สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 1
ติดตามเวปนี้มาหลายเดือนแล้วแต่เพิ่งจะล็อกอินได้ :oops:
พอดีมีวิธีเลือกหุ้นส่วนตัวจะขอคำแนะนำพี่ๆด้วยคะ
1.หนี้สินน้อยกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น
2.ROE ประมาณ 10-15%
3.กำไร(ปี)/(มาเก็ตแค็ป-เงินสด) มากกว่า= 10%
4.กำไรเพิ่มสม่ำเสมอมากน้อยก็ได้ขอให้เพิ่ม
5.ปันผลสม่ำเสมอ
เอาค่ราวๆเท่านี้แหละขอคำแนะนำด้วยคะว่าเดินมาถูกทางหรือป่าว
แต่ก็เป็นนักเล่นหุ้นใช้เทคนิคล้วนๆ แต่เดี๋ยวนี้อยากเปลี่ยนเป็น VI ช่วยแนะนำด้วยคะ :oops:
พอดีมีวิธีเลือกหุ้นส่วนตัวจะขอคำแนะนำพี่ๆด้วยคะ
1.หนี้สินน้อยกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น
2.ROE ประมาณ 10-15%
3.กำไร(ปี)/(มาเก็ตแค็ป-เงินสด) มากกว่า= 10%
4.กำไรเพิ่มสม่ำเสมอมากน้อยก็ได้ขอให้เพิ่ม
5.ปันผลสม่ำเสมอ
เอาค่ราวๆเท่านี้แหละขอคำแนะนำด้วยคะว่าเดินมาถูกทางหรือป่าว
แต่ก็เป็นนักเล่นหุ้นใช้เทคนิคล้วนๆ แต่เดี๋ยวนี้อยากเปลี่ยนเป็น VI ช่วยแนะนำด้วยคะ :oops:
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 2
วิธีเลือกหุ้นที่คุณบอกมา ใช้ช่วยร่อนหุ้นแย่ๆ ออกไปจาก list ได้ครับ (ข้อดี คือ โอกาสขาดทุนเร็วๆ มากๆ น่าจะลดไปได้เยอะ) แต่ยังไม่พอที่จะหาหุ้นน่าลงทุนได้ (คิดง่ายๆ ครับ เงื่อนไขที่คุณตั้งมานี้ ใช้เขียนโปรแกรมทางสถิติมาช่วยคัดกรองหุ้น แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ดังนั้นถ้าการลงทุนมันง่ายขนาดนั้นก็คงรวยกันหมดแล้ว หรือไม่ก็คงไม่เหลือ Value Stock ในตลาดแล้ว)
ข้อมูลสถิติทางการเงินนั้นไม่ได้ทำให้เราเข้าใจธุรกิจของบริษัทได้ครับ
ป.ล. อะไรทำให้อยากเปลี่ยนจากเทคนิกเคิลมาเป็น VI ครับ?
ข้อมูลสถิติทางการเงินนั้นไม่ได้ทำให้เราเข้าใจธุรกิจของบริษัทได้ครับ
ป.ล. อะไรทำให้อยากเปลี่ยนจากเทคนิกเคิลมาเป็น VI ครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 3
ผมคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ อย่างน้อยเราก็มีหลักอะไรในการเริ่มต้นนับหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดีข้อมูลที่คุณ tudsawan.s ได้นำมาลงไว้เป็นข้อมูลเชิงสถิตินั่นหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งของการลงทุนในแนว VI นั่นก็คือข้อมูลเชิงคุณภาพต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยบอกถึงอนาคต จะทำได้อย่างไร? ผมคิดว่าการได้อ่านหนังสือต่างๆ (ไม่จำเป็นเฉพาะการลงทุน การสังเกตุสิ่งรอบตัว การได้พูดคุยกับคนที่รู้ดีในอุตสาหกรรมนั้นๆ ช่วยได้ทั้งสิ้นครับ) ทั้งนี้ผมเชื่อว่านักลงทุนในแนว VI ทุกคนก็ต้องศึกษาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบเช่นกันครับ
อย่างไรก็ดียินดีต้อนรับเข้าสู่การลงทุนในแนว VI นะครับ
อย่างไรก็ดียินดีต้อนรับเข้าสู่การลงทุนในแนว VI นะครับ
Impossible is Nothing
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 4
