ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Banchap
Verified User
โพสต์: 247
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ที่ผ่านมาผมก็ติดตามดูบทวิเคราะห์ต่าง ๆรวมถึงกราฟต่าง ๆที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายวิเคราะห์ไว้ แต่พอหุ้นตกลงมาก ๆ การวิเคราะห์ก็เปลี่ยนตาม ทำให้สงสัยว่า กราฟนำหุ้น หรือหุ้นนำกราฟ
หลังจากค่อย ๆคิด แล้ว ก็เห็นว่า กราฟนั้นสามารถบิดเบือนได้ไม่ยาก หากมีเงิน และข่าวต่าง ๆ โดยมีผู้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องหลาย ๆส่วน และเป็นปัจจัยที่รายย่อยจะเป็นผู้ตามเสียส่วนใหญ่

แต่ผลประกอบการในรายงานงบการเงินต่าง ๆ จะบิดเบือนได้ก็โดยผู้บริหารแต่ก็ไม่ง่ายนัก และรายย่อยอย่างเรา ก็สามารถตรวจสอบและรับรู้ได้ในระดับลึกพอควร

ดังนั้น VI จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกราฟมากนัก

คิดแบบนี้ถูกไหมครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ที่ผมไม่พิจารณากราฟก็เพราะเวลาที่ผมซื้อห้น ผมซื้อที่มลค่าของกิจการครับ พิจารณาเหมือนกับที่ผมจะซื้อบ้าน ซื้อรถ

ผมจะพิจารณาเปรียบเทียบราคาที่ผมต้องจ่ายกับผลตอบแทนที่ผมจะได้รับจากการถือกรรมสิทธิ์ของห้นของบริษัทนั้นๆ

ผมไม่ได้คำนึงถึง DEMAND SUPPLY เทียมเลย ผมมีความคิดว่าถ้าบริษัทดี เดี๋ยว DEMAND ก็มาเอง ผมว่าผมคาดการณ์ได้เร็วและแน่นอนกว่ากราฟอีกครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
harry
Verified User
โพสต์: 4200
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

สำหรับผมแล้ว ก็คิดว่ากราฟไม่น่าจะมีความสำคัญมากนัก ความสำคัญอยู่ที่งบการเงิน ฐานะการเงิน ประสิทธิภาพการแข่งขันของธุรกิจ และก็แนวโน้มโอกาสของธุรกิจ อ้อ! เราต้องเข้าใจรูปแบบการดำเนินงานของธุรกิจนั้นด้วย

เพราะผมถือคติว่าเลือกหุ้นสองแบบ
1. หุ้นปันผล เลือกหุ้นที่งบการเงินดี กำไรติดต่อกันมาหลายปี และก็ปันผลติดกันหลายปีด้วย
2. หุ้นกิจการ เลือกถือหุ้นในกิจการที่เราเข้าใจกิจการนั้น แล้วซื้อเพิ่มเพื่อเพิ่มจำนวนให้เป็นผู้ถือหุ้นที่มีส่วนในการเข้าไปร่วมบริหารธุรกิจนั้นได้ และบริหารให้ดีขึ้นไปอีก
Expecto Patronum!!!!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ดูกราฟไม่เป็นครับ

ตอนขึ้นก็ให้แนวต้านไว้เห็นมันทะลุหมดจด ปรับกันจนเสียฟอร์มทุกวัน

ตอนลงให้แนวรับมันก็ควงสว่านหลุดหมดทุกแนว

ปรับกันจนเสียฟอร์มทุกวัน

เอาแน่ไม่ได้หรอกครับ

หุ้นจะต้องขึ้นแน่ๆถ้าบริษัทมีกำไร

หุ้นต้องลงแน่ๆถ้าบริษัทขาดทุน
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ปัจจัยต่างๆมาปรุงแต่งรวมตัวกัน จนกระทั่งเกิดผล ผลนั้นก็เอาไปทำกราฟ

เมื่อปัจจัยปรุงแต่งต่างๆเปลี่ยนไป ผลก็เปลี่ยนไปอีก เราก็ได้กราฟใหม่

อะไรเกิดขึ้นก่อน อะไรเกิดขึ้นตามมา

อิอิ พูดยังกะกำลังจะบวช

ผมเองเชื่อว่า เหตุการณ์ต่างๆนำไปสู่กราฟรูปแบบต่างๆเช่น

สมมุติเล่นๆแบบหลุดโลกไปเลยว่า

1. ไข้หวัดนก รุนแรงมากขึ้น คนตายไป ครึ่งโลก

กราฟจะเป็นอย่างไร

2. ไข้หวัดนก จบในวันพรุ่งนี้อย่างกระทัน เพราะเจอหลักฐานใหม่ว่า ไม่มีไวรัส H5N1 เป็นความเข้าผิดแตกตื่นกันไปเอง

