คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
-
- Verified User
- โพสต์: 435
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 1
มีบทบันทึกการบรรยายชิ้นหนึ่งที่ยอดเยี่ยมและน่าสนใจมากโดยคุณ Mark Sellers ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนอะไรทำนองนี้แหละ โดยเขารับเชิญไปบรรยายให้แก่นักศึกษา MBA ของมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด ในหัวข้อที่ชื่อว่า:- So, you want to be the next Warren Buffett? How's Your Writing? ลองกด link นี้เปิดอ่านดูนะครับถ้าใครสนใจ
แปลเป็นไทยก็คงประมาณ "คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า? แล้วคุณเขียนสื่อสารกับคนอื่นดีแค่ไหนล่ะ?"
เขาตั้งข้อสังเกตว่า คนที่จะทำผลงานได้ดีติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานหลายสิบปี ณ อัตราทบต้น 20% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับท่านบัฟเฟตต์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่สมองต้องถูกจัดแจงแต่งแต้ม (hard-wired)มาตั้งแต่อายุ 10 หรือ 11 หรือ 12 ปี หากล่วงเลยช่วงอายุนี้ไปแล้วมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดหรือมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายๆแห่งของอเมริกาก็ไม่สามารถปรับแต่งให้ใครก็ตามให้มีความสามารถดั่งท่านบัฟเฟตต์ได้ โดยเขาบรรยายเหตุผลอะไรต่อมิอะไรไว้หลายประการ อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องการใช้สมองเพื่อการลงทุนต้องใช้ทั้งซีกซ้าย และซีกขวาไปพร้อมๆกันจึงจะสมบูรณ์ ในอันที่จะทำให้เกิดผลงานอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ฯลฯ
เขายังพูดถึงความสามารถในการเขียนสื่อสารที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ผู้นั้นเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถไว้ด้วย เขายกตัวอย่างของท่านบัฟเฟตต์ว่าเป็นสุดยอดนักเขียนสื่อสารที่หาตัวจับได้ยากมาก ก็ท่านเล่นเขียนรายงานประจำปี จดหมายถึงผู้ถือหุ้นด้วยตนเองล้วนๆมาตั้งแต่ปี 1952 จวบจนปัจจุบัน คุณ Mark ให้เหตุผลว่าผู้ที่เขียนสื่อสารทำให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งได้ย่อมแสดงว่าผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีความคิดที่แจ่มแจ้งทะลุปรุโปร่งด้วยเช่นกัน
คราวนี้เรามาลองสำรวจตัวเราเองดูว่ามีคุณสมบัติข้อหลังนี้หรือยัง และถ้าให้ดีน่าจะลองโหวตดูว่ามีสมาชิก TVI ท่านใด มีความโดดเด่นทางด้านการเขียนสื่อสารเพื่อให้สมาชิกท่านอื่นอ่านเข้าใจแจ่มแจ้งในกระทู้ต่างๆ แล้วลองให้ท่านที่ได้รับการโหวตมาแสดงตนว่าสามารถทำผลงานการลงทุนได้ดีแค่ไหน มีความสัมพันธ์กันระหว่างความสามารถดังกล่าวกับผลงานการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ แค่ไหนน่าจะดี เพื่อเป็นแนวทางให้สมาชิกฝึกฝนทักษะด้านนี้ เพื่อจะได้เป็นผู้มีความคิดวิเคราะห์บริษัทต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งแจ่มแจ้งแดงแจ๋เหมือนคนที่เก่ง ๆ
ผมว่าใน TVI มีสมาชิกหลายท่านมีคุณสมบัตินี้อยู่ แต่สำหรับผมจนปัญญาที่จะไปหยั่งรู้ผลงานการลงทุนของท่านเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไรแค่ไหน ลองๆหยั่งเสียงให้มีการทำประชามติข้อนี้ดูน่าจะดีนะครับ
ส่วนการแปลบทบรรยายนี้ (จำนวน6หน้า) หากท่านใดสนใจ ให้ยกมือส่งเสียงสนับสนุนก็แล้วกัน
.........ถ้ามีจำนวนผู้สนใจจำนวนมากมายหลายท่าน ....ผมจะพยายามหาเวลาแปลแล้วเอาไปแป็ะไว้ที่ blog ของผมก็แล้วกัน
แปลเป็นไทยก็คงประมาณ "คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า? แล้วคุณเขียนสื่อสารกับคนอื่นดีแค่ไหนล่ะ?"
