บริษัทแบบนี้ น่าลงทุนมั้ย?

[jody4003]

บริษัทที่มี gross profit จาก 2 ส่วน
คือ gross profit จากธรุกิจหลัก ซึ่งมั่นคง = A
และ gross profit จากธุระกิจเสริมซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย และไม่มั่นคง = B
operation cost ที่ cover ทั้ง A และ B = C

โดย A : B = 50:50
ปัจจุบันกำไรจาก A เพิ่มขึ้นเพราะปรับราคาขายเพิ่มได้

หากตัด B ทิ้ง -> market cap / (A - C) = pe 9

แนวโน้ม
A จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตาม GDP แต่ไม่หวือหวา ไม่ใช่ธุรกิจดาวรุ่ง
B มีความเปราะบางต่อ economic cycle สูง และไม่แน่นอน

เป็นคุณ จะลงทุนในบริษัทนี้มั้ยครับ?

[jaychou]

เป็นไปได้ไหมครับที่ B จะติดลบ ถ้าเป็นไปได้ ผมว่าธุรกิจนี้ก็ธรรมดาๆ

[jody4003]

อื่อ งั้นเพิ่ม ว่า

B จะเท่า A ใน 1-2 ปีนี้

แต่หลังจากนั้น ไม่แน่ อาจติดลบได้

อย่างงี้ น่าลองมั้ยคับ

[nanchan]

ไม่น่าลงทุนครับ เพราะไม่รู้ชื่อบริษัท

[Oatarm]

บอกชื่อมาเลยครับ ถ้าคุ้นเคยจะได้ช่วยกันคิด  ตั้งตุ๊กตาแบบนี้  เทคนิคการสื่อความหมาย ทำให้ไม่น่าสนใจเลย

[MO101]

บอกแต่สัดส่วน
ไม่มี่รูปถ่าย ไม่มีชื่อ บอกยากครับว่าสวยไม่สวย

[jaychou]

เอาที่เคยเห็นก็แล้วกันครับ ไม่แน่ใจเป็นหุ้นแบบที่ท่านโจดี้ตั้งใจจะถามหรือเปล่า

พวกประกันภัยเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะแบบนี้ คือ A เป็นรายรับจากเบี้ยประกันซึ่งค่อนข้างมั่นคง แถมได้ปรับราคาเพิ่มไปแล้วเมื่อปีก่อน

แต่รายได้จากการลงทุนไม่แน่นอนครับช่วงตลาดหุ้นดีๆ กำไรกันอื้อซ่า แต่พอซบเซาบางไตรมาสกลับมาเป็นขาดทุนก็มี

บางบริษัทนับกำไรขาดทุนจากพอร์ตเป็นรายได้รายจ่ายทันที แม้จะยังไม่ขายหุ้น ทำให้กำไรส่วน B ที่ว่าขึ้นๆ ลงๆ บางบริษัทก็นับกำไรเมื่อขาย บางปี กำไรเป็นเท่าๆตัวจากเวลาปกติก็มี บางท่านซื้อในช่วงที่กำไรพีคๆ เพื่อหวังปันผลงามๆ แต่สุดท้ายติดดอยครับ สูตรของผมก็คือประกาศปันผลพิเศษให้รีบขายครับ ไตรมาสถัดไปกำไรหดแน่นอน

หุ้นพวกนี้ถ้าไม่ได้ราคาถูกจริงๆ แบบว่า แค่ A ก็คุ้มแล้ว คุณก็ต้องลุ้นกับผลประกอบการณ์ส่วน B ตลอดเวลา เครียดครับ

[CK]

ที่คุณ jody ว่ามาทั้งหมด
ผมไม่ได้ใช้เป็นไครทีเรีย
ในการเลือกบริษัทลงทุนครับ

เป็นแค่ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

จึงไม่สามารถบอกได้ว่า
น่าลงทุนหรือไม่

[สามัญชน]

บรรยากาศคล้ายๆยุคโบราณที่ไม่ยอมพูดชื่อหุ้นกัน

ข้อเสีย......

1.คุยกันไม่รู้เรื่อง
2.ไม่รู้ว่าเป็นตัวไหนแน่ ทำให้คุยกันลึกๆไม่ได้

3.ถ้าข้อมูลที่ยกมามีความสมบูรณ์แล้วและครอบคลุมทุกแง่มุมก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าไม่สมบูรณ์และมีแง่มุมอื่นที่คนนำเสนอคาดไม่ถึง ก็จะเกิดความเสียหายกับสมาชิก และเป็นการตัดโอกาสสมาชิกคนอื่นที่รู้เรื่องลึกๆของบริษัทนั้นๆ ย่อมไม่แน่ใจที่จะวิจารณ์เพราะไม่รู้ว่าใช่บริษัทนั้นจริงหรือเปล่า

4.ถ้าใครพอจะเดาถูกว่าเป็นหุ้นอะไร แล้วไปซื้อ แล้วก็ขาดทุน เพราะมีข้อมูลอื่นๆที่สำคัญแต่ไม่ได้นำมาวิเคราะห์(ซึ่งเป็นกันบ่อยๆ) ก็ซวยไป......

5.ผู้นำเสนอสามารถปัดความรับผิดชอบได้ง่ายๆ เพียงแค่บอกว่า คุณเข้าใจไปเอง  ผมไม่ได้ว่าเป็นตัวนั้น.....อิอิ

ข้อดี.......

1.ไม่โดนข้อหาปั่นหุ้น  รอดตัวไป.......
2. เอ่อ......
3. อืม......
4. เอ๊ะ.....ไม่ใช่นี่...
5. งั้น..คิดไม่ออกแล้ว..........

[jody4003]

เข้ามาดูอีกที โดนต่อว่าว่ากั๊ก เหอๆๆ ไม่ได้ตั้งใจจะกั๊ก แต่เพราะผมเองก็ยังไม่ค่อยชัวข้อมูลตัวเองด้วยครับ

บริษัทที่ว่าคือ UV ครับ

ที่บอกว่า A จะเป็นงั้น B จะเป็นงี้ มาจากเท่าที่ผมศึกษาคร่าวๆ และที่ได้อ่านจาก bussiness plan และติดตาม story ย้อนหลังมาช่วง 2-3 ปีนี้ของบริษัทนี้ครับ ผมก็รับประกันไม่ได้หรอกว่า A กะ B จะเท่านั้นจริงๆ แต่ส่วนตัวผม สนใจ ถ้า มันเป็นเช่นนั้นจริง หรือดีกว่านั้น ซึ่งก็ต้องค้นคว้าเชิงลึกต่อ

กลัวทุกท่านจะทึกทักไปด้วย เลยยังไม่พูดชื่อหุ้นครับ

A คือธุรกิจการผลิต Zynch Oxide เพื่อใช้ในเครื่องสำอาง, ยา, ยางรถยนต์ และอื่นๆครับ มีส่วนน้อยอีกธุรกิจคือขายเครื่องบันทึกเวลา

B คือธุรกิจการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดอยู่อาศัยเพื่อขาย บางส่วนเป็นกองทุนรวมคล้ายๆ ticon

A ยอดขายเพิ่มขึ้นในปีนี้เพราะขึ้นราคา Zynch Oxide กับลูกค้าได้
B ขึ้นๆลงๆ ปีที่แล้วไม่ค่อยดีเพราะ หลาย project ที่ควรจะทยอยรับรู้รายได้เกิด delay, ใน annual report ระบุว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ จำตัวเลขไม่ได้ว่ามูลค่าโครงการรวมท่าไหร่, มีรายได้น้ำจิ้มอีกพวกกำไรจากเงินลงทุน เงินปันผล ดอกเบี้ยรับ

Market Cap = 900M
A(Q1+Q2) = 90M
B(Q1+Q2) = 18M + 40M(น้ำจิ้ม)
C(Q1+Q2) = -50M

ที่จริง A กะ B ก็ไม่เท่ากันซะทีเดียวซึ่งผมเชื่อว่านี่เป็นส่วนเล็กน้อยของทั้งปีนี้ที่จะทยอยรับรู้จนถึงปีหน้า

EBIT = A+B-C ~ 98M ( ในงบ = 95M)

หัก interest & Tax = 98M - (4.5M + 24.6M) ~ 69M ( ในงบ = 66.9M)

ทั้งปี = 69x2 ~ 140M

ซึ่งว่าที่จริง ผมเชื่อว่า ปีหน้า A จะสูงกว่านี้เพราะ Q1 ทำได้ไม่ดี, Q2 ดีกว่ามากเพราะพึ่งขึ้นราคา Zynch Oxide ได้

เดี๋ยวมีต่อ

[jody4003]

ถ้าตัด B ทิ้ง

ก็จะได้ว่า
A - C = 90M - 50M = 40M / 2Q

ทั้งปี = 40M x 2 = 80M

แต่ถ้าแยก Q1, Q2 ออกมาดู

A(Q1), A(Q2) = 32M, 58M (up 84%)
C(Q1),C(Q2) = 24M, 26M (up 11%)

ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า Qที่แหลือ จากนี้ไปจะไม่ต่ำกว่า Q2 เพราะขึ้นราคาได้แล้ว เลยคำนวนใหม่ว่าทั้งปีควรจะได้

A(Yr) = 58M x 4 =  232M
C(Yr) = 26M x 4 = 104M
EBIT = 232M - 104M = 128M
I & T ก็ประมาณเอาว่าของเดิมเพราะคำนวน T ไม่เป็น (ซึ่งถ้า B เป็น 0, T ก็ควรจะน้อยกว่านี้ ถือว่าเรา conservative ใว้ก่อน)

Earning = 128M - (20M x 4) = 48M

จาก Market Cap 900M
ได้ P/E = 900 / 48 = 18.75
เอ่อ แสดงว่า ก่อนหน้านี้คำนวนผิด P/E ที่ตัด B ออกไม่ได้ 9 อย่างที่ claim ใว้ :lol:

[jody4003]

อันที่จริง I & T ที่ผมคำนวนใว้มันก็สูงเกินจริงไปมากอย่างมีนัยยะสำคัญ

1 Q
I = 2.4M
T = 17.9M

ซึ่ง T สูงขนาดนี้เพราะมีกำไร B เข้ามารวมคำนวนด้วย

เอาใหม่ สมมุติว่า t = 30% จาก EBIT,

EBIT = 128M
T = 128x30% ~ 42M

Earing = 128 - (42+2.4x4) = 78M

ก็ได้ P/E = 900/78 = 11.5

อือ ดูดีขึ้น

[สามัญชน]

ไม่รู้จักหุ้น uv มาก่อนครับ ตอนแรกนึกว่าหุ้นเกียวกับรังสีอุลตร้าไวโอเลตเสียอีก  แต่จาก 56-1 สรุปว่า

ในส่วนที่ผลิตผงสังกะสีอ๊อกไซด์นั้นมีข้อดี คือ

1.เป็นหุ้นก้นบุหรี่ มีสินทรัพย์เยอะหนี้น้อย p/b 0.69
2.เป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจ มีคู่แข่งแค่สองราย ครองส่วนแบ่งถึง 60%

ข้อเสีย

1.เป็นธุรกิจที่แข่งขันสูงแม้คู่แข่งในประเทศจะน้อยแต่คู่แข่งจากต่างประเทศก็น่ากลัว
2.เป็นธุรกิจที่แข่งขันด้านราคา  ตลาดเป็นของลูกค้า ลูกค้าจะซื้อจากเราก็ได้ จะสั่งจากต่างประเทศก็ง่ายดายเช่นเดียวกัน  

3.การที่เป็นธุรกิจที่แข่งขันด้านราคานี้จะมีผลทำให้มาร์จิ้นต่ำ  เมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ  บริษัทได้กำไรในระดับต่ำๆตลอดมาตั้งแต่ 1994 จนถึงปัจจุบัน  มีเพียงปี 2003 เท่านั้นที่ได้กำไรมากเป็นพิเศษ ทำ roe ได้ถึง 16% แต่ก็เข้าใจว่าเป็นผลจากธุรกิจอสังหา  ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่เป็นวัฏจักรอสังหามาถึงพอดี  (และเมื่อลมแรงขนาดนี้ไก่งวงตัวนี้ก็พลอยบินได้ไปกับเขาด้วย)

4.และเนื่องจากตลาดเป็นของลูกค้า  เมื่อราคาวัตถุดิบสูงขึ้น จึงไม่สามารถผลักให้ภาระให้ลูกค้าได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตามโดยรวมๆถือว่า ณ. ราคานี้ยังไม่น่าสนใจ หุ้นตัวนี้จะน่าสนใจก็ต่อเมื่อ

1. สังกะสีเข้าสู่วัฏจักรขาลง  คาดว่าบริษัทจะทำกำไรได้ดีขึ้นพอสมควร แต่ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ก็ยังเป็นการแข่งขันที่สูงนั่นเอง  เพราะคู่แข่งเองก็ย่อมจะได้ประโยชน์จากการที่สังกะสีราคาถูกลงเช่นเดียวกัน  การตัดราคากันยังคงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคู่กันคล้ายปาท่องโก๋

2. ธุรกิจอสังหาซึ่งมีลักษณะเป็นวัฏจักรนั้น  จะเป็นตัวถ่วงไปอีกนาน เพราะวัฏจักรอสังหาคงยังไม่มาถึงในเร็ววันนี้
3. ถ้าตัดธุรกิจอสังหาออก ก็จะน่าสนใจมากขึ้น

[jody4003]

เป็นหุ้นก้นบุหรี่ มีสินทรัพย์เยอะหนี้น้อย p/b 0.69

ถ้าตัดธุรกิจอสังหาออก ก็จะน่าสนใจมากขึ้น

เห็นด้วยครับ
เราลงทุนเพื่อหวังกำไร แต่หุ้นก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งเพื่อให้ได้กำไร หุ้นแต่ละตัวก็ไม่ใช่เครื่องมือประเภทเดียวกัน อยู่ที่วิธีใช้งาน เช่น WG ก็เป็นเครื่องมือคนละประเภทกับ UV วิธีใช้คือ "ร่วมทุนไปกับบริษัทเพื่อหวังการเติบโตในระยะยาว" ซึ่งผมเองก็มองว่า UV ไม่เหมาะ ถ้าจะลงทุนใน UV วิธีเดียวกับ WG ก็คงเหมือนการใช้เครื่องมือผิดวิธีครับ

UV มี D/E ต่ำมาก เป็นเหมือนกันชนว่าไม่ใช่หุ้นที่เสี่ยงว่าราคาร่วงจนเหลือ 0
ธุรกิจ Zynch เป็นธุรกิจแข่งขันด้านราคา จริงครับ แต่ก็เป็นธุรกิจที่หล่อเลี้ยงกระแสเงินสดของบริษัท จริงอยู่ว่าcycleของ Zynch มีผลกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แต่อย่าลืมว่ามันก็เป็นตัวช่วยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่มีคู่แข่งใดสามารถทำราคาได้ถูกกว่า เพราะต้นทุนเหมือนๆกันหมด

UV เล่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่เหมือนรายอื่นครับ ไม่เปิดโครงการจากกระดาษเปล่าแต่ใช้วิธี"ซื้อ"โครงการที่ค้างจากวิกฤษเศรษฐกิจปี40มาทำต่อครับ วิธีนี้ทำให้ปิดprojectได้เร็วกว่าคนอื่นและด้วยต้นทุนที่ต่ำ

มี story, UV มี revenue ที่คาดว่าจะก้อนใหญ่จากอสังหาที่จะทยอยรับรู้จนถึงปลายปี07เนื่องจากdelayมาจากปีที่แล้ว

ดังนั้น ผมมองว่า UV เป็นเครื่องมือที่น่าจะใช้การได้ดีในช่วงปี-2ปีนี้ครับ ไม่เหมาะถือยาว เพราะ direction ของบริษัทสะเปะสะปะ ไม่ focus. แถมเบนๆมาทางธุรกิจที่ไม่น่าเล่นเอาเสียเลย ผมเชื่อว่า UV ไม่ทำให้ขาดทุนหนักค่อนข้างแน่และอาจจะจะทรงๆตัว แต่มีโอกาศ"เด้ง" ถ้าสามารถปิดproject ในส่วนอสังหาได้ตาม plan ในปีนี้

[สามัญชน]

อย่างไรก็ตามโดยรวมๆถือว่า ณ. ราคานี้ยังไม่น่าสนใจ หุ้นตัวนี้จะน่าสนใจก็ต่อเมื่อ

1. สังกะสีเข้าสู่วัฏจักรขาลง  คาดว่าบริษัทจะทำกำไรได้ดีขึ้นพอสมควร แต่ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ก็ยังเป็นการแข่งขันที่สูงนั่นเอง  เพราะคู่แข่งเองก็ย่อมจะได้ประโยชน์จากการที่สังกะสีราคาถูกลงเช่นเดียวกัน  การตัดราคากันยังคงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคู่กันคล้ายปาท่องโก๋

2. ธุรกิจอสังหาซึ่งมีลักษณะเป็นวัฏจักรนั้น  จะเป็นตัวถ่วงไปอีกนาน เพราะวัฏจักรอสังหาคงยังไม่มาถึงในเร็ววันนี้
3. ถ้าตัดธุรกิจอสังหาออก ก็จะน่าสนใจมากขึ้น

มีหุ้นอีกตัวที่จะได้ประโยชน์จากข้อ1.  และไม่มีปัญหาของข้อ 2-3 คือ TIW ครับ หนี้น้อยกว่าอีก p/b ก็ต่ำกว่าอีก  กำไรก็กระโดดขึ้นในไตรมาสนี้มากเหมือนกัน

ข้อเสียคือไม่ได้เป็นจ้าวใหญ่ของตลาด มีคู่แข่งมากกว่า และก็แข่งด้านราคาเหมือนกัน

[jody4003]

เอ๋ เหรอครับ ต้องลองไปดู  :)