สาเหตุการตายเกิดจากสาเหตุอื่น ที่เป็นสาเหตุปกติ ที่สามารถป้องกันได้

กราฟจะเป็นอย่างไร

แต่อย่างไรก็ตาม ผมพูดในฐานะคนดูกราฟไม่เก่ง และไม่มีความรู้ถึงแก่นของการดูกราฟ

ผมไม่ได้ดูถูกเรื่องการดูกราฟอะไรต่างๆ

แต่ผมค่อนข้างแปลกใจว่า เราจะไปทำนายอะไรได้อย่างไร ในเมื่อ เหตุเกิดก่อน แล้วผลตามมา เราจะเอาผล มา ต่อ ต่อ ต่อ กันเป็นกราฟ แล้วทำนายผลต่อไป โดยไม่สนใจเหตุ ได้อย่างไร

พูดแบบนี้เดี๋ยวนักเทคนิคมาต่อว่าผมอีกว่า ใครไม่สนใจเหตุ สนใจอยู่แล้ว เพราะนักดูเทคนิค หรือนักดูกราฟที่เก่งๆ เขาต้องรู้พื้นฐานด้วย ต้องติดตามข่าวด้วย เป็นต้น
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

หวัดนก + ต่างชาติขาย กดดันราคาหุ้นทั้งกระดาน

ทำให้กราฟราคาหุ้น PSL ต่ำลงมา

แต่ทางเทคนิคอาจจะบอกว่า ต่ำต่อได้ แต่ไม่น่าจะมากไปกว่านี้แล้ว

แต่พอไปเจอข่าวลือ เกี่ยวกับการเพิ่มทุน ที่ราคา 28 บาท ข่าวนี้อาจจะทำให้ราคามันลงไปอีก

แต่มันลงเพราะข่าวลือนี้ หรือว่า มันลงเพราะมีคนตั้งใจทุบหุ้น แต่ไม่อยากให้ใครสังเกตุ

เรื่องก็กลายเป็นว่า รายย่อย panic sell เพราะข่าวลือเพิ่มทุน ที่ราคา 28 บาท

ตอนแรกก็บอกว่ามีกองทุน short sell ผมก็สงสัย short sell แล้วทำไมต้องลากราคากลับขึ้นไป

การที่มีกองทุน short sell กราฟจะเป็นอย่างไร

การที่มีรายใหญ่ทุบหุ้น แล้วเก็บของถูกโดยการปล่อยข่าวลือ กราฟจะเป็นอย่างไร

และถ้าทั้งสองท่าน คือท่านกองทุน ที่ตั้งใจทุบ แต่คงไม่ต้องลาก เพราะกำไรไปแล้ว จากการซื้อคืน

ผสมโรงกับรายใหญ่ที่ตั้งใจทุบ แต่ตั้งใจลากกลับ ไม่งั้น ลากไม่ใหว ถ้าลงลึกเกินไป

แล้วกราฟจะเป็นอย่างไร
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ดูกราฟไม่เป็นครับ
Penguins
Verified User
โพสต์: 366
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

Jeng เขียน:ปัจจัยต่างๆมาปรุงแต่งรวมตัวกัน จนกระทั่งเกิดผล ผลนั้นก็เอาไปทำกราฟ

เมื่อปัจจัยปรุงแต่งต่างๆเปลี่ยนไป ผลก็เปลี่ยนไปอีก เราก็ได้กราฟใหม่

อะไรเกิดขึ้นก่อน อะไรเกิดขึ้นตามมา

อิอิ พูดยังกะกำลังจะบวช

ผมเองเชื่อว่า เหตุการณ์ต่างๆนำไปสู่กราฟรูปแบบต่างๆเช่น

สมมุติเล่นๆแบบหลุดโลกไปเลยว่า

1. ไข้หวัดนก รุนแรงมากขึ้น คนตายไป ครึ่งโลก

กราฟจะเป็นอย่างไร

2. ไข้หวัดนก จบในวันพรุ่งนี้อย่างกระทัน เพราะเจอหลักฐานใหม่ว่า ไม่มีไวรัส H5N1 เป็นความเข้าผิดแตกตื่นกันไปเอง

สาเหตุการตายเกิดจากสาเหตุอื่น ที่เป็นสาเหตุปกติ ที่สามารถป้องกันได้

กราฟจะเป็นอย่างไร

แต่อย่างไรก็ตาม ผมพูดในฐานะคนดูกราฟไม่เก่ง และไม่มีความรู้ถึงแก่นของการดูกราฟ

ผมไม่ได้ดูถูกเรื่องการดูกราฟอะไรต่างๆ

แต่ผมค่อนข้างแปลกใจว่า เราจะไปทำนายอะไรได้อย่างไร ในเมื่อ เหตุเกิดก่อน แล้วผลตามมา เราจะเอาผล มา ต่อ ต่อ ต่อ กันเป็นกราฟ แล้วทำนายผลต่อไป โดยไม่สนใจเหตุ ได้อย่างไร

