ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
- jody4003
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 1
วันนี้นั่งดู sheet ของแฟนผมซึ่งเรียนmbaอยู่ วิชา financial management
มีบทนึงสอนให้คำนวน PV ของหุ้นโดยมีค่าต่างๆว่า
Div = 2 ในช่วง Yr1-5 ที่เหลือโตปีละ 10% "ตลอดไป"
growth = 6% ต่อปี "ตลอดไป" (ราคาหุ้น)
โดย Div Yeild = 7%
และ req Return = 10%
ถามว่า ณ. yr= 10, PV ของหุ้นตัวนี้จะเท่ากับเท่าไร
ผมล่ะไมเข้าใจว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้จริงยังไงในเมื่อไอแต่ละอย่างที่กำหนดมามันเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริง จะมีใครรู้ว่าหุ้นตัวนี้จะจ่าย dividenเท่านี้ตลอด และ ราคาหุ้นมันจะ growth 6% ต่อปีตลอดไป
ใครรู้บ้างครับ ว่าแบบนี้ เรียนไปแล้วทำไรได้บ้าง??
มีบทนึงสอนให้คำนวน PV ของหุ้นโดยมีค่าต่างๆว่า
Div = 2 ในช่วง Yr1-5 ที่เหลือโตปีละ 10% "ตลอดไป"
growth = 6% ต่อปี "ตลอดไป" (ราคาหุ้น)
โดย Div Yeild = 7%
และ req Return = 10%
ถามว่า ณ. yr= 10, PV ของหุ้นตัวนี้จะเท่ากับเท่าไร
ผมล่ะไมเข้าใจว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้จริงยังไงในเมื่อไอแต่ละอย่างที่กำหนดมามันเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริง จะมีใครรู้ว่าหุ้นตัวนี้จะจ่าย dividenเท่านี้ตลอด และ ราคาหุ้นมันจะ growth 6% ต่อปีตลอดไป
ใครรู้บ้างครับ ว่าแบบนี้ เรียนไปแล้วทำไรได้บ้าง??
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 2
ขับรถจากกรุงเทพไปพัทยาใช้เวลากี่ชั่วโมงครับ
ถ้าตอบโดยทั่วไป ก็ประมาณ 2 ชั่วโมง
ถ้าตอบอีกแบบ ก็คือ ใครจะไปรู้ ว่า
รถติด หรือ ไม่ติด
มีอุบัติเหตุหรือเปล่า
มีน้ำท่วมหรือเปล่า
น้ำมันหมดกลางทางหรือเปล่า
ถนนขาดหรือเปล่า
มีตำรวจเยอะหรือเปล่า
กล้าเหยียบหรือปล่า
ฯลฯ
คราวนี้ถ้าเรามีนัดทำธุระที่พัทยา เราจะวางแผนเดินทางอย่างไร :?:
ถ้าเราเห็นว่าตัวเลขไม่เหมาะสม เราก็ลองแทนค่าตัวเลขที่เราคิด (ศึกษาและคำนวณ ไม่ใช่เดา) แล้วก้ลองแทนค่าดู เราก็จะเห็นภาพในเงื่อนไขหนึ่ง สร้างภาพพวกนี้หลายๆภาพ เราก็จะพอมองเห็นทิศทางได้ แล้วเราก็อาจสรุปได้ว่า ขับรถจากกรุงเทพไปพัทยาก็น่าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง
ถ้าตอบโดยทั่วไป ก็ประมาณ 2 ชั่วโมง
ถ้าตอบอีกแบบ ก็คือ ใครจะไปรู้ ว่า
รถติด หรือ ไม่ติด
มีอุบัติเหตุหรือเปล่า
มีน้ำท่วมหรือเปล่า
น้ำมันหมดกลางทางหรือเปล่า
ถนนขาดหรือเปล่า
มีตำรวจเยอะหรือเปล่า
กล้าเหยียบหรือปล่า
ฯลฯ
คราวนี้ถ้าเรามีนัดทำธุระที่พัทยา เราจะวางแผนเดินทางอย่างไร :?:
ถ้าเราเห็นว่าตัวเลขไม่เหมาะสม เราก็ลองแทนค่าตัวเลขที่เราคิด (ศึกษาและคำนวณ ไม่ใช่เดา) แล้วก้ลองแทนค่าดู เราก็จะเห็นภาพในเงื่อนไขหนึ่ง สร้างภาพพวกนี้หลายๆภาพ เราก็จะพอมองเห็นทิศทางได้ แล้วเราก็อาจสรุปได้ว่า ขับรถจากกรุงเทพไปพัทยาก็น่าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 3
ทำข้อสอบได้ครับ ... อิอิ :lol:
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 4
พอดีช่วงนี้ผมเรียนโทเรื่อง Cost & Financial Analysis พอดีครับ พอตอบได้ว่าjody4003 เขียน:วันนี้นั่งดู sheet ของแฟนผมซึ่งเรียนmbaอยู่ วิชา financial management
มีบทนึงสอนให้คำนวน PV ของหุ้นโดยมีค่าต่างๆว่า
Div = 2 ในช่วง Yr1-5 ที่เหลือโตปีละ 10% "ตลอดไป"
growth = 6% ต่อปี "ตลอดไป" (ราคาหุ้น)
โดย Div Yeild = 7%
และ req Return = 10%
ถามว่า ณ. yr= 10, PV ของหุ้นตัวนี้จะเท่ากับเท่าไร
ผมล่ะไมเข้าใจว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้จริงยังไงในเมื่อไอแต่ละอย่างที่กำหนดมามันเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริง จะมีใครรู้ว่าหุ้นตัวนี้จะจ่าย dividenเท่านี้ตลอด และ ราคาหุ้นมันจะ growth 6% ต่อปีตลอดไป
ใครรู้บ้างครับ ว่าแบบนี้ เรียนไปแล้วทำไรได้บ้าง??
