'The Economist'ชี้ไทยติดกลุ่มเสี่ยงสูง บัวแก้วงัดข้อมูลโต้ยันมีเสถียรภาพ
9 มกราคม พ.ศ. 2551 15:39:00
บัวแก้วโต้รายงาน'The Economist' ที่ระบุปี2008 ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศมีความเสี่ยงมากสุด โชว์ข้อมูลยืนยันไทยมีเสถียรภาพ น่าลงทุน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : จากรายงานในนิตสาร The Economist ฉบับพิเศษ The World in 2008 จัดอันดับความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศไทย อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงทางการเมืองต่อการลงทุนสูงมาก ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศอิรัก ไนจีเรีย โกดิวัวร์ เวเนซุเอลา และฟิลิปปินส์ โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านการปกป้องตลาด อันตรายจากความรุนแรงทางการเมือง ความตึงเครียดทางการภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล
นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจถึงผล และวิธีการสำรวจ รวมทั้งกลุ่มคนที่นิตสาร The Economist ไปสำรวจ ซึ่งตนคิดว่า น่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากปี 2549 เพราะถ้าพิจารณาตัวเลขด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของไทย ในปี 2550 ได้สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างออกไป โดยการค้ากับต่างประเทศ ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนการส่งออกก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง ในช่วงเดือน 11 เดือนของปี 2550 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 จากปี 2549
นายธฤต กล่าวอีกว่า หากดูสถิติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2550 มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ จำนวน 770 รายการ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 และยังมีปริมาณเงินลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 69 จากช่วงเดียวกัน
นายธฤต กล่าวว่า รายงานดังกล่าวสวนกระแสกับการจัดอันดับของอังค์ถัด ที่ให้ประเทศไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนอันที่ 5 ต่อจากจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินเดีย นอกจากนี้ยังมีรายงาน “Doing Business 2008” ของธนาคารโลก ได้จัดให้ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 15 จาก 178 ทั่วโลก ที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินต่างๆ ก็จัดระดับความน่าเชื่อถือของไทย ที่มีเสถียรภาพทางการเงิน โดยข้อมูลเหล่านี้แสดงถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=218556
-------------------------------
ผมอ่านแล้วตอนแรกก็คิดว่า ฝรั่งมองเราร้ายเกินไป เพราะี่พี่แกเล่นเอาไปจัดกลุ่มกับ อิรัก ทีเดียว
อ่านแล้วก็คิดต่อไปว่าเป็นห่วงประเทศไทยที่คนแตกแยกกัน แต่ก็คงไม่ถึงกับแย่อย่างที่เขาว่า เพราะอะไรมันจะแย่กันได้เป็นหลายๆปีติดกัน พื้นฐานเราไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ก็ทรงๆ มาหลายปี ปีใหม่นี้อย่างมากก็คงไม่แย่กว่าปีที่แล้วหรอก คนไทยลืมง่ายเดี๋ยวก็กลับมาตั้งหลักเดินต่อกันได้
อ่านไปเพลินๆแต่พอก่อนปิดหน้าต่าง เลื่อนลงไปดูความเห็นคนที่เข้ามาอ่านข่าวนี้
.... โอ้โหแต่ละความเห็น การเมืองคุกกรุ่น .... อืมหรือฝรั่งเขาจะคิดถูกแล้ว
--------
เห็นปีนี้ทุกนักวิเคราะัห์รวมถึง ดร. นิเวศน์ ก็บอกว่าการเมืองจะเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งกว่า subprime อีก ... ว่าแล้วก็ focus แต่ธุรกิจของเราดีกว่า อะไรๆมันก็คาดเดาไม่ได้นี้นะ :(
มีข่าวน่าสนใจมาฝากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีข่าวน่าสนใจมาฝากครับ
โพสต์ที่ 2
ไทยน่าลงทุนตามหลังแค่จีน [ ไทยรัฐ, 9 ก.พ. 55 ]
สื่อนอกชี้ไทยเกษตรกรรมดี แรงงานภาคอุตสาหกรรมเด่น น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ
เกิดใหม่ เป็นรองแค่จีนเท่านั้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เปิดเผยรายงานการจัดอันดับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจทั่วโลก ซึ่งได้
ระบุว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจมากที่สุดรองจากจีน โดยให้เหตุผลว่าไทยมีความมั่งคั่ง
ในภาคเกษตรกรรม และมีความได้เปรียบในด้านแรงงานอุตสาหกรรม
สื่อนอกชี้ไทยเกษตรกรรมดี แรงงานภาคอุตสาหกรรมเด่น น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ
เกิดใหม่ เป็นรองแค่จีนเท่านั้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เปิดเผยรายงานการจัดอันดับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจทั่วโลก ซึ่งได้
ระบุว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจมากที่สุดรองจากจีน โดยให้เหตุผลว่าไทยมีความมั่งคั่ง
ในภาคเกษตรกรรม และมีความได้เปรียบในด้านแรงงานอุตสาหกรรม
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีข่าวน่าสนใจมาฝากครับ
โพสต์ที่ 3
รัฐกระตุ้นไทยลงทุนพม่า มีโอกาสเจอขุมทรัพย์ที่สมบูรณ์ คลังชี้เปิดประเทศเงินทะลักแน่ [ โพสต์ทูเดย์, 9 ก.พ. 55 ]
คลังกระตุกนักลงทุนไทยสนใจขุมทรัพย์พม่า นักวิชาการชี้ยังมีทรัพยากรสมบูรณ์ เหมาะลงทุน
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายวิจัยเศรษฐกิจและการคลัง (สวค.) เปิดเผยว่า
หลังจากที่พม่าเริ่มมีการเปิดประเทศอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2553 ส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศ
เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น โดยแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของประเทศพม่า ในช่วงปี 2554
อยู่ที่ 4.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากประเทศจีน ไทย ฮ่องกง เกาหลีใต้ รวม
ถึงประเทศในกลุ่มประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐ
คลังกระตุกนักลงทุนไทยสนใจขุมทรัพย์พม่า นักวิชาการชี้ยังมีทรัพยากรสมบูรณ์ เหมาะลงทุน
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายวิจัยเศรษฐกิจและการคลัง (สวค.) เปิดเผยว่า
หลังจากที่พม่าเริ่มมีการเปิดประเทศอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2553 ส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศ
เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น โดยแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของประเทศพม่า ในช่วงปี 2554
อยู่ที่ 4.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากประเทศจีน ไทย ฮ่องกง เกาหลีใต้ รวม
ถึงประเทศในกลุ่มประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."