พูดแบบนี้เดี๋ยวนักเทคนิคมาต่อว่าผมอีกว่า ใครไม่สนใจเหตุ สนใจอยู่แล้ว เพราะนักดูเทคนิค หรือนักดูกราฟที่เก่งๆ เขาต้องรู้พื้นฐานด้วย ต้องติดตามข่าวด้วย เป็นต้น
.....................................................................................................
ผลตอบแทน = เงินปันผล + ส่วนต่างของราคา

ราคา ณ วันที่เห็น = มูลค่าของกิจการ + การเก็งกำไร

การเก็งกำไร = ?

ผิดตก ยกเว้น

อาจไม่ค่อยจะถูกใจ .......... แต่ถ้าไม่ถูกต้องแล้วต้องขออภัยด้วย
ถาม ?
กราฟสำคัญหรือไม่ ?
สำคัญตรงที่มีไว้สำหรับการตัดสินใจ ซื้อ/ขาย
ถ้าราคาปัจจุบัน 20 บาท/หุ้น
ราคามูลค่าที่เหมาะสม 50 บาท/หุ้น (เกิดจากการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน-คาดการณ์อนาคต)

แล้วเราจะตัดสินใจซื้อ ตอนใหน ? คงเป็นการดีไม่น้อยที่จะเข้าซื้อช่วงที่ไซเคิลต่ำๆ ......และ/หรือ

ถึงพี่เจ๋ง
คำว่า VI ผมคิดว่าทุกคนรู้ความหมายกันหมดครับ
แต่ กรอบ แนวทาง/แนวความคิด ของแต่ละคน นั้นไม่เหมือนกัน --------> กรณีที่พี่เจ๋ง ได้ยกตัวอย่าง กรอบ นั้นไว้ในกระทู้ที่ผ่านมาครับ แล้วจะไม่มีใครมาโพสถามว่า ซื้อ/ขาย หุ้นแบบ VI แล้วทำไมถึงไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้

อีกความคิดเห็นหนึ่งครับ
ด้วยความนับถือ
แก้ไขล่าสุดโดย Penguins เมื่อ พฤหัสฯ. ก.พ. 05, 2004 11:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมคิดว่าการดูกราฟก็มีส่วนถูกอยู่มากครับ

ถ้ายกตัวอย่างในกรณีง่ายๆ เช่นหุ้นตัวหนึ่งมีการเทขายหนักมาก
มาตลอด จนราคาปรับตัวไปอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งคน "ส่วนมาก"
หรือคน "กระเป๋า" หนักคิดว่า ถูกมากเกินไปแล้ว ถึงลงต่อก็ไม่
น่าจะมากมายอะไร แถมมีโอกาสขึ้นไปได้มาก

การซื้อก็จะเกิดขึ้นมากกว่าการขาย ราคาก็คงจะปรับตัวขึ้นครับ

ถ้าเราไปดูกราฟ เราอาจจะพอเห็นได้ว่า ในอดีตเมื่อหุ้นตัวหนึ่งๆ
ราคาตกลงมามากแค่ไหน แล้วมีคนเริ่มเข้าไปช้อนซื้อมากๆ และ
เกิดปรับตัวขึ้น ก็อาจจะพอบอกได้ครับว่า ในอนาคตหุ้นตัวนั้นๆ
จะเกิด pattern เดียวกันขึ้น

ผมดูกราฟไม่ค่อยเก่งนะครับ อ่านไม่ขาดเสียที
pae2020
Verified User
โพสต์: 226
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

กราฟบอกได้แค่แนวโน้มของราคาครับ แต่แนวโน้มก็คือแนวโน้ม มันไม่ได้บอกถึงความแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์

สำหรับผม เห็นว่ากราฟเป็นเครื่องมือสำหรับคนที่ใจหนักแน่นไม่มากพอ เลยมองหาจุดซื้อเพื่อความสบายใจ
tech
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

Banchap เขียน:ที่ผ่านมาผมก็ติดตามดูบทวิเคราะห์ต่าง ๆรวมถึงกราฟต่าง ๆที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายวิเคราะห์ไว้ แต่พอหุ้นตกลงมาก ๆ การวิเคราะห์ก็เปลี่ยนตาม ทำให้สงสัยว่า กราฟนำหุ้น หรือหุ้นนำกราฟ
หลังจากค่อย ๆคิด แล้ว ก็เห็นว่า กราฟนั้นสามารถบิดเบือนได้ไม่ยาก หากมีเงิน และข่าวต่าง ๆ โดยมีผู้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องหลาย ๆส่วน และเป็นปัจจัยที่รายย่อยจะเป็นผู้ตามเสียส่วนใหญ่

