ลุ้นผลตัดสินปตท.ฉลุย
--------------------------------------------------------------------------------
โบรกฝรั่งมองผลตัดสินแปรรูปปตท.ของศาลปกครอง หากออกมาเชิงบวก พร้อมเฟดหั่นดอกเบี้ย หนุนตลาดหุ้นเด้งขึ้นอีกครั้งก่อนสิ้นปี ต่างชาติหอบเงินกลับเข้าลงทุน โบรกชูกลุ่มพลังงาน แบงก์ สื่อสารเด่นสุด ส่วนบาทแข็งค่าสุดรอบ 4 เดือน หลังดอลลาร์อ่อนค่าหนัก เฟดมีแววลดดอกเบี้ย 0.25%
ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้(11 ธ.ค.)ปิดที่ 840.45 จุด ลดลง 0.94 จุด หรือ 0.11% มูลค่าซื้อขาย 15,364.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับขึ้นสูงสุด 844.15 จุด และต่ำสุด 834.15 จุด
นาย วรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งต่อไปอีก 0.25% หลังจากที่คาดว่าจะปรับลดลงในการประชุมเมื่อคืนนี้(11 ธ.ค.) 0.25% ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย แม้ว่าศาลปกครองเตรียมพิจารณาบริษัท ปตท. ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ และเป็นปัจจัยกดดันตลาดอยู่ ส่วนการแก้ปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำ(ซับไพรม์)จะมีมาตรการแก้ปัญหาชัดเจนขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีของสหรัฐประกาศมีมาตรการช่วยเหลือ
สำหรับภาพรวมลงทุนสัปดาห์นี้หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย และในวันที่ 14 ธ.ค.ผลการตัดสินปตท. ออกมาเป็นบวก คาดว่าตลาดหุ้นจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาอีกรอบก่อนสิ้นปี ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะปตท.ซึ่งขณะนี้ลูกค้าต่างชาติจับตามอง ถ้าหากผลการตัดสินออกมาเป็นบวกจะเป็นโอกาสกลับเข้าไปซื้อ ทั้งนี้คาดว่าดัชนีจะปรับขึ้นไปถึง 940 จุดอย่างช้าในเดือนกันยายนปีหน้า และบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไร 24% ซึ่งหุ้นไทยน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
นาย ชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมาจากปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะปตท. ที่มีผลมากกว่าปัจจัยต่างประเทศ ส่วนผลประชุมเฟดตลาดคาดว่าจะปรับลดลง และไม่ส่งผลต่อตลาดหุ้น ขณะที่ผลการตัดสินการแปรรูปของปตท.จะออกมาในเชิงบวก สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงนี้ มองว่ากลุ่มพลังงานน่าสนใจ ซึ่งจากปัจจัยพื้นฐานแนะนำ ซื้อ PTT และ PTTEP รวมทั้งหุ้นที่จะได้รับผลดีช่วงเลือกตั้ง คือกลุ่มสื่อสาร บันเทิงและพลังงาน
นักค้าเงินธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า วานนี้(11 ธ.ค.) ค่าเงินบาทปิดที่ 33.60/33.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากช่วงเช้าที่เปิดที่ 33.64/33.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง หลังจากที่มีข่าวเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เข้ามาแทรกแซงเป็นระยะ ส่วนการไหลเข้าออกของเงินทุนอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งเป็นการสลับเข้ามาเพื่อทำกำไรระหว่างตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยวันนี้(12 ธ.ค.)คาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในกรอบ 33.55-33.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
--------------------------------------------------------------------------------