เขาตั้งข้อสังเกตว่า คนที่จะทำผลงานได้ดีติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานหลายสิบปี ณ อัตราทบต้น 20% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับท่านบัฟเฟตต์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่สมองต้องถูกจัดแจงแต่งแต้ม (hard-wired)มาตั้งแต่อายุ 10 หรือ 11 หรือ 12 ปี หากล่วงเลยช่วงอายุนี้ไปแล้วมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดหรือมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายๆแห่งของอเมริกาก็ไม่สามารถปรับแต่งให้ใครก็ตามให้มีความสามารถดั่งท่านบัฟเฟตต์ได้ โดยเขาบรรยายเหตุผลอะไรต่อมิอะไรไว้หลายประการ อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องการใช้สมองเพื่อการลงทุนต้องใช้ทั้งซีกซ้าย และซีกขวาไปพร้อมๆกันจึงจะสมบูรณ์ ในอันที่จะทำให้เกิดผลงานอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ฯลฯ
เขายังพูดถึงความสามารถในการเขียนสื่อสารที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ผู้นั้นเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถไว้ด้วย เขายกตัวอย่างของท่านบัฟเฟตต์ว่าเป็นสุดยอดนักเขียนสื่อสารที่หาตัวจับได้ยากมาก ก็ท่านเล่นเขียนรายงานประจำปี จดหมายถึงผู้ถือหุ้นด้วยตนเองล้วนๆมาตั้งแต่ปี 1952 จวบจนปัจจุบัน คุณ Mark ให้เหตุผลว่าผู้ที่เขียนสื่อสารทำให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งได้ย่อมแสดงว่าผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีความคิดที่แจ่มแจ้งทะลุปรุโปร่งด้วยเช่นกัน
คราวนี้เรามาลองสำรวจตัวเราเองดูว่ามีคุณสมบัติข้อหลังนี้หรือยัง และถ้าให้ดีน่าจะลองโหวตดูว่ามีสมาชิก TVI ท่านใด มีความโดดเด่นทางด้านการเขียนสื่อสารเพื่อให้สมาชิกท่านอื่นอ่านเข้าใจแจ่มแจ้งในกระทู้ต่างๆ แล้วลองให้ท่านที่ได้รับการโหวตมาแสดงตนว่าสามารถทำผลงานการลงทุนได้ดีแค่ไหน มีความสัมพันธ์กันระหว่างความสามารถดังกล่าวกับผลงานการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ แค่ไหนน่าจะดี เพื่อเป็นแนวทางให้สมาชิกฝึกฝนทักษะด้านนี้ เพื่อจะได้เป็นผู้มีความคิดวิเคราะห์บริษัทต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งแจ่มแจ้งแดงแจ๋เหมือนคนที่เก่ง ๆ
ผมว่าใน TVI มีสมาชิกหลายท่านมีคุณสมบัตินี้อยู่ แต่สำหรับผมจนปัญญาที่จะไปหยั่งรู้ผลงานการลงทุนของท่านเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไรแค่ไหน ลองๆหยั่งเสียงให้มีการทำประชามติข้อนี้ดูน่าจะดีนะครับ
ส่วนการแปลบทบรรยายนี้ (จำนวน6หน้า) หากท่านใดสนใจ ให้ยกมือส่งเสียงสนับสนุนก็แล้วกัน
.........ถ้ามีจำนวนผู้สนใจจำนวนมากมายหลายท่าน ....ผมจะพยายามหาเวลาแปลแล้วเอาไปแป็ะไว้ที่ blog ของผมก็แล้วกัน
"The man who doesn't read has no advantage over the man who cannot read." Mark Twain
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 2
มายกมือสนับสนุน 1 เสียงครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 6
ผมค่อนข้างเห็นด้วยนะครับว่า
คนที่ลงทุนประสบความสำเร็จมักจะเขียนสื่อสารกับคนอื่นได้ดี
ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างในเวปเราก็ได้ครับ
ลองสังเกตกันดู เกือบทุกท่านที่ลงทุนประสบความสำเร็จ
จะมีกระบวนการคิดและเขียนอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ดีมากทีเดียว
คนที่ลงทุนประสบความสำเร็จมักจะเขียนสื่อสารกับคนอื่นได้ดี
ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างในเวปเราก็ได้ครับ
ลองสังเกตกันดู เกือบทุกท่านที่ลงทุนประสบความสำเร็จ
จะมีกระบวนการคิดและเขียนอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ดีมากทีเดียว
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 7
... เขียน:
ชูสองมือเลยครับ
ยกสองมือด้วยครับ
แต่ถ้ารวมในเด็กในรูปพี่สามจุดด้วยแล้ว น่าจะเกิน 10 เสียงแล้วครับ :lol: :lol:
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 9
คนที่เขียนอะไรให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและมีความสามารถในการลงทุนขั้นสุดยอดที่เป็นที่รู้จักในเว็ปบอร์ดที่สุดคงต้องยกให้คุณ Invisible Hand แน่นอนครับ ... แต่ผลการลงทุนผมก็ไม่รุ้เหมือนกันแต่คิดว่าคงไม่ธรรมดาแน่ๆ
It's earnings that count
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับ
โพสต์ที่ 14
หนึ่งเสียงครับ อยากอ่านครับ
ส่วนผมชอบการบรรยายการวิเคราะห์ ของ พี่ ลูกอิสาน ครับ
ส่วนผมชอบการบรรยายการวิเคราะห์ ของ พี่ ลูกอิสาน ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 15
I want to be the first CopyWriter :lol: :lol: :lol:
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 18
โหวตให้อีก 1 เสียงครับ!
อ่านแล้วคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ครับ :P
7 ข้อที่ท่าน Mark บอกนั้น อ่านแล้วเข้าใจง่าย แต่ทำยาก (มากๆๆๆๆ) ครับ ...แต่จะพยายามให้ถึงที่สุดล่ะกันนะ
ไม่ขอเป็น next Warren แต่เป็นได้ครึ่งหนึ่งของ Warren ก็ยังดี อิอิ :lol:
อ่านแล้วคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ครับ :P
7 ข้อที่ท่าน Mark บอกนั้น อ่านแล้วเข้าใจง่าย แต่ทำยาก (มากๆๆๆๆ) ครับ ...แต่จะพยายามให้ถึงที่สุดล่ะกันนะ
ไม่ขอเป็น next Warren แต่เป็นได้ครึ่งหนึ่งของ Warren ก็ยังดี อิอิ :lol:
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจขาดทุนทันทีหลังลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 435
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 19
เอาล่ะผมแปลเสร็จแล้ว ท่านใดสนใจก็เชิญเข้าอ่านได้เลยครับที่ blog :
คุณอยากเป็นวอเร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?(ฉบับถอดความ)
คุณอยากเป็นวอเร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?(ฉบับถอดความ)
"The man who doesn't read has no advantage over the man who cannot read." Mark Twain
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 22
ขอบคุณมั่กๆ ครับ
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 1817
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 24
PP เขียน:เอาล่ะผมแปลเสร็จแล้ว ท่านใดสนใจก็เชิญเข้าอ่านได้เลยครับที่ blog :
คุณอยากเป็นวอเร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?(ฉบับถอดความ)
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณพี่ PP ที่แปลให้อ่านครับ
ผมขออณุญาตวิจารณ์เนื้อหาของมาร์ค เซลเลอร์ส สักนิด
เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกันนะครับ
เขาบอกว่า สิ่งสำคัญ 7 ประการที่จะทำให้เก่งๆนั้น
ผมเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ
แต่ผมไม่เห็นด้วยที่เขาบอกว่า
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
จะต้องมีมาตั้งแต่เด็ก
และบางคนก็มีติดตัวมา
บางคนก็ไม่มี
เขาเขียนขึ้นเองดุ่ยๆ
เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีข้อจำกัดมากมาย
ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ
กลุ่มตัวอย่างไม่มากพอที่จะสรุปเป็นทฤษฏี
ฯลฯ
จริงๆแล้วนิสัยหรือพฤติกรรมต่างๆ
เปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งก็มีหลายระดับความยากง่าย
ตั้งแต่ง่ายๆ เปลี่ยนในชั่วพริบตาเดียว