"เรียนไปเพื่อ ให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนกว่าในความเป็นจริงได้ครับ เพราะถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ ที่ยากกว่าแบบ Div เติบโต "เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา" ก็ไม่สามารถทำได้ครับ แต่ถ้าเค้าสอนแบบ "ในความเป็นจริง" มหาลัยเค้าก็รู้ว่าแฟนคุณและผองเพื่อนคงจะ ....... เป็นแน่แท้"
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 5
back to the basic
ถ้าพื้นฐานไม่แน่นแข็งแกร่งดังหินผาแล้ว
จะทำอะไรก็ไม่สำเร็จครับ
เพราะโลกของความจริง
มันจะเจอfactorอื่นๆกระทบมากกว่านี้แน่นอน
ทั้งความไม่แน่นอนเรื่องค่าเงิน
การผันผวนของราคาน้ำมัน
การวิตกกังวลของผู้ถือหุ้น
การขัดแย้งทางธุรกิจ
จังหวะในการทำธุรกิจ
การมองภาวะตลาดที่ผิดพลาด
รวมไปถึงรัฐบาลที่ไม่มีความเสถียรภาพจากรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
ปัญหาการเมืองต่างประเทศ
เป็นต้น
ซึ่งพวกนี้ถ้าพื้นฐานไม่แข็งจริงๆๆ อาจจะทำให้
ไม่มั่นใจในการวิเคราะห์ได้ครับ
เริ่มต้อนการBasicเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
ถ้าพื้นฐานไม่แน่นแข็งแกร่งดังหินผาแล้ว
จะทำอะไรก็ไม่สำเร็จครับ
เพราะโลกของความจริง
มันจะเจอfactorอื่นๆกระทบมากกว่านี้แน่นอน
ทั้งความไม่แน่นอนเรื่องค่าเงิน
การผันผวนของราคาน้ำมัน
การวิตกกังวลของผู้ถือหุ้น
การขัดแย้งทางธุรกิจ
จังหวะในการทำธุรกิจ
การมองภาวะตลาดที่ผิดพลาด
รวมไปถึงรัฐบาลที่ไม่มีความเสถียรภาพจากรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
ปัญหาการเมืองต่างประเทศ
เป็นต้น
ซึ่งพวกนี้ถ้าพื้นฐานไม่แข็งจริงๆๆ อาจจะทำให้
ไม่มั่นใจในการวิเคราะห์ได้ครับ
เริ่มต้อนการBasicเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ

- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 7
แม้ว่าการลงทุนจะมีความไม่แน่นอนสูงแต่เราลงทุนกันทีเป็นแสนเป็นล้าน การใช้ความพยายามให้ถึงที่สุดในการประเมินความเสี่ยงน่าจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้นทุนในการนั่งคิดนั้นไม่ได้มากเลย เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของเงินลงทุน
เวลาไปซื้อแรมที่พันทิพแค่ให้ได้ราคาถูกกว่าอีกแค่ 20 บาท เรายังยอมตระเวณถามราคาทั่วทั้งตึกเลย แต่เวลาเทรดหุ้นเป็นแสนเป็นล้าน เรากลับใช้เวลาตัดสินใจกันแค่ 5 นาที
PV ของเงินปันผลตลอดกาล กับ PV ของเงินปันผล 30 ปี ที่จริงแล้วมีค่าใกล้เคียงกันมากครับ การคิดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลตลอดกาลนั้นจึงไม่ใช่สมมติฐานที่เว่อร์เกินไปนัก
เวลาไปซื้อแรมที่พันทิพแค่ให้ได้ราคาถูกกว่าอีกแค่ 20 บาท เรายังยอมตระเวณถามราคาทั่วทั้งตึกเลย แต่เวลาเทรดหุ้นเป็นแสนเป็นล้าน เรากลับใช้เวลาตัดสินใจกันแค่ 5 นาที
PV ของเงินปันผลตลอดกาล กับ PV ของเงินปันผล 30 ปี ที่จริงแล้วมีค่าใกล้เคียงกันมากครับ การคิดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลตลอดกาลนั้นจึงไม่ใช่สมมติฐานที่เว่อร์เกินไปนัก
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 44
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 10
ไอ้ทีมันคิดได้ง่ายน่ะก็คิดมาให้หมดน่ะครับ
ที่เหลือก็ค่อยประเมินเป็นลักษณะของความเสี่ยงตามความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น แค่นี้เราก็สามารถทำนายความน่าจะเป็นจริงในอนาคตได้ โดยมีตัวแปรคือความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและความเสี่ยงตามธรรมชาติครับ
ที่เหลือก็ค่อยประเมินเป็นลักษณะของความเสี่ยงตามความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น แค่นี้เราก็สามารถทำนายความน่าจะเป็นจริงในอนาคตได้ โดยมีตัวแปรคือความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและความเสี่ยงตามธรรมชาติครับ
บางทีการบริหารพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงสำคัญกว่าการเลือกหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 11
ที่นี้ผมก็รู้ซะทีว่าจะเรียนไปทำไม 
(ไม่ใช่แฟนจอง jody4003 แต่อีกไม่นานก็ต้องเรียนวิชาแบบนี้เหมือนกัน
)

(ไม่ใช่แฟนจอง jody4003 แต่อีกไม่นานก็ต้องเรียนวิชาแบบนี้เหมือนกัน

I do not sleep. I dream.
