ดัชนีหุ้นไทยต้องลุ้น
ดาวโจนส์ปรับบวก
จับตาดัชนีหุ้นไทยหลัง"โอบามา"คว้าชัย โบรกฯย้ำขึ้นอยู่กับดาวโจนส์ เผยหากของไทยยืนเหนือ 465 จุดภายในต้นสัปดาห์หน้า มีโอกาสไปต่อ แต่หากไม่อยู่จะหลุด 400 จุด แนะหาหุ้นที่เกี่ยวโยงกับการบริโภคภายในประเทศ
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นไทยภายหลังจากนายบารัค โอบามา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2008 และเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะขึ้นอยู่กับการปรับตัวขึ้นหรือลงของดัชนีตลาดหุ้นดาวน์โจนส์เป็นหลัก
ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายจากนี้ไปในช่วง 1-2 วันข้างหน้า อาจจะมีไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนต่างเฝ้ารอความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นดาวน์โจนส์เป็นหลัก และถือเป็นช่วงที่ต้อง wait&see เพราะหุ้นไทยได้รีบาวนด์ขึ้นมาประมาณ 60 จุด ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 วัน
ทำให้มีความกังวลว่านักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำจะเทขายหุ้นทำกำไร ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาถือเป็นการสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมาเรียบร้อยแล้ว"นายอดิศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามข่าวดีของตลาดหุ้นไทยตอนนี้ยังไม่มีอะไร การลงทุนคงต้องอาศัยดูสัญญาณทางเทคนิคควบคู่กับตลาดหุ้นต่างประเทศ และถ้าหากช่วงปลายสัปดาห์นี้ ถึงต้นสัปดาห์หน้า ดัชนีสามารถยืนได้ที่ระดับ 465 จุด ค่าพีอี 7 เท่า มีโอกาสที่ดัชนีจะไปได้ต่อ แต่ถ้าหากไม่สามารถยืนได้ก็จะปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 398 จุด ค่าพีอี 6 เท่า
ม.ล.ทองมกุฏ ทองใหญ่ ผู้บริหารฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บล.ซิตี้ คอร์ป(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) และนายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างประเทศ กล่าวว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคเดโมแครตน่าจะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ เนื่องจากได้เน้นให้รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเพื่อให้เกิดกระจายรายได้ไปสู่แรงงานชาวอเมริกันโดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่ำมาก ลดภาษีให้กับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงผู้มีรายได้ต่ำ
ประกอบกับการลดภาษีเงินได้ของนายโอบามาจะทำให้แรงงานชาวอเมริกันมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดภาษีและจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ในที่สุด
นโยบายทางเศรษฐกิจที่แข็งกร้าวของเดโมแครตตในการปกป้องธุรกิจของสหรัฐฯและรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนอเมริกัน สะท้อนออกมาในทางมุ่งกีดกันการค้าการลงทุนโดยจะคุ้มครองเฉพาะอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อปกป้องแรงงานชาวอเมริกันซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรค
อาจการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราสูงและเพิ่มความเข้มงวดของกฎระเบียบสำหรับสินค้านำเข้าที่จะมาแข่งขันกับสินค้าในประเทศ ซึ่งประเทศไทยที่มีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐมากมหาศาลคงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการเผชิญการกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบ และเงื่อนไขทางการค้าที่เข้มข้นขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกในประเทสไทยจึงควรหากลยุทธ์เตรียมรับมือกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของสหรัฐฯอย่างเร่งด่วน
ม.ล.ทองมกุฏ กล่าวว่า อาจต้องติดตามพิจารณารายละเอียดของนโบบายดังกล่าวอีกครั้งเพื่อจัดเตรียมความพร้อมรอรับผลกระทบทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นส่วนประเด็นการกลับเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยในช่วงวันที่ 30 ต.ค.- 4 พ.ย. 51นักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 4,533.34 ล้านบาท มองว่าว่าเป็นเพียงการกลับเข้ามาช้อนซื้อหุ้นภายหลังจากที่ราคาตกต่ำลงไปมาก จากช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาดัชนีฯปรับลดลงไปมากพอสมควร
นอกจากนี้ สถานการณ์ในตลาดสินเชื่อที่ยังส่งสัญญาณการฟื้นตัว จากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารที่ลดลง ดัชนีชี้วัดสภาพคล่อง(TED Spread) ปรับลงอีกและดัชนีชี้วัดความผันผวน(VIX) ร่วงลงเช่นกัน 11% เป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นให้เกิดแรงซื้อกลับ แต่เมื่อมีกำไรแล้วเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มเทขายเพื่อเสริมสภาพคล่องและปรับพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง
แต่ในช่วง 4 วันทำการ ดัชนีฯปรับขึ้นมากว่า 25% แล้วจึงเกิดความเสี่ยงที่จะมีแรงเทขายออกมา โดยเฉพาะใกล้บริเวณ 500 จุดซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญเพราะในความเป็นจริงการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่สามารถได้ในเวลารวดเร็ว และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯที่ออกมาตามคาดอาจนำไปสู่แรงขาย Sell On Fact กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนขายทำกำไร
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ หากมีมาตรการที่กีดกันภาคการส่งออกมาใช้จริง ก็น่าจะทำให้กลุ่มภาคการส่งออกดำเนินงานได้ยากลำบากมากขึ้น เพราะสัดส่วนการส่งออกของไทย ประมาณ 10% ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามาตรการที่นายโอบาม่าจะประกาศใช้นั้น น่าจะรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ อาจจะมีการกีดกันการค้าแบบแนบเนียนมากขึ้น และคงจะต้องมาตามดูว่าเงื่อนไขต่างๆ ที่ใช้กับภาคผู้ส่งออก ทั้งในส่วนของการใช้แรงงาน การดูแลสิ่งแวดล้อมว่าจะเป็นในทิศทางใด นอกเหนือจากการที่นายโอบามา จะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของประชากรแล้ว ก็ยังมีเรื่องสำคัญทางด้านเศรษฐกิจการเงิน เพราะผลกระทบทางการเงินส่งผลกระทบต่อวงกว้าง ซึ่งคงจะมีการเร่งดำเนินมาตรการ เพื่อประคองเศรษฐกิจ ให้ฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
"เศรษฐกิจปีหน้าของสหรัฐ น่าจะอาการหนัก กระทบเราก็แรงพอสมควร ที่ห่วงและกังวลกันอยู่ก็คือว่าเศรษฐกิจอาจจะไม่โต หรือโตต่ำกว่า4% โดยส่วนตัวเราเองก็คิดว่าาภคการส่งออกน่าจะต้องได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตโลก ระยะหนึ่ง ยิ่งมีเรื่องของการกีกันการค้าแบบแนบเนียน ภาคการส่งออกอาจจะชะลอตัว การเติบโตเหลือ โตแค่น้อยลงกระทบต่อ GDP เพราะที่ผ่านมาเราเองก็เพิ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญ"นายสมบัติ กล่าว
สำหรับประมาณการว่าปีหน้ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มที่จะทรงตัวจากปีนี้แนะนักลงทุนระยะสั้น ลงทุนอย่างระมัดระวัง แต่ก็น่าจะเป็นจังหวะดีของนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการเก็บสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยให้ยืด 4 ข้อหลักในการพิจารณาซื้อหุ้น คือ 1.ต้องเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกับการบริโภคภายในประเทศ โดยให้ดูธุรกิจที่พึ่งพิงกับกำลังซื้อภายในประเทศ มากกว่าการอาศัยรายได้จากภาคการส่งออก หรือการท่องเที่ยว
เพราะโดยรวมภาพของเศรษฐกิน่าจะชะลอตัว กำลังซื้อของประชากรอาจจะหดลง เช่น ผู้ผลิตไฟฟ้า EGCO และ RATCH ซึ่งผูกติดกับสัญญาการไฟ รวมถึง SCC เพราะฐานะทางการเงินก็แข็งแกร่ง 2. พิจารณาคุณสมบัติของผู้บริหาร ต้องเป็นบุคคากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถเผชิญปัญหาผ่านวิกฤตการเงินไปได้
สำหรับข้อที่ 3 คือ พิจารณาฐานะทางการเงิน โดยดูบริษทที่มีหนี้สินน้อย และทุนมากกว่า และข้อสุดท้าย คือ ต้องเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่นายบารัค โอบามา ได้รับชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เชื่อว่าโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้น เพราะนายโอบามามีความเข้าใจเศรษฐกิจเอเชียเป็นอย่างดี และเคยอาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเชีย เป็นคนชั้นกลาง ดังนั้นการตัดสินใจนโยบายเศรษฐกิจ น่าจะครอบคลุมทุกภาคส่วน เพราะมีความเข้าใจพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นอย่างดี
"มองว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนของสหรัฐ หรือกระทั่งรัฐบาลของนายโอบามาก็มีการดูแลเรื่องการค้าระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น และรักษาผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งอาจจะกระทบกับภาคการค้า ธุรกิจ และการส่งออกของไทย โดยกระทรวงการคลังจะต้องเตรียมรับมือ
ซึ่งหน้าที่ด้านการค้ากับสหรัฐ นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี จะเร่งเจรจาให้เกิดประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศอย่างเต็มที่"
วันที่ 06 พ.ย. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 12ช.ม. 55นาที
EGCO Price %Change High Low P/E BV
0.00 0.00 % 0.00 0.00 4.07 0.70
RATCH Price %Change High Low P/E BV
0.00 0.00 % 0.00 0.00 9.44 1.11
SCC Price %Change High Low P/E BV
0.00 0.00 % 0.00 0.00 4.99 1.50
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=20424