จนถึงยากๆ ที่เรียกว่า สันดอน เปลี่ยนยากๆจนเกือบไม่ได้เลย
แต่ 7 ข้อที่เขากล่าว ก็ไม่ได้มีความยากอะไรนักถ้า คนๆนั้น
"มีความตั้งใจมากพอ"
"มีสติเพียงพอ"
หรือมี "กระบวนการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ"
ผมให้ความสำคัญกับ "พรแสวง"
มากกว่า "พรสวรรค์"
เพราะเป็นสิ่งที่แตะต้องได้
แก้ไขได้
พัฒนาได้ มากกว่า พรสวรรค์ที่เลื่อนลอย
ผมขออณุญาตวิจารณ์เนื้อหาของมาร์ค เซลเลอร์ส สักนิด
เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกันนะครับ
เขาบอกว่า สิ่งสำคัญ 7 ประการที่จะทำให้เก่งๆนั้น
ผมเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ
แต่ผมไม่เห็นด้วยที่เขาบอกว่า
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
จะต้องมีมาตั้งแต่เด็ก
และบางคนก็มีติดตัวมา
บางคนก็ไม่มี
ที่ไม่เห็นด้วยเพราะ ไม่มีทฤษฏีจิตวิทยาเล่มไหนเขียนไว้อย่างนี้เลยทั้งนี้เพราะลักษณะนิสัยเหล่านี้ไม่สามารถเรียนรู้เพื่อเอามาเป็นของตัวเองได้เมื่อผู้นั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยความเป็นจริงแล้วลักษณะนิสัยบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้เพื่อให้มันติดอยู่กับตัวได้เลยแม้แต่น้อย นั่นแสดงว่า คุณต้องเกิดมาพร้อมกับลักษณะนิสัยเหล่านั้น หรือมิเช่นนั้นก็แสดงว่าคุณไม่มีลักษณะนิสัยเหล่านี้ติดตัวมาเลยแม้แต่น้อย
เขาเขียนขึ้นเองดุ่ยๆ
เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีข้อจำกัดมากมาย
ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ
กลุ่มตัวอย่างไม่มากพอที่จะสรุปเป็นทฤษฏี
ฯลฯ
จริงๆแล้วนิสัยหรือพฤติกรรมต่างๆ
เปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งก็มีหลายระดับความยากง่าย
ตั้งแต่ง่ายๆ เปลี่ยนในชั่วพริบตาเดียว
จนถึงยากๆ ที่เรียกว่า สันดอน เปลี่ยนยากๆจนเกือบไม่ได้เลย
แต่ 7 ข้อที่เขากล่าว ก็ไม่ได้มีความยากอะไรนักถ้า คนๆนั้น
"มีความตั้งใจมากพอ"
"มีสติเพียงพอ"
หรือมี "กระบวนการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ"
ผมให้ความสำคัญกับ "พรแสวง"
มากกว่า "พรสวรรค์"
เพราะเป็นสิ่งที่แตะต้องได้
แก้ไขได้
พัฒนาได้ มากกว่า พรสวรรค์ที่เลื่อนลอย
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 27
แต่ผมเห็นด้วยนะครับกับเรื่องการเป็นนักเขียนที่ดี
เพราะการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างดีแจ่มแจ้ง
ย่อมเกิดจากการที่ตนเองก็ต้องเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างดีเช่นกัน
แต่ผมก็คิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ฝึกได้อีกนั่นแหละ
เพราะการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างดีแจ่มแจ้ง
ย่อมเกิดจากการที่ตนเองก็ต้องเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างดีเช่นกัน
แต่ผมก็คิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ฝึกได้อีกนั่นแหละ
-
- Verified User
- โพสต์: 435
- ผู้ติดตาม: 0
คุณอยากเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่หรือเปล่า?
โพสต์ที่ 28
ดีๆครับ คุณแผ่วเบา :D ถ้าไม่มีการวิจารณ์ถกเถียงกันก็ไม่เกิดปัญญาหยั่งรู้ (หมายเหตุ: คุณ Markได้ขอออกตัวไว้ตอนต้นๆของการบรรยายแล้วว่า ต้องมีคนถกเถียงสิ่งที่เขาพูดไม่จบสิ้นแน่ๆ แต่เขาไม่ขอต่อล้อต่อเถียงด้วย - เสียดายที่ไม่มีบันทึกช่วงถาม-ตอบไว้ด้วย เลยทำให้เราไม่ได้ฟังความเห็น และจากการถามตอบในที่ประชุม) ผมก็จะลองพูดตามความเห็นของผมดู แต่อาจไม่เหมือนอย่างที่คุณ Mark เขาจะตอบก็ได้แผ่วเบา เขียน: .....................................................................