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 12
ผมว่ามีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับการฝึกสมองลองปัญญา
แต่นำไปใช้จริงได้น้อย(ที่จริงผมไม่เคยนำไปใช้จริงเลย)
คำตอบของPVมาจากการประเมินเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งผลลัพธ์จะได้เป็นตัวเลขที่ละเอียดยิบ เหมือนปราสาทที่สวยงามที่ถูกออกแบบให้มีรายละเอียดที่คมชัดและอลังการ
แต่ที่มาของตัวเลขมีโอกาสคลาดเคลื่อนสูงมากบวกกับการแกว่งตัวที่รุนแรงของความไม่แน่นอน
ดังนั้น ปราสาทหลังนี้แม้จะสวยงามอลังการแต่ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เป็นดินโคลนซึ่งอ่อนปวกเปียก บางทีแค่โดนลมปากเป่าเบาๆก็ล้มครืน
เว้นเสียแต่กิจการนั้นๆ จะสามารถประมาณการได้แม่นยำเนื่องจากความมั่นคงของรายได้และกำไร วิธีนี้จึงพอจะมีประโยชน์
แต่นำไปใช้จริงได้น้อย(ที่จริงผมไม่เคยนำไปใช้จริงเลย)
คำตอบของPVมาจากการประเมินเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งผลลัพธ์จะได้เป็นตัวเลขที่ละเอียดยิบ เหมือนปราสาทที่สวยงามที่ถูกออกแบบให้มีรายละเอียดที่คมชัดและอลังการ
แต่ที่มาของตัวเลขมีโอกาสคลาดเคลื่อนสูงมากบวกกับการแกว่งตัวที่รุนแรงของความไม่แน่นอน
ดังนั้น ปราสาทหลังนี้แม้จะสวยงามอลังการแต่ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เป็นดินโคลนซึ่งอ่อนปวกเปียก บางทีแค่โดนลมปากเป่าเบาๆก็ล้มครืน
เว้นเสียแต่กิจการนั้นๆ จะสามารถประมาณการได้แม่นยำเนื่องจากความมั่นคงของรายได้และกำไร วิธีนี้จึงพอจะมีประโยชน์
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 13
สมมติว่ามีคนคิดค้นวิธีที่ advance มากกว่านี้ขึ้นไปอีก เพื่อให้ได้คำตอบที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น เช่น
Div = 6% โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x1% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y1 และมีความแปรปรวน z1
growth = 6% โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x2% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y2 และมีความแปรปรวน z2
โดย Div Yeild = 7% โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x3% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y3 และมีความแปรปรวน z3
และ req Return = 10%โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x4% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y4 และมีความแปรปรวน z4
จงหา P/E ของหุ้นตัวนี้ใน 10 ปีข้างหน้า
คำตอบที่ได้จะใกล้เคียงความเป็นจริงในอนาคตมากขึ้น เพราะมีความครอบคลุมมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือ คำตอบจะกว้างมาก ซึ่งจะนำไปตัดสินใจไม่ได้ว่า จะซื้อหรือจะขายดี เพราะคำตอบอยู่ในช่วงที่ทั้งต่ำกว่าและสูงเกินไปสำหรับมูลค่าในอนาคต
หรือจะใช้วิธีใส่ prop เข้าไปว่า แต่ละเหตุการณ์มีโอกาสไม่เท่ากัน ก็จะใกล้ความเป็นจริงเข้าไปอีกนิด แต่ก็ยังเหมือนปราสาทที่อยู่บนดินโคลนอยู่ดี
Div = 6% โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x1% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y1 และมีความแปรปรวน z1
growth = 6% โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x2% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y2 และมีความแปรปรวน z2
โดย Div Yeild = 7% โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x3% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y3 และมีความแปรปรวน z3
และ req Return = 10%โดยมี ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ x4% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ y4 และมีความแปรปรวน z4
จงหา P/E ของหุ้นตัวนี้ใน 10 ปีข้างหน้า
คำตอบที่ได้จะใกล้เคียงความเป็นจริงในอนาคตมากขึ้น เพราะมีความครอบคลุมมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือ คำตอบจะกว้างมาก ซึ่งจะนำไปตัดสินใจไม่ได้ว่า จะซื้อหรือจะขายดี เพราะคำตอบอยู่ในช่วงที่ทั้งต่ำกว่าและสูงเกินไปสำหรับมูลค่าในอนาคต
หรือจะใช้วิธีใส่ prop เข้าไปว่า แต่ละเหตุการณ์มีโอกาสไม่เท่ากัน ก็จะใกล้ความเป็นจริงเข้าไปอีกนิด แต่ก็ยังเหมือนปราสาทที่อยู่บนดินโคลนอยู่ดี
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 14
เมื่อก่อนนี้ผมคิดว่าคนที่ทำธุรกิจหรือลงทุนเก่งกว่าคนอื่นคือคนที่มี sense ทางธุรกิจดีกว่าคนอื่น แต่มองไปมองมาก็เห็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนทุกคนอ้างว่าพวกเขาต่างก็มี sense ที่มากกว่าคนอื่นทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้ผมมาเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจหรือลงทุนเก่งกว่าคนอื่นเพราะเขามีข้อมูลและความรู้ที่เหนือกว่าคนอื่น ส่วน sense ของพวกเขานั้นไม่แตกต่างกัน
ก่อนที่นายตันเปิดสตูดิโอถ่ายรูป นายตันเดินทางไปคุยกับนักธุรกิจไต้หวันจำนวนมากที่เคยทำธุรกิจนี้มาก่อน และเขาก็ได้รับข้อมูลอันมีค่าจากนักธุรกิจเหล่านั้นว่า ธุรกิจนี้มีหลุมพรางอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พอทำกิจการไปได้สักพัก เจ้าของจะรู้สึกว่าการ outsource ไปให้บริษัทอื่นล้างฟิล์มให้ เป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาลเพราะค่าจ้างล้างแพงมาก เจ้าของทุกคนจะมีความคิดว่าน่าจะซื้อเครื่องล้างฟิล์มมาล้างเอง เพราะกิจการไปได้ดีอยู่แล้ว ไม่นานก็ถอนทุนได้ การประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าล้างฟิล์มได้จำนวนมากต่อเดือนเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้เจ้าของสตูดิโอเหล่านั้นลงทุนซื้อเครื่องล้างฟิล์มกันเป็นการใหญ่