ยินดีต้อนรับสู่ความมั่งคั่ง อิสระภาพทางการเงินและจิตใจครับ
VIตามความคิดของผม นอกจากจะต้องรู้มูลค่าของบริษัทแล้ว ยังมีส่วนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เราต้องคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่เราลงทุน ถ้าเราไม่ไว้-วางใจ และต้องการเป็นเจ้าของในหุ้นตัวนั้นๆ ถึงจะได้มาถูกแค่ไหน ก้ไม่เคยไว้ใจมัน.....ถ้าราคามันขึ้น ก็ไม่มีความอดทนในการถือไว้...และในที่สุดก็ขายหมูครับ
VIตามความคิดของผม นอกจากจะต้องรู้มูลค่าของบริษัทแล้ว ยังมีส่วนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เราต้องคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่เราลงทุน ถ้าเราไม่ไว้-วางใจ และต้องการเป็นเจ้าของในหุ้นตัวนั้นๆ ถึงจะได้มาถูกแค่ไหน ก้ไม่เคยไว้ใจมัน.....ถ้าราคามันขึ้น ก็ไม่มีความอดทนในการถือไว้...และในที่สุดก็ขายหมูครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 5
อ้า.....แปลว่า นี่ทำการบ้านมานะคะ ดีจัง
โดยส่วนตัวดิฉัน ถ้าจะลงทุนในหุ้นตัวไหน
อันดับแรกเลยที่จะมองก่อนอื่น คือ ดูที่ตัวสินค้า ของบริษัท
....ทำความเข้าใจ และ มองภาพ ของตัวสินค้า ที่บริษัทขาย หรือให้บริการ เสียก่อน
....ราคา(หุ้น)ถูกแพง ค่อยดูเป็นอันดับถัดมา
....แล้วจากนั้น คาดการณ์ ทิศทาง ของกิจการ ว่ากำลัง วิ่งไปข้างหน้า, ทรงๆตัว, เดินไปแน่นๆ, นอนไปเนิบๆ หรือ ถอยหลังลงคลอง
พอเดาๆ มองๆ ทิศทางดังกล่าว เราจะรู้สึกนึกคิด ได้เองว่า ราคาสำหรับหุ้นตัวนี้ ควรให้เท่าไหร่ ...ถูกๆหน่อย ...หรือแพงๆ ก็เอา
ดิฉันเป็นคนคิดมาก คิดนาน แต่เวลาถึงตอนที่ ลงมือ จะกลับไปใช้ใจ กำหนด ก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้ายเสมอ ....อันนี้ คือ ตย.ที่ยกมาว่า ทุกคนต้องมี เทคนิค กลยุทธ ที่เป็นเฉพาะตัว ...ค้นหาเทคนิค วิธีคิด และกระบวนการลงมือ ที่ถูกต้องสำหรับตัวเองให้เจอก่อน แล้วนำมาปรับใช้กับการลงทุน ให้เหมาะสม
เช่น ตัวเลข เรโชว์ ต่างๆ มีให้เลือกที่จะนำมา ปรับ วัด ใช้ มากมาย
...บางคน ดู หนี้ต่อส่วนผู้ถือหุ้น เป็นหลัก ,บางคนให้น้ำหนักกับ หนี้ต่อ กำไร มากกว่า ....ก็ไม่ได้แสดงว่า ใคร ผิด หรือ ถูก มากกว่ากัน
(หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ...ดิฉันก็ยังมือใหม่ค่ะ )
โดยส่วนตัวดิฉัน ถ้าจะลงทุนในหุ้นตัวไหน
อันดับแรกเลยที่จะมองก่อนอื่น คือ ดูที่ตัวสินค้า ของบริษัท
....ทำความเข้าใจ และ มองภาพ ของตัวสินค้า ที่บริษัทขาย หรือให้บริการ เสียก่อน
....ราคา(หุ้น)ถูกแพง ค่อยดูเป็นอันดับถัดมา
....แล้วจากนั้น คาดการณ์ ทิศทาง ของกิจการ ว่ากำลัง วิ่งไปข้างหน้า, ทรงๆตัว, เดินไปแน่นๆ, นอนไปเนิบๆ หรือ ถอยหลังลงคลอง
พอเดาๆ มองๆ ทิศทางดังกล่าว เราจะรู้สึกนึกคิด ได้เองว่า ราคาสำหรับหุ้นตัวนี้ ควรให้เท่าไหร่ ...ถูกๆหน่อย ...หรือแพงๆ ก็เอา