แต่ผลประกอบการในรายงานงบการเงินต่าง ๆ จะบิดเบือนได้ก็โดยผู้บริหารแต่ก็ไม่ง่ายนัก และรายย่อยอย่างเรา ก็สามารถตรวจสอบและรับรู้ได้ในระดับลึกพอควร

ดังนั้น VI จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกราฟมากนัก

คิดแบบนี้ถูกไหมครับ


ตอบคุณ Banchap

นักวิเคราะห์กราฟ (หรือ ทางเทคนิค) ก็ทำนองเดียวกับนักวิเคราะห์พื้นฐาน และ อาชีพอื่นทั่วๆไป คือ คนเก่งจริงมีน้อย ซึ่งเป็นสัจธรรมแท้จริงของโลกนี้ คนส่วนใหญ่มักจะผิด มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เอาชนะตลาดได้

นักวิเคราะห์ที่ดีและเก่ง ย่อมไม่ผันผวนตามกระแสของตลาด ยึดมั่นในแนวทางของตน ไม่เปลียนเป้าหมายไปมาตลอดเวลา และควรที่จะเลี่ยงวลีที่ว่า "ถ้าอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ .... ถ้าอย่างนี้ จะเป็นอย่างนั้น" เพราะพูดอย่างนี้ย่อมไม่มีถูกและไม่มีผิด นักวิเคราะห์ที่ดีต้องพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองว่า "ผิด หรือ ถูก" และ นักวิเคราะห์ที่เก่งจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่า ถูกมากกว่าผิด



คำถามที่ว่า " กราฟนำหุ้น หรือหุ้นนำกราฟ ? "

ขอตอบว่า ......ในระยะยาวแล้ว หุ้นนำกราฟ ..... เพราะราคาจะปรับตัวเข้าหาปัจจัยพื้นฐาน (แต่คำว่าระยะยาวในที่นี้ อาจกินเวลาเป็นเดือน เป็นปี ไม่ใช่ แค่วัน หรือ สัปดาห์ )

ในระยะสั้น กราฟน่าจะนำหุ้น .... เพราะผู้คนจะซื้อขายด้วย " อารมณ์มากกว่าเหตุผล " และเป็นอารมณ์ที่ "อ้างว่า" มีเหตุผล

พฤติกรรมของคนผ่านตลาดหุ้น ( รวมทั้งตลาด forex , สินค้า commodity ทั้งหลาย - สินค้าที่ซื้อจากตลาดไหนก็ได้ ไม่มีความแตกต่างในตัวของสินค้า ) ผ่านราคาของหุ้น จำแนกได้ออกเป็นแค่ 3 อย่างเท่านั้น ไม่ว่าอารมณ์ของคนจะดีใจ เสียใจ หวาดกลัว หรือ โลภขนาดไหน คือ

1 ซื้อ

2 ขาย

3 อยู่เฉย ๆ

เพราะฉะนั้น อาการ 3 อย่างนี้ก่อให้เกิด pattern บางอย่างในตลาดให้มองเห็น และ คาดการณ์ได้



สำหรับความเชื่อที่ว่า "กราฟนั้นสามารถบิดเบือนได้ไม่ยาก หากมีเงิน" นั้น ....... ขอตอบว่า กราฟจะใช้ได้ดีในตลาดที่มี liquidity พอสมควร

และไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะมีใครทำกราฟ เพราะ ไม่มีใครรู้ว่าเราใช้เทคนิคชนิดไหนดูกราฟอยู่ และที่สำคัญ " ภาพๆเดียวกัน ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะเห็นสวยเหมือนกัน "
tech
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

Jeng เขียน:ปัจจัยต่างๆมาปรุงแต่งรวมตัวกัน จนกระทั่งเกิดผล ผลนั้นก็เอาไปทำกราฟ

เมื่อปัจจัยปรุงแต่งต่างๆเปลี่ยนไป ผลก็เปลี่ยนไปอีก เราก็ได้กราฟใหม่

อะไรเกิดขึ้นก่อน อะไรเกิดขึ้นตามมา

อิอิ พูดยังกะกำลังจะบวช

ผมเองเชื่อว่า เหตุการณ์ต่างๆนำไปสู่กราฟรูปแบบต่างๆเช่น

สมมุติเล่นๆแบบหลุดโลกไปเลยว่า

1. ไข้หวัดนก รุนแรงมากขึ้น คนตายไป ครึ่งโลก

กราฟจะเป็นอย่างไร

2. ไข้หวัดนก จบในวันพรุ่งนี้อย่างกระทัน เพราะเจอหลักฐานใหม่ว่า ไม่มีไวรัส H5N1 เป็นความเข้าผิดแตกตื่นกันไปเอง