ปรากฏว่าเจ้าของที่ตัดสินใจซื้อเครื่องล้างฟิล์มทุกคนคือคนที่ต้องปิดกิจการลงในเวลาต่อมา ส่วนเจ้าของที่เลือกจ้างเขาล้างต่อไปคือคนที่อยู่รอดได้ เรียกได้ว่าไม่ซื้อเครื่องล้างฟิล์มกลายเป็น critical success factor ของธุรกิจนี้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเครื่องล้างฟิล์มนั้นเป็นการลงทุนที่มี breakeven-point ที่ค่อนข้างยาวมากเมื่อเที่ยบกับการออกรุ่นใหม่ เครื่องรุ่นใหม่จะล้างได้ดีกว่าเร็วกว่าและราคาต่ำกว่า แต่คนที่ซื้อเครื่องไปแล้วจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องรุ่นใหม่ได้เพราะเครื่องที่ซื้อมายังไม่ถอนทุน สุดท้ายแล้วกำไรที่สร้างมาได้ทั้งหมดจะไปจมอยู่ในเครื่องล้างฟิลม์ที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนที่จ้างเขาล้างเอา จะได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่าถูกกว่าอยู่ตลอดเวลา
การขึ้นเครื่องบินไปคุยแล้วได้ข้อมูลแค่นี้มา อาจจะฟังดูเป็นเรื่องไม่จำเป็น บางคนบอกว่าธุรกิจคือความไม่แน่นอน ไม่ต้องคิดมาก โดดลงไปทำเลย เด๋วรู้เอง คนพวกนี้คือคนที่จะตกหลุมพรางเครื่องล้างฟิล์มในที่สุด
เดี๋ยวนี้ผมมาเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจหรือลงทุนเก่งกว่าคนอื่นเพราะเขามีข้อมูลและความรู้ที่เหนือกว่าคนอื่น ส่วน sense ของพวกเขานั้นไม่แตกต่างกัน
ก่อนที่นายตันเปิดสตูดิโอถ่ายรูป นายตันเดินทางไปคุยกับนักธุรกิจไต้หวันจำนวนมากที่เคยทำธุรกิจนี้มาก่อน และเขาก็ได้รับข้อมูลอันมีค่าจากนักธุรกิจเหล่านั้นว่า ธุรกิจนี้มีหลุมพรางอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พอทำกิจการไปได้สักพัก เจ้าของจะรู้สึกว่าการ outsource ไปให้บริษัทอื่นล้างฟิล์มให้ เป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาลเพราะค่าจ้างล้างแพงมาก เจ้าของทุกคนจะมีความคิดว่าน่าจะซื้อเครื่องล้างฟิล์มมาล้างเอง เพราะกิจการไปได้ดีอยู่แล้ว ไม่นานก็ถอนทุนได้ การประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าล้างฟิล์มได้จำนวนมากต่อเดือนเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้เจ้าของสตูดิโอเหล่านั้นลงทุนซื้อเครื่องล้างฟิล์มกันเป็นการใหญ่
ปรากฏว่าเจ้าของที่ตัดสินใจซื้อเครื่องล้างฟิล์มทุกคนคือคนที่ต้องปิดกิจการลงในเวลาต่อมา ส่วนเจ้าของที่เลือกจ้างเขาล้างต่อไปคือคนที่อยู่รอดได้ เรียกได้ว่าไม่ซื้อเครื่องล้างฟิล์มกลายเป็น critical success factor ของธุรกิจนี้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเครื่องล้างฟิล์มนั้นเป็นการลงทุนที่มี breakeven-point ที่ค่อนข้างยาวมากเมื่อเที่ยบกับการออกรุ่นใหม่ เครื่องรุ่นใหม่จะล้างได้ดีกว่าเร็วกว่าและราคาต่ำกว่า แต่คนที่ซื้อเครื่องไปแล้วจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องรุ่นใหม่ได้เพราะเครื่องที่ซื้อมายังไม่ถอนทุน สุดท้ายแล้วกำไรที่สร้างมาได้ทั้งหมดจะไปจมอยู่ในเครื่องล้างฟิลม์ที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนที่จ้างเขาล้างเอา จะได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่าถูกกว่าอยู่ตลอดเวลา
การขึ้นเครื่องบินไปคุยแล้วได้ข้อมูลแค่นี้มา อาจจะฟังดูเป็นเรื่องไม่จำเป็น บางคนบอกว่าธุรกิจคือความไม่แน่นอน ไม่ต้องคิดมาก โดดลงไปทำเลย เด๋วรู้เอง คนพวกนี้คือคนที่จะตกหลุมพรางเครื่องล้างฟิล์มในที่สุด
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 15
อยากจะบอกว่า
แบบฝึกหัดให้เราเข้าใจ concept ทางการเงินครับ
แต่ก่อนผมก็ไม่อยากฝึกหรอกตอนเรียนเพราะมันใช้ตามหนังสือไม่ได้ครับ
แต่มันทําให้เราเข้าใจว่าทําไมสูตรถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทีนี้เราก็เอา
ตัวเลขจริงที่เรา คาด หรือ หาได้ ใส่ลงไป และ ปรับเอาครับ
อยากให้อ่านของพี่ สุมาอี้ DCF นั้นอะวิธี Applyครับ
แต่ลองคํานวณเป็น ช่วงนะจะworkกว่าทํา worst case and expected caseแล้วดูว่าเรารับมันได้ใหมครับ
แบบฝึกหัดให้เราเข้าใจ concept ทางการเงินครับ
แต่ก่อนผมก็ไม่อยากฝึกหรอกตอนเรียนเพราะมันใช้ตามหนังสือไม่ได้ครับ
แต่มันทําให้เราเข้าใจว่าทําไมสูตรถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทีนี้เราก็เอา
ตัวเลขจริงที่เรา คาด หรือ หาได้ ใส่ลงไป และ ปรับเอาครับ
อยากให้อ่านของพี่ สุมาอี้ DCF นั้นอะวิธี Applyครับ
แต่ลองคํานวณเป็น ช่วงนะจะworkกว่าทํา worst case and expected caseแล้วดูว่าเรารับมันได้ใหมครับ
- jody4003
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 16
ผมก็เข้าใจครับว่า สอนให้เข้าใจ concept และผมก็เห็นด้วย แต่ดูเหมือนว่าการเรียรการสอนในปัจุบันมันมุ่งเน้นบางเรื่องจนเกินพอดีและละเลยบางเรื่องจนเกินไป เท่าที่เห็นวิชาคำนวนต่างๆที่สอนๆกันอยู่มักจะมุ่งเน้นแต่การคำนวนจนละเลยเรื่องconceptว่าเรื่องกำลังคำนวนอะไรและเพื่ออะไรจะปรับใช้อย่างใร
ผมจำได้เลยสมัยก่อนเรียนนังสือเตรียมสอบentrance สูตรคำนวนวิชาเลขสอนให้คำนวนๆๆๆๆ แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าภาพกว้างคืออะไรแล้วเรากำลังคำนวนไปเพื่ออะไร
ผมจำได้เลยสมัยก่อนเรียนนังสือเตรียมสอบentrance สูตรคำนวนวิชาเลขสอนให้คำนวนๆๆๆๆ แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าภาพกว้างคืออะไรแล้วเรากำลังคำนวนไปเพื่ออะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 17
ถ้าไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม วิธีง่ายๆคือ ลอกเพื่อนข้างๆ แล้วก็พามันไปเลี้ยงข้าวหน่อย บอกมันไปว่าโจทย์มันง่ายเกินไป ขี้เกียจทำว่ะ 555
แล้วคำตอบคืออะไร ครับ คำถามนี้ 555
จริงๆโจทย์ มันน่าจะมีว่า บังเอิญวันดีคืนดี เกิดตึกเวิร์ดเทรดถล่ม(อีกรอบ)
ทำให้gdpของus ลดลงเหลือ1% อัตราgrowth ของบริษัทที่ว่านี้จะเหลือเท่าไร หรือว่าค่าเงินดอล อ่อนเหลือ35บาทต่อเหรียญ ปีนี้บริษัทนี้จะมีกำไรเท่าไหร่ แล้วปีถัดไป เงินดอลยังอ่อนต่อเหลือ 33บาท growth จะเหลือเท่าไร ปันผลจะมีปัญญาจ่ายไหม PV จะเป็นเท่าไร ???