ดิฉันเป็นคนคิดมาก คิดนาน แต่เวลาถึงตอนที่ ลงมือ จะกลับไปใช้ใจ กำหนด ก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้ายเสมอ ....อันนี้ คือ ตย.ที่ยกมาว่า ทุกคนต้องมี เทคนิค กลยุทธ ที่เป็นเฉพาะตัว ...ค้นหาเทคนิค วิธีคิด และกระบวนการลงมือ ที่ถูกต้องสำหรับตัวเองให้เจอก่อน แล้วนำมาปรับใช้กับการลงทุน ให้เหมาะสม
เช่น ตัวเลข เรโชว์ ต่างๆ มีให้เลือกที่จะนำมา ปรับ วัด ใช้ มากมาย
...บางคน ดู หนี้ต่อส่วนผู้ถือหุ้น เป็นหลัก ,บางคนให้น้ำหนักกับ หนี้ต่อ กำไร มากกว่า ....ก็ไม่ได้แสดงว่า ใคร ผิด หรือ ถูก มากกว่ากัน
(หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ...ดิฉันก็ยังมือใหม่ค่ะ )
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 6
ความเห็นของคุณ 007-s เยี่ยมจริงๆ ครับ
ผมขอเสริมนิดนึงแล้วกัน การลงทุนในหุ้นควรศึกษา 3 อย่างครับ (เรียงลำดับตามความยากง่ายในการศึกษา)
1. ความรู้ด้านการเงิน (อันนี้ใช้ทฤษฎีเป็นหลัก จึงศึกษาได้ไม่ยากนักถ้าตั้งใจจริง)
2. ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจ (อันนี้ใช้ผสมผสานระหว่างทฤษฎีกับประสบการณ์ จึงไม่สามารถเรียนรู้ได้โดยเร็ว ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป)
3. ความรู้ด้านจิตวิทยาการลงทุน (อันนี้ยากที่สุดในความคิดผม เพราะมีทฤษฎีให้ศึกษาค่อนข้างน้อย ต้องอาศัยประสบการณ์เป็นหลัก)
ถ้าจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยน่าจะผ่าน ข้อ 1 และ 2 ในระดับที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองก่อนครับ
ผมขอเสริมนิดนึงแล้วกัน การลงทุนในหุ้นควรศึกษา 3 อย่างครับ (เรียงลำดับตามความยากง่ายในการศึกษา)
1. ความรู้ด้านการเงิน (อันนี้ใช้ทฤษฎีเป็นหลัก จึงศึกษาได้ไม่ยากนักถ้าตั้งใจจริง)
2. ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจ (อันนี้ใช้ผสมผสานระหว่างทฤษฎีกับประสบการณ์ จึงไม่สามารถเรียนรู้ได้โดยเร็ว ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป)
3. ความรู้ด้านจิตวิทยาการลงทุน (อันนี้ยากที่สุดในความคิดผม เพราะมีทฤษฎีให้ศึกษาค่อนข้างน้อย ต้องอาศัยประสบการณ์เป็นหลัก)
ถ้าจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยน่าจะผ่าน ข้อ 1 และ 2 ในระดับที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองก่อนครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 8
ที่จริง..ก็ไม่ได้มีกฏเกณฑ์ห้ามใช้เทคนิคเคิ่ลนะ เพียงแต่ไม่เน้นเท่านั้นครับ
ดูกระทู้ "ไม่มีราคาหุ้นไทยใน Yahoo Finance อีกแล้ว" สิ แถวนี้บ่นกันอุบเลย
ดูกระทู้ "ไม่มีราคาหุ้นไทยใน Yahoo Finance อีกแล้ว" สิ แถวนี้บ่นกันอุบเลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 9
อืม
ผมอยากใช้แนว the new buffetology
1. เลือกธุรกิจที่จะลงทุน โดยต้องคิดอย่างนักธุรกิจ มองภาพรวมให้ออกจริงๆ อย่าไปติดเรืองเล็กน้อยมากไป
2. เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน ในราคาที่เหมาะสม
3. ใช้ตัว roe ซัก 10 ปี ยืนยัน ว่าธุรกิจที่เราเลือก นั่นดีจิงๆ
ก็คงคล้ายๆกัน
ผมอยากใช้แนว the new buffetology
