กระทิงรีเทิร์นรับเลือกตั้ง ส่งหุ้นกระฉูด 29จุด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

กระทิงรีเทิร์นรับเลือกตั้ง ส่งหุ้นกระฉูด 29จุด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

กระทิงรีเทิร์นรับเลือกตั้ง ส่งหุ้นกระฉูด 29จุด
ระบุยังดีต่ออีก 1 สัปดาห์ก่อนรู้ผล ครม.ใหม่



         หุ้นไทย คึกจัดบวกกว่า 29 จุด สูงสุดใน 2 สัปดาห์ รับเลือกตั้งเรียบร้อย ประเทศเตรียมได้รัฐบาลใหม่ตามระบอบประชาธิปไตย หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนคืน เหตุมั่นใจรัฐฯใหม่ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเดินหน้าได้ แม้พรรคที่ชนะเลือกตั้งอาจผิดความคาดหวังวงการตลาดทุน ด้านโบรกฯไทย-เทศ มอง ดัชนีจากนี้ขึ้นต่อแค่ระยะสั้น ไม่เกิน 1 สัปดาห์ แถมยังมีความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพ ใบเหลือง-แดง และยังต้องลุ้นครม.ใหม่ โฉมหน้ารมต.เศรษฐกิจ และนโยบายฟื้นศก.ใหม่ ขณะที่ "ผู้ว่า ธปท." ยันยังไม่เลิกมาตรการกันสำรอง 30% ตอนนี้ จะทำเมื่อถึงเวลาเหมาะสมเท่านั้น ขณะที่ กกต. ประกาศผลเลือกตั้งเป็นทางการ พปช.กวาดที่นั่ง 233 ที่นั่ง ปชป.ได้ 165 ที่นั่ง

             แล้วก็เป็นไปตามคาดการณ์สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ วานนี้ (25 ธ.ค.) ที่ดัชนีฯ หรือ SET Idex ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมาเสร็จเรียบร้อย โดยปราศจากเหตุการณ์รุนแรง หรือไม่พึงประสงค์ใดๆ เกิดขึ้น หลังจากประเทศไทยต้องปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการปฏิรูปการปกครอง โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติมากว่า 1 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะฉะนั้นเมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาจบไปแล้ว ก็หมายถึงจากนี้ไปประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง ตามที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศคาดหวังเสียที และนั่นก็หมายถึงการส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นที่จะตามมา และหนุนให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนโดยตรงและในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียที โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ หลังจากที่ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางการเมืองในประเทศ จนยังไม่กล้าทุ่มเม็ดเงินเข้ามามากนัก เพราะย่อมมองว่าภาพพจน์ของรัฐบาลที่มาจากการรเลือกตั้ง ดีกว่าการรัฐบาลที่มีทหารคอยควบคุมอยู่ แม้ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตจากนี้ไปก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน หรืออดีตไทยรักไทยหลังจากถูกยุบพรรค และพรรคประชาธิปัตย์
             เนื่องจากการมีรัฐบาลใหม่ ย่อมหมายถึงประเทศก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้ง ในขณะที่รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศในยุคหลังการปฏิรูปการปกครอง ก็จะต้องตั้งใจที่จะบริหารประเทศให้ดี เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศกลับมาให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะเริ่มตั้งข้อสังเกตุแล้วว่า ทีมเศรษฐกิจของพลังประชาชนที่ขณะนี้มีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จมากกว่า 80% อาจจะมีตัวเลือกไม่มากนัก และอาจจะหาตัวเลือกที่มาจากคนนอกในที่สุด โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น แต่ก็เชื่อพลังประชาชนเองก็คงไม่นิ่งนอนใจ เพราะอันดับแรกของการดึงความมั่นใจกลับมาให้ได้โดยเร็ว ก็คือหามือดีมาฟื้นเศรษฐกิจก่อนเป็นอันดับแรก มากกว่าการเข้ามาเพื่อคืนความบริสุทธิ์ ยุติธรรมให้กับ 111 ผู้บริหาร และการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะหากพลังประชาชนเลือกแบบนั้นก็เท่ากับลดศรัทธาความน่าเชื่อถือที่มีของประชาชน นักลงทุน นักธุรกิจ หมดไป
             ขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรี หรือผู้นำประเทศนั้น ที่ถือเป็นจุดสำคัญที่สุดในตอนนี้ ที่นานาประเทศให้ความสำคัญและสนใจว่าจะนำพาประเทศไทยไปอย่างไรนั้นก็ยังเป็นประเด็นที่จับตามองที่สุดเช่นกัน โดยขณะนี้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นบุคคลที่มีโอกาสมากที่สุด ซึ่งหากว่าอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงของไทย รวมไปถึงอดีตผู้ว่าราชการกทม. คนนี้ได้รับตำแหน่งนายกฯ ขึ้นกุมบังเหียนดูแลประเทศในตอนนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับให้ได้ แม้อาจจะมองว่าบุคลิกภาพส่วนตัวจะไม่เหมาะสม แต่อย่างน้อยนายสมัคร ก็ไม่ได้ขี้ริ้ว ขี้เหร่ ถึงขนาดรับไม่ได้ หรือแม้แต่จะโดนมองว่านายกฯ เงาของอดีตนายกฯ คนก่อน ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่มีหลักฐานชัดเจนแต่อย่างใด หรือถ้าไม่ใช่นายสมัคร แต่เป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้กระทั่งนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็ตาม เพราะนักลงทุนต่างชาติแม้อาจจะไม่ยอมรับเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยก็ยังจะให้โอกาส และดูว่าผู้นำประเทศคนใหม่จะมีวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาประเทศอย่างไร มีมุมมองต่อการค้า การลงทุน การสร้างสัมพันธ์กับต่างประเทศในเวทีโลกอย่างไร มีการสานต่อนโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาลก่อนหน้าได้สัมฤทธิ์ผลแค่ไหน และผลักดันนโยบายใหม่ กระตุ้นการบริโภค การลงทุน และการใช้จ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมายได้แค่ไหน นั่นเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุด และมองเป็นประเด็นต้นๆ มากกว่า เพื่อตัดสินใจเข้าลงทุน
            เพราะฉะนั้นเมื่อมองจากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นจึงเห็นได้ว่า การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมา กลายเป็นจิตวิทยาทางด้านบวก สำหรับตลาดหุ้นไทย หนุนการซื้อขายให้มีความคึกคัก โดยเฉพาะแรงซื้อที่มีกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร รับเหมากอสร้าง และกลุ่มหลักทรัพย์ ผลักดันให้ดัชนีฯวานนี้ปิดที่ระดับ 843.28 จุด เพิ่มขึ้นถึง 29.68 จุด หรือ 3.65% มีมูลค่าการซื้อขาย 19,302.51 ล้านบาท โดยหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก คือ PTT ปิดที่ 368 บาท เพิ่มขึ้น 22 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,285.58 ล้านบาท PTTEP ปิดที่ 157 บาท เพิ่มขึ้น 9 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,841.46 ล้านบาท BANPU ปิดที่ 404 บาท เพิ่มขึ้น 22 บาท มูลค่าการซื้อขาย 944.01 ล้านบาท IEC ปิดที่ 1.53 บาท เพิ่มขึ้น 0.28 บาท มูลค่าการซื้อขาย 920.16 ล้านบาท และ SCB ปิดที่ 84.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 909.36 ล้านบาท ถือเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ที่ 844 จุด โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติ กลับมาซื้อสุทธิ 1,209.71 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 2,777.13 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 3,986.84 ล้านบาท


* เจพี มอร์แกน มองหุ้นขึ้นแค่ช่วงสั้น ชี้การเมืองยังไม่ชัดต้องรอ ครม. ใหม่
             นายมาโค่ สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับขึ้นแรงในวันนี้ น่าจะเป็นการปรับขึ้นรับข่าวดีเรื่องการเลือกตั้งภายในประเทศที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป แต่ทั้งนี้มองว่าประเด็นดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุนในระยะสั้นๆ เท่านั้น โดยมองว่าการปรับขึ้นของดัชนีฯ ไม่ใช่การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แต่น่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยมากกว่า
