โอกาสการส่งออกอาหารไทยในภาวะสงคราม
สถานการณ์รอบโลกที่กำลังเป็นที่จับตามองของทุกประเทศทั่วโลกในขณะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก ถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้อนระอุต้อนรับปี 2546 เลยก็ว่าได้ หลังจากที่ทางอเมริกาได้เริ่มส่งสัญญาณขับไล่ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรักให้ออกนอกประเทศ ชาวโลกต่างพากันลุ้นระทึกว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในทิศทางใด ผู้เขียนเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ติดตามข่าวคราวอย่างใจจดใจจ่อโดยเฉพาะในวันกำหนดเส้นตายพร้อมกับแอบหวังลึกๆว่าจะมีปฏิหารย์อะไรบางอย่างที่ไม่ให้มีสงครามเกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็คงเป็นไปได้แค่ความหวัง เพราะนับล่วงมาถึงวันนี้สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้ว
สภาวะสงครามที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ติดชายแดนบ้างเราก็ตามที แต่ผลกระทบหรือหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นตามมนั้นกลับกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว หลายคนกลัวว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น หลายคนกลัวว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ และยังมีอีกหลากหลายความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นตามมาหลังภาวะสงคราม แต่อย่างไรก็ตามสงครามที่เกิดขึ้นนี้มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดแต่เรื่องแย่ๆซะทีเดียว อย่างเรื่องส่งออกอาหารไทยของเรานั้นก็ถือเป็นอีกเรื่องดีๆที่เป็นผลสืบเนื่องจากภาวะสงคราม
หลังจากที่เกิดอเมริกาได้เปิดฉากโจมตีอิรักนั้นทำให้หลายๆประเทศในโลกพากันกักตุนอาหารไว้บริโภคในภาวะฉุกเฉิน และนี่เองทำให้การส่งออกอาหารของประเทศไทยเรามีวี่แววสดใสกว่าเดิมและคาดว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆถ้าหากสถานการณ์สงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป สินค้าของไทยที่มีโอกาสจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นในช่วงนี้และถือว่ามีความต้องการสูงที่สุดในขณะนี้เห็นจะหนีไม่พ้นอาหารกระป๋องและอาหารแปรรูป เช่นปลากระป๋อง ทูน่ากระป๋อง รวมไปถึงผักผลไม้กระป๋องต่างๆ
สาเหตุที่ความต้องการสั่งซื้ออาหารกระป๋องจากประเทศต่างๆมีเพิ่มสูงขึ้นนั้นก็เป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ใครๆก็รู้กัน นั่นคืออาหารกระป๋องต่างๆไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้กระป๋อง ปลากระป๋อง แน่นอนว่าเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีอายุการเก็บนานกว่าอาหารสดเป็นไหนๆ แถมยังพกพาสะดวก มีหลายขนาดหลายรูปแบบ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นก็ถือว่าใช้ได้ แต่ในภาวะสงครามอย่างนี้คงไม่ค่อยมีใครมาสนใจเรื่องรสชาติกันมากนัก จุดประสงค์หลักที่ซื้ออาหารกระป๋องกักตุนไว้นั้นจะเป็นเรื่องอายุการเก็บรักษาและการสะดวกต่อการพกพามากกว่า
ล่าสุดมีรายงานว่าอียูได้ส่งสัญญาณมาอย่างชัดเจนแล้วว่าจะนำเข้าทูน่ากระป๋องของไทยเป็นจำนวนร้อยละ 20 ของปริมาณที่ไทยส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอเมริกาหรือคิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทเลยทีเดียวและทางอียูก็ยังได้เพิ่มออร์เดอร์นำเข้าไก่จากไทยเป็น 10 เปอร์เซ็นต์หรือมูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่าการสั่งซื้ออาหารกระป๋อง และอาหารแปรรูปของไทยจากตลาดต่างประเทศนั้นเป็นยอดคำสั่งซื้อระยะเวลายาวนาน 3-4 เดือนเลยทีเดียว งานนี้รอยยิ้มคงเปื้อนหน้าผู้ประกอบการไทยไปตามๆกัน
สงครามที่เกิดขึ้นอาจถือเป็นช่วงเวลาที่ใครหลายๆคนสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คิดหาทางทำเงินเข้ากระเป๋าให้ได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ในขณะเดียวกันยังมีใครอีกหลายคนที่คิดแต่เพียงว่าตนจะมีชีวิตอยู่รอดไปถึงพรุ่งนี้หรือไม่ หรือจะรอดชีวิตไปจากสงครามที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อได้อย่างไร
ถึงสงครามครั้งนี้จะมีผลดีต่อการส่งออกบ้านเราอย่างไร แต่ถ้าให้คิดถึงผลดีระยะยาวแล้วผู้เขียนก็คงขอยึดคติเดิม Make love, not war ดีกว่าค่ะ--จบ--
---มิชชั่นไทยแลนด์ ฉบับที่ 237 วันที่ 14 เมษายน-20 เมษายน 2546---
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
บันทึกไม่สำเร็จกรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว
บันทึกสำเร็จแล้ว