1. เลือกธุรกิจที่จะลงทุน โดยต้องคิดอย่างนักธุรกิจ มองภาพรวมให้ออกจริงๆ อย่าไปติดเรืองเล็กน้อยมากไป
2. เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน ในราคาที่เหมาะสม
3. ใช้ตัว roe ซัก 10 ปี ยืนยัน ว่าธุรกิจที่เราเลือก นั่นดีจิงๆ
ก็คงคล้ายๆกัน
- Muffin
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 10
ผมให้น้ำหนักกับข้อสองของพี่เจ๋งสูงมากครับ
และเพิ่มเติมในเรื่องความจริงใจกับนักลงทุนของผู้บริหารและกึ๋นของผู้บริหารเข้าไปเพิ่มเติม
ส่วนผม เทคนิค ก็ยังดุอยู่ แต่หลังจากที่เลือกหุ้นก่อนแล้วครับผม
(คนแถวนี้จะรังเกียจมั้ยน้อ)
และเพิ่มเติมในเรื่องความจริงใจกับนักลงทุนของผู้บริหารและกึ๋นของผู้บริหารเข้าไปเพิ่มเติม
ส่วนผม เทคนิค ก็ยังดุอยู่ แต่หลังจากที่เลือกหุ้นก่อนแล้วครับผม
(คนแถวนี้จะรังเกียจมั้ยน้อ)
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 12
Jeng เขียน:อืม
ผมอยากใช้แนว the new buffetology
1. เลือกธุรกิจที่จะลงทุน โดยต้องคิดอย่างนักธุรกิจ มองภาพรวมให้ออกจริงๆ อย่าไปติดเรืองเล็กน้อยมากไป
2. เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน ในราคาที่เหมาะสม
3. ใช้ตัว roe ซัก 10 ปี ยืนยัน ว่าธุรกิจที่เราเลือก นั่นดีจิงๆ
ก็คงคล้ายๆกัน
1. ผมมองตัวเองเป็น holiding company ครับ
2. ความได้เปรียบอย่างยั่งยืนนั้นทำนายได้ยาก นะครับ ขึ้นอยู่กับสภาวะที่เปลี่ยนไป
ผมว่าอย่างน้อย นะจะเป็นระยะเวลา 5-10 ปี แล้ว ค่อยมาประเมินใหม่เป็นระยะจะดีกว่า
3. ROE นั้นผมจะสนใจเฉพาะ เฉลี่ยแล้วเกิน 12 ครับ (ระยะเวลาเฉลี่ย คือประมาณ 5 ปี)
แถม 4. ต้องมีนโยบายการจ่ายปันผล ที่ยุติธรรมครับ
5. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ (ข้อนี้สำหรับผม สำคัญมากเป็นอันดับ ต้นๆ)
อย่างงี้พอไหวไหมครับ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :oops:
Price is what you pay. Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 13
ตอบคุณ Financial Engineer
เปลี่ยนเป็นVI เพราะ
1. เบี่อ
2.มันไม่ยั่งยืน
ปล. แต่ก็ยังใช้เทคนิคในการหาจังหวะเข้าซื้ออยู่ค่ะ
และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ๆทุกท่านค่ะ
พอดีดูข้อมูล LALIN อยู่หนูคิดว่า พอจะเป็น Value stockได้ ว่างั้นไหมค่ะพี่ๆทั้งหลาย
เปลี่ยนเป็นVI เพราะ
1. เบี่อ
2.มันไม่ยั่งยืน
ปล. แต่ก็ยังใช้เทคนิคในการหาจังหวะเข้าซื้ออยู่ค่ะ
และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ๆทุกท่านค่ะ
พอดีดูข้อมูล LALIN อยู่หนูคิดว่า พอจะเป็น Value stockได้ ว่างั้นไหมค่ะพี่ๆทั้งหลาย
-
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 14
ผมว่าหุ้นทุกตัวเป็น Value Stock ได้ ถ้าซื้อในราคาต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม
อย่าว่าแต่ LALIN เลย
เน่าๆอย่าง N-PARK ถ้าเราประเมินได้ "จริง" ว่าราคาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่
