วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
nearly_vi
Verified User
โพสต์: 743
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

บวกกันหมดเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
tummeng
Verified User
โพสต์: 3665
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ก็วันนี้เทรดครึ่งวัน โวลุ่มตลาดถึงหมื่นล้านแล้ว

หลังจากที่ไม่เห็นมานานมาก ก็เลยต้องขอขยับหน่อยล่ะ

มั้ง
nearly_vi
Verified User
โพสต์: 743
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

อืมม แปลกเนอะ วันนี้ทำไม volume เยอะ

หรือว่าเป็นแรง เก็งกำไร ว่า การเมืองจะ สงบแล้ว???
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

อ้าวไม่รู้จริงๆเหรอ


ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

เงินไหลมาเทมามั้งครับ

อาจเป็นเพราะ ท้าวจตุคามรามเทพ ลงมาช่วย

ก็ทุกคนเล่นมีคนละองค์สององค์
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สงสัย ว่ามีรุ่นนี้รึเปล่า

TTAดีเหลือเกิน

หรือ SNC3พันล้าน

SVI-W2เป้า5.50
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
contrarian
Verified User
โพสต์: 1231
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อันนี้มั้ง




เมื่อไรตลาดหุ้นไทยจะทำ New High กับเขาบ้าง
The Fundamental View : ไพบูลย์ นลินทรางกูร  กรุงเทพธุรกิจ   วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ท่านผู้อ่านที่ไม่ได้ติดตามภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างใกล้ชิดอาจจะยังไม่ทราบว่า มีตลาดหุ้นหลายแห่งมากในโลกนี้ ที่ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาด (New High) ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ ดัชนี Dow Jones (DJIA) ที่ใช้วัดการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัทแรกของสหรัฐ ก็ได้ทำสถิติใหม่ไปหลายครั้ง และขึ้นสู่ระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ใน Asia เองนั้นก็มีตลาดหุ้นถึง 7 ใน 10 แห่ง (ไม่รวมญี่ปุ่นและตลาดเล็กๆ อย่างเวียดนาม) ที่ได้ทำสถิติใหม่ไปใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้น Asia ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดประกอบไปด้วย จีน ฮ่องกง เกาหลี อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะมีก็เพียงไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และไทยที่ยังไม่ได้ทำสถิติใหม่

ในกลุ่มที่ไม่ได้ทำ New High ตลาดไทยจัดเป็นตลาดที่มีผลงานที่น่าผิดหวังที่สุด เมื่อเทียบระดับ SET Index ในวันนี้กับสถิติสูงสุดในปี 1994 ที่ 1,789 หมายถึง ดัชนี SET Index จะต้องปรับขึ้นอีกถึงกว่า 150% กว่าที่เราจะเห็นตลาดไทยทำสถิติสูงสุดใหม่ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ต้องปรับขึ้นอีกเพียง 3% ก็จะถึง Record High เดิม ขณะที่ไต้หวัน ต้องปรับขึ้นอีกประมาณ 55% ถึงจะไปสู่ระดับสูงสุดเดิม

เมื่อย้อนดูถึง Trend ของตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปี 2004 เป็นต้นมา ตลาดไทยก็ยังคงเป็นตลาดที่มีผลงานที่ย่ำแย่ที่สุด ดัชนี SET Index ปรับลดลง 9% จากช่วงนั้นถึงปัจจุบัน ขณะที่ตลาด Asia อื่นอีก 9 แห่งปรับขึ้นทุกตลาด ยอดเฉลี่ยของการปรับขึ้นคือ 111% ตลาดอินโดนีเซียมีผลงานที่ดีที่สุดปรับขึ้น 195% ตามมาด้วย จีน (+168%) อินเดีย (+136%) และฟิลิปปินส์ (+132%)

ผมคงไม่ต้องอธิบายมากถึงเหตุผลของการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือ เหตุผลของการปรับตัวขึ้น ของตลาดหุ้นอื่นๆ สาเหตุสำคัญหลักในความคิดของผมคือ Liquidity ช่วงที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่มี Liquidity ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจาก Hedge Funds ซึ่งตอนนี้มีสินทรัพย์รวมทั้งหมดถึงกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีกองทุนประเภทนี้จัดตั้งขึ้นใหม่แทบทุกวัน ข้อสำคัญคือ กองทุน Hedge Funds สามารถกู้เงินมาลงทุนได้ด้วย ซึ่งก็เพิ่มขนาดของการลงทุนและอำนาจในการซื้ออย่างมาก อีกส่วนหนึ่งมาจาก Yen carry trade ก็คือ การที่นักลงทุนกู้ยืมเงินในสกุลเยนซึ่งมีดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ แล้วนำเอาเงินนี้ไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง ก็หนีไม่พ้นตลาดเกิดใหม่อย่าง Asia

ผลประกอบการที่ดีขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นได้มากในช่วงที่ผ่านมา เมื่อรวมกับ Liquidity ที่ไหลทะลักเข้าสู่ตลาดหุ้นก็ทำให้เกิดการ Re-Rate (การปรับเพิ่มขึ้นของ Valuation) ขึ้นในหลายๆ ตลาด เช่น อินโดนีเซียที่มีค่า Trailing P/E ratio เพิ่มขึ้นจาก 10-11 เท่าในปี 2003-2004 มาเป็น 19-20 เท่าในปัจจุบัน หรือมาเลเซียที่มีค่า Trailing P/E ratio ที่เพิ่มขึ้นจาก 14-15 เท่า ในปี 2003-2004 มาเป็น 18-19 เท่าในปัจจุบัน

นับเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างมากที่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของ Global Liquidity และสภาพแวดล้อมทางการเงินและเศรษฐกิจที่เป็นใจกับตลาดหุ้นมากๆ ในช่วงที่ผ่านมา ผมยังจำได้ว่าเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทย และอินโดนีเซียมีระดับของดัชนีราคาหุ้นที่ใกล้กันมาก คือประมาณ 300 กว่าจุด แต่มาถึงวันนี้ SET Index ของเราขึ้นมาที่ประมาณ 712 จุด ขณะที่ JSX Index ของอินโดนีเซียซื้อขายกันที่เกิน 2,000 จุดไปแล้ว

แต่อย่างที่ผมเคยได้เขียนไว้ในบทความชิ้นก่อนๆ ในคอลัมน์นี้ ผมยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะ Perform ได้ดีในครึ่งปีหลังนี้ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดไทยจะ Outperform ตลาดส่วนใหญ่ใน Asia SET Index น่าจะสามารถปรับตัวไปสู่ระดับ 750-800 จุด ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ผมมีเหตุผลหลักอยู่ 5 ข้อ

ข้อหนึ่ง ผมเชื่อว่าการปรับลดลงของดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้ถูก Fully discounted ไปในราคาหุ้น ขณะนี้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ได้ปรับลงมาเกือบจะ 2% แล้วในระยะ 10 เดือนที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อดูจาก P/E ratio ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ P/E ตลาดไทยน่าจะสามารถขึ้นไปได้ถึง 12 เท่าเป็นอย่างน้อย

ข้อสอง ผมเชื่อว่า Cycle ของการปรับลดลงของประมาณการกำไรโดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่น่าจะใกล้หรือถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว จากนี้ไปเราน่าจะเห็นนักวิเคราะห์ปรับประมาณการขึ้น และนี่จะเป็น Driver ที่สำคัญของตลาดไทย

ข้อสาม ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า รวมไปถึงผลประกอบการของ บจ. ทั้งหลาย ซึ่งการที่ Earnings Growth Momentum ปรับตัวดีขึ้นจะทำให้ตลาดไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนประเภท Growth Investors เข้ามามากขึ้น ที่ผ่านมาเงินนอกส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อหุ้นเป็นเงินจาก Value Investors แทบทั้งนั้น เราน่าจะได้เห็นการกลับมาของ Hedge Funds ด้วย พักหลังนี้เงินจาก Hedge Funds ไม่ค่อยได้เข้ามาในตลาดไทยมากนัก

ข้อสี่ การที่เราเป็นตลาดที่ Perform ได้ย่ำแย่ที่สุดในโลกนี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา น่าจะกลายมาเป็นจุดแข็งทันทีที่ Fundamentals เราดีขึ้น ไม่มีนักลงทุนท่านไหนหรอกครับที่อยากซื้อหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว ทุกคนชอบของถูก แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นที่ถูกๆ เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

ข้อห้า ผมยังเชื่อว่า จะมี Pre-Election Rally เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง (สมมติฐานผมคือ จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปีนี้)

พบกันใหม่เดือนหน้าครับ....
contrarian
Verified User
โพสต์: 1231
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ถ้าจะเล่นกลุ่มนี้

1.หัวใจต้องเสริมใยเหล็ก
2.วินัยสูง กำหนดยุทธวิธีอย่างไร ต้องทำตามนั้น ห้ามวอกแวก
ไม่เช่นนั้น อาจโดนยิงประตูตอน นาทีที่ 90
nearly_vi
Verified User
โพสต์: 743
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 8

โพสต์

อืม ขอบคุณคุณ contrarain สำหรับความเห็นดีๆ ครับ

ส่วนตัวผม จากที่เริ่มศึกษาหุ้นจาก แนว value
ก็จะไม่ค่อยชอบ กลุ่มนี้หรือพวก bank เท่าไหร่

แต่ช่วงนี้หาหุ้นดีๆ ที่ราคายังไม่ขึ้นไม่ค่อยเจอ
แล้วหวนนึกถึงเรื่อง หุ้นวฏจักรที่ ท่านประธาน เคยสอนไว้

ก็มานึกๆ ว่า ถ้า การเมืองจบ ตลาดวิ่งขึ้น กลุ่มไหนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ประจวบกับมาเห้น กลุ่มนี้ วันนี้มาบวกๆ กันหลายตัวก็เลย สงสัยว่าเกี่ยวกันไหม

ท่านอื่นๆ มาความเห้น จะมาสั่งสอนผมอีกมั้ยครับเนี่ย
keng56
Verified User
โพสต์: 431
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 9

โพสต์

กลุ่มนี้มาแสดงว่าใกล้หมดรอบ... :lol:
contrarian
Verified User
โพสต์: 1231
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 10

โพสต์

กลุ่มนี้มาแสดงว่าใกล้หมดรอบ...

ถูกต้องประมาณ 9 ใน 10 ครั้งเลยครับ
กลุ่มหลักทรัพย์จะขึ้นหลังกลุ่มอื่น

แต่ปัญหาคือ ไอ้ที่ผิด 1 ใน 10 เนี่ย มันเป็นsuper bull
Belffet
Verified User
โพสต์: 1211
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 11

โพสต์

กลุ่มหลักทรัพย์ขึ้นหลังกลุ่มอื่นจริงๆเหรอครับ

ทำไมเป็นยังงั้นล่ะครับ???
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 0

วันนี้ทำไม finance มาแรงจัง

โพสต์ที่ 12

โพสต์

nanchan เขียน:
SVI-W2เป้า5.50
ทะลุเป้าไปแล้วแฮะ ขายหมู0.59 ไปแล้วด้วย เซ็งเลย อีกแค่ประมาณ2%ก็จะครบเด็ง ไม่อดทนเลย
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
โพสต์โพสต์