.......................................
ผมขออณุญาตวิจารณ์เนื้อหาของมาร์ค เซลเลอร์ส สักนิด
เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกันนะครับ
...............................................................
................................................
แต่ผมไม่เห็นด้วยที่เขาบอกว่า
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
จะต้องมีมาตั้งแต่เด็ก
และบางคนก็มีติดตัวมา
บางคนก็ไม่มี
..................................................................................
..................................................
ที่ไม่เห็นด้วยเพราะ ไม่มีทฤษฏีจิตวิทยาเล่มไหนเขียนไว้อย่างนี้เลย
เขาเขียนขึ้นเองดุ่ยๆ
เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีข้อจำกัดมากมาย
ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ
กลุ่มตัวอย่างไม่มากพอที่จะสรุปเป็นทฤษฏี
ฯลฯ
จริงๆแล้วนิสัยหรือพฤติกรรมต่างๆ
เปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งก็มีหลายระดับความยากง่าย
ตั้งแต่ง่ายๆ เปลี่ยนในชั่วพริบตาเดียว
จนถึงยากๆ ที่เรียกว่า สันดอน เปลี่ยนยากๆจนเกือบไม่ได้เลย
แต่ 7 ข้อที่เขากล่าว ก็ไม่ได้มีความยากอะไรนักถ้า คนๆนั้น
"มีความตั้งใจมากพอ"
"มีสติเพียงพอ"
หรือมี "กระบวนการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ"
ผมให้ความสำคัญกับ "พรแสวง"
มากกว่า "พรสวรรค์"
เพราะเป็นสิ่งที่แตะต้องได้
แก้ไขได้
พัฒนาได้ มากกว่า พรสวรรค์ที่เลื่อนลอย
ผมจำคำพูดของ Warren Buffett ที่พูดถึงประโยคนี้เสมอๆเวลาบรรยายเรื่องที่เข้าแก๊บกับจุดนี้: " The chain of habit is too light to be felt but too heavy to be broken !" ซึ่งถ้าถอดเป็นไทยก็คงราวๆว่า "นิสัยต่างๆนาๆที่ติดอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลนั้นน่ะเจ้าตัวไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอกว่าเป็นอย่างไรและก็เป็นเรื่องยากที่จะสลัดทิ้งนิสัยใดนิสัยหนึ่งออกจากกลุ่มนิสัยต่างๆที่ผูกร้อยโยงกันไว้ติดมากับตัวเองจะตั้งแต่กำเนิดหรือถูกบ่มเพาะไว้กับตนตั้งแต่ช่วงก่อนอายุโตเต็มวัยอย่างที่คุณ Mark พูดมา" ซึ่งมันเป็นเรื่องของจิตวิทยาและอารมณ์ล้วนๆ เรื่องนี้ Charlie Munger ก็สนใจศึกษามากเลยครับถึงกับให้ทุนวิจัยเกี่ยวเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวมวลชน ชื่อ Robert B Ciadini อยู่เสมอๆ ถ้าคุณแผ่วเบาสนใจก็ลองไปหาอ่านหนังสือที่แต่งโดยอาจารย์คนนี้ชื่อThe Pschology INFLUENCE of Persuasion ดูนะครับ ผมว่าน่าจะทำให้ได้ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยครับ
ใช่ครับ :lol: ผมเชื่อว่าเรื่องสติเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวช่วยแยกแยะอารมณ์ออกมาจากความเป็นจริงที่มีเหตุมีผล แต่เราต้องเข้าใจเรื่องความเป็นจริงอย่างถูกต้องและแจ่มแจ้งเท่านั้นจึงจะได้รับประโยชน์จากสติโดยไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ตัวเอง
ใครลองไปชักชวนแนะนำให้คนที่เขาถนัดเล่นหุ้นแบบเทคนิค ซื้อขายแบบวันต่อวันให้มาเข้าใจลงทุนแบบ Value ได้ ผมว่าต้องเก่งมากๆ เพราะท่านที่ยึดแนวดังกล่าวมันติดอยู่จนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว เว้นแต่เขาผู้นั้นจะมีสติพิจารณาศึกษาเปิดใจกว้างต่อวิธีลงทุนแบบ VI เท่านั้นแหละครับ :)
"The man who doesn't read has no advantage over the man who cannot read." Mark Twain