น่าจะปวดหัวดี อาจารย์ ก็คงจะให้คะแนนลำบากขึ้น อาจารย์ยังงง
อย่าไปเรียนมันเลย มาเล่นหุ้นกันเลยดีกว่า เดี๋ยวก็รวยเอง แป๊ปๆ
แล้วคำตอบคืออะไร ครับ คำถามนี้ 555
จริงๆโจทย์ มันน่าจะมีว่า บังเอิญวันดีคืนดี เกิดตึกเวิร์ดเทรดถล่ม(อีกรอบ)
ทำให้gdpของus ลดลงเหลือ1% อัตราgrowth ของบริษัทที่ว่านี้จะเหลือเท่าไร หรือว่าค่าเงินดอล อ่อนเหลือ35บาทต่อเหรียญ ปีนี้บริษัทนี้จะมีกำไรเท่าไหร่ แล้วปีถัดไป เงินดอลยังอ่อนต่อเหลือ 33บาท growth จะเหลือเท่าไร ปันผลจะมีปัญญาจ่ายไหม PV จะเป็นเท่าไร ???
น่าจะปวดหัวดี อาจารย์ ก็คงจะให้คะแนนลำบากขึ้น อาจารย์ยังงง
อย่าไปเรียนมันเลย มาเล่นหุ้นกันเลยดีกว่า เดี๋ยวก็รวยเอง แป๊ปๆ
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 19
คนแต่ละคนมีกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจไม่เหมือนกัน
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 20
ผมเห็นด้วยกับคุณ jody นะครับ เพราะผมคิดว่าเราสามารถวิจารณ์เรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนได้เพื่อที่อาจารย์จะนำไปปรับปรุงผมก็เข้าใจครับว่า สอนให้เข้าใจ concept และผมก็เห็นด้วย แต่ดูเหมือนว่าการเรียนการสอนในปัจุบันมันมุ่งเน้นบางเรื่องจนเกินพอดีและละเลยบางเรื่องจนเกินไป
สมัยผมเรียนโท อาจารย์เขาจะสอบถามนักศึกษาเป็นระยะๆเพื่อนำไปปรับปรุงเช่นกัน เพราะเขารู้ว่าเขาอยู่แต่ในแวดวงวิชาการ เขาอ่อนมากในเรื่องประสบการณ์การทำงานจริง แต่นักศึกษาอาจจะห่างวิชาการแต่มีประสบการณ์จริงมากมาย ก็พูดคุยกันเหมือนเพื่อน แลกเปลี่ยนกัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีบางคนทนให้นักเรียนวิจารณ์ไม่ไหวก็มี ซึ่งจะทำให้เขาโง่ต่อไปอีกนาน
เรื่อง PV นี้ ผมว่ามีประโยชน์น้อย อาจารย์เองในกรณีนี้ก็คงเหมือนนักเรียนมัฐยม รู้สูตร รู้วิธีคำนวน แล้วก็คำนวนจนเชี่ยวชาญ แต่อาจจะไม่ค่อยได้นำไปใช้ลงทุนจริงๆ พอไม่ได้ลงมือทำจริงๆก็ไม่รู้ว่ามันใช้ได้จริงแค่ไหน รู้แต่ว่าเมืองนอกเขาสอนกันเราก็ต้องสอนด้วย
เมืองนอกเขาก็สอนอย่างนี้จริงๆ เพราะเขาเชื่อว่าวิธีนี้มันได้ผล แต่ถ้าตรวจสอบรายละเอียดก็จะพบว่า บางทีอาจารย์ที่สอนการลงทุน ก็ไม่เคยลงทุนเองก็มีเยอะ ที่เคยและขาดทุนก็เยอะ ถ้าลงทุนแล้วสำเร็จ และร่ำรวยมากมายจะมีสักกี่ส่วนที่ยังยอมเสียสละเป็นอาจารย์สอนอยู่ ก็คงมี แต่คงไม่มาก
อย่างปีเตอร์ลินช์ ก็ไม่ได้ใช้วิธีนี้ บัฟเฟตต์ก็ไม่ใช้ ดร.นิเวศน์ก็ไม่ใช้ เพราะมันมีโอกาสคลาดเคลื่อนสูงมาก ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่สอนการลงทุนเป็นอาชีพ แต่ไม่ใช่อาชีพนักลงทุน
ในสายตาของอาจารย์เหล่านี้ การลงทุนต้องเป็นอย่างที่เขาเข้าใจนั่นแหละ อย่างบัฟเฟตต์ถือว่าโชคดีมากๆเท่านั้นเอง เขาเคยบอกว่า ถ้ามีลิงกอริลล่ามากพอ ก็อาจจะมีตัวหนึ่งที่ทำได้แบบบัฟเฟตต์ ขนาดนั้นเลยทีเดียว
ถ้าอาจารย์เหล่านี้ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับลูกศิษย์ ก็ไม่แน่นะครับว่า การลงทุนแบบบัฟเฟตต์ แบบลินช์ อาจจะได้รับบรรจุลงหลักสูตร
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- jody4003
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 21
55 พี่สามัญชนเล่นแรง
ผมนึกออกละว่า PV เนี่ยผมเคยใช้ประโยชน์ตอนใหน ตอนที่คิดจะซื้อประกันชีวิตนั่นเอง แต่ตอนนั้นผมก็ไม่เคยเรียนมาก่อนนะ แค่เลาๆเรื่อง money time of value เท่านั้นเอง แล้วก้อมาลองๆสมมติดูว่าถ้าเอาเงินเท่าๆกันเวลาเดียวกันไปซื้อ bond สุดท้ายแล้วใครจะชนะ
สุดท้าย bond ชนะครับ ก็เลยต้องขอโทษคุณพี่นายหน้าขายประกันที่อุตสาห์มาหาถึงบ้านว่าผมไม่ซื้อละ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาคับ 55
แต่ก็นั่นแหล่ะคับ เพราะเบี้ยประกันจ่ายปันผลรับมันคงที่ เลยคำนวนได้ แต่วิธีนี้คงใช้กะหุ้นไม่ได้
ผมนึกออกละว่า PV เนี่ยผมเคยใช้ประโยชน์ตอนใหน ตอนที่คิดจะซื้อประกันชีวิตนั่นเอง แต่ตอนนั้นผมก็ไม่เคยเรียนมาก่อนนะ แค่เลาๆเรื่อง money time of value เท่านั้นเอง แล้วก้อมาลองๆสมมติดูว่าถ้าเอาเงินเท่าๆกันเวลาเดียวกันไปซื้อ bond สุดท้ายแล้วใครจะชนะ
สุดท้าย bond ชนะครับ ก็เลยต้องขอโทษคุณพี่นายหน้าขายประกันที่อุตสาห์มาหาถึงบ้านว่าผมไม่ซื้อละ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาคับ 55
แต่ก็นั่นแหล่ะคับ เพราะเบี้ยประกันจ่ายปันผลรับมันคงที่ เลยคำนวนได้ แต่วิธีนี้คงใช้กะหุ้นไม่ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 22
ผมล่ะไมเข้าใจว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้จริงยังไงในเมื่อไอแต่ละอย่างที่กำหนดมามันเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริง จะมีใครรู้ว่าหุ้นตัวนี้จะจ่าย dividenเท่านี้ตลอด และ ราคาหุ้นมันจะ growth 6% ต่อปีตลอดไป
อืมมม อาจจะเรียกได้ว่า ตัวเลขสมมติฐานก็ได้ครับ ถามว่าเอาไว้ทำไม สำหรับผม เวลาคำนวณ เราไม่รู้หรอกครับว่า มันจะเป็นเท่าไหร่ เท่าไหร่ ปีหน้าเป็นยังไง
แต่ตัวเลขพวกนี้ มันทำให้ ผม มี ราคาในใจครับ มาเปรียบเทียบกับราคาปัจจุบัน ว่าควรซื้อหรือเปล่า
ตอนผมเป็นมาร์เก็ตติ้ง พวกมาร์รุ่นพี่จะด่านักวิเคราะห์ประจำว่าไม่แม่น เห่ย ไม่ได้เรื่อง
ผมมักจะบอกว่า ราคาที่เค้าวิเคราะห์ มันเป็นสมมติฐาน หากว่าเหตุการ์ณจริงไม่เหมือนกับทีราคา วิเคราะห์ เราก็ต้องมาดูว่าควรจะปรับ fair valueใหม่หรือเปล่า
ปล สงสัย ต้องตัดแว่นใหม่อีกแล้ว ผมอ่านตอนแรก หลายวันก่อน ให้ ตัวเลขมา แต่ว่าบอกให้หา BV(book value)ยังนึกว่า โห เรียนที่ไหน สงสัย คงยากน่าดู :lol: เพิ่งมาอ่านใหม่ให้หา PV
หุ้นนี่ เรียนรู้ได้ทั้งชีวิต จริงๆ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 23
เหมือนการสอนหาศัพท์จากพจนานุกรม ในตอนเด็กๆ
ใครหาเจอก่อนได้ลูกอม
สมัยนี้ไม่ต้องหาแล้วเข้าเครื่อง scan ก็แปลได้
กาลเวลาทำให้การเรียนบางอย่างไม่มีคุณค่าในการเรียน
กลับมาเรื่อง PV
คำนวนถูก 100 ข้อแล้วจะทำให้ลงทุนเก่งหรือ ?
แล้วถ้าแทนค่า สูตรความเร็วแล้วจะวิ่งเร็วหรือ ?
สรุปว่าที่สอน กับที่นักลงทุนต้องการรู้มันคนละเรื่อง
มันกลายเป็นการสอนเลข แทนที่จะสอนเรื่องการลงทุน
ถ้านักลงทุนเขาคิด PV ไม่ออกเขาจะไม่คิดแล้วหาวิธีเช่น
ถาม หรือ ซื้อเครื่องคิดเลขแทน เชื่อผม
ใครหาเจอก่อนได้ลูกอม
สมัยนี้ไม่ต้องหาแล้วเข้าเครื่อง scan ก็แปลได้
กาลเวลาทำให้การเรียนบางอย่างไม่มีคุณค่าในการเรียน
กลับมาเรื่อง PV
คำนวนถูก 100 ข้อแล้วจะทำให้ลงทุนเก่งหรือ ?
แล้วถ้าแทนค่า สูตรความเร็วแล้วจะวิ่งเร็วหรือ ?
สรุปว่าที่สอน กับที่นักลงทุนต้องการรู้มันคนละเรื่อง
มันกลายเป็นการสอนเลข แทนที่จะสอนเรื่องการลงทุน
ถ้านักลงทุนเขาคิด PV ไม่ออกเขาจะไม่คิดแล้วหาวิธีเช่น
ถาม หรือ ซื้อเครื่องคิดเลขแทน เชื่อผม
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 24
ผมคิดว่า ความรู้ทางด้าน Applied Science ที่สอนกันอยู่ในระดับปริญญาตรีขึ้นไป น่าที่จะเป็นบันไดในลักษณะนี้คือ
ขั้นที่หนึ่ง อาจารย์สอนปัญหาและเลือกเครื่องมือในการแก้ปัญหาให้ด้วย โดยมีการอธิบายความเป็นมาของเครื่องมือเหล่านี้อย่างสั้นๆ ไม่มีการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย กล่าวสั้นๆคือเป็นการสอนให้ใช้สูตรเป็น อธิบายที่มาของสูตรอย่างสั้นๆ อาจารย์เลือกวิธีแก้ปัญหาให้นักเรียน
ขั้นที่สอง อาจารย์จะสอนเครื่องมือต่างๆมากขึ้น โดยอธิบายความเหมาะสมของเครื่องมือต่างๆ สำหรับปัญหาที่แตกต่างกัน และสอนในนักเรียนรู้จักเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับปัญหามาใช้ สุดท้ายนักเรียนจะต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมได้ด้วยตนเอง
ขั้นที่สาม นักเรียนรู้จักเครื่องมือต่างๆดีมากและรู้จุดอ่อนของเครื่องมือเหล่านี้ดี ทำให้นักเรียนสามารถทำการสร้างเครื่องมือใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ดีกว่าเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ที่คุณ jody4003 เล่าให้ฟัง น่าจะเข้าข่ายขั้นที่หนึ่ง ตัวปัญหาคือ "มูลค่าของบริษัทหาได้อย่างไร" ในส่วนตัวผมคิดว่า ขั้นที่หนึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการที่จะก้าวไปสู่ขั้นถัดๆไป ครับ
ขั้นที่หนึ่ง อาจารย์สอนปัญหาและเลือกเครื่องมือในการแก้ปัญหาให้ด้วย โดยมีการอธิบายความเป็นมาของเครื่องมือเหล่านี้อย่างสั้นๆ ไม่มีการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย กล่าวสั้นๆคือเป็นการสอนให้ใช้สูตรเป็น อธิบายที่มาของสูตรอย่างสั้นๆ อาจารย์เลือกวิธีแก้ปัญหาให้นักเรียน
ขั้นที่สอง อาจารย์จะสอนเครื่องมือต่างๆมากขึ้น โดยอธิบายความเหมาะสมของเครื่องมือต่างๆ สำหรับปัญหาที่แตกต่างกัน และสอนในนักเรียนรู้จักเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับปัญหามาใช้ สุดท้ายนักเรียนจะต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมได้ด้วยตนเอง
ขั้นที่สาม นักเรียนรู้จักเครื่องมือต่างๆดีมากและรู้จุดอ่อนของเครื่องมือเหล่านี้ดี ทำให้นักเรียนสามารถทำการสร้างเครื่องมือใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ดีกว่าเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ที่คุณ jody4003 เล่าให้ฟัง น่าจะเข้าข่ายขั้นที่หนึ่ง ตัวปัญหาคือ "มูลค่าของบริษัทหาได้อย่างไร" ในส่วนตัวผมคิดว่า ขั้นที่หนึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการที่จะก้าวไปสู่ขั้นถัดๆไป ครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
เกินไปนิดหรือเปล่าครับ?
โพสต์ที่ 25
จริง ๆ ผมว่าไอ้เครื่องมือหลาย ๆ ของพวกการเงินสาย main stream ที่เป็น quatitative จัด ๆ ก็มีประโยชน์ออกนะครับ... ผมได้เอามาประยุกต์ใช้อะไรได้ตั้งหลายอย่าง แล้วก็ใช้ในการทำงานจริง ๆ ซะด้วย (พวก Derivatives ซะส่วนใหญ่)
ผมว่าประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่การจัดหลักสูตรเรื่องการลงทุนมากกว่า เพราะหลักสูตรการลงทุนในไทยมักมีแต่ขั้นต้น ซึ่งสอนรวม ๆ มีแนวการลงทุนหลาย ๆ แบบ ไม่ได้เน้นอะไรลงไปมาก แล้วพอจะเน้นเค้าก็เลยเน้นไอ้ที่เป็น quantitative ซะมากกว่า (เพราะมันเป็น main stream และก็ตรวจข้อสอบง่ายดี)
จริง ๆ มันน่าจะมีวิชาเรื่องการลงทุนที่ต่อยอดออกไปอีก แบ่งไปเลยเป็นว่าสาย Fundamental, Value Investing, Quantitative, Portfolio Investment แล้วก็เอาให้ลึก ๆ ไปเลยจะดีกว่า จะได้รู้แจ้งเห็นจริงไปหลาย ๆ สาย หลาย ๆ แบบ
ผมว่าประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่การจัดหลักสูตรเรื่องการลงทุนมากกว่า เพราะหลักสูตรการลงทุนในไทยมักมีแต่ขั้นต้น ซึ่งสอนรวม ๆ มีแนวการลงทุนหลาย ๆ แบบ ไม่ได้เน้นอะไรลงไปมาก แล้วพอจะเน้นเค้าก็เลยเน้นไอ้ที่เป็น quantitative ซะมากกว่า (เพราะมันเป็น main stream และก็ตรวจข้อสอบง่ายดี)
จริง ๆ มันน่าจะมีวิชาเรื่องการลงทุนที่ต่อยอดออกไปอีก แบ่งไปเลยเป็นว่าสาย Fundamental, Value Investing, Quantitative, Portfolio Investment แล้วก็เอาให้ลึก ๆ ไปเลยจะดีกว่า จะได้รู้แจ้งเห็นจริงไปหลาย ๆ สาย หลาย ๆ แบบ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 26
แนวคิดเรื่อง NPV เป็นแนวคิดที่มีประโยชน์ในโลกของความเป็นจริงเป็นอย่างยิ่ง บัฟเฟตจะคำนวณ PV ของ FCF เสมอก่อนที่จะลงทุน
ผมได้มีโอกาสรู้จักคนที่เคยทำงาน corporate finance ของ SCC คนหนึ่ง ผมรู้สึกทึ่งในวิธีการวิเคราะห์โครงการด้วย NPV ของเขามากจนรู้สึกอยากเอาเป็นแบบอย่าง ผมว่าคนไทยที่ทำงานด้วย "ความรู้" นั้นมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วชอบใช้ "กึ๋น" กัน เพราะคิดว่าตัวเองแน่
คนที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้ได้ต้องรู้จักวิธีประยุกต์ครับ ในโรงเรียนเขาไม่สามารถสอนวิธีประยุกต์ให้ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้จะไม่มีประโยชน์
ผมได้มีโอกาสรู้จักคนที่เคยทำงาน corporate finance ของ SCC คนหนึ่ง ผมรู้สึกทึ่งในวิธีการวิเคราะห์โครงการด้วย NPV ของเขามากจนรู้สึกอยากเอาเป็นแบบอย่าง ผมว่าคนไทยที่ทำงานด้วย "ความรู้" นั้นมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วชอบใช้ "กึ๋น" กัน เพราะคิดว่าตัวเองแน่
คนที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้ได้ต้องรู้จักวิธีประยุกต์ครับ ในโรงเรียนเขาไม่สามารถสอนวิธีประยุกต์ให้ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้จะไม่มีประโยชน์
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 29
jody4003 เขียน:เรียนรู้ใว้ไม่เสียหลายครับ แต่เสียดายถ้ารู้แล้วใช้ไม่เป็น
ถามคุณสุมาอี้ครับ projectที่เพื่อนคุณสุมาอี้ทำเป็นยังไงครับ พอจะอธิบายให้ฟังได้มั้ยครับ
เห็นด้วยครับ ส่วนใหญ่เรียนแล้วหลังเรียนจบก็คืน อจ ไป หมดครับ

- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เรียนแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
โพสต์ที่ 30
คนคนนี้เดี๋ยวนี้เขารับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระครับ งานชุกมากทีเดียว ผมเจอเขาเพราะอาชีพเก่าของผมคือการนั่งฟังเอาโครงการธุรกิจมาขอทุน
รายละเอียดของโครงการผมเล่าให้ฟังมากไม่ได้เพราะเป็นความลับของลูกค้าตามหลักจรรยาบรรณ แต่รายนี้เป็นรายที่แตกต่างจากรายอื่นๆ เป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถตอบคำถามได้ทั้งหมดว่าทำไม่เขาถึงต้องการเงินทุนอีก X บาท เงินทุนนี้จะเป็นเงินทุนหมุนเวียนเท่าไร เงินลงทุนเครื่องจักรเท่าไร จะต้องใช้ในเดือนไหนเท่าไร ผลตอบแทนคาดหวังเป็นเท่าไร ถ้าราคาขายสินค้าเพิ่ม x% ผลตอบแทนจะเปลี่ยนไปเท่าไร เรียกได้ว่า ผมไล่เขาไม่จนครับ เพราะเหตุผลทุกอย่างของเขามันสอดคล้องกันไปหมด ได้เห็น model ที่เขาส่งมาให้แล้วทึ่งจริงๆ
ปกติแล้วผมจะเจอแต่เจ้าของโครงการที่ไม่ชอบ calculate risk เพราะเขาบอกว่าเรื่องอย่างนี้คำนวณไม่ได้ ต้องโดดลงไปทำเลย พวกนี้ตอนเริ่มโครงการความมั่นใจจะสูงมาก พวกเขาจะสาดเงินทุนลงไปทันที พอทำไปได้สักพักถึงได้รู้ว่าอะไรๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แผนงานต่างๆ ก็ delay ไปหมด งบลงทุนก็บานปลาย พอสภาพคล่องไม่พอก็จะบอกว่าต้องของเงินเพิ่มอีกมิฉะนั้นทุกอย่างที่ทำไว้จะพังครืนลงมา สุดท้ายแล้วก็ไปไม่รอดเพราะเงินทุนที่ใส่ลงไปนั้นมันมากจนทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่มารู้ตอนที่เงินหมดไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการประเมินต้นทุนตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่บางโครงการเมื่อได้ประเมินจะฟันธงได้ทันทีตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงเงินเลยว่าโครงการนี้ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์แน่นอนแบบนี้เราจะสามารถล้มเลิกโครงการไปได้เลยโดยไม่ต้องเสียตัง ในบางโครงการเราอาจเห็นตัวเลขแล้วมันยังก่ำกึ่งอยู่ อันนี้เราก็อาจเสี่ยงได้ แต่ต้องหาสายป่านเอาไว้มากๆ หน่อย ถ้าเราไม่สร้าง model ขึ้นมา เราจะไม่มีทางมองออกเลยว่าถ้าเราต้องอยู่อีก 1,2,3 ปีเพื่อพิสูจน์ เราจะต้องเตรียมสายป่านไว้อย่างน้อยเป็นเงินเท่าไร
พวกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศเพิ่มทุนแบบ surprise พวกนี้หมายหัวไว้ได้เลยครับ ว่า management เป็นพวกใช้ "กึ๋น" ปกติแล้วผมจะหลีกเลี่ยงครับ
รายละเอียดของโครงการผมเล่าให้ฟังมากไม่ได้เพราะเป็นความลับของลูกค้าตามหลักจรรยาบรรณ แต่รายนี้เป็นรายที่แตกต่างจากรายอื่นๆ เป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถตอบคำถามได้ทั้งหมดว่าทำไม่เขาถึงต้องการเงินทุนอีก X บาท เงินทุนนี้จะเป็นเงินทุนหมุนเวียนเท่าไร เงินลงทุนเครื่องจักรเท่าไร จะต้องใช้ในเดือนไหนเท่าไร ผลตอบแทนคาดหวังเป็นเท่าไร ถ้าราคาขายสินค้าเพิ่ม x% ผลตอบแทนจะเปลี่ยนไปเท่าไร เรียกได้ว่า ผมไล่เขาไม่จนครับ เพราะเหตุผลทุกอย่างของเขามันสอดคล้องกันไปหมด ได้เห็น model ที่เขาส่งมาให้แล้วทึ่งจริงๆ
ปกติแล้วผมจะเจอแต่เจ้าของโครงการที่ไม่ชอบ calculate risk เพราะเขาบอกว่าเรื่องอย่างนี้คำนวณไม่ได้ ต้องโดดลงไปทำเลย พวกนี้ตอนเริ่มโครงการความมั่นใจจะสูงมาก พวกเขาจะสาดเงินทุนลงไปทันที พอทำไปได้สักพักถึงได้รู้ว่าอะไรๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แผนงานต่างๆ ก็ delay ไปหมด งบลงทุนก็บานปลาย พอสภาพคล่องไม่พอก็จะบอกว่าต้องของเงินเพิ่มอีกมิฉะนั้นทุกอย่างที่ทำไว้จะพังครืนลงมา สุดท้ายแล้วก็ไปไม่รอดเพราะเงินทุนที่ใส่ลงไปนั้นมันมากจนทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่มารู้ตอนที่เงินหมดไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการประเมินต้นทุนตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่บางโครงการเมื่อได้ประเมินจะฟันธงได้ทันทีตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงเงินเลยว่าโครงการนี้ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์แน่นอนแบบนี้เราจะสามารถล้มเลิกโครงการไปได้เลยโดยไม่ต้องเสียตัง ในบางโครงการเราอาจเห็นตัวเลขแล้วมันยังก่ำกึ่งอยู่ อันนี้เราก็อาจเสี่ยงได้ แต่ต้องหาสายป่านเอาไว้มากๆ หน่อย ถ้าเราไม่สร้าง model ขึ้นมา เราจะไม่มีทางมองออกเลยว่าถ้าเราต้องอยู่อีก 1,2,3 ปีเพื่อพิสูจน์ เราจะต้องเตรียมสายป่านไว้อย่างน้อยเป็นเงินเท่าไร
พวกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศเพิ่มทุนแบบ surprise พวกนี้หมายหัวไว้ได้เลยครับ ว่า management เป็นพวกใช้ "กึ๋น" ปกติแล้วผมจะหลีกเลี่ยงครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