             ทั้งนี้เพราะภาพการเมืองในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ทั้งในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่ทราบว่าพรรคการเมืองใดจะรวมกัน และใครจะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่สำคัญๆ รวมทั้งเรื่องของนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรคการเมืองเองก็ยังไม่ชัดเจน จึงไม่ดึงดูดให้นักลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุน
             "สังเกตุได้ว่า วันนี้หุ้นที่ขึ้นมาเป็นในเครือของ ชินวัตร แทบทั้งนั้น ดังนั้นน่าจะเป็นจิตวิทยาระยะสั้นๆ โดยเชื่อว่า ที่เข้ามาซื้อนั้นไม่ใช่ต่างชาติ แต่จะเป็นรายย่อยมากกว่า เพราะหากเป็นนักลงทุนระยะยาว คงจะยังไม่เข้ามาทั้งที่ภาพการเมืองยังไม่ชัดเจน และยังไม่รู้ใครจะเป็นรัฐบาล อีกทั้งวันนี้วอลุ่มก็บางๆด้วย " นายมาโค่ กล่าว


* เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ชี้ หุ้นขึ้นตอบรับข่าวดีอีกประมาณ 1 สัปดาห์
            นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงน่าจะมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากประเด็นการเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ว่าพรรคที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้จะค้านกับสายตาของคนกรุงเทพมหานครและความเห็นของวงการตลาดทุน แต่อย่างไรก็ตามการมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเข้ามาบริหารประเทศก็น่าจะช่วยขับเคลื่อนให้นโยบายเศรษฐกิจและสังคมเดินหน้าต่อได้ และน่าจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศรวมถึงต่างประเทศกลับคืนมาได้อีกครั้ง
            " พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาค่อนข้างผิดไปจากความคาดหวังของวงการตลาดทุนก่อนหน้านี้ การตอบรับข่าวดีจากการเลือกตั้งจึงอาจเป็นผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนเพียงแค่ในระยะสั้น ซึ่งจากมูลค่าการซื้อขายที่ยังไม่หนาแน่นเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับระดับการปรับขึ้นของดัชนีฯโดยประเมินว่าดัชนีฯน่าจะปรับขึ้นตอบรับข่าวดีประมาณ 1 สัปดาห์ โดยหลังจากนั้นอาจต้องมาพิจารณากันถึงรายละเอียดในเชิงการบริหารว่าจะมีการจับขั้วพรรคตั้งรัฐบาลอย่างไร รวมถึงใครจะได้รับเลือกให้มาควบคุมดูแลงานด้านเศรษฐกิจและมีนโบายกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด"
             สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับผลดีจากความเชื่อมั่นของประชาชนที่น่าจะฟื้นตัวจากการมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ยอดการปล่อยสินเชื่อเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น KBANK ราคาเหมาะสม 95 บาท รวมถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจ็กที่จะเดินหน้าหลังมีนโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเช่น CK ประเมิน ราคาเหมาะสม 12 บาท และ STEC ราคาเหมาะสม 8.30 บาท รวมทั้ง ITD ราคาเหมาะสม 9.20 บาท
              ประเมินแนวต้านดัชนีฯ 880 จุด แนวรับ 820 จุด


* ASPระบุขึ้นช่วงสั้น ไม่แนะนำลงทุนช่วงนี้ เหตุติดวันหยุดยาวปีใหม่
            นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การปรับขึ้นของดัชนีฯในรอบนี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเรื่องของการเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รวมถึงทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นกันเกือบทั้งหมด ประกอบกับราคาน้ำมันในวันนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นจึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน และเป็นตัวที่ดันดัชนีฯให้ปรับเพิ่มขึ้นแรง ทั้งนี้มองว่าหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งที่ออกมาดี ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่อสังหาริมทรัพย์