สาเหตุการตายเกิดจากสาเหตุอื่น ที่เป็นสาเหตุปกติ ที่สามารถป้องกันได้

กราฟจะเป็นอย่างไร

แต่อย่างไรก็ตาม ผมพูดในฐานะคนดูกราฟไม่เก่ง และไม่มีความรู้ถึงแก่นของการดูกราฟ

ผมไม่ได้ดูถูกเรื่องการดูกราฟอะไรต่างๆ

แต่ผมค่อนข้างแปลกใจว่า เราจะไปทำนายอะไรได้อย่างไร ในเมื่อ เหตุเกิดก่อน แล้วผลตามมา เราจะเอาผล มา ต่อ ต่อ ต่อ กันเป็นกราฟ แล้วทำนายผลต่อไป โดยไม่สนใจเหตุ ได้อย่างไร

พูดแบบนี้เดี๋ยวนักเทคนิคมาต่อว่าผมอีกว่า ใครไม่สนใจเหตุ สนใจอยู่แล้ว เพราะนักดูเทคนิค หรือนักดูกราฟที่เก่งๆ เขาต้องรู้พื้นฐานด้วย ต้องติดตามข่าวด้วย เป็นต้น
ตอบคุณ Jeng

ลองมองในอีกมุมหนึ่ง ....

สมัยดัชนี 800 เมื่อต้นปี 47 ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่านั่งอยู่บนรถด่วนที่พร้อมพลิกคว่ำตลอดเวลา แค่นกบินตัดหน้า รถก็พร้อมเทกระจาด ทุกคนพร้อมลงจากรถทุกเวลา เป็นไปได้รึเปล่าว่าทุกคนพร้อมจะขายอยู่แล้ว หวัดนกเป็นแค่ Trigger ตัวหนึ่งเท่านั้น ??

ถ้าไม่มีหวัดนก ใครจะไปรู้ว่าจะไม่อ้างเรื่องภาคใต้, FED จะขึ้นดอกเบี้ย หรือ P/E ตลาด 20 ???

สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ คือ ผลเกิดก่อนค่อย อ้าง หาเหตุว่า หวัดนก มีใครบอกบ้างว่าข่าว ไก่ตาย ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จะทำให้ตลาดลง

ไม่คิดหรือว่า เหตุ หวัดนก ทุกวันนี้เป็นแค่ข้ออ้าง เหตุที่แท้จริง คือ ปีที่แล้วตลาดร้อนแรงเกินไป ?



ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า นักเทคนิคของจริงไม่สนใจข่าว และ ไม่หาเหตุ เพราะจะทำให้เขว ข่าวต่างๆในตลาดเกิดจาก อารมณ์ ของฝูงชนในขนาดนั้น ถ้าอารมณ์ดีจะมองหาแต่ข่าวดี ถ้าอารมณ์ไม่ดี หรือ หวาดกลัว (ว่ารถจะพลิกคว่ำ ) ก็จะมองหาแต่ข่าวร้าย เช่น หวัดนก
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า นักเทคนิคของจริงไม่สนใจข่าว และ ไม่หาเหตุ เพราะจะทำให้เขว ข่าวต่างๆในตลาดเกิดจาก อารมณ์ ของฝูงชนในขนาดนั้น ถ้าอารมณ์ดีจะมองหาแต่ข่าวดี ถ้าอารมณ์ไม่ดี หรือ หวาดกลัว (ว่ารถจะพลิกคว่ำ ) ก็จะมองหาแต่ข่าวร้าย เช่น หวัดนก
ขอบคุณครับ ผมได้เรียนรู้ว่านักเทคนิคจริงๆ ไม่สนใจข่าว
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

นักวิเคราะห์ที่ดีและเก่ง ย่อมไม่ผันผวนตามกระแสของตลาด ยึดมั่นในแนวทางของตน ไม่เปลียนเป้าหมายไปมาตลอดเวลา และควรที่จะเลี่ยงวลีที่ว่า "ถ้าอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ .... ถ้าอย่างนี้ จะเป็นอย่างนั้น" เพราะพูดอย่างนี้ย่อมไม่มีถูกและไม่มีผิด นักวิเคราะห์ที่ดีต้องพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองว่า "ผิด หรือ ถูก" และ นักวิเคราะห์ที่เก่งจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่า ถูกมากกว่าผิด 
คุณ tech