เราซื้อต่ำกว่านั้นได้ก็ทำกำไรได้
อย่าว่าแต่ LALIN เลย
เน่าๆอย่าง N-PARK ถ้าเราประเมินได้ "จริง" ว่าราคาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่
เราซื้อต่ำกว่านั้นได้ก็ทำกำไรได้
-
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 15
เวลาจะซื้อหุ้น
ผมใช้พวก ratio ต่างๆ เพื่อ ดูพื้นฐานของบริษัท เป็นการคัดกรองบริษัทที่ต้องการ เสร็จแล้ว ก็อ่านข่าวศึกษา หนังสือพิมพ์ธูรกิจ อินเตอเนต เวปนี้ผมก็เพิ่งรู้จัก รู้สึกโชคดีที่มีคนมองหุ้นบางตัวที่ผมสนใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่พอถามมาร์เก็ตติ้ง เค้าก็ตอบว่า ซื้อทำไม ไม่เห็นมีลูกค้นคนไหนซื้อเลย
เพื่อดูแนวโน้วในอนาคตว่าเป็น growth stock หรือเปล่า
แต่บางกรณีบางที่ D/E เยอะไป ผมก็จะมองธุรกิจก่อนครับบางธุรกิจ เป็นกิจการที่เราเดินดูได้ ตามห้าง ผมเป็นคนชอบสังเกตุ เวลาไปเดินห้าง หรือ ที่ไหน เวลาเห็นคนซื้อเยอะ ชอบหยิบมาดูว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหรือเปล่า :lol:
แต่ที่แน่ๆ หุ้นเน่า หุ้นเกร็งกำไร ผมจะไม่แตะเด็ดขาด (เคยแตะ ตอนเล่นใหม่ๆ เน่าสนิท เลยเก็บ หุ้นตัวนั้นไว้ในพอร์ทไม่ขาย ไว้เป็นสิ่งเตือนใจ)
สุดท้ายหลังจากตัดสินใจซื้อ ผมจะไม่สนว่ามันจะแดงหรือเขียว ยกเว้นว่ามีปัจจัยอะไรเปลี่ยนแปลง
ท่าเป็นไปได้ ผมอยากศึกษากราฟ จัง เพราะผมดูไม่เป็น
ผมใช้พวก ratio ต่างๆ เพื่อ ดูพื้นฐานของบริษัท เป็นการคัดกรองบริษัทที่ต้องการ เสร็จแล้ว ก็อ่านข่าวศึกษา หนังสือพิมพ์ธูรกิจ อินเตอเนต เวปนี้ผมก็เพิ่งรู้จัก รู้สึกโชคดีที่มีคนมองหุ้นบางตัวที่ผมสนใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่พอถามมาร์เก็ตติ้ง เค้าก็ตอบว่า ซื้อทำไม ไม่เห็นมีลูกค้นคนไหนซื้อเลย
เพื่อดูแนวโน้วในอนาคตว่าเป็น growth stock หรือเปล่า
แต่บางกรณีบางที่ D/E เยอะไป ผมก็จะมองธุรกิจก่อนครับบางธุรกิจ เป็นกิจการที่เราเดินดูได้ ตามห้าง ผมเป็นคนชอบสังเกตุ เวลาไปเดินห้าง หรือ ที่ไหน เวลาเห็นคนซื้อเยอะ ชอบหยิบมาดูว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหรือเปล่า :lol:
แต่ที่แน่ๆ หุ้นเน่า หุ้นเกร็งกำไร ผมจะไม่แตะเด็ดขาด (เคยแตะ ตอนเล่นใหม่ๆ เน่าสนิท เลยเก็บ หุ้นตัวนั้นไว้ในพอร์ทไม่ขาย ไว้เป็นสิ่งเตือนใจ)
สุดท้ายหลังจากตัดสินใจซื้อ ผมจะไม่สนว่ามันจะแดงหรือเขียว ยกเว้นว่ามีปัจจัยอะไรเปลี่ยนแปลง
ท่าเป็นไปได้ ผมอยากศึกษากราฟ จัง เพราะผมดูไม่เป็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 16
ที่จริงการวิเคราะห์ด้วยวิธีใดๆ ไม่ว่าจะเป็น Fundamental หรือ Technical มันใช้ได้ทั้งนั้นแหละครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามั่นใจว่า "รู้จริง" มากน้อยแค่ไหนมากกว่าtudsawan.s เขียน:ตอบคุณ Financial Engineer
เปลี่ยนเป็นVI เพราะ
1. เบี่อ
2.มันไม่ยั่งยืน
ถามให้ไปคิดเล่นๆ ครับtudsawan.s เขียน:พอดีดูข้อมูล LALIN อยู่หนูคิดว่า พอจะเป็น Value stockได้ ว่างั้นไหมค่ะพี่ๆทั้งหลาย