             แต่อย่างไรก็ดี มองว่าเรื่องของการเลือกตั้งนั้นเป็นปัจจัยที่สนับสนุนจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นๆเท่านั้น เนื่องจากเรื่องของทางการเมืองยังมีความเสี่ยงของเสถียรภาพของรัฐบาล เนื่องจากมองว่ารัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้นต้องเป็นรัฐบาลผสมอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังต้องรอติดตามผลการตัดสินจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะมีผลการตัดสินเรื่องใบเหลือง ใบแดง รวมทั้งอาจจะมีการยุบพรรคที่มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยง
             ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เนื่องจากมองว่าดัชนีฯปรับขึ้นเพียงระยะสั้น จากนั้นก็จะมีการหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งจะตรงกับเวลาของการจัดตั้งรัฐบาลพอดี ซึ่งอาจจะทำให้มีการขายทำกำไรออกมา ดังนั้นจึงให้รอขายทำกำไร เมื่อตลาดฯมีการรีบาวน์ โดยมองแนวต้านรอบนี้ไว้ที่ 860 จุด แต่หากต้องการเข้าเก็งกำไร แนะนำหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น SPALI -AP-LPN หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น SEAFCO-CK และหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายทางภาครัฐที่อาจจะใช้สื่อจากทางภาครัฐในการประชาสัมพันธ์นโยบายรัฐ เช่น MCOT
             ส่วนแนวรับประเมินไว้ที่ 830 จุด ส่วนค่าเฉลี่ยของดัชนีฯในปีนี้อยู่ที่ระดับ 850 จุด ขณะที่าปี 51 คาดว่าดัชนีฯเฉลี่ยอยู่ที่ 880-900 จุด
             ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยไทย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 30 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกหลักมาจากประเด็นการเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไปด้วยดี ซึ่งถือว่ารัฐบาลชุดใหม่นี้ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย จึงยังส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนในช่วงนี้
             แต่อย่างไรก็ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ ในช่วงนี้เป็นการตอบสนองข่าวในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามานี้ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลที่แน่ชัดว่าจะมีพรรคการเมืองใดเข้ามารวมกับพรรคพลังประชาชน ส่วนบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งของแต่ละกระทรวงยังคงไม่แน่ชัด และเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อาจจะมีการแจกใบแดง-ใบเหลืองตามมาอีก โดยเรื่องทุกอย่างน่าจะชัดเจนภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
             โดยกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว แนะนำซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ SCB-KBANK-BAY เนื่องจากได้ผลตอบแทนมากกว่า 1 เท่า แนะเก็งกำไรระยะสั้นอาทิ ADVANC-INOX ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการเมือง และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเนื่องจากได้เมกะโปรเจ็คต่างๆ น่าจะเริ่มเดินหน้าต่อได้หลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา ประเมินแนวรับ 825 จุด แนวต้าน 850 จุด


* "ผู้ว่าธปท."ยัน ยังไม่เลิกมาตรการ30% ระบุจะทำเมื่อจังหวะเหมาะสม
             นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า ธปท.พร้อมที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% เพราะถือว่าเป็นมาตรการระยะสั้น แต่ต้องถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นแม้ว่านโยบายของพรรคการเมืองต้องการที่จะยกเลิกทันทีเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน แต่หากเวลายังไม่เหมาะสม ธปท.ก็เชื่อว่าจะอธิบายให้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลชุดใหม่เข้าใจได้
             นอกจากนี้ ที่ผ่านมาธปท.ได้ผ่อนคลายมาตรการสำรองเงินทุนระยะสั้นนำเข้า30% มาเป็นระยะๆ ต่อเนื่องจนแทบจะไม่เป็นอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของนักลงทุนต่างชาติแล้ว และที่สำคัญธปท.ยืนยันมาตลอดว่ามาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการระยะสั้นสามารถยกเลิกได้เมื่อปัจจัยแวดล้อมเหมาะสม
             "ช่วงที่นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลังเข้ามาดำรงตำแหน่ง ตอนนั้นก็มีเป้าหมายที่จะยกเลิกมาตรการ 30%นี้เช่นกันแต่เมื่อได้รับฟังคำอธิบายของธปท.และได้เห็นสภาพแวดล้อมของการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างประเทศที่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้สั่งให้ยกเลิกแต่ในดูแลปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ" นางธาริษา กล่าว
              อย่างไรก็ตาม ธปท.ติดตามดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทและการเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วและหากเห็นว่า เมื่อไรเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและมีวิธีดูแลให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพต่อเนื่องจะมีการประเมินความจำเป็นของมาตรการ 30% อีกครั้งว่าจะสามารถยกเลิกได้ในเวลาใด
              นางธาริษา กล่าวต่อถึง รมว.คลังคนใหม่ ว่าไม่ว่าจะเป็นใครทั้งตัวผู้ว่าธปท. และพนักงาน ธปท.ทุกคน สามารถทำงานกับรมว.คลังคนใหม่ได้ทุกคน ไม่มีปัญหาใดๆ เพราะการทำงานของธปท. มีความชัดเจน โปร่งใสและเป็นงานเฉพาะทางที่ทำต่อเนื่อง มีแผนงานที่ชัดเจน


* กกต. สรุปคะแนนอย่างเป็นทางการ พปช. ได้ที่นั่ง 233 ที่นั่ง - ปชป. ได้ 165 ที่นั่ง
              นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวในการแถลงข่าวหลังนับคะแนนครบ 100% ในทุกจังหวัด อย่างเป็นทางการ ว่า พรรคพลังประชาชนได้ที่นั่งส.ส.แบบสัดส่วน 34 ที่นั่ง แบ่งเขต 199 ที่นั่ง รวม 233 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ สัดส่วน 33 ที่นั่ง แบ่งเขต 132 ที่นั่ง รวม 165 ที่นั่ง พรรคชาติไทย สัดส่วน 4 ที่นั่ง แบ่งเขต 33 ที่นั่ง รวม 37 ที่นั่ง พรรคเพื่อแผ่นดิน แบบสัดส่วน 7 ที่นั่ง แบ่งเขต 17 ที่นั่ง รวม 24 ที่นั่ง พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา สัดส่วน 1 ที่นั่ง แบ่งเขต 8 ที่นั่ง รวม 9 ที่นั่ง พรรคประชาราช สัดส่วน 1 ที่นั่ง แบ่งเขต 4 ที่นั่ง รวม 5 ที่นั่ง และมัชฌิมาธิปไตย ไม่ได้ที่นั่งแบบสัดส่วน แบ่งเขต 7 ที่นั่ง รวม 7 ที่นั่ง
               ทั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 32,759,009 คน คิดเป็น 74.45% จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44,002,593 คน โดยมีบัตรเสียทั่วประเทศ แบบสัดส่วน 5.57% ไม่ประสงค์ลงคะแนน 2.85% ส่วนแบ่งเขตบัตรเสีย 2.55% ไม่ลงคะแนน 4.57% ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด อยู่ที่ จ.ลำพูน ที่ 88.90% ทั้งแบบสัดส่วนและแบ่งเขต ส่วนไม่ประสงค์ลงคะแนน มากที่สุดอยู่ที่จ.ภูเก็ต 9.90%
               โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงขึ้นจากปี 2548 ที่มีผู้มาใช้สิทธิ 72.56% เป็น 74.45%
               นอกจากนี้การรับรองผู้สมัครอย่างเป็นทางการนั้น กกต. จะเร่งพิจารณารับรองผลให้เร็วที่สุดใน 7 วัน โดยคาดว่าในวันที่ 4 ม.ค. 2551 จะทราบผลการรับรองจากกกต.