เรื่องความถูกผิด นี่ผมยังไม่เข้าใจครับ เช่น ถ้าผมซื้อหุ้น ที่ราคา 10 บาท

กรณีที่ 1 ผ่านไป 3 เดือน ราคา เป็น 8 บาท อีก 12 เดือนต่อมา ราคาเป็น 12

กรณีที่ 2 ผ่านไป 3 เดือน ราคา 12 บาท อีก 12 เดือนต่อมาราคา ไปอยู่ที่ 8 บาท

ไม่รู้ว่าแบบไหนถูกแบบไหนผิด

แต่ละเหตุการณ์มันก็มีคำอธิบายอยู่ในตัว ไม่ว่าเราจะอธิบายได้ หรือไม่ได้
tech
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

คุณ tech

เรื่องความถูกผิด นี่ผมยังไม่เข้าใจครับ เช่น ถ้าผมซื้อหุ้น ที่ราคา 10 บาท

กรณีที่ 1 ผ่านไป 3 เดือน ราคา เป็น 8 บาท อีก 12 เดือนต่อมา ราคาเป็น 12

กรณีที่ 2 ผ่านไป 3 เดือน ราคา 12 บาท อีก 12 เดือนต่อมาราคา ไปอยู่ที่ 8 บาท

ไม่รู้ว่าแบบไหนถูกแบบไหนผิด

แต่ละเหตุการณ์มันก็มีคำอธิบายอยู่ในตัว ไม่ว่าเราจะอธิบายได้ หรือไม่ได้[/quote]

ไม่แน่ใจว่าจะตอบถูกเนื้อหาของคำถามหรือเปล่า ....
ถ้าหุ้นราคา 10 ให้เป้าหมาย 12 ต้องให้เป้าหมานระยะเวลากำกับด้วยคร่าวๆ ว่าภายในกี่วัน กี่สัปดาห์ แต่ถ้าให้เป็นขนาดเดือนถึงปีนี่ รู้สึกจะกว้างไปหน่อย เพราะระยะเดือนเป็นปีนี่ หุ้นแกว่งขึ้นลง 2 บาท มีความเป็นไปได้สูงนะ คนทั่วๆไปก็วิเคราะห์ได้

กรณีที่ 1 หุ้นราคา 10 ถ้าให้ดีต้องบอกว่า รอซื้อแถว 8 - 8.50 เป็นต้น

กรณี 2 หุ้นราคา 10 ต้องบอกเห็นเป้าหมายแถว 12 ให้ขาย ..... บทวิเคราะห์ต้องยึดถือปฎิบัติได้จริง ไม่ใช่มีแนวต้านที่ 12.00 แนวต้านถัดไป 12.20 ถัดไป 12.30 , 12.50 ฯ .... เกือบทุกราคาเป็นแนวต้านหมด
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ฟังดูเข้าทีดีครับ คุณ tech
Penguins
Verified User
โพสต์: 366
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขอบคุณ พี่ tech ครับ
:P
another guest
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

คนสร้างกราฟ คนคือผู้ที่บอกให้กราฟว่าจะเป็นยังไง

เข้าใจว่าหลายคนยังไม่เข้าใจหลักทางเทคนิค

หลักคือ"อดีตยอมย้อนรอยเดิม"

แนวคิดคือ เราจะสามรถคาดราคาหุ้นในอนาคตได้อย่างไร ซึ่งมี 3 แนวทาง

1 ใช้ข้อมุลในอดีตบ่งบอก หลักเทคนิค
2 ใช้หลักวิเคราะห์ทางเทคนิค
3 ไม่ใช้ 1และ2 ใช้หลักบริหารความเสี่ยง ซึ่งก็คือแนวคิดพอรท์โฟลิโอ ของ มาร์โควิทช์นั่นเอง

ดังนั้นเทคนิคบอกความน่าจะเป็น ไม่ใช่หมายความว่ามันต้องเป็น ดังนั้น การย้อนอดีตก็ต้องดูให้ดีๆๆๆว่า มันจะย้อนอดีตแบบไหน ซึ่งมิใช่มีแบบเดียว
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

another guest เขียน:คนสร้างกราฟ คนคือผู้ที่บอกให้กราฟว่าจะเป็นยังไง

เข้าใจว่าหลายคนยังไม่เข้าใจหลักทางเทคนิค

หลักคือ"อดีตยอมย้อนรอยเดิม"

แนวคิดคือ เราจะสามรถคาดราคาหุ้นในอนาคตได้อย่างไร ซึ่งมี 3 แนวทาง

1 ใช้ข้อมุลในอดีตบ่งบอก หลักเทคนิค
2 ใช้หลักวิเคราะห์ทางเทคนิค
3 ไม่ใช้ 1และ2 ใช้หลักบริหารความเสี่ยง ซึ่งก็คือแนวคิดพอรท์โฟลิโอ ของ มาร์โควิทช์นั่นเอง

