เพิ่งรู้ว่าเมื่อวานมีเซอร์กิตเบรกเกอร์ด้วย :lovl: :lovl: :lovl:แมลงเม่าระส่ำตลาดหุ้นวิกฤติสุดผันผวน ภัทรี ยา สั่งเบรก 1 ชั่วโมง [19 ก.ย. 51 - 04:19]
ผู้สื่อข่าวรายงานตลาดหุ้นไทยวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ทันทีที่เปิดตลาดดัชนีดิ่งลงแรงถึง 14.84 จุด จากนั้นยังคงทรุดตัวลงรุนแรง โดยเปิดการซื้อขายแค่ชั่วโมงเศษ ดัชนีลงมาต่ำสุดที่ 569.94 จุด ลดลง 35.20 จุด โดยนักลงทุนยังคงอกสั่นขวัญแขวนกับวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯ แต่เมื่อเปิดการซื้อขายภาคบ่ายปรากฏว่ามีแรงซื้อกลับเข้ามาพยุงดัชนี ภายหลังจากที่มีข่าวว่าธนาคารกลางทั่วโลก นำโดยสหรัฐฯ ได้ร่วมหารือและได้ข้อสรุปว่าจะร่วมกันอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อพยุงวิกฤติครั้งนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ กลับเข้ามาซื้อดันตลาดหุ้นเอเชีย รวมทั้งไทยให้รีบาวน์กลับมาได้
โดยหุ้นไทยมาปิดตลาดที่ 600.38 จุด ลดลง 4.76 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 18,762 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,134 ล้านบาท ทั้งนี้ นับตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มสหรัฐฯปะทุรุนแรงเมื่อเดือน ส.ค.ปี 50 พบว่าต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 195,000 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากข้อมูลย้อนหลัง 9 ปี นับจากปี 42 พบว่าต่างชาติยังเหลือเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นยอดซื้อสุทธิ 150,000 ล้านบาท แม้ปี 51 ต่างชาติจะขายสุทธิออกมามากถึง 120,000 ล้านบาทก็ตาม แต่ในส่วนของการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจหรือการถือหุ้นโดยตรง (FDI) นั้น ยังไม่พบว่าต่างชาติได้มีการถอนทุน โดยยังคงถือหุ้นในบริษัทหุ้นไทยสัดส่วน 30% ของมูลค่ามาร์เก็ตแคป ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 4.75 ล้านล้านบาท
ขณะที่นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าถูกถล่มเทขายอย่างหนัก สะท้อนให้ เห็นว่าเป็นการถล่มขายแบบหนีตายของต่างชาติ โดยยอมขายขาดทุนทุกราคา เพราะจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่าต้นทุนต่างชาติเฉลี่ยอยู่ที่ดัชนีระดับ 602 จุด และเมื่อบวกกับกำไรที่ได้จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นแล้ว การเทขายของต่างชาติที่ระดับดัชนีที่ลงลึกมาถึง 570 จุด ในช่วงเช้านั้น ต่ำกว่าราคาต้นทุนที่ต่างชาติถืออยู่มาก และยังพบว่ารายย่อยก็ขาดทุนเจ็บตัวไม่แพ้กัน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นหรือกู้เงินเพื่อซื้อหุ้น
นอกจากนี้ ดัชนีที่ปรับตัวลงลึกมาที่ 570 จุด ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งครั้งนั้นแค่วันเดียวดัชนีทรุดลงกว่า 10% ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องหยุดพักการซื้อขาย 1 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกตั้ง แต่เปิดทำการ แต่ครั้งนั้นดัชนีลงมาต่ำสุดแค่ 586 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ผลจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลหลายบริษัทสูงขึ้นเป็น 8-10% ถือว่าสูงมาก สูงกว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น นักลงทุนหรือกองทุนที่ไม่ตื่นตระหนกและมีสภาพคล่องเหลืออยู่น่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้น
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซียพลัสกล่าวว่า วิกฤติการ เงินรอบนี้ถือว่าหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนและรุนแรงกว่าวิกฤติแบล็กมันเดย์ ซึ่งตอนนั้นความเสียหายเกิดขึ้นเฉพาะในตลาดหุ้น แต่ครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นที่บริษัทยักษ์ใหญ่ล้มและปิดกิจการ.
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 1
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 2
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 3
นอกจากนี้ ดัชนีที่ปรับตัวลงลึกมาที่ 570 จุด ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งครั้งนั้นแค่วันเดียวดัชนีทรุดลงกว่า 10% ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องหยุดพักการซื้อขาย 1 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกตั้ง แต่เปิดทำการ แต่ครั้งนั้นดัชนีลงมาต่ำสุดแค่ 586 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ผลจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลหลายบริษัทสูงขึ้นเป็น 8-10% ถือว่าสูงมาก สูงกว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น นักลงทุนหรือกองทุนที่ไม่ตื่นตระหนกและมีสภาพคล่องเหลืออยู่น่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 8
จากข้อมูลย้อนหลัง 9 ปี นับจากปี 42 พบว่าต่างชาติยังเหลือเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นยอดซื้อสุทธิ 150,000 ล้านบาท แม้ปี 51 ต่างชาติจะขายสุทธิออกมามากถึง 120,000 ล้านบาทก็ตาม แต่ในส่วนของการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจหรือการถือหุ้นโดยตรง (FDI) นั้น ยังไม่พบว่าต่างชาติได้มีการถอนทุน โดยยังคงถือหุ้นในบริษัทหุ้นไทยสัดส่วน 30% ของมูลค่ามาร์เก็ตแคป ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 4.75 ล้านล้านบาท
มองอีกด้าน น้ำยังเต็มแก้ว( FDI = 4.75 MMB.) ที่ไหลออกไปแค่ fund flow เบื้องต้น งานนี้อาจมี midnight sale ทุกเดือนหรือเปล่าครับเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 9
quote ผิดที่อีกแล้ว ขอโทษที
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 11
อืมม โดนทักซะแล้ว นานๆจะเห็น reversed ratio แบบนึ้นะครับ เชียร์ครับSET:ตลท.เผยวันนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,406 ลบ.
กรุงเทพฯ--19 ก.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ระบุในเว็บไซต์ สรุปการซื้อขายหลักทรัพย์
จำแนกประเภทผู้ลงทุน ซึ่งไม่รวมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai)ประจำวันดังนี้
ประเภทนักลงทุน มูลค่าซื้อ(ลบ.) มูลค่าขาย(ลบ.) สุทธิ(ลบ.)
นักลงทุนสถาบัน 5,120.39 2,609.21 2,511.18
นักลงทุนต่างชาติ 4,847.41 3,441.41 1,406.00
นักลงทุนทั่วไป 8,215.43 12,132.61 -3,917.18
ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ ปิดบวก 24.45 จุด หรือ 4.07% มาที่ 624.83
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกขำๆปนตกตะลึงนิดๆกับหัวข้อข่าว
โพสต์ที่ 12
เตรียมรับอีกสองบริษัทเต็มๆครับ , fund flow outแหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ กล่าวว่า จากตัวเลขการถือหุ้นทางตรงของ โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ พบว่ามีการถือหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยมากถึง 2.44 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มากพอสมควร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่เกิดปัญหาซับไพร์มก็มีการทยอยเทขายหุ้นออกไปแล้ว การที่ราคาหุ้นเหล่านี้จะปรับตัวลดลงอีก คงจะมีไม่มาก