               สำหรับกรณีการพิจารณาให้ใบเหลือง ใบแดง แก่ผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการจัดการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ว่า กกต. จะพิจารณาการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในการให้ใบเหลือง ใบแดงแก่ผู้สมัครก่อนรับรองสิทธิอย่างต่อเนื่องด้วยความยุติธรรม แม้จะไม่รีบเร่งจนเป็นวาระพิเศษ แต่จะดำเนินการอย่างยุติธรรม
โดยเบื้องต้นจะพิจารณากรณีการทุจริตในพื้นที่เขต 3 ของพรรคพลังประชาชนที่มีผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนเกี่ยวข้อง ทั้ง 3 คน ในเขต 3 พื้นที่จ.นครราชสีมา โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นวาระแรกตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยในช่วงบ่ายจะมีสำนวนร้องเรียนการกระทำผิดเพิ่มเติมอีก 15 สำนวน เข้าสู่วาระการประชุมของกกต. ซึ่งจะพิจารณากันไปเรื่อยๆ จนถึงในช่วงค่ำ และจะดำเนินการต่อในวันพรุ่งนี้
               ทั้งนี้คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเห็นใบเหลือง ใบแดง ก่อนวันที่ 4 ม.ค. 2551 และการจัดการเลือกตั้งใหม่จะจัดให้มีขึ้นครั้งแรกในวันที่ 13 ม.ค. 2551 หลังจากนั้นจะทยอยประกาศการเลือกตั้งใหม่ในพื้นที่ที่มีใบแดง หรือการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งต่อไปเป็นในรูปแบบการทยอยจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยไม่รอรวบผลแล้วจึงประกาศเลือกตั้งใหม่พร้อมกัน
'เรื่องใบเหลือง ใบแดง เราไม่ได้พิจารณาเร่งด่วนนัก แต่จะดำเนินการสำหรับผู้สมัครที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้เป็นผู้แทนก่อน ซึ่งเบื้องต้นเรื่องแรกที่เราพิจารณาเป็นพื้นที่โคราช เขต 3 และยังพิจารณาไม่เสร็จ บ่ายนี้จะมีเข้ามาอีก 15 เรื่อง ก็คงต้องพิจารณากันถึงค่ำ ถ้าไม่เสร็จเราก็จะต่อในวันพรุ่งนี้แล้วก็จะทำอย่างนี้ต่อไป ซึ่งผมได้ปรับเปลี่ยนในเรื่องของการร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่ได้ส่งทุกเรื่องที่มีการร้องเรียนเข้ามา เข้าสู่ระบบ lan ตรงไปถึงหน้าห้องของผม ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่มีปัญหาเชื่อมโยงใบเหลือง ใบแดงเท่านั้น แต่เราจะดูแลในทุกเรื่องที่ประชาชนได้แจ้งเข้ามา'นายอภิชาต กล่าว
               นายอภิชาต เปิดเผยถึงการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หลังจากมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ภายใน 30 วันตามที่ มาตรา 127 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดไว้ ว่า ภายใน 30 วันหลังการเลือกตั้งต้องจัดให้มีการประชุมรัฐสภาครั้งแรก ซึ่งรัฐบาลใหม่จะต้องเปิดประชุมรัฐสภาให้ได้ภายในวันที่ 22 ม.ค. 2551
ทั้งนี้ภายหลังจากที่เปิดประชุมรัฐสภาแล้วจะต้องดำเนินการให้องค์ประชุมรัฐสภาสมบูรณ์ โดยให้มีการคัดเลือกให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของกกต.อีกครั้งที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งกำหนดการเบื้องต้นนั้น กกต.ได้กำหนดให้วันที่ 2 มี.ค. 2551 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยรายละเอียดอื่นๆ ต้องหารือกันอีกครั้งหนึ่ง
กกต.ได้มีการกำหนดร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ในวันที่ 2 มี.ค. 2551 แล้ว โดยเตรียมที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป
โพสต์โพสต์