ดังนั้นเทคนิคบอกความน่าจะเป็น ไม่ใช่หมายความว่ามันต้องเป็น ดังนั้น การย้อนอดีตก็ต้องดูให้ดีๆๆๆว่า มันจะย้อนอดีตแบบไหน ซึ่งมิใช่มีแบบเดียว

:roll: :roll: :roll: :arrow: :idea:
Zero
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 20

โพสต์

การวิเคราะห์กราฟนั้นเป็นวิชาการที่มีการศึกษามานานและน่าเชื่อถือ
เราไม่ควรจะไปดูถูกเขา (และเขาก็ไม่ควรดูถูกเราเช่นกัน)

พวกVIอย่างเราดูงบการเงินผิดแล้วคาดการผิดก็มีถมไป

ที่แน่ๆ เวลามีข่าวอะไรแรงๆ นักวิเคราะห์ทุกแบบมักจะผิดเท่าๆกัน
ผมว่าการคาดการไม่ว่าจะแบบไหนจะทำได้ดีก็แค่ตอนปกติเท่านั้นนะครับ
บุคคลทั่วไป
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ผมเชื่อว่ากราฟมันหาจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อได้นะครับ สำหรับผมกราฟมันสะท้อนจิตใจของคน แนวรับ=ราคาที่คนส่วนมากคิดว่าถูกและมักจะซื้อ แนวต้าน=ราคาที่คนพอใจและขาย

ดังนั้นถ้าเราจะซื้อหุ้นที่แนวต้าน Probability ที่หุ้นจะลงมีสูงกว่าซื้อที่แนวรับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะเวลาจะช่วยลด SD ครับ ถ้ากิจการดี ซื้อที่แนวรับ แนวต้าน ราคาก็ถือว่าถูกหมดครับ แต่ผมชอบซื้อที่แถวแนวรับครับ เพราะอยากซื้อแล้วเห็นหุ้นขึ้นครับ อิอิ แต่ถ้าลงก็ช่างมัน เราถือว่าเราได้พยายามแล้ว 555
ภาพประจำตัวสมาชิก
Banchap
Verified User
โพสต์: 247
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ขอบคุณทุกท่านครับ ทำให้ผมได้มุมมองที่กว้างขึ้นมาก

:idea:
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ผมว่ากราฟก็งั้นๆแหละครับ
คนอ่านกราฟต่างหากที่สำคัญ :)

เหมือนงบการเงินแหละครับ
อ่านไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์

อยากรู้ว่าถ้ามีคนที่อ่านกราฟได้ขาดเหมือนคุณ tech หรือคุณอาริบา
และอ่านงบได้เก่งพอกับคุณ chatchai หรือคุณ _ลูกอีสาน จะประ-
สบความสำเร็จในการลงทุนมั้ย :)

ผมว่าอาจจะเละไปเลยนะครับ รู้มากไปก็ไม่ดี ฮ่าๆ
pae2020
Verified User
โพสต์: 226
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 24

โพสต์

อืมส์...ผมลองอ่านความเห็นตัวเองตอนต้นๆกระทู้ รู้สึกว่า Feeling มันไม่ค่อยดีแฮะ แต่คงไม่ได้ตั้งใจดูถูกวิชาความรู้ทางเทคนิคนะครับ

ความหมายของผมคือ ถ้าเราประเมินราคาที่ควรจะเป็นของหุ้นที่เราจะลงทุน (หรือตั้งราคาเป้าหมายในใจ) ได้ แล้วทำการคำนวณย้อนกลับหาราคาที่จะซื้อเพื่อเป็นจุดตัดสินใจในส่วนต่างราคา เมื่อหุ้นลงมาถึงจุดราคาที่เราเห็นว่าซื้อได้ หรือราคาขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วแต่ยังอยู่ในราคาที่เราตั้งใจจะซื้อ ผมจะซื้อเลยไม่สนใจกราฟว่าเข้าเขตซื้อมากไปหรือเปล่า

ดังนั้นซื้อแล้ว หุ้นยังตกต่อ ผมก็เฉยๆครับไม่ว่ากัน แต่ VI ที่ใจไม่หนักแ่น่นมากพออาจจะกังวลจนกินไม่อิ่มนอนไม่หลับไปได้ ถ้าเราประเมินตัวเองว่าเป็นคนที่ใจไม่หนักแน่นมากพอที่จะเห็นหุ้นที่ตัวเองซื้อปุบร่วงปับ ก็ควรอาศัยกราฟทางเทคนิคเข้าช่วยอีกแรง
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 25

โพสต์

เรื่อง VI ผมว่ามีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน

ถ้าเรื่องกราฟมีใครมาโพส แล้วมีหลักฐานชัดเจน ว่าจะเป็นอย่างไร

ผมว่า ในที่สุดก็จะมีคนเชื่อถือมากขึ้น

อยาก ได้ตัวอย่างเรื่องกราฟที่ชัดเจนครับ จะได้มีความรู้ใหม่พร้อม ตัวอย่างจริงครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ayethebing
Verified User
โพสต์: 2125
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ผมคิดว่ากราฟนี่ก็ดีนะครับ แต่ขอแสดงความเห็นทีแปลกๆ หน่อย

กราฟนี่เอาราคาในอดีต กับ volume การซื้อขายมาวัดว่าอนาคตควรจะเป็นยังไงใช่มั้ยครับ เคยมีใครวัดมั้ยว่าการพยากรณ์นั้นมันมีความแม่นยำขนาดไหน แล้วทำไมแต่ละคน เอามาพยากรณ์ด้วยกราฟเดียวกันถึงได้คำตอบที่ไม่เท่ากันครับ

ในขณะที่ผู้ที่ดูงบเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงนั้น ก็ต้องคาดเดาอนาคตเหมือนกัน เอาหลายๆ คนมาทำก็ได้มูลค่าที่แท้จริงไม่เท่ากันเหมือนกัน

ความแตกต่างอยู่ที่ไหนละครับ

ผมว่าความแตกต่างอันเดียวก็คือ ความสามารถของกิจการในการควบคุมงบนั้นมีสูงกว่าการควบคุมกราฟราคา ดังนั้นการเลือกซื้อกิจการที่มีผู้บริหารที่มีความสามารถและมี track record ที่ดีจึงเป็นการลดความเสี่ยงของการลงทุนอย่างนึง
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Simply
Verified User
โพสต์: 150
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 27

โพสต์

"เคนส์ บอกไว้ว่า สิ่งสำคัญคือ อย่าพยายามคิดอะไรเกี่ยวกับความเป็นไปในตลาด แต่จงพิจารณาธุรกิจที่คุณมีความเข้าใจ และที่คุณจดจ่ออยู่กับมัน"
"ด้วยเหตุผลบางประการ คนจะยึดติดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่าจะคิดถึงมูลค่า สิ่งที่ไม่ได้ผลดีเลยคือ การที่คุณลงทุนในหุ้นที่คุณไม่รู้จัก หรือลงทุนเพราะหุ้นนั้นทำกำไรให้กับคนบางคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหตุผลที่ทึ่มที่สุดในโลกคือ การซื้อหุ้นเพราะราคามันเพิ่งขยับตัวสูงขึ้น"
"เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อมันในตอนที่มันมีราคาต่ำที่สุด ขอเพียงแต่ให้ราคาขายนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็น และธุรกิจนั้นต้องบริหารงานโดยคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีความสามารถ หากวันนี้ คุณสามารถซื้อธุรกิจที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าของมัน ประกอบกับคุณมั่นใจในทีมผู้บริหารของธุรกิจนั้นๆ คุณกำลังจะทำเงินได้แล้ว"
"โอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการลงทุนเกิดขึ้น เมื่อกิจการที่ดีเยี่ยมถูกห้อลล้อมด้วยสถานการณ์ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของกิจการนั้นถูกประเมินอย่างผิดพลาด"
"ผมไม่เคยพยายามทำเงินจากการซื้อขายในตลาดหุ้น ผมซื้อมันด้วยสมมุติฐานที่ว่า ตลาดอาจจะถูกปิดในวันรุ่งขึ้น และไม่เปิดอีกเลยเป็นเวลาห้าปี"
จาก วาทะคนแถวหน้า-------วอร์เรน บัฟเฟทท์
Margin Of Safety+Intrinsic Value+Mr.Market
ขอบคุณอ.เกรแฮมที่ทำให้เกิด Value Investing
ขอบคุณบรรดาเหล่าVIทั้งหลายที่พิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของVI
ขอบคุณท่านดร.นิเวศน์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าVIใช้ได้กับบ้านเรา
M149
Verified User
โพสต์: 1477
ผู้ติดตาม: 0

ผมคิดแบบนี้ถูกไหมครับ

โพสต์ที่ 28

โพสต์

จริงๆแล้วผมก็เคยลองยืมหนังสือทางเทคนิคและถามเพื่อนที่ช่ำชองเทคนิก ไม่รู้สิทำยังไงก็ไม่เข้าหัวแย่จัง :lol: อย่างว่าเป็นคนไม่ค่อยต่อราคาขอให้คุ้มค่าเป็นใช้ได้ :lol:
ล็อคหัวข้อ