท้ายๆในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
จริงๆแล้ว ผมคิดว่าการคาดการณ์กำไรช่วงสั้นๆก็ไม่ได้เสียหายหรือป่าวครับ
ตราบเท่าที่บริษัทนั้นราคาหุ้นยังไม่ตอบรับผลประกอบการ
อย่าง ait ที่พี่หรือผมเล่นกันตอนต้นปีที่แล้ว
ก็เล่นเพราะว่า backlog เยอะ ฐานกำไรปี 50 ต่ำไป
งบดุลค่อนข้างสะอาด
เพียงแต่ราคาหุ้นที่ระดับสูงกว่า 20 บาทตอบรับข่าวดีไปแล้วเท่านั้นเอง
ผมว่าถ้าเราจะเล่นหุ้นเก็งระยะสั้น เราน่าจะเล่นหลายตัวกันพลาด
เช่นปีที่แล้วผมก็เล่น ait stpi ums แต่คงไม่กล้าเล่นแนวนี้ตัวเดียวใน port
แต่ถ้าเล่นหุ้นแข็งแกร่งก็เล่นตัวเดียวทั้งport ได้
เช่น เล่น cpall ตัวเดียวเกือบทั้ง port แบบกระผมปีที่แล้ว :lol:
ผมคิดว่าเราน่าจะประเมินเรื่องราคาหุ้นนั้นๆสะท้อนอะไรและ
risk/reward ที่เราจะได้ มากกว่านะครับ
และผมว่าระบบ cutloss ก็น่าใช้กับหุ้นเกรด b ลงไปมากกว่า
หุ้นเกรด a เหมือนกัน
พี่หนูมีความเห็นยังไงก็มาแชร์ๆกันนะครับ
ผมพยายามจะแสดงความเห็นให้มากที่สุด
เห็นว่าหายไปนานกลัวกลับมาแล้วจะเหงา เลยมาโพสคุยด้วยบ่อยหน่อย
:lol:
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- Juninho
- Verified User
- โพสต์: 1050
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับ สำหรับการแชร์ประสบการณ์ครับ พี่บลูบลัด
ตอนนี้ ผมก็ลองวิวัฒนาการ แวลู่ ของตัวผมเองเช่นกัน
ปกติแล้วผมเลือก หุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า พีอีต่ำ มีการเติบโตสูง
และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ใช้การเลือกหุ้นแนวนี้
หุ้นส่วนใหญ่ที่ผมซื้อ ซื้อแล้วขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ได้เป็นเด้งมาหลายตัว
ดังนั้น การเลือกหุ้นผมว่า แนววีไอนี่ล่ะ ได้ผลดีมาก ๆ สำหรับผม
แต่จังหวะขายผมพลาดเป็นประจำ พลาดเพราะถือจนมันกลับมาที่เดิม
(ผมไม่ค่อยขายหมู เพราะผมไม่ค่อยขายหุ้น)
ตัวอย่างเช่น snc ptl ตัวแรกถือจนกำไร เป็นเด้ง ก็ยังไม่ขาย
จนมาขายขาดทุนพอผมคิดว่า ผมมีปัญหาด้านนี้ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เพราะบางที หุ้นมันพื้นฐานเปลี่ยนแต่กว่าเราจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
ปีนี้ผมเลยจะลองเอาล็อกล่าง ของ เสี่ยยักษ์มาใช้คิดว่าน่าจะแก้จุดอ่อนตัวเองได้โดยตั้งจุดขายลงต่ำหน่อย เพื่อไม่ให้ขายเร็วเกินไป
ผลจะเป็นอย่างไร ยังไม่รู้เลยครับ :D
หวังว่าปีนี้ จะได้เป็นเท่าตัวเหมือนปี 50
เห็นฮงกล่าว่า บัฟเฟตต์เป็นวีไอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร
แต่วีไอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับผมคือ ปีเตอร์ ลินซ์ครับ
ผมตอบแทนดีกว่า บัฟเฟตต์อีก และคิดว่าเป็นแนวที่เอามาใช้ได้จริงในไทยการหา เกรท คอมปานี เหมือนบัฟเฟตต์ผมว่า ยากสำหรับบริษัทในไทย
ดังนั้น เมื่อเราหาเกรท คอมปานี อย่างบัฟเฟตต์ไม่ได้ เหตุใดเราต้องรัก
ธุรกิจนั้นเหมือนบัฟเฟตต์ด้วยล่ะ ให้ถือหุ้นไปตลอดชีวิตเหมือนบัฟเฟตต์
สำหรับผมไม่ไหวหรอกครับ
ตอนนี้ ผมก็ลองวิวัฒนาการ แวลู่ ของตัวผมเองเช่นกัน
ปกติแล้วผมเลือก หุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า พีอีต่ำ มีการเติบโตสูง
และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ใช้การเลือกหุ้นแนวนี้
หุ้นส่วนใหญ่ที่ผมซื้อ ซื้อแล้วขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ได้เป็นเด้งมาหลายตัว
ดังนั้น การเลือกหุ้นผมว่า แนววีไอนี่ล่ะ ได้ผลดีมาก ๆ สำหรับผม
แต่จังหวะขายผมพลาดเป็นประจำ พลาดเพราะถือจนมันกลับมาที่เดิม
(ผมไม่ค่อยขายหมู เพราะผมไม่ค่อยขายหุ้น)
ตัวอย่างเช่น snc ptl ตัวแรกถือจนกำไร เป็นเด้ง ก็ยังไม่ขาย
จนมาขายขาดทุนพอผมคิดว่า ผมมีปัญหาด้านนี้ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เพราะบางที หุ้นมันพื้นฐานเปลี่ยนแต่กว่าเราจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
ปีนี้ผมเลยจะลองเอาล็อกล่าง ของ เสี่ยยักษ์มาใช้คิดว่าน่าจะแก้จุดอ่อนตัวเองได้โดยตั้งจุดขายลงต่ำหน่อย เพื่อไม่ให้ขายเร็วเกินไป
ผลจะเป็นอย่างไร ยังไม่รู้เลยครับ :D
หวังว่าปีนี้ จะได้เป็นเท่าตัวเหมือนปี 50
เห็นฮงกล่าว่า บัฟเฟตต์เป็นวีไอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร
แต่วีไอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับผมคือ ปีเตอร์ ลินซ์ครับ
ผมตอบแทนดีกว่า บัฟเฟตต์อีก และคิดว่าเป็นแนวที่เอามาใช้ได้จริงในไทยการหา เกรท คอมปานี เหมือนบัฟเฟตต์ผมว่า ยากสำหรับบริษัทในไทย
ดังนั้น เมื่อเราหาเกรท คอมปานี อย่างบัฟเฟตต์ไม่ได้ เหตุใดเราต้องรัก
ธุรกิจนั้นเหมือนบัฟเฟตต์ด้วยล่ะ ให้ถือหุ้นไปตลอดชีวิตเหมือนบัฟเฟตต์
สำหรับผมไม่ไหวหรอกครับ
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
But you must try, try and try
- py106
- Verified User
- โพสต์: 296
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 15
แม๋ๆๆ มีแชร์กันเยอะแยะเลย...
ไว้จะมาแชร์บ้างครับ แต่ปีที่ผ่านมาก็โดนไปหลายอยู่นะนี่
ไว้จะมาแชร์บ้างครับ แต่ปีที่ผ่านมาก็โดนไปหลายอยู่นะนี่
แวะไปเยี่ยมเยียนกันได้ครับ ^^
http://py106travel.blogspot.com
http://py106travel.blogspot.com
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 18
[quote="lychee"]
- อย่ารักหุ้นในแต่ละตัวมากเกินไป เมื่อขึ้นถึงเป้า ก็ต้องพอใจในกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วให้ขายหุ้นทำกำไรไป หรืออย่างน้อยขายไปบางส่วน อย่าคิดว่าเรารู้จักบริษัทนี้ดี หรือ รู้จักธุรกิจนี้ดี
- อย่ารักหุ้นในแต่ละตัวมากเกินไป เมื่อขึ้นถึงเป้า ก็ต้องพอใจในกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วให้ขายหุ้นทำกำไรไป หรืออย่างน้อยขายไปบางส่วน อย่าคิดว่าเรารู้จักบริษัทนี้ดี หรือ รู้จักธุรกิจนี้ดี
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 363
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 19
มุมมองเรื่อง fund Flow นี้มีประโยชน์มากๆ ผมอ่านหนังสือของคุณวิศิฐ (Tisco) ก้อยังคิดว่าไม่ลึกพอ รบกวนคุณฮงบอกแหล่งข้อมูล หรือหนังสือที่เขียนเรื่องนี้อย่างเข้าใจง่ายๆ และนำมาใช้วิเคราะห์ได้จริง ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ครับ :Dผมเองขอเสนอมุมมองในแบบ fundflow analysis บ้างนะครับ
จริงๆแล้วหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าปีที่แล้วไม่ใช่ไม่มีเหตุผลนะครับ
ที่ลงมา เพียงแต่มันลงมารับข่าวปีนี้ล่วงหน้าเท่านั้นเอง
เรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
ถ้าเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นที่ usa เราก็คงจะไม่ถือหุ้นต่อ
อย่างผมล้าง port ประมาณ 590 หลังจาก lehman ล้ม
เพราะว่าเป็นการล้มที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ใหญ่กว่าที่ worldcom เคยล้มถึง 6 เท่าตัว
และสิ่งที่น่ากลัวก็คือการถ่างออกของ ted-spread
จะเห็นว่าข่าว lehman ล้มในช่วงเดือนกันยาทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดทุน
หายไป โดยดูจากการถ่างออกของ ted-spread ที่ libor สูงขึ้นและ
t-bill ต่ำเตี้ยติดดิน(ถ้าวันหลัง ted-spread ถ่างออกอีก พี่น้องก็เตรียมตัวนะครับ
ผมศึกษาเรื่อง libor ย้อนหลัง นับว่าเป็น signal ที่ยอดมากเลยครับ)
ตอนนั้นผมนั่งคิดว่าสถานการณ์นี้ ฝรั้งมีโอกาศ net buy หุ้นไทยแค่
5% โอกาศขาย 95%
เพราะ cds ทำให้คนล้มได้ข้ามคืนและต้องดึงเงินกลับ
ต่อให้ไม่มีใครล้มอีก ก็จะทำให้ทุกคนเก็บเงินติดตัวเพื่อรอดูสถานการณ์ครับ
และสาเหตุที่ผมกลับมาซื้ออีกครั้งเพราะว่า ted-spread ลดต่อเนื่อง
จาก t-bill ที่แถบจะเหลือ 0% ถ้า fed ลดดอกยังไง libor ก็ต้องลง
การเล่นหุ้นตอน ted-spread หดตัวนับว่าเสี่ยงต่ำว่าตอนถ่างออกเยอะมาก
จริงๆแนวคิดเรื่อง fundflow ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากแชร์ แต่ว่าผมขอแชร์
ในส่วนของประสบการณ์ปีที่แล้วก่อนนะครับ
พี่หนูครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราดูเม็ดเงินเป็นหลักเราก็จะ
follow smart money ได้ จริงๆแล้วตลาดหุ้นคนเราคาดการณ์ไม่ดี
fundflow จึงเป็นการลดความเสี่ยงเวลาเราเข้าซื้อหุ้นแล้วจะโดนฝรั้งเทกระจาดสวนออกมาครับ
สำหรับผมนับว่าใช้ได้ผลมากๆครับ
แชร์กันเฉยๆนะครับ
ไม่บังอาจแนะนำ
- charnengi
- Verified User
- โพสต์: 2388
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 20
กระทู้ดีครับ
ขาดทุนกันไม่เยอะหรอกครับผมว่า สำหรับพวกพี่ที่เก่งๆขาดทุนกัน ไม่ถึง 20% น้อยมากครับ เห็นปีก่อนได้กันเกิน 50%
แต่เป็นปีที่ได้ความรู้มากจริงๆครับ ขอบคุณพี่ blueblood ที่เข้ามาแชร์แนวคิดครับ
ผมโดนเรื่องเข้าซื้อหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง เหมือนกันและจะระวังให้มากขึ้น
โดยส่วนตัวแล้ว การเล่นแบบ VS ของผมจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแนว VI ครับ
ขาดทุนกันไม่เยอะหรอกครับผมว่า สำหรับพวกพี่ที่เก่งๆขาดทุนกัน ไม่ถึง 20% น้อยมากครับ เห็นปีก่อนได้กันเกิน 50%
แต่เป็นปีที่ได้ความรู้มากจริงๆครับ ขอบคุณพี่ blueblood ที่เข้ามาแชร์แนวคิดครับ
ผมโดนเรื่องเข้าซื้อหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง เหมือนกันและจะระวังให้มากขึ้น
โดยส่วนตัวแล้ว การเล่นแบบ VS ของผมจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแนว VI ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 21
คิดไปคิดมาก็เห็นด้วยครับ ถ้าสุดท้ายแล้วมีสภาพคล่องกับ technical ช่วย เกรดของหุ้นถ้าเกิดไม่ใช่หุ้นปั่นกันแบบสุดๆก็น่าจะพอเล่นได้แต่ต้องจำกัด risk ให้ดีๆ ซึ่งจะว่าไปตอนนี้พี่ก็ลงทุนหุ้นที่ไม่ใช่เกรด A อยู่เหมือนกัน 5555 ไอ้พวกเทคนิคอะไรเนี่ยกว่าจะใช้ได้จริงๆคงอีกนานครับ ปีนี้คงจะเล่นเหมือนเดิมไปก่อน แต่ปรับเรื่องไม่เล่นมาร์จิ้นและก็เน้นสภาพคล่องครับhongvalue เขียน:
จริงๆแล้ว ผมคิดว่าการคาดการณ์กำไรช่วงสั้นๆก็ไม่ได้เสียหายหรือป่าวครับ
ตราบเท่าที่บริษัทนั้นราคาหุ้นยังไม่ตอบรับผลประกอบการ
ป.ล. เห็นด้วยกับเพื่อนๆว่า ฮงน่าจะเปิดกระทู้สอนดู fund flow จริงๆนะ พวก TED spread อะไรพวกนี้พี่ก็มีฟังๆอยู่บ้างแต่พี่ยึดติดกับหุ้นมากไป ปล่อยไม่ลงครับ ต้องแก้จุดนี้ให้ได้ก่อน
It's earnings that count
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 22
จริงๆแล้วพี่ไม่ค่อยอยากเรียกตัวเองว่า VI มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แต่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรเพราะเราก็ดูจากผลประกอบการเป็นหลักเพียงแต่ช่วงเวลาไม่ยาวมากเท่านั้นเอง ยังหาคำจำกัดความตัวเองไม่ได้เลย ถ้าเอาไปผสมกับ Trading ด้วยแล้ว เห็นพี่บอลเรียกว่า Value Trader ป่าวไม่แน่ใจ ? ส่วนตัวพี่ว่าเรียกว่าอะไรไม่สำคัญเท่ารู้ว่าเราทำอะไรมั๊งครับhongvalue เขียน:
การที่เรารู้ว่าเราเป็นแบบไหน น่าจะทำให้เราไม่สับสนนะครับ
ผมว่าถ้าจะเล่นแบบนั้น เราควรจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นกึ่งๆ trader แล้วนะครับ
ไม่ใช่ vi
It's earnings that count
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 25
[quote="Luty97"]
ขอเพิ่มมุมมองละกันครับ ว่าการที่จะคิดว่าหุ้นเกรดไหน บางคนก็ให้ไม่เท่ากัน บางเวลา A ก็ไปเป็นเป็น B C หรือในทางกลับกัน B อาจอัพเกรดไปเป็น A ก็ได้ เช่น
Mint BGH BH UEC เมื่อก่อน A โคดๆ ตอนนี้เริ่มสงสัยว่า Aจริงเหรอ
ขอเพิ่มมุมมองละกันครับ ว่าการที่จะคิดว่าหุ้นเกรดไหน บางคนก็ให้ไม่เท่ากัน บางเวลา A ก็ไปเป็นเป็น B C หรือในทางกลับกัน B อาจอัพเกรดไปเป็น A ก็ได้ เช่น
Mint BGH BH UEC เมื่อก่อน A โคดๆ ตอนนี้เริ่มสงสัยว่า Aจริงเหรอ
It's earnings that count
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
วิวัฒนาการแนวแวลู่ของผม
โพสต์ที่ 26
[quote="lychee"]
ส่วนที่จะเพิ่มเติมก็คือ
- อย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป ทั้งในตัวเอง หรือ คนอื่น หรือในข่าว หรือ ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม
- อย่ารักหุ้นในแต่ละตัวมากเกินไป เมื่อขึ้นถึงเป้า ก็ต้องพอใจในกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วให้ขายหุ้นทำกำไรไป หรืออย่างน้อยขายไปบางส่วน อย่าคิดว่าเรารู้จักบริษัทนี้ดี หรือ รู้จักธุรกิจนี้ดี
ส่วนที่จะเพิ่มเติมก็คือ
- อย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป ทั้งในตัวเอง หรือ คนอื่น หรือในข่าว หรือ ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม
- อย่ารักหุ้นในแต่ละตัวมากเกินไป เมื่อขึ้นถึงเป้า ก็ต้องพอใจในกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วให้ขายหุ้นทำกำไรไป หรืออย่างน้อยขายไปบางส่วน อย่าคิดว่าเรารู้จักบริษัทนี้ดี หรือ รู้จักธุรกิจนี้ดี
It's earnings that count