1. LALIN จับตลาดไหน? ต่างกับบริษัทอื่นๆ ที่ทำอสังหาฯ อย่างไร? ทำไมลูกค้าถึงจะต้องซื้อบ้าน LALIN ด้วย?
2. การเมือง ราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบกับกำไรของ LALIN มากน้อยแค่ไหน?
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 17
เป็นความเห็นที่ดี มากครับFinancial Engineer เขียน:วิธีเลือกหุ้นที่คุณบอกมา ใช้ช่วยร่อนหุ้นแย่ๆ ออกไปจาก list ได้ครับ (ข้อดี คือ โอกาสขาดทุนเร็วๆ มากๆ น่าจะลดไปได้เยอะ) แต่ยังไม่พอที่จะหาหุ้นน่าลงทุนได้ (คิดง่ายๆ ครับ เงื่อนไขที่คุณตั้งมานี้ ใช้เขียนโปรแกรมทางสถิติมาช่วยคัดกรองหุ้น แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ดังนั้นถ้าการลงทุนมันง่ายขนาดนั้นก็คงรวยกันหมดแล้ว หรือไม่ก็คงไม่เหลือ Value Stock ในตลาดแล้ว)
ข้อมูลสถิติทางการเงินนั้นไม่ได้ทำให้เราเข้าใจธุรกิจของบริษัทได้ครับ
ป.ล. อะไรทำให้อยากเปลี่ยนจากเทคนิกเคิลมาเป็น VI ครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 18
อยากให้มองมุมกลับกันบ้างครับ ว่าบางกรณี การกรองหุ้นแค่นี้ก็ไม่เพียงพอครับ
1. หนี้สินน้อยกว่าส่วนผู้ถือหุ้น >> มีหนี้น้อยเป็นเรื่องที่ดี แต่การมีหนี้เยอะก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี อยากให้มองเรื่องอนาคตของบริษัทด้วย ว่ากำลังจะมีการลงทุนอะไรเปล่า กระแสเงินสดบริษัทเป็นอย่างไร บางที การมีหนี้แล้วสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีจากเงินที่กู้ยืมมาลงทุน แล้วสามารถสร้างเงินสดที่นำมาใช้หนี้คือได้อย่างรวดเร็ว ดีกว่าการไม่มีหนี้ซะอีก
2. ROE ประมาณ 10-15% >> ระวังเรื่องกับดักเช่นเดียวกับตัว PE, หุ้นบางตัวความสามารถในการทำกำไรลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวย การแข่งขันสูงขึ้น ค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่า PE หรือ ROE เป็นสิ่งหลอกตาได้ เพราะสองตัวนี้คือค่าที่บอกผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ใช่อนาคต ดังนั้น ถ้าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงเรื่อย ๆ ROE หรือ PE ทำคนติดดอยมานักต่อนักครับ
3. กำไรต่อปี / MCAP-Cash >> มองมุมเดียวกับข้อ 2 ครับ
4. กำไรเพิ่มสม่ำเสมอ >> อยากให้มองว่า กำไรที่เพิ่มมานั้น เพิ่มอย่างมั่นคงหรือเปล่า เป็นกำไรที่มาจากส่วนการดำเนินงานปกติ (มั่นคง) หรือกำไรจากปรับโครงสร้างหนี้ ขายสินทรัพย์ถาวร หรือปรับราคาสินทรัพย์ตามราคาตลาด หรือเปล่า แล้วกำไรที่เพิ่ม คือเงินสด หรือลูกหนี้ หรือสินค้าคงคลัง บางที กำไรเยอะ แต่เงินไม่มีในกระเป๋า ก็ไม่ดี มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
5. ปันผลสม่ำเสมอ >> ดูงบกระแสเงินสดเป็นหลักครับ ว่าปันผลนั้น เอาเงินมาจากไหน ปันผลที่ได้จากการกู้เงินมา หรือปันผลเนื่องจากรายการพิเศษอะไร
ไม่อยากให้มองในแง่ดีของสิ่งเหล่านี้เพียงอย่างเดียวครับ แค่นำเสนอบางจุดที่เป็นจุดอ่อนของการกรองหุ้น ซึ่งผมเคยเสียหายกับการคิดแค่นี้มาแล้วครับ แชร์ ๆ กัน
1. หนี้สินน้อยกว่าส่วนผู้ถือหุ้น >> มีหนี้น้อยเป็นเรื่องที่ดี แต่การมีหนี้เยอะก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี อยากให้มองเรื่องอนาคตของบริษัทด้วย ว่ากำลังจะมีการลงทุนอะไรเปล่า กระแสเงินสดบริษัทเป็นอย่างไร บางที การมีหนี้แล้วสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีจากเงินที่กู้ยืมมาลงทุน แล้วสามารถสร้างเงินสดที่นำมาใช้หนี้คือได้อย่างรวดเร็ว ดีกว่าการไม่มีหนี้ซะอีก
2. ROE ประมาณ 10-15% >> ระวังเรื่องกับดักเช่นเดียวกับตัว PE, หุ้นบางตัวความสามารถในการทำกำไรลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวย การแข่งขันสูงขึ้น ค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่า PE หรือ ROE เป็นสิ่งหลอกตาได้ เพราะสองตัวนี้คือค่าที่บอกผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ใช่อนาคต ดังนั้น ถ้าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงเรื่อย ๆ ROE หรือ PE ทำคนติดดอยมานักต่อนักครับ
3. กำไรต่อปี / MCAP-Cash >> มองมุมเดียวกับข้อ 2 ครับ
4. กำไรเพิ่มสม่ำเสมอ >> อยากให้มองว่า กำไรที่เพิ่มมานั้น เพิ่มอย่างมั่นคงหรือเปล่า เป็นกำไรที่มาจากส่วนการดำเนินงานปกติ (มั่นคง) หรือกำไรจากปรับโครงสร้างหนี้ ขายสินทรัพย์ถาวร หรือปรับราคาสินทรัพย์ตามราคาตลาด หรือเปล่า แล้วกำไรที่เพิ่ม คือเงินสด หรือลูกหนี้ หรือสินค้าคงคลัง บางที กำไรเยอะ แต่เงินไม่มีในกระเป๋า ก็ไม่ดี มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
5. ปันผลสม่ำเสมอ >> ดูงบกระแสเงินสดเป็นหลักครับ ว่าปันผลนั้น เอาเงินมาจากไหน ปันผลที่ได้จากการกู้เงินมา หรือปันผลเนื่องจากรายการพิเศษอะไร
ไม่อยากให้มองในแง่ดีของสิ่งเหล่านี้เพียงอย่างเดียวครับ แค่นำเสนอบางจุดที่เป็นจุดอ่อนของการกรองหุ้น ซึ่งผมเคยเสียหายกับการคิดแค่นี้มาแล้วครับ แชร์ ๆ กัน
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 19
ขอขอบคุณทุกๆท่านสำหรับคำแนะนำดีๆ มีประโยชน์มากเลยค่ะ
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops:
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops:
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดีค่ะ น้องใหม่มาขอคำแนะนำพี่ๆ
โพสต์ที่ 20
1 n 2 good but 3,sometime,some co.es,the new listed co.es have not such a long recorded to tracked,4 sample ,CAWOW,u may miss some co.es with the prosperous future.Jeng เขียน:อืม
ผมอยากใช้แนว the new buffetology
1. เลือกธุรกิจที่จะลงทุน โดยต้องคิดอย่างนักธุรกิจ มองภาพรวมให้ออกจริงๆ อย่าไปติดเรืองเล็กน้อยมากไป
2. เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน ในราคาที่เหมาะสม
3. ใช้ตัว roe ซัก 10 ปี ยืนยัน ว่าธุรกิจที่เราเลือก นั่นดีจิงๆ
ก็คงคล้ายๆกัน
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน