ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2
ทุกวันนี้สหรัฐฯ พิมพ์ธนบัตรโดยไม่มี asset-backed อยู่แล้ว เขาใช้คำว่า "backed by the full faith of the U.S. Government" :D
การพิมพ์แบงก์ออกมามากๆ จะทำให้เงินเฟ้อครับ เวลาเงินเฟ้อหนี้จะมีมูลค่าลดลง in real terms ครับ ดังนั้นจึงเป็นวิธีการชักดาบอย่างหนึ่ง และเงินเฟ้อก็ทำให้ nominal interest rate เพิ่มด้วย ซึ่ง when interest rates go up, bond price goes down อยู่แล้วตามที่เราท่องจำกันมา :D
แต่สหรัฐฯ จะทำอย่างนั้นก็ต่อเมื่อถึงจุดจบแล้วเท่านั้น เพราะการที่วินัยทางการเงินดีทำให้เจ้าหนี้อุ่นใจ ที่ผ่านมาสหรัฐฯ จึงพยายามให้สัญญาใจว่าเงินเฟ้อสกุลดอลล่าร์จะต่ำ เพื่อให้ชาวต่างชาติยอมเก็บ wealth ของพวกเขาเอาไว้ในรูปของเงินดอลล่าร์ครับ
การพิมพ์แบงก์ออกมามากๆ จะทำให้เงินเฟ้อครับ เวลาเงินเฟ้อหนี้จะมีมูลค่าลดลง in real terms ครับ ดังนั้นจึงเป็นวิธีการชักดาบอย่างหนึ่ง และเงินเฟ้อก็ทำให้ nominal interest rate เพิ่มด้วย ซึ่ง when interest rates go up, bond price goes down อยู่แล้วตามที่เราท่องจำกันมา :D
แต่สหรัฐฯ จะทำอย่างนั้นก็ต่อเมื่อถึงจุดจบแล้วเท่านั้น เพราะการที่วินัยทางการเงินดีทำให้เจ้าหนี้อุ่นใจ ที่ผ่านมาสหรัฐฯ จึงพยายามให้สัญญาใจว่าเงินเฟ้อสกุลดอลล่าร์จะต่ำ เพื่อให้ชาวต่างชาติยอมเก็บ wealth ของพวกเขาเอาไว้ในรูปของเงินดอลล่าร์ครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- ขงเบ้ง
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3
เงินเฟ้อตํามาก ระวัง debt deflationนะครับ :lol: :lovl: :lovl:
ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัวขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 6
ปริมาณเงินที่เปลี่ยนมือไปมาในระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลาหนึ่งจะมีค่าเท่ากับมูลค่าของสินค้าและบริการที่ระบบเศรษฐกิจนั้นๆ ผลิตและจำหน่ายได้
Money x Velocity of Money = Price x Quantity produced
ใน short run, V เปลี่ยนไม่ได้ ส่วน Q ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะความสามารถในการผลิตของประเทศมีขีดจำกัด ถ้าต้องการเพิ่มจะต้องลงทุนเพื่อขยายอัตราการผลิตก่อน ซึ่งต้องอาศัยเวลา
ดังนั้นอยู่ดีๆ ถ้า M เพิ่มขึ้น ตัวเดียวที่จะเพิ่มได้เพื่อให้สมการสมดุลย์ก็คือ P เงินก็เลยเฟ้อ เพราะของมีราคาเพิ่มขึ้นครับ
ค่าที่แท้จริงของเงินจึงขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้าที่มีอยู่ในขณะนั้น ถ้าเงินมีมากกว่าของค่าที่แท้จริงของเงินย่อมลดลง ค่าที่แท้จริงของเงินจึงเป็นปริมาณเปรียบเทียบอย่างที่คุณ CK บอก :D
ส่วนเรื่อง bond นั้น สมมติว่าวันนี้คุณซื้อพันธบัตรอายุ 5 ปีมา yield 4.5% อีก 2 เดือนต่อมา รัฐบาลเกิดออกพันธบัตรใหม่อายุ 5 ปีเหมือนเดิมแต่ให้ yield 6% คุณจะขาดทุนทันที่ แต่เป็นการขาดทุนกำไร เพราะเงินของคุณถูก lock ไว้ที่ผลตอบแทนแค่ 4% เอาออกมาไม่ได้ จึงเอาไปซื้อพันธบัตรตัวใหม่มิได้
ถ้าคุณคิดจะขายพันธบัตรตัวเก่าในตลาดเพื่อหนีเคราะห์อันนี้ ก็จะพบว่าไม่สำเร็จ เพราะคนในตลาดก็ไม่โง่ เขาจะรับซื้อพันธบัตรของคุณในราคา discount เพื่อให้คิดแล้วได้ผลตอบแทนเท่าๆ กับพันธบัตรที่ออกใหม่คือ 6% นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไม bond price จึงตกลง ทั้งที่ดอกเบี้ยที่คุณจะได้รับในอนาคตยังเท่าเดิมมิเปลี่ยนแปลง :D
Money x Velocity of Money = Price x Quantity produced
ใน short run, V เปลี่ยนไม่ได้ ส่วน Q ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะความสามารถในการผลิตของประเทศมีขีดจำกัด ถ้าต้องการเพิ่มจะต้องลงทุนเพื่อขยายอัตราการผลิตก่อน ซึ่งต้องอาศัยเวลา
ดังนั้นอยู่ดีๆ ถ้า M เพิ่มขึ้น ตัวเดียวที่จะเพิ่มได้เพื่อให้สมการสมดุลย์ก็คือ P เงินก็เลยเฟ้อ เพราะของมีราคาเพิ่มขึ้นครับ
ค่าที่แท้จริงของเงินจึงขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้าที่มีอยู่ในขณะนั้น ถ้าเงินมีมากกว่าของค่าที่แท้จริงของเงินย่อมลดลง ค่าที่แท้จริงของเงินจึงเป็นปริมาณเปรียบเทียบอย่างที่คุณ CK บอก :D
ส่วนเรื่อง bond นั้น สมมติว่าวันนี้คุณซื้อพันธบัตรอายุ 5 ปีมา yield 4.5% อีก 2 เดือนต่อมา รัฐบาลเกิดออกพันธบัตรใหม่อายุ 5 ปีเหมือนเดิมแต่ให้ yield 6% คุณจะขาดทุนทันที่ แต่เป็นการขาดทุนกำไร เพราะเงินของคุณถูก lock ไว้ที่ผลตอบแทนแค่ 4% เอาออกมาไม่ได้ จึงเอาไปซื้อพันธบัตรตัวใหม่มิได้
ถ้าคุณคิดจะขายพันธบัตรตัวเก่าในตลาดเพื่อหนีเคราะห์อันนี้ ก็จะพบว่าไม่สำเร็จ เพราะคนในตลาดก็ไม่โง่ เขาจะรับซื้อพันธบัตรของคุณในราคา discount เพื่อให้คิดแล้วได้ผลตอบแทนเท่าๆ กับพันธบัตรที่ออกใหม่คือ 6% นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไม bond price จึงตกลง ทั้งที่ดอกเบี้ยที่คุณจะได้รับในอนาคตยังเท่าเดิมมิเปลี่ยนแปลง :D
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 7
อธิบายได้กระจ่างมากครับ ท่านแม่ทัพ
ถ้าเทียบกับหลักเทอร์โมไดนามิกส์
เงิน (wealth) ก็เหมือนกับพลังงาน
คือไม่มีการสูญหาย แค่เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนมือ
แต่ที่แตกต่างคือ
เงินจะไหลจากที่ที่ผลตอบแทนต่ำ
ไปหาที่ที่ผลตอบแทนสูงกว่าเสมอ
เงินในระบบทุนนิยมไม่ใช่น้ำในบ่อ
เป็นลำธารที่เชื่อมถึงกันหมด
ถ้าเทียบกับหลักเทอร์โมไดนามิกส์
เงิน (wealth) ก็เหมือนกับพลังงาน
คือไม่มีการสูญหาย แค่เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนมือ
แต่ที่แตกต่างคือ
เงินจะไหลจากที่ที่ผลตอบแทนต่ำ
ไปหาที่ที่ผลตอบแทนสูงกว่าเสมอ
เงินในระบบทุนนิยมไม่ใช่น้ำในบ่อ
เป็นลำธารที่เชื่อมถึงกันหมด
- ขงเบ้ง
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 8
อย่างนี้ถ้าเราดึงเงินไปลงทุนเพิ่มอัตราการผลิตก็ลดเงินเฟ้อได้สิครับ
เอะ แล้วอย่างนี้เงินเพิ่มมาในระบบ 7 หมื่นกว่าล้านก็ต้องจับตาดูสิครับว่าเขาเอาไปทำอะไร ถ้าเอาไปเพิ่มกำลังการผลิตก็ดีสิครับ แต่ถ้าไม่ เงินจะเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกรึเปล่าครับ ถ้าเอาไปเพิ่มอีกก็โดนผลประโยชน์ทับซ้อนอีก อูย งงงงง :oops:
เอะ แล้วอย่างนี้เงินเพิ่มมาในระบบ 7 หมื่นกว่าล้านก็ต้องจับตาดูสิครับว่าเขาเอาไปทำอะไร ถ้าเอาไปเพิ่มกำลังการผลิตก็ดีสิครับ แต่ถ้าไม่ เงินจะเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกรึเปล่าครับ ถ้าเอาไปเพิ่มอีกก็โดนผลประโยชน์ทับซ้อนอีก อูย งงงงง :oops:
ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัวขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
- ขงเบ้ง
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 9
ผมว่าถ้าต่อจิกซอ ผมว่าไหลไปEgatแน่เยย... :lol: :lol: :lol: เดาเอานะครับ
เป็นแค่ความคิดเห็นแลกเปลี่ยน ไม่เห็นด้วยก็ได้ครับ
เป็นแค่ความคิดเห็นแลกเปลี่ยน ไม่เห็นด้วยก็ได้ครับ
ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัวขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 10
ท่านขงเบ้งกำลังเดาแผนการของโจโฉอยู่เหรอครับ :lol: :lol: :lol:
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 12
ที่บอกว่า volociety of money คืออะไร ส่วน price หมายถึงราคาสินค้าใช่ไหมครับ ในที่นี้ท่านแม่ทัพกำลังจะบอกว่า ถ้าตอนแรกมีเงิน 100 สิ่งของทั้งหมดอีก 100 ถ้าเงินเพิ่มมาเป็น 120 สินต้าเท่าเดิมค่าก็เลยน้อยลงใช่ไหมครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านแม่ทัพสุมาอี้ถามหน่อยครับ
โพสต์ที่ 15
V คงหมายถึงระยะเวลา/ความเร็วของการหมุนของ
เงินอ่ะครับ จากเงินตั้งต้นนำไปซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิต
เป็นสินค้า รอจนกว่าจำหน่ายออกไป จนได้เงินกลับ
คืนมาให้เจ้าของเงิน
ส่วนในสมการ ก็คือว่ามี M ขึ้นจำนวณมาก ขณะที่ตัวแปร
อื่นไม่เปลี่ยนแปลง การที่สมการกลับสู่สมดุลย์อีกครั้ง
ก็คือ P ปรับเพิ่มขึ้น(เฟ้อ) เพราะมันเป็นตