ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
โพสต์ที่ 1
ผู้บริหาร-ที่ปรึกษา" ยิ้มโล่งอกโกลด์ไฟน์รอดเหนือจอง0.80%
หุ้นน้องใหม่โกลด์ไฟน์เข้าเทรดตลาดใหม่โชว์ฟอร์มวันแรกสวยยืนเหนือจอง 0.80% ไม่ร่วงตามภาวะตลาดรวม ผู้บริหาร-ที่ปรึกษาทางการเงินพอใจ ตั้งเป้าปีหน้ายอดขายเพิ่มขึ้น 20-30% เล็งเจาะตลาดอัญมณีในประเทศ สวนทางดัชนีตลาดใหม่ร่วง 1.9 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นไทย SET ปิดทรุด 8 จุด หลุดแนวรับ 660 จุด หลังราคาน้ำมันเริ่มดีดกลับขึ้นและกังวลค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนจึงขายทำกำไรออกมา ต่างประเทศขายทำกำไร 200 กว่าล้าน แต่รายย่อยซื้อกว่า 1 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ธ.ค.) เป็นวันแรกที่หุ้นบริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) เป็นวันแรก โดยราคาหุ้นเปิดตลาดที่ระดับ 6.20 บาท ซึ่งเป็นระดับที่เท่ากับราคาจองซื้อ จากนั้นมีแรงขายทำกำไรกดให้ราคาลดลงไปที่ 6.15 บาท ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวยืนเหนือจองได้อีกครั้ง โดยขึ้นไปสูงสุดที่ 6.35 บาท ก่อนจะปิดตลาดที่ 6.25 บาท เหนือราคาจอง 0.80% มูลค่าการซื้อขาย 112.89 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นใหม่ ปิดที่ 186.42 จุด ลดลง 1.90 จุด มูลค่าการซื้อขาย 163.64 ล้านบาท
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าพอใจกับราคาวันแรกที่หุ้นเข้ามาซื้อขาย และเชื่อว่าถ้าภาวะตลาดหุ้นดีขึ้นราคาหุ้นมีโอกาส ที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้อีกโดยระดับราคาจองที่กำหนดไว้ถือว่ามีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน
"การที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงกว่านี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาเนื่องจากขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นยังไม่ดีทำให้นักลงทุนยังขาดความมั่นใจแต่ก็มีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและการที่ราคาสามารถยืนเหนือจองได้ถือว่าเป็นไปตามที่คาดไว้" นางสาวศรีแพรกล่าว
ทั้งนี้ โกลด์ไฟน์ได้ตั้งเป้าว่าปีนี้จะมียอดขายประมาณ 950-1,000 ล้านบาท โดยใน 9 เดือนแรก บริษัทมียอดขายประมาณ 663 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าภายในปี 2548 จะมียอดขายเพิ่มขึ้น20-30% จากอุตสาหกรรมอัญมณีโดยรวมที่คาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยมูลค่าตลาดรวมของอัญมณีอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท โดยเป็นอัญมณีแท้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทจะส่งออกสินค้าอัญมณีไปยังตลาดต่างประเทศ 100% โดยจะส่งออกไปยังยุโรป เช่นเยอรมนี,สวีเดน และเนเธอร์แลนด์แต่ บริษัทมีแผนที่จะขายอัญมณีในประเทศ ในลักษณะของการเปิดร้านของตัวเอง แต่จะใช้แบรนด์แนมใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนการขายในประเทศประมาณ 10-15%
"บริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2548 อีกประมาณ 10-20% จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1 ล้าน ชิ้นต่อปีทำให้บริษัทสามารถมียอดขายมากขึ้นและขยายตลาดไปในตลาดอเมริกาใต้ได้มากขึ้น" นางสาวศรีแพรกล่าว
นายพงศกร เที่ยงธรรม กรรมการผู้จัดการสายงานทุนธนกิจและตลาดทุน บล.ไซรัส ที่ปรึกษาทางการเงินเปิดเผยว่าพอใจกับราคาหุ้น ในวันแรก ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยและหุ้นใหม่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายราคาจะต่ำกว่าจองโดยราคาจองที่กำหนดไว้ในระดับ 6.20 บาทถือว่าเป็นระดับที่ต่ำน่าลงทุนเพราะจากบทวิจัยของโบรกเกอร์จะให้ราคาที่เหมาะสมในระดับหุ้นละ 7.50 บาท
วานนี้ (7 ธ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ 655.83 จุด ลดลง 8.01 จุด คิดเป็น 1.21% มูลค่าการซื้อ ขาย 15,915.39 ล้านบาท หลังมีแรงขายทำกำไรออกมามากในหุ้นกลุ่มสื่อสาร ส่งผลให้ดัชนีกลุ่ม ปิดตลาดที่ 100.82 ลดลง 2.76 จุด คิดเป็น 2.66% โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาเป็นฝ่ายขายสุทธิ 225.02 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 922.32 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 1,147.34 ล้านบาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า สาเหตุที่ทำ ให้ดัชนีปรับตัวลงมาก จากเรื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่สัปดาห์ก่อน หน้าอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนเกิดอาการกังวลเริ่มเทขายหุ้นออกมา "หุ้นไทยปรับลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งดัชนีอ่อนตัวต่ำกว่าแนวรับที่ 660 จุด จึงเกิดการขายออกมามากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากในช่วงปลายสัปดาห์จะมีวันหยุดยาวอีก เชื่อว่าหากนักลงทุนหายจากอาการตื่นตระหนก ดัชนีมีโอกาสดีดกลับได้เล็กน้อย"
โดยดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ มีแนวรับที่ 650-653 จุด และแนวต้านที่ 660-663 จุด
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ซีมิโก้ ระบุว่า แรงของนักลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งกังวลว่าค่าเงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้นมาก่อนหน้าจะมีการปรับตัวอ่อนค่า จึงมีการขายทำกำไรในหุ้นออกมา
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=27726
หุ้นน้องใหม่โกลด์ไฟน์เข้าเทรดตลาดใหม่โชว์ฟอร์มวันแรกสวยยืนเหนือจอง 0.80% ไม่ร่วงตามภาวะตลาดรวม ผู้บริหาร-ที่ปรึกษาทางการเงินพอใจ ตั้งเป้าปีหน้ายอดขายเพิ่มขึ้น 20-30% เล็งเจาะตลาดอัญมณีในประเทศ สวนทางดัชนีตลาดใหม่ร่วง 1.9 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นไทย SET ปิดทรุด 8 จุด หลุดแนวรับ 660 จุด หลังราคาน้ำมันเริ่มดีดกลับขึ้นและกังวลค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนจึงขายทำกำไรออกมา ต่างประเทศขายทำกำไร 200 กว่าล้าน แต่รายย่อยซื้อกว่า 1 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ธ.ค.) เป็นวันแรกที่หุ้นบริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) เป็นวันแรก โดยราคาหุ้นเปิดตลาดที่ระดับ 6.20 บาท ซึ่งเป็นระดับที่เท่ากับราคาจองซื้อ จากนั้นมีแรงขายทำกำไรกดให้ราคาลดลงไปที่ 6.15 บาท ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวยืนเหนือจองได้อีกครั้ง โดยขึ้นไปสูงสุดที่ 6.35 บาท ก่อนจะปิดตลาดที่ 6.25 บาท เหนือราคาจอง 0.80% มูลค่าการซื้อขาย 112.89 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นใหม่ ปิดที่ 186.42 จุด ลดลง 1.90 จุด มูลค่าการซื้อขาย 163.64 ล้านบาท
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าพอใจกับราคาวันแรกที่หุ้นเข้ามาซื้อขาย และเชื่อว่าถ้าภาวะตลาดหุ้นดีขึ้นราคาหุ้นมีโอกาส ที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้อีกโดยระดับราคาจองที่กำหนดไว้ถือว่ามีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน
"การที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงกว่านี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาเนื่องจากขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นยังไม่ดีทำให้นักลงทุนยังขาดความมั่นใจแต่ก็มีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและการที่ราคาสามารถยืนเหนือจองได้ถือว่าเป็นไปตามที่คาดไว้" นางสาวศรีแพรกล่าว
ทั้งนี้ โกลด์ไฟน์ได้ตั้งเป้าว่าปีนี้จะมียอดขายประมาณ 950-1,000 ล้านบาท โดยใน 9 เดือนแรก บริษัทมียอดขายประมาณ 663 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าภายในปี 2548 จะมียอดขายเพิ่มขึ้น20-30% จากอุตสาหกรรมอัญมณีโดยรวมที่คาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยมูลค่าตลาดรวมของอัญมณีอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท โดยเป็นอัญมณีแท้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทจะส่งออกสินค้าอัญมณีไปยังตลาดต่างประเทศ 100% โดยจะส่งออกไปยังยุโรป เช่นเยอรมนี,สวีเดน และเนเธอร์แลนด์แต่ บริษัทมีแผนที่จะขายอัญมณีในประเทศ ในลักษณะของการเปิดร้านของตัวเอง แต่จะใช้แบรนด์แนมใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนการขายในประเทศประมาณ 10-15%
"บริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2548 อีกประมาณ 10-20% จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1 ล้าน ชิ้นต่อปีทำให้บริษัทสามารถมียอดขายมากขึ้นและขยายตลาดไปในตลาดอเมริกาใต้ได้มากขึ้น" นางสาวศรีแพรกล่าว
นายพงศกร เที่ยงธรรม กรรมการผู้จัดการสายงานทุนธนกิจและตลาดทุน บล.ไซรัส ที่ปรึกษาทางการเงินเปิดเผยว่าพอใจกับราคาหุ้น ในวันแรก ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยและหุ้นใหม่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายราคาจะต่ำกว่าจองโดยราคาจองที่กำหนดไว้ในระดับ 6.20 บาทถือว่าเป็นระดับที่ต่ำน่าลงทุนเพราะจากบทวิจัยของโบรกเกอร์จะให้ราคาที่เหมาะสมในระดับหุ้นละ 7.50 บาท
วานนี้ (7 ธ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ 655.83 จุด ลดลง 8.01 จุด คิดเป็น 1.21% มูลค่าการซื้อ ขาย 15,915.39 ล้านบาท หลังมีแรงขายทำกำไรออกมามากในหุ้นกลุ่มสื่อสาร ส่งผลให้ดัชนีกลุ่ม ปิดตลาดที่ 100.82 ลดลง 2.76 จุด คิดเป็น 2.66% โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาเป็นฝ่ายขายสุทธิ 225.02 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 922.32 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 1,147.34 ล้านบาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า สาเหตุที่ทำ ให้ดัชนีปรับตัวลงมาก จากเรื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่สัปดาห์ก่อน หน้าอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนเกิดอาการกังวลเริ่มเทขายหุ้นออกมา "หุ้นไทยปรับลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งดัชนีอ่อนตัวต่ำกว่าแนวรับที่ 660 จุด จึงเกิดการขายออกมามากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากในช่วงปลายสัปดาห์จะมีวันหยุดยาวอีก เชื่อว่าหากนักลงทุนหายจากอาการตื่นตระหนก ดัชนีมีโอกาสดีดกลับได้เล็กน้อย"
โดยดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ มีแนวรับที่ 650-653 จุด และแนวต้านที่ 660-663 จุด
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ซีมิโก้ ระบุว่า แรงของนักลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งกังวลว่าค่าเงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้นมาก่อนหน้าจะมีการปรับตัวอ่อนค่า จึงมีการขายทำกำไรในหุ้นออกมา
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=27726

-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
โพสต์ที่ 2
GFMเล็งลุยอินเดียขยายตลาดส่งออก ปี49ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ไว้ที่20%
GFM เล็งลงทุนเพิ่มที่อินเดียขยาย ตลาดส่งออก เชื่อความต้องการมีต่อเนื่องและจำนวนประชากรมีสูง หลังเปิดโรงงานที่เวียดนามเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนเป็นหลักพร้อมตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต 20% หลังตั้งบริษัทย่อยเพื่อจำหน่ายสินค้า
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เปิดเผยแผนงานปี 2549 ว่า ขณะนี้ได้เซ็นสัญญาเพื่อเช่าที่ดินในเวียดนาม ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เวียดนาม เนื้อที่ 11,000 ตารางเมตร ระยะเวลาเช่า 40 ปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องจักร คาดดำเนินการได้ต้นปี 49 และจะเร่งที่จะผลิตให้ได้กลางปี เพื่อรองรับออเดอร์ ที่เพิ่มขึ้น
โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 30% จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ผลิตของโรงงานที่ไทยผลิตได้เดือนละล้านกว่าเม็ด ซึ่งเริ่มแรกนั้น จะเจียระไนพลอยก่อน หลังจากนั้นจึงจะขยายการผลิตให้หลากหลายเพิ่มขึ้น ในการผลิตงานอัญมณีและงานเงิน
จากการมีโรงงานแห่งใหม่ที่เวียดนามนั้น เพื่อต้องการลดต้นทุนเรื่องค่าแรงเป็นสำคัญ ส่วนการตลาดในเวียดนามนั้นถือเป็นการขยายตลาดอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังตลาดเวียดนามมีการตอบรับสินค้าที่บริษัทส่งออกไปจำหน่ายเพื่อทดลองตลาดมาแล้ว
นางสาวศรีแพรกล่าวว่า นอกจากการรุกเวียดนามแล้ว บริษัทยังเล็งที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเบื้องต้นเล็งอินเดียเป็นลำดับต่อไป เพราะอินเดียใหญ่เป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก และความต้องการสินค้าอัญมณีก็ยังมีสูง พร้อมกับมั่นใจว่าหากเข้าไปลงทุนที่อินเดียแล้ว จะง่ายต่อการทำตลาดในประเทศดังกล่าว และดีกว่าการส่งสินค้าไปจำหน่ายเพราะต้องจ่ายภาษีหลายขั้นตอน เงื่อนไขในการส่งสินค้าไปจำหน่ายก็มีมากด้วย
"ถ้าจะเข้าบุกอินเดีย เราก็ต้องไปแบบผลิตแล้วขายที่โน่นเลย เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกิดขึ้นตามรายทาง แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่ใช่ ระยะนี้ เพราะเราต้องให้โรงงานที่เวียดนามเข้าที่เข้าทางก่อน คงอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีข้างหน้า"นางสาวศรีแพรกล่าว
ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับเงินทุนของบริษัทด้วย เพราะ GFM ไม่ต้องการเพิ่มทุนและไม่ต้องการเพิ่มภาระให้บริษัท หากจะมีการลงทุนก็จะเน้นใช้เงินทุน หมุนเวียนหรืออาจกู้บ้าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ของการเงินในช่วงนั้นเป็นสำคัญ
ก่อนหน้านี้ GFM ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกทั้งหมด ขณะนี้ได้หันมารุกตลาดในประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ดำเนินการโดยบริษัทออโรพลัส จำกัด ซึ่งมี GFM ถือหุ้น 99% และจะเริ่มจำหน่ายงานเงินก่อน ซึ่งจะมีการวางจำหน่ายแห่งแรก ในห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ตามด้วยห้างเอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกอยู่ที่ประมาณ 5% ของยอดขายของบริษัทแม่และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี49 นี้
"การจัดตั้งบริษัทดังกล่าว เป็นผลต่อเนื่องมาจากแผนงานของบริษัทที่ต้องการทำสินค้าแบรนด์ของตัวเองเพื่อขายในประเทศ หลังจากที่ผ่านมา GFM ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกทั้งหมดและผลิตตามออเดอร์สินค้าที่มีเข้ามา การที่สร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งหลังจากสร้างแบรนด์ของตัวเองแล้ว ก็จะนำสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศต่อไป" นางสาวศรีแพรกล่าว
ขณะที่ตลาดหลักของ GFM จะเป็นประเทศแถบยุโรป คือ เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ประมาณ 60-70% สหรัฐฯ ประมาณ 25-30% และออสเตรเลียประมาณ 3-5% ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 120,000 ชิ้นต่อเดือน
นางสาวศรีแพรกล่าวถึงค่าเงินที่ผันผวนว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ GFM มากนัก แต่เรื่องของราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบที่เป็นโลหะและพลอย ปรับเพิ่มขึ้นกระทบผลการดำเนินงานบ้าง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ทะยานไปสูงพอสมควร แต่เนื่องจากบริษัทสามารถผลักภาระให้กับลูกค้าได้ ซึ่งลูกค้ายอมรับกับภาวะดังกล่าวได้ ซึ่งการปรับราคาสินค้าแต่ละครั้งประมาณ 5% เท่านั้น และการที่ทำสัญญาล่วงหน้ากับลูกค้าไว้ ทำให้ลดความเสี่ยงได้มากพอ ประกอบกับที่บริษัทหันมาเน้นงานเงินมากขึ้น ทำให้ความผันผวนมีน้อยลงในเรื่องของการจำหน่าย
"แต่ไม่ใช่วัตถุดิบเพิ่มแล้วเราถึงจะปรับราคา เพราะโดยปกติแต่ละปี เราก็พัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าออกมาหลากหลายและเพิ่มอะไรใหม่ๆ แบบใหม่ๆ ที่เราก็สามารถเพิ่มราคาขายได้ตามรูปแบบของงานที่เราผลิตออกด้วย จึงไม่กระทบกับกรอสมาร์จิ้นของเรา" นางสาวศรีแพรกล่าว
สำหรับปี 49 แนวโน้มน่าจะดีต่อเนื่องจากปีนี้ และการที่โรงงานแห่งใหม่จะผลิตได้ น่าจะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานไม่ต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา ขณะเดียวกัน จากการที่ GFM ตั้งบริษัทย่อยอย่าง ออโรพลัส (ประเทศไทย) ก็จะเสริมความหลากหลายในการจำหน่ายสินค้าของบริษัท
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=44252
GFM เล็งลงทุนเพิ่มที่อินเดียขยาย ตลาดส่งออก เชื่อความต้องการมีต่อเนื่องและจำนวนประชากรมีสูง หลังเปิดโรงงานที่เวียดนามเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนเป็นหลักพร้อมตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต 20% หลังตั้งบริษัทย่อยเพื่อจำหน่ายสินค้า
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เปิดเผยแผนงานปี 2549 ว่า ขณะนี้ได้เซ็นสัญญาเพื่อเช่าที่ดินในเวียดนาม ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เวียดนาม เนื้อที่ 11,000 ตารางเมตร ระยะเวลาเช่า 40 ปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องจักร คาดดำเนินการได้ต้นปี 49 และจะเร่งที่จะผลิตให้ได้กลางปี เพื่อรองรับออเดอร์ ที่เพิ่มขึ้น
โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 30% จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ผลิตของโรงงานที่ไทยผลิตได้เดือนละล้านกว่าเม็ด ซึ่งเริ่มแรกนั้น จะเจียระไนพลอยก่อน หลังจากนั้นจึงจะขยายการผลิตให้หลากหลายเพิ่มขึ้น ในการผลิตงานอัญมณีและงานเงิน
จากการมีโรงงานแห่งใหม่ที่เวียดนามนั้น เพื่อต้องการลดต้นทุนเรื่องค่าแรงเป็นสำคัญ ส่วนการตลาดในเวียดนามนั้นถือเป็นการขยายตลาดอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังตลาดเวียดนามมีการตอบรับสินค้าที่บริษัทส่งออกไปจำหน่ายเพื่อทดลองตลาดมาแล้ว
นางสาวศรีแพรกล่าวว่า นอกจากการรุกเวียดนามแล้ว บริษัทยังเล็งที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเบื้องต้นเล็งอินเดียเป็นลำดับต่อไป เพราะอินเดียใหญ่เป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก และความต้องการสินค้าอัญมณีก็ยังมีสูง พร้อมกับมั่นใจว่าหากเข้าไปลงทุนที่อินเดียแล้ว จะง่ายต่อการทำตลาดในประเทศดังกล่าว และดีกว่าการส่งสินค้าไปจำหน่ายเพราะต้องจ่ายภาษีหลายขั้นตอน เงื่อนไขในการส่งสินค้าไปจำหน่ายก็มีมากด้วย
"ถ้าจะเข้าบุกอินเดีย เราก็ต้องไปแบบผลิตแล้วขายที่โน่นเลย เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกิดขึ้นตามรายทาง แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่ใช่ ระยะนี้ เพราะเราต้องให้โรงงานที่เวียดนามเข้าที่เข้าทางก่อน คงอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีข้างหน้า"นางสาวศรีแพรกล่าว
ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับเงินทุนของบริษัทด้วย เพราะ GFM ไม่ต้องการเพิ่มทุนและไม่ต้องการเพิ่มภาระให้บริษัท หากจะมีการลงทุนก็จะเน้นใช้เงินทุน หมุนเวียนหรืออาจกู้บ้าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ของการเงินในช่วงนั้นเป็นสำคัญ
ก่อนหน้านี้ GFM ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกทั้งหมด ขณะนี้ได้หันมารุกตลาดในประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ดำเนินการโดยบริษัทออโรพลัส จำกัด ซึ่งมี GFM ถือหุ้น 99% และจะเริ่มจำหน่ายงานเงินก่อน ซึ่งจะมีการวางจำหน่ายแห่งแรก ในห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ตามด้วยห้างเอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกอยู่ที่ประมาณ 5% ของยอดขายของบริษัทแม่และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี49 นี้
"การจัดตั้งบริษัทดังกล่าว เป็นผลต่อเนื่องมาจากแผนงานของบริษัทที่ต้องการทำสินค้าแบรนด์ของตัวเองเพื่อขายในประเทศ หลังจากที่ผ่านมา GFM ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกทั้งหมดและผลิตตามออเดอร์สินค้าที่มีเข้ามา การที่สร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งหลังจากสร้างแบรนด์ของตัวเองแล้ว ก็จะนำสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศต่อไป" นางสาวศรีแพรกล่าว
ขณะที่ตลาดหลักของ GFM จะเป็นประเทศแถบยุโรป คือ เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ประมาณ 60-70% สหรัฐฯ ประมาณ 25-30% และออสเตรเลียประมาณ 3-5% ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 120,000 ชิ้นต่อเดือน
นางสาวศรีแพรกล่าวถึงค่าเงินที่ผันผวนว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ GFM มากนัก แต่เรื่องของราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบที่เป็นโลหะและพลอย ปรับเพิ่มขึ้นกระทบผลการดำเนินงานบ้าง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ทะยานไปสูงพอสมควร แต่เนื่องจากบริษัทสามารถผลักภาระให้กับลูกค้าได้ ซึ่งลูกค้ายอมรับกับภาวะดังกล่าวได้ ซึ่งการปรับราคาสินค้าแต่ละครั้งประมาณ 5% เท่านั้น และการที่ทำสัญญาล่วงหน้ากับลูกค้าไว้ ทำให้ลดความเสี่ยงได้มากพอ ประกอบกับที่บริษัทหันมาเน้นงานเงินมากขึ้น ทำให้ความผันผวนมีน้อยลงในเรื่องของการจำหน่าย
"แต่ไม่ใช่วัตถุดิบเพิ่มแล้วเราถึงจะปรับราคา เพราะโดยปกติแต่ละปี เราก็พัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าออกมาหลากหลายและเพิ่มอะไรใหม่ๆ แบบใหม่ๆ ที่เราก็สามารถเพิ่มราคาขายได้ตามรูปแบบของงานที่เราผลิตออกด้วย จึงไม่กระทบกับกรอสมาร์จิ้นของเรา" นางสาวศรีแพรกล่าว
สำหรับปี 49 แนวโน้มน่าจะดีต่อเนื่องจากปีนี้ และการที่โรงงานแห่งใหม่จะผลิตได้ น่าจะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานไม่ต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา ขณะเดียวกัน จากการที่ GFM ตั้งบริษัทย่อยอย่าง ออโรพลัส (ประเทศไทย) ก็จะเสริมความหลากหลายในการจำหน่ายสินค้าของบริษัท
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=44252

-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
โพสต์ที่ 3
"โกลด์ไฟน์" รุกปรับรูปแบบสินค้าหนุนมาร์จินพุ่ง
25 สิงหาคม 2548 08:49 น.
โดยสร้างแบรนด์ใหม่จับลูกค้าตลาดบน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20%
โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% พร้อมฟันธงกำไรไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว เผยครึ่งปีแรกโชว์กำไรสุทธิพุ่งแล้ว 84% เหตุมาร์จินดีขึ้น หลังปรับปรุงรูปแบบสินค้าส่งผลต่อราคาขาย โดยสวนทางต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ปรับแผนทำตลาดในไทย โดยสร้างแบนด์ใหม่เองจับลูกค้าตลาดบน
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) หรือ จีเอฟเอ็ม เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 1-1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมประมาณ 935 ล้านบาท หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ส่วนกำไรสุทธิเชื่อว่าสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 106.98 ล้านบาท อย่างแน่นอน
"ถ้าดูผลประกอบการครึ่งปีแรก เรามีรายได้รวมจำนวน 482.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 20% ส่วนกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มีจำนวน 80.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 84% ดังนั้นถ้ามองโดยรวมทั้งปีแล้ว เราน่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นได้จากปีที่แล้วอย่างแน่นอน" นางสาวศรีแพร กล่าว
ทั้งนี้สาเหตุที่กำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เป็นเพราะส่วนต่างรายได้กับกำไรของบริษัทได้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2% โดยอยู่ที่ระดับ 28% ซึ่งมาร์จินที่เพิ่มขึ้นนั้นถือว่าสวนทางกับราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้นจากเมื่อช่วงต้นปีแล้วประมาณ 5%
เธอกล่าวด้วยว่า ในส่วนมาร์จินที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะบริษัทได้ปรับปรุงรูปแบบสินค้าใหม่ให้มีความทันสมัยขึ้น ทำให้บริษัทสามารถปรับเพิ่มราคาขายสินค้าขึ้นได้ด้วย ประกอบกับบริษัทได้ผลักภาระต้นทุนบางอย่างไว้ในราคาขายเรียบร้อยแล้วดังนั้น แม้ราคาวัตถุดิบจะปรับเพิ่มขึ้นก็ไม่มีผลต่อบริษัทแต่อย่างใด
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในประเทศเวียดนามนั้น ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ประเทศเวียดนาม จำนวน 11,000 ตารางเมตร โดยทำสัญญาเช่า 40 ปี เพื่อขยายฐานการผลิตและลดปัญหาเรื่องแรงงานมีฝีมือลง อีกทั้งยังลดต้นทุนการผลิตให้บริษัทได้ด้วย ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ใช้เงินลงทุนรวม 40 ล้านบาท
"โรงงานที่เวียดนามนี้เราใช้เป็นที่เจียระไนพลอย ซึ่งหลังเจียระไนเสร็จก็จะส่งกลับมาที่ไทย เพื่อประกอบเข้ากับตัวเรือน แต่ในอนาคตบริษัทอาจลงทุนสร้างโรงงานเข้าตัวเรือนในเวียดนามก็ได้ ส่วนสาเหตุที่เราไปลงทุนในเวียดนามเพราะลดปัญหาเรื่องแรงงานราคาถูกซึ่งทำให้เราสามารถแข่งขันกับประเทศจีน และอินเดีย ที่เป็นคู่แข่งหลักได้ เพราะค่าแรงที่เวียดนามเฉลี่ยขั้นต่ำต่อคนอยู่ที่ 80 บาทเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 180 บาท" นางสาวศรีแพร กล่าว
เธอกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้บริษัทมีแผนขยายการทำตลาดในประเทศไทยเพิ่ม จากเดิมซึ่งจะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกขายต่างประเทศ 100% ซึ่งการหันมาทำตลาดในประเทศไทย เพราะมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต โดยช่วงแรกบริษัทจะขายสินค้าประเภทเงินเท่านั้น โดยใช้ยี่ห้อของบริษัทเองคือ BELLE ETOILE ซึ่งในเร็วๆ นี้วางจำหน่ายที่ห้าง THE MALL , EMPORIUM และ SIAM PARAGON
"ช่วงแรกของการเจาะตลาดในประเทศเราคงไปทางด้านเงินก่อน โดยราคาขายเฉลี่ยตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท เพราะขณะนี้เงินกำลังได้รับความสนใจมาก อนาคตเมื่อเห็นว่าจังหวะดีก็คงมีงานทอง และอัญมณีอื่นตามออกมา ส่วนตลาดที่เราเน้นเป็นตลาดบนซึ่งกลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่าไรนัก" นางสาวศรีแพร กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2005/08/2 ... s_id=31561
25 สิงหาคม 2548 08:49 น.
โดยสร้างแบรนด์ใหม่จับลูกค้าตลาดบน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20%
โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% พร้อมฟันธงกำไรไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว เผยครึ่งปีแรกโชว์กำไรสุทธิพุ่งแล้ว 84% เหตุมาร์จินดีขึ้น หลังปรับปรุงรูปแบบสินค้าส่งผลต่อราคาขาย โดยสวนทางต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ปรับแผนทำตลาดในไทย โดยสร้างแบนด์ใหม่เองจับลูกค้าตลาดบน
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) หรือ จีเอฟเอ็ม เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 1-1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมประมาณ 935 ล้านบาท หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ส่วนกำไรสุทธิเชื่อว่าสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 106.98 ล้านบาท อย่างแน่นอน
"ถ้าดูผลประกอบการครึ่งปีแรก เรามีรายได้รวมจำนวน 482.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 20% ส่วนกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มีจำนวน 80.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 84% ดังนั้นถ้ามองโดยรวมทั้งปีแล้ว เราน่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นได้จากปีที่แล้วอย่างแน่นอน" นางสาวศรีแพร กล่าว
ทั้งนี้สาเหตุที่กำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เป็นเพราะส่วนต่างรายได้กับกำไรของบริษัทได้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2% โดยอยู่ที่ระดับ 28% ซึ่งมาร์จินที่เพิ่มขึ้นนั้นถือว่าสวนทางกับราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้นจากเมื่อช่วงต้นปีแล้วประมาณ 5%
เธอกล่าวด้วยว่า ในส่วนมาร์จินที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะบริษัทได้ปรับปรุงรูปแบบสินค้าใหม่ให้มีความทันสมัยขึ้น ทำให้บริษัทสามารถปรับเพิ่มราคาขายสินค้าขึ้นได้ด้วย ประกอบกับบริษัทได้ผลักภาระต้นทุนบางอย่างไว้ในราคาขายเรียบร้อยแล้วดังนั้น แม้ราคาวัตถุดิบจะปรับเพิ่มขึ้นก็ไม่มีผลต่อบริษัทแต่อย่างใด
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในประเทศเวียดนามนั้น ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ประเทศเวียดนาม จำนวน 11,000 ตารางเมตร โดยทำสัญญาเช่า 40 ปี เพื่อขยายฐานการผลิตและลดปัญหาเรื่องแรงงานมีฝีมือลง อีกทั้งยังลดต้นทุนการผลิตให้บริษัทได้ด้วย ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ใช้เงินลงทุนรวม 40 ล้านบาท
"โรงงานที่เวียดนามนี้เราใช้เป็นที่เจียระไนพลอย ซึ่งหลังเจียระไนเสร็จก็จะส่งกลับมาที่ไทย เพื่อประกอบเข้ากับตัวเรือน แต่ในอนาคตบริษัทอาจลงทุนสร้างโรงงานเข้าตัวเรือนในเวียดนามก็ได้ ส่วนสาเหตุที่เราไปลงทุนในเวียดนามเพราะลดปัญหาเรื่องแรงงานราคาถูกซึ่งทำให้เราสามารถแข่งขันกับประเทศจีน และอินเดีย ที่เป็นคู่แข่งหลักได้ เพราะค่าแรงที่เวียดนามเฉลี่ยขั้นต่ำต่อคนอยู่ที่ 80 บาทเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 180 บาท" นางสาวศรีแพร กล่าว
เธอกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้บริษัทมีแผนขยายการทำตลาดในประเทศไทยเพิ่ม จากเดิมซึ่งจะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกขายต่างประเทศ 100% ซึ่งการหันมาทำตลาดในประเทศไทย เพราะมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต โดยช่วงแรกบริษัทจะขายสินค้าประเภทเงินเท่านั้น โดยใช้ยี่ห้อของบริษัทเองคือ BELLE ETOILE ซึ่งในเร็วๆ นี้วางจำหน่ายที่ห้าง THE MALL , EMPORIUM และ SIAM PARAGON
"ช่วงแรกของการเจาะตลาดในประเทศเราคงไปทางด้านเงินก่อน โดยราคาขายเฉลี่ยตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท เพราะขณะนี้เงินกำลังได้รับความสนใจมาก อนาคตเมื่อเห็นว่าจังหวะดีก็คงมีงานทอง และอัญมณีอื่นตามออกมา ส่วนตลาดที่เราเน้นเป็นตลาดบนซึ่งกลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่าไรนัก" นางสาวศรีแพร กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2005/08/2 ... s_id=31561

-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
โพสต์ที่ 4
GFM เล็งจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% รุกตลาดดิวตี้ฟรีในประเทศ-เปิดบูท
โดย ผู้จัดการรายวัน 27 ธันวาคม 2547 09:55 น.
ผู้จัดการรายวัน- โกลด์ไฟน์ฯคาดยอดขายจิวเวลรี่ปีนี้เฉียด 1 พันล้านบาท ผู้ถือหุ้นมีเฮจ่ายปันผลงวดสิ้นปี'47 ไม่ต่ำกว่า 40% ส่วนแผนปีหน้าเตรียมขย่มตลาดในประเทศด้วยการเปิดแบรนด์ใหม่ขายผ่านดิวตี้ฟรี และเปิดบูธตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ในไตรมาสแรกของปีหน้า เผยมีแผนตั้งฐานผลิตในเวียดนามลดต้นทุนค่าแรง
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 950-1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิในงวดผลการดำเนินงานในปี 2547 ได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ก่อนที่จะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นและสามารถจ่ายปันผลได้ในเดือนเมษายนปี 2548
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 200 ล้านบาท บริษัทได้นำไปคืนหนี้ระยะสั้นที่มีอยู่จำนวน 50 ล้านบาท และขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดยเข้าไปซ้อโรงงานที่อยู่ใกล้กับโรงงานของบริษัทในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มจาก 1 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 1.2 ล้านชิ้นต่อปี
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2548 บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับร้านค้าดิวตี้ฟรี เพื่อนำสินค้า ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทนำมาวางจำหน่ายในประเทศเป็นครั้งแรก จากที่ก่อนหน้าจะรับทำสินค้าเพื่อส่งออกเท่านั้น โดยตลาดหลักอยู่ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรีย
ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการตั้งชื่อแบรนด์ และเจรจากับดิวตี้ฟรี เพื่อนำสินค้าไปวางจำหน่าย ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกของปีหน้า
สำหรับยอดขายในช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนส่งออกไปยังยุโรปประมาณ 65-70% ที่เหลือเป็นสหรัฐอเมริกา 20-25% และที่เหลือเป็นกลุ่มลูกค้าในออสเตรีย ซึ่งเป็นการส่งออกทั้ง 100% ส่วนปีหน้าหลังการเปิดแบรนด์ของบริษัทเองคาดว่าจะมีสัดส่วนลูกค้าในประทศประมาณ 5-10% ของยอดขายรวม
สาเหตุที่ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดตัวแบรนด์ของบริษัท เพื่อจำหน่ายในประเทศ เนื่องจากต้องการให้คนในประเทศรู้จักตัวสินค้าของบริษัท
นางสาวศรีแพรกล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท บริษัทได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกบางส่วนมีการขายเป็นเงินสกุลยูโร ซึ่งขณะนี้แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว บริษัทถือว่ามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายการผลิตเพื่อลดต้นทุนค่าจ้าง โดยคาดว่าน่าจะไปลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากต้นทุนค่าจ้างต่ำกว่า และที่สำคัญโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังยังได้รับสิทธิภาษีนำเข้า ซึ่งจุดนี้หากมีการขยายการลงทุนจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานถูกลง
นางสาวศรีแพรกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการนำสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทไปขายในดิวตี้ฟรี บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดในการเปิดบูธตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ โดยคาดว่ายอดขายในปีหน้าของบริษัทจะขยายตัวประมาณ 20% ตามกำลังการผลิตที่เพิ่ม
http://www.thaiday.com/Daily/ViewNews.a ... 0000102585
โดย ผู้จัดการรายวัน 27 ธันวาคม 2547 09:55 น.
ผู้จัดการรายวัน- โกลด์ไฟน์ฯคาดยอดขายจิวเวลรี่ปีนี้เฉียด 1 พันล้านบาท ผู้ถือหุ้นมีเฮจ่ายปันผลงวดสิ้นปี'47 ไม่ต่ำกว่า 40% ส่วนแผนปีหน้าเตรียมขย่มตลาดในประเทศด้วยการเปิดแบรนด์ใหม่ขายผ่านดิวตี้ฟรี และเปิดบูธตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ในไตรมาสแรกของปีหน้า เผยมีแผนตั้งฐานผลิตในเวียดนามลดต้นทุนค่าแรง
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 950-1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิในงวดผลการดำเนินงานในปี 2547 ได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ก่อนที่จะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นและสามารถจ่ายปันผลได้ในเดือนเมษายนปี 2548
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 200 ล้านบาท บริษัทได้นำไปคืนหนี้ระยะสั้นที่มีอยู่จำนวน 50 ล้านบาท และขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดยเข้าไปซ้อโรงงานที่อยู่ใกล้กับโรงงานของบริษัทในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มจาก 1 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 1.2 ล้านชิ้นต่อปี
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2548 บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับร้านค้าดิวตี้ฟรี เพื่อนำสินค้า ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทนำมาวางจำหน่ายในประเทศเป็นครั้งแรก จากที่ก่อนหน้าจะรับทำสินค้าเพื่อส่งออกเท่านั้น โดยตลาดหลักอยู่ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรีย
ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการตั้งชื่อแบรนด์ และเจรจากับดิวตี้ฟรี เพื่อนำสินค้าไปวางจำหน่าย ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกของปีหน้า
สำหรับยอดขายในช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนส่งออกไปยังยุโรปประมาณ 65-70% ที่เหลือเป็นสหรัฐอเมริกา 20-25% และที่เหลือเป็นกลุ่มลูกค้าในออสเตรีย ซึ่งเป็นการส่งออกทั้ง 100% ส่วนปีหน้าหลังการเปิดแบรนด์ของบริษัทเองคาดว่าจะมีสัดส่วนลูกค้าในประทศประมาณ 5-10% ของยอดขายรวม
สาเหตุที่ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดตัวแบรนด์ของบริษัท เพื่อจำหน่ายในประเทศ เนื่องจากต้องการให้คนในประเทศรู้จักตัวสินค้าของบริษัท
นางสาวศรีแพรกล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท บริษัทได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกบางส่วนมีการขายเป็นเงินสกุลยูโร ซึ่งขณะนี้แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว บริษัทถือว่ามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายการผลิตเพื่อลดต้นทุนค่าจ้าง โดยคาดว่าน่าจะไปลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากต้นทุนค่าจ้างต่ำกว่า และที่สำคัญโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังยังได้รับสิทธิภาษีนำเข้า ซึ่งจุดนี้หากมีการขยายการลงทุนจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานถูกลง
นางสาวศรีแพรกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการนำสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทไปขายในดิวตี้ฟรี บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดในการเปิดบูธตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ โดยคาดว่ายอดขายในปีหน้าของบริษัทจะขยายตัวประมาณ 20% ตามกำลังการผลิตที่เพิ่ม
http://www.thaiday.com/Daily/ViewNews.a ... 0000102585

-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
โพสต์ที่ 5
"โกลด์ไฟน์"รุกตั้งรง.เจียพลอยที่เวียดนาม ทำเสร็จส่งกลับไทยใส่ตัวเรือนขายทั่วโลก
โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ เล็งจีนขายเครื่องประดับเงิน รับเขตการค้าเสรี FTA พร้อมตั้งฐานโรงงานเจียระไนพลอยที่เวียดนามในพื้นที่นิคมอมตะเวียดนาม ส่งกลับมาผลิตเครื่องประดับที่ลาดกระบัง
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเครื่องประดับเงิน ทอง และแพลทินัม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเปิดตลาดในประเทศจีน เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมาก กำลังซื้อสูง แต่เนื่องจากปัจจุบันจีนตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องประดับเงินสูงถึง 20% และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง จึงกลายเป็นภาระด้านต้นทุนทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงกว่าสินค้าเครื่องประดับที่ผลิตได้ภายในประเทศจีน
แต่หากเปรียบเทียบในเรื่องคุณภาพและการออกแบบสินค้าแล้ว นางสาวศรีแพรเชื่อว่า สินค้าเครื่องประดับเงินของโกลด์ไฟน์ จะสามารถแข่งขันกับสินค้าเครื่องประดับของจีนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากโกลด์ไฟน์ผลิตสินค้าเครื่องประดับแฟชั่นเกรด A มีรูปแบบทันสมัย สำหรับในช่วงปลายปีนี้ บริษัทวางแผนที่จะนำสินค้าเข้าร่วมงานแสดงสิน ค้าเครื่องประดับที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อสำรวจรสนิยมและพฤติกรรมการซื้อของคนจีนก่อนในเบื้องต้น ส่วนการเปิดเสรีการค้า (FTA) ของไทย กับ FTA อาเซียน-จีนนั้น หากมีการผลักดันการเปิดตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็น่าจะเอื้อประโยชน์ต่อการขยายตลาดส่งออกสินค้าเครื่องประดับไทยไปยังประเทศจีนให้เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว
นางสาวศรีแพรกล่าวถึงแผนการดำเนินงานของโกลด์ไฟน์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทได้จดทะเบียนตั้งบริษัทย่อยคือ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (เวียดนาม) จำกัด ทุนจดทะเบียน 1.0 ล้านเหรียญสหรัฐ โกลด์ไฟน์ฯถือหุ้น 100% โดยบริษัทใหม่จะตั้งอยู่ที่ Amata Industrial Park ณ ประเทศเวียดนาม ในพื้นที่ 11,000 ตารางเมตร เป็นโรงงานเจียระไนพลอยส่งกลับมาให้บริษัทเพื่อขยายฐานการผลิต ลดต้นทุนค่าแรง คาดว่าโรงงานใหม่แห่งนี้จะก่อ สร้างแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินงานได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 พลอยที่ผ่านการเจียระไนจะส่งกลับมาป้อนฐานการผลิตเครื่องประดับของบริษัทที่นิคมอุตสาห กรรมลาดกระบัง ส่วนเฟสที่ 2 ของการลงทุน บริษัทวางเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าเครื่องประดับเพื่อจำหน่ายในประเทศเวียดนามด้วยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกหลักในปัจจุบันของบริษัทอยู่ที่สหภาพยุโรป เช่น เยอรมนี-สวีเดน-เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ ประมาณ 60-70%, สหรัฐ 25-30% และออสเตรเลีย 3-5% ล่าสุดบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อว่า "บริษัทออโรพลัส" ซึ่งโกลด์ไฟน์ฯถือหุ้น 99% วงเงินจดทะเบียน 5 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทและเพิ่มยอดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งจำหน่ายเครื่องประดับเงินและอัญมณีภายในประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "Belle Etoile" หรือ "เบล เอธัวร์" จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนกันยายนที่ห้างเดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วานเป็นแห่งแรก
ด้านนายพงศ์เกียรติ พุทธศิริวัฒน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนการขยายตลาดในปีนี้ว่า บริษัทวางแผนที่จะเปิดบูทจัดจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 5 แห่ง และเปิดช็อปสำหรับจำหน่ายสินค้า 1 จุดที่โรงแรมเอราวัณ มุ่งเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงวัยทำงานที่มีอายุตั้งแต่ 25-40 ปี สินค้าคุณภาพเกรด A มีราคาจำหน่ายตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท/ชิ้น จุดเด่นของสินค้าก็คือ เน้นผลิตสินค้าเครื่องประดับแฟชั่นที่ผลิตจากเนื้อเงินแท้ 92.5% ที่มีรูปแบบดีไซน์ใหม่ๆ หมุนเวียนเข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน/คอลเล็กชั่น คาดว่าภายหลังจากที่เปิดการจำหน่ายแล้ว สินค้าของบริษัทจะเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วไปภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ระยะแรกตั้งเป้ายอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท ในปี 2549
อนึ่ง บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (GFM) บริหารงานโดยกลุ่มตระกูล เตชะมาถาวร กับบริษัทเอสเทลล์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกเครื่องประดับประเภทต่างๆ ตามคำสั่งซื้อ ภายใต้เครื่องหมาย การค้าของลูกค้า (OEM) มีกำลังการผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 120,000 ชิ้น/ปี จดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2547 ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ในปี 2547 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 935.11 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิ 106.98 ล้านบาท สำหรับแผนขยายกำลังการผลิตและตลาดใหม่ในปี 2548 ทางบริษัทคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 950-1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% และผลกำไรสุทธิมีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 40%
---------------------------
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 29 สิงหาคม 2548
http://www.thaifta.com/newspaper/news_ftacn264.html
โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ เล็งจีนขายเครื่องประดับเงิน รับเขตการค้าเสรี FTA พร้อมตั้งฐานโรงงานเจียระไนพลอยที่เวียดนามในพื้นที่นิคมอมตะเวียดนาม ส่งกลับมาผลิตเครื่องประดับที่ลาดกระบัง
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเครื่องประดับเงิน ทอง และแพลทินัม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเปิดตลาดในประเทศจีน เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมาก กำลังซื้อสูง แต่เนื่องจากปัจจุบันจีนตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องประดับเงินสูงถึง 20% และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง จึงกลายเป็นภาระด้านต้นทุนทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงกว่าสินค้าเครื่องประดับที่ผลิตได้ภายในประเทศจีน
แต่หากเปรียบเทียบในเรื่องคุณภาพและการออกแบบสินค้าแล้ว นางสาวศรีแพรเชื่อว่า สินค้าเครื่องประดับเงินของโกลด์ไฟน์ จะสามารถแข่งขันกับสินค้าเครื่องประดับของจีนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากโกลด์ไฟน์ผลิตสินค้าเครื่องประดับแฟชั่นเกรด A มีรูปแบบทันสมัย สำหรับในช่วงปลายปีนี้ บริษัทวางแผนที่จะนำสินค้าเข้าร่วมงานแสดงสิน ค้าเครื่องประดับที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อสำรวจรสนิยมและพฤติกรรมการซื้อของคนจีนก่อนในเบื้องต้น ส่วนการเปิดเสรีการค้า (FTA) ของไทย กับ FTA อาเซียน-จีนนั้น หากมีการผลักดันการเปิดตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็น่าจะเอื้อประโยชน์ต่อการขยายตลาดส่งออกสินค้าเครื่องประดับไทยไปยังประเทศจีนให้เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว
นางสาวศรีแพรกล่าวถึงแผนการดำเนินงานของโกลด์ไฟน์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทได้จดทะเบียนตั้งบริษัทย่อยคือ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (เวียดนาม) จำกัด ทุนจดทะเบียน 1.0 ล้านเหรียญสหรัฐ โกลด์ไฟน์ฯถือหุ้น 100% โดยบริษัทใหม่จะตั้งอยู่ที่ Amata Industrial Park ณ ประเทศเวียดนาม ในพื้นที่ 11,000 ตารางเมตร เป็นโรงงานเจียระไนพลอยส่งกลับมาให้บริษัทเพื่อขยายฐานการผลิต ลดต้นทุนค่าแรง คาดว่าโรงงานใหม่แห่งนี้จะก่อ สร้างแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินงานได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 พลอยที่ผ่านการเจียระไนจะส่งกลับมาป้อนฐานการผลิตเครื่องประดับของบริษัทที่นิคมอุตสาห กรรมลาดกระบัง ส่วนเฟสที่ 2 ของการลงทุน บริษัทวางเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าเครื่องประดับเพื่อจำหน่ายในประเทศเวียดนามด้วยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกหลักในปัจจุบันของบริษัทอยู่ที่สหภาพยุโรป เช่น เยอรมนี-สวีเดน-เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ ประมาณ 60-70%, สหรัฐ 25-30% และออสเตรเลีย 3-5% ล่าสุดบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อว่า "บริษัทออโรพลัส" ซึ่งโกลด์ไฟน์ฯถือหุ้น 99% วงเงินจดทะเบียน 5 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทและเพิ่มยอดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งจำหน่ายเครื่องประดับเงินและอัญมณีภายในประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "Belle Etoile" หรือ "เบล เอธัวร์" จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนกันยายนที่ห้างเดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วานเป็นแห่งแรก
ด้านนายพงศ์เกียรติ พุทธศิริวัฒน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนการขยายตลาดในปีนี้ว่า บริษัทวางแผนที่จะเปิดบูทจัดจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 5 แห่ง และเปิดช็อปสำหรับจำหน่ายสินค้า 1 จุดที่โรงแรมเอราวัณ มุ่งเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงวัยทำงานที่มีอายุตั้งแต่ 25-40 ปี สินค้าคุณภาพเกรด A มีราคาจำหน่ายตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท/ชิ้น จุดเด่นของสินค้าก็คือ เน้นผลิตสินค้าเครื่องประดับแฟชั่นที่ผลิตจากเนื้อเงินแท้ 92.5% ที่มีรูปแบบดีไซน์ใหม่ๆ หมุนเวียนเข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน/คอลเล็กชั่น คาดว่าภายหลังจากที่เปิดการจำหน่ายแล้ว สินค้าของบริษัทจะเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วไปภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ระยะแรกตั้งเป้ายอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท ในปี 2549
อนึ่ง บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (GFM) บริหารงานโดยกลุ่มตระกูล เตชะมาถาวร กับบริษัทเอสเทลล์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกเครื่องประดับประเภทต่างๆ ตามคำสั่งซื้อ ภายใต้เครื่องหมาย การค้าของลูกค้า (OEM) มีกำลังการผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 120,000 ชิ้น/ปี จดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2547 ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ในปี 2547 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 935.11 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิ 106.98 ล้านบาท สำหรับแผนขยายกำลังการผลิตและตลาดใหม่ในปี 2548 ทางบริษัทคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 950-1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% และผลกำไรสุทธิมีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 40%
---------------------------
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 29 สิงหาคม 2548
http://www.thaifta.com/newspaper/news_ftacn264.html

-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ประมวลข่าวที่เกี่ยวกับgfmโดยเฉพาะ (ทำเครื่องเงินกับทอง)
โพสต์ที่ 6
http://www.goldfinemfg.com/home.htm
อันนี้เวปไซด์ของบริษัท
อันนี้เวปไซด์ของบริษัท
