ปิโตรฯ ขาลง
นักลงทุนหวังถ้อยแถลง "โอบามา" กระตุ้นตลาดหุ้นสดใสได้ในระยะสั้น แม้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวในเร็วๆ นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาด 10-14 พ.ย.นี้ หุ้นไทยปรับฐาน แนะถือเงินสด 100% เชื่อแถลงการณ์ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องเก่าที่เคยหาเสียงไว้แล้ว ทั้งมองหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเข้าสู่ขาลงเต็มตัว แต่เชื่อนักลงทุนรับรู้แล้ว ระบุขณะนี้ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
* หวัง "โอบามา" กระตุ้นตลาดหุ้นทั่วโลก
คืนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 เป็นครั้งแรกที่ นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ จะเปิดแถลงข่าวหลังชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าการประชุม นายโอบามา ได้ประชุมหารือร่วมกับที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจจากภาคธุรกิจ รัฐบาล และภาควิชาการรวม 17 คนเพื่อหาทางฟื้นฟูภาคการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งจะจะเป็นงานชิ้นแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของเขา
โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดนี้ มีบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากซีร็อกซ์คอร์ป ไทม์วอร์เนอร์ กูเกิ้ล และไฮแอตโฮเทล รวมถึงนาย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งร่วมประชุมผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่ง นายโอบามา มีแผนแถลงข่าวเกี่ยวกับการหารือดังกล่าวในการแสดงสุนทรพจน์ครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนด้วย
การประชุมครั้งนี้ สร้างความหวังให้แก่นักลงทุนทั่วโลกว่า จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น แม้โดยภาพรวมแล้วภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของโลก อาจไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมารุ่งเรืองได้ในระยะสั้นๆ ก็ตาม
* ตลท.แนะจับตานโยบายกระตุ้น ศก. แต่เชื่อในระยะนี้ ศก.สหรัฐฯ ยังไม่กระเตื้อง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประธานาธิบดีคนใหม่คือนายบารัค โอบามา สิ่งที่ต้องติดตามคือ นโยบายการแก้ไขปัญหาของนายบารัค โอบามา ตั้งแต่รับตำแหน่งว่าจะมีมุมมองและแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้อย่างไรเพื่อให้สามารถคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าถึงแม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว และกลับมาดีขึ้นเหมือนในอดีต
'สิ่งที่ต้องจับดูขณะนี้คือ การเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ว่าจะเป็นใคร เพราะรมว.คลังสหรัฐฯ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมๆไปกับรัฐบาลสหรัฐฯ หากมีนโยบายที่ดี ก็เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อประเทศสหรัฐฯ' ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
* 'ก้องเกียรติ' คาดส่งออกไทยกระทบแน่ หลังชูนโยบายปกป้องธุรกิจในประเทศ
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) เปิดเผยว่า หลังจากที่นาย บารัค โอบามา เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ เชื่อว่าจะต้องดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้ต่ำโดยจะนำรายได้ของผู้ที่มีรายได้สูงมาช่วยเหลือ อีกทั้งมีนโยบายปกป้องธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่เป็นคู่ค้ารวมถึงไทยที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากธุรกิจส่งออกของไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว
สำหรับภาคเอกชนไทยจะต้องมีการปรับตัวอย่างรุนแรงเพื่อรองรับถึงผลกระทบดังกล่าว อีกทั้งรัฐบาลจะต้องออกมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนอย่างรวดเร็วและสามารถปฎิบัติได้จริง นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการรองรับถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
* โบรกฯ เชื่อสัปดาห์หน้าหุ้นไทยปรับฐาน
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มในสัปดาห์หน้า (10-14 พ.ย.) คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงปรับฐาน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ขาดข่าวดีใหม่สนับสนุนภายหลังจากปรับขึ้นมาตอบรับข่าวประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความหวังในการแก้ปัญหาเศรษกิจโลกขณะนี้ไปแล้ว
ส่วนประเด็นที่นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายโจ ไบเดนว่าที่รองประธานาธิบดี จะจัดการแถลงข่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าเป็นเพียงการแถลงนโยบายต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในรายละเอียดคงไม่แตกต่างไปจากนโยบายที่เคยได้หาเสียงไว้ เช่น มีแนวคิดในการปรับลดภาษีชนชั้นกลางถึงระดับล่าง ท่าทีทางการค้าการลงทุนกับต่างประเทศที่อาจเข้มงวดขึ้นเพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกา และสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคในประเทศและผลักดันพลังงานทดแทนในสหรัฐฯตามที่ได้เคยเสนอไว้เพราะถ้าเกิดความแตกต่างคงสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่เป็นฐานเสียง
อย่างไรก็ดี คาดว่ายังไม่น่าจะมีการเสนอมาตรการใหม่หรือแผนกอบกู้เศรษฐกิจชุดใหม่ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้เพราะรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของบารัค โอบามา ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อีกทั้งนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประกาศออกมารวมถึงทีมบริหารงานด้านเศรษฐกิจแม้จะมีแนวคิดที่ดีเพียงใดแต่ยังไม่น่าจะสามารถแก้วิกฤตให้จบสิ้นลงในชั่วข้ามคืนเพราะมูลค่าความเสียหายที่มหาศาลในระบบเศรษฐกิจทั้งอเมริกาอาจต้องใช้เวลานานในการเยียวยากว่าจะกลับเข้าสู่สภาพเดิม
ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดฯ จะปรับขึ้นตอบรับข่าวดีก็ต่อเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขวิกฤตในทางปฏิบัติ เช่น ปรับลดภาษี อัดฉีดเม็ดเงินและมีสัญญาณทางที่ดีขึ้นจากภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิต เช่นตัวเลขเศรษฐกิจเกี่ยวกับการผลิตหรือจ้างงานฟื้นตัวดีขึ้น
ในส่วนของสัญญาณทางเทคนิคระบุว่าดัชนีฯ หมดรอบรีบาวน์แล้ว กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำถือเงินสด 100% ทั้งนี้ ประเมินแนวรับดัชนีฯ 420 จุด แนวต้าน 480 จุด
* ถึงเวลาขาลงหุ้นกลุ่มปิโตรฯ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า คาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 3/2551 ของผู้ประกอบการกลุ่มปิโตรเคมีน่าจะยังคงทรงตัว เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน หรือถ้าผลการดำเนินจะปรับตัวลดลง ก็อาจจะปรับตัวลดลงได้ที่ไม่มากนัก เพราะ Spread ยังลดลงไม่มาก
โดยพบว่าราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงแรงนั้น เริ่มปรับลงมาช่วงปลายไตรมาส 3/2551 แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/2551 ผลการดำเนินงานออาจะออกมาย่ำแย่ เนื่องจาก Spread ลดลง และ Demand ก็เริ่มชะลอตัวจากปัญหาวิกฤตการเงินที่ เป็นผลทางอ้อมทำให้ความต้องการของผู้บริโภคชะลอตัวลดลงอยากหนัก นอกจากนี้ ราคาผลิตภัณฑ์จะปรับลดลงตามต้นทุนที่ปรับลงตามราคาน้ำมันแล้ว Demand ผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในภาวะที่ชะลอการซื้อลง เป็นปัจจัยซ้ำเติมที่ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับลงแรง
"ผลประกอบการ ก็คงต้องมาติดตามดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะพอทราบว่าธุรกิจ ปิโตรเครมีจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงในปีหน้า แต่ถ้าหากผลิตออกมาแล้วขายได้ก็ยังโอเค เพราะแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ส่วนของ Spread ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงจนถึงขึ้นต้องติดลบ เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงนั้น ก็มีข้อดีในแง่ของต้นทุนวัสถุดิบที่ลดลงมาเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้เองราคาน้ำมันลดลงมาแรง ทำให้ Spread แคบ แต่ถ้าหากยาว Spread น่าจะไม่แคบ แต่ปีนี้เองคงจะลดลงจากปีก่น เพราะว่าปีกอ่นเป็นช่วงขาขึ้นของราคา" นักวิเคราะห์ กล่าว
ในขณะที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจดังกล่าวนับวันยิ่งชัดขึ้น ส่วนปีหน้าต้องเผชิญกับความยากลำบากจากกลังการผลิตภาวะ Oversupply ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจากความต้องการหดตัวลง ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ ที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอินเดีย และจีน ก็จะเข้ามาสู่ตลาดค่อนข้างมาก ซึ่งก็เป็ผลมาจากในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นช่วงขาขึ้นของธุริจ ทำให้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตใหม่ ก็เริ่มเข้ามาในปี 2552 แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้แล้ว แต่ที่น่ากังวล คือ ในปี 2552 หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างรุนแรง กดดันต่อการอุปโภคบริโภค ก็จะกระทบมายังผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมี
"ธุรกิจปิโตรเคมีก็เป็นแบบนี้ หากมีดีมานด์เข้ามาก็มีการขยายกำลังการผลิต แต่ถ้าหากจะขายก็ต้องขยายให้มากๆ เพราะกว่าจะเสร็จก็อีกประมาณ 1-2 ปี ที่กำลังการผลิตใหม่จะเข้ามา ซึ่งหากกำลังการผลิตมีมากกว่าความต้องการก็จะทำให้การทำธุรกิจปิโตรเคมีไม่ดี แต่ก็คงไม่มีใครจะบอกได้ว่าช่วงปีไหนจะเป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมี แต่ถ้าหากคนที่ลงทุนไปแล้ว คงได้ประโยชน์หากความต้องการกลับมา ซึ่งบริษัทที่จะอยู่ได้ในขณะนี้ ก็น่าจะเป็นบริษัทใหญ่ เพราะบริษัทเล็กๆ คงต้องมี cost ไปเรื่อยๆ" นักวิเคราะห์กล่าว สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมี ขณะนี้ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
* ข่าวร้าย! เมอร์ริลลินช์ หั่นประมาณการกำไรขั้นต้นค่าการกลั่นปีหน้า 20%
ล่าสุด รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า เมอร์ริลลินช์แอนด์โค ลดประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ปีหน้าลง 20% มาอยู่ที่ 7.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังความต้องการในตลาดชะลอ ขณะที่กำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน เมอร์ริลลินช์ได้ลดประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นปี 2010 ลง 9% มาอยู่ที่ 7 ดอลลาร์/บาร์เรล พร้อมกับคาดว่า กำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นอาจลดลงเหลือ 4 ดอลลาร์/บาร์เรล หากเศรษฐกิจเอเซียเข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยเมอร์ริลลินช์ระบุว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในจีน อินเดีย และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนส่งและการใช้หน้ำมันดีเซล เบนซิน และเชื้อเพลิงอากาศยาน
ทั้งนี้ เมอร์ริลลินช์ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเซียปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่กำลังการผลิตของโรงกลั่นเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน
'หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าที่คาด กำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นจะมีแนวโน้มอีกเช่นกัน' บทวิเคราะห์ของเมอร์ริลลินช์ระบุ
* บล.ฟินันซ่า แนะระวังแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี & โรงกลั่น
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้นที่ทำธุรกิจปิโตรเคมี & โรงกลั่นอย่าง TOP/ PTTAR/IRPC ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 20% เพราะก่อนหน้านี้ราคาลงเร็วและแรงมาก จนราคาลงไปทำ Record Low (ต่ำสุดนับแต่เข้าเทรดฯ) และมีส่วนลดถึง 40-50% จาก BV ล่าสุด
ในขณะที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจดังกล่าวนับวันยิ่งชัดขึ้น เช่น สัปดาห์ที่แล้วราคาสินค้าปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์ (PTTCH & SCC) และอะโรเมติกส์ (PTTAR) ทำสถิติต่ำสุดในรอบ ~ 7 ปี โดยทรุดต่ออีก 20-40% จากสัปดาห์ก่อน
ส่วนผลประกอบการ 3Q08 ที่กำลังจะประกาศออกมาเร็วๆ นี้ (ไม่เกิน 14 พ.ย.) คาดว่าทั้ง 3 โรงกลั่นจะออกมาขาดทุนถ้วนหน้าและบักโกรกจาก Inventory Loss (หลังราคาน้ำมันลงแรง) และมีแนวโน้มจะขาดทุนต่อเนื่องไปใน 4Q08 ส่วนปีหน้าต้องเผชิญกับความยากลำบากจากภาวะOversupply ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี & โรงกลั่นหลังความต้องการหดแต่จะมีกำลังการผลิตใหม่ๆ จากอินเดีย & ตะวันออกกลางเพิ่มเข้ามา
กลยุทธ์ยังให้ หลีกเลี่ยง
* บล.ธนชาต แนะขาย PTTCH ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 32.70 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต ออกบทวิเคราะห์ แนะนำขาย บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) โดยระบุว่า PTTCH กลายเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนที่สูง จากผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำ เนื่องจากการลดลงอย่างมากของราคาน้ำมัน โดย Spreads ลดลงอย่างมาก และกำไรจากโรงผลิตใหม่น่าจะอยู่ในระดับต่ำมาก ยังคงมีมูลค่าที่แพง สำหรับการเป็น cyclical company ในช่วงขาลงของอุตสาหกรรม โดยซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 7.3 เท่าในปี 2009E
ทั้งนี้ บล.ธนชาต ระบุว่า เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก เราจึงทำการปรับลดประมาณการกำไรปี 2008-2011 ของเราลงราว 11-32% สำหรับช่วง 3Q08 เราคาดว่าบริษัทฯ น่าจะรายงานกำไรสุทธิจำนวน 4.9 พันลบ. ลดลง 3% y-y เนื่องจากการลดลงของยอดขาย จากการปิดโรงผลิตเพื่อทำการซ่อมบำรุง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนก๊าซ จากการเปลี่ยนสูตร netback formula กับ PTT และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับแนวโน้มช่วง 4Q08 น่าออกมาเลวร้ายกว่า เนื่องจาก Spread ปรับตัวลงไปอีก Valuation ในระดับต่ำเป็นสิ่งที่เหมาะสม
พร้อมกันนี้ ยังคงแนะนำ ขาย โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 32.70 บาท/หุ้น (จาก 49.70 บาท/หุ้น) ถึงแม้ว่า PTTCH จะทำการซื้อขายที่ระดับ P/BV ที่ต่ำ (0.6 เท่าในปี 2009) และต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาค เนื่องจากมีแรงขายออกมาจำนวนมาก (ลดลง 75% YTD) แต่การลดลงของแนวโน้มกำไร และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตปิโตรเคมีที่ใช้นาฟทาเป็นวัตถุดิบในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ valuation อยู่ในระดับต่ำ ภายใต้การประเมินโดยวิธี P/E PTTCH ยังคงแพง สำหรับการเป็น cyclical company ในช่วงขาลงของอุตสาหกรรม โดยซื้อขายที่ระดับ P/E 7.3 เท่าฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง แม้มีการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความไม่แน่นอนในแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ PTTCH จะดำเนินการลงทุนตามแผนที่วางไว้ โครงการต่างๆอยู่ในขั้นการก่อสร้างระยะกลาง และโครงการส่วนใหญ่มีแหล่งเงินกู้แล้ว หากโครงการเหล่านี้เสร็จสิ้น เราเชื่อว่า PTTCH น่าจะมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (36% net gearing และ net debt/EBITDA ที่ 2.4 เท่า)
* บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มอง PTTAR แนะนำ 'Fully Valued' ราคาพื้นฐาน 10 บาท
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ออกบทวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์ (PTTAR) โดยระบุว่า คาดการณ์ว่าผลประกอบการ 3Q51 ของ PTTAR ยังไม่สดใส คาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิ 4.49 พันล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 4 พันล้านบาทใน 3Q50 และกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาทใน 2Q51
สำหรับแนวโน้ม 4Q51 ยังไม่สดใส เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการ ซึ่งปริมาณการผลิตอะโรเมติกส์ที่เพิ่มไม่สามารถชดเชยได้ โดยคาดว่าจะมีผลขาดทุนในสินค้าคงคลังของโรงกลั่นต่อเนื่อง, การใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นลดลงเพราะ SPRC ปิดซ่อมบำรุงตามแผน และ Spread ของธุรกิจอะโรเมติกส์ลดลง เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 51 และปี 52 ลง 91% และ 39% ตามลำดับ สะท้อนผลขาดทุนในสินค้าคงคลังและ Spread ของอะโรเมติกส์ที่ต่ำกว่าคาดการณ์เดิม ยังผลให้กำไรสุทธิปี 51 จะลดลง 96%YoY เป็น 742 ล้านบาท แต่จะฟื้นตัว 701% เป็น 5.9 พันล้านบาทในปี 52 (แต่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาวะปกติ) ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 10 บาท อิงกับ PE ปี 52 เท่ากับ 5 เท่า (เดิม 17.7 บาท)
ส่วนราคาหุ้น PTTAR ลดลงมาแล้ว 79%YTD มากกว่ากลุ่มและมากกว่า SET แต่แนวโน้มธุรกิจไม่สดใส และคาดว่าจะจ่ายปันผลสำหรับปี 51 ต่ำลงเหลือเพียง 0.11 บาท หรือคิดเป็น Dividend Yield 1.1% (ให้ Payout ratio 44%) ก่อนจะฟื้นตัวเป็น 10% ในปี 52 ดังนั้นในช่วงนี้จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น Fully Valued
http://www.efinancethai.com/index.aspx
ปิโตรฯ ขาลง
- kmphol
- Verified User
- โพสต์: 417
- ผู้ติดตาม: 0
ปิโตรฯ ขาลง
โพสต์ที่ 3
ใคร ใคร ก็รู้ครับว่าปิโตร เป็นขาลง
แต่น่าจะบอกว่าเมื่อไรจะเป็นขาขึ้น 3 ปี 5ปี 10ปี ข้างหน้า
ก็ว่ากันไป คนที่ติดไว้สูง สูง ทำใจตัดขาดทุนยาก จะได้รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน กว่ามันจะกลับมา หรือว่าตัดขาดทุนแบบตัด แขน ตัดขา ให้หมดไปเลย เพื่อรักษา ชีวิตไว้ แต่ก็งง ว่าทำไม NVDR เริ่มกลับมาเริ่มซื้อ TOP
ตกลงว่าจะให้รายย่อยซื้อตอน80 กลับมาขายให้คุณหรั่งตอน20 หรอ
คนที่ติดไว้สูง สูง ก็เพราะเชื่อพวกคุณแหละ ว่า ค่าการกลั่น ดี โตต่อเนื่อง spread ดี โตต่อเนื่อง แนะนำซื้อ
TOP ราคาพื้นฐาน 80 ตอนเชียร์ให้ซื้อก็ไม่เห็นบอกเลยว่า ค่าการกลั่นผันผวนสูงมาก มีโอกาสลงแตะ 20 รายย่อก็โง่ซื้อจากคุณหรั่งตอน 80ตามที่คุณบอกเป๊เลย เดี้ยง เลย แล้วตอนนี้ก็มาแนะนำให้ขายให้คุณหรั่งอีก
โอ้ แม่เจ้า เล่นตามคุณบอก คุณหรั่งกินเรียบ
เดี๋ยวคุณหรั่งเก็บของครบ ก็ลากรายย่อยขึ้นไปเชือดอีกเช่นเคย
วงจรอุบาทว์ดีแท้แท้
แต่น่าจะบอกว่าเมื่อไรจะเป็นขาขึ้น 3 ปี 5ปี 10ปี ข้างหน้า
ก็ว่ากันไป คนที่ติดไว้สูง สูง ทำใจตัดขาดทุนยาก จะได้รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน กว่ามันจะกลับมา หรือว่าตัดขาดทุนแบบตัด แขน ตัดขา ให้หมดไปเลย เพื่อรักษา ชีวิตไว้ แต่ก็งง ว่าทำไม NVDR เริ่มกลับมาเริ่มซื้อ TOP
ตกลงว่าจะให้รายย่อยซื้อตอน80 กลับมาขายให้คุณหรั่งตอน20 หรอ
คนที่ติดไว้สูง สูง ก็เพราะเชื่อพวกคุณแหละ ว่า ค่าการกลั่น ดี โตต่อเนื่อง spread ดี โตต่อเนื่อง แนะนำซื้อ
TOP ราคาพื้นฐาน 80 ตอนเชียร์ให้ซื้อก็ไม่เห็นบอกเลยว่า ค่าการกลั่นผันผวนสูงมาก มีโอกาสลงแตะ 20 รายย่อก็โง่ซื้อจากคุณหรั่งตอน 80ตามที่คุณบอกเป๊เลย เดี้ยง เลย แล้วตอนนี้ก็มาแนะนำให้ขายให้คุณหรั่งอีก
โอ้ แม่เจ้า เล่นตามคุณบอก คุณหรั่งกินเรียบ
เดี๋ยวคุณหรั่งเก็บของครบ ก็ลากรายย่อยขึ้นไปเชือดอีกเช่นเคย
วงจรอุบาทว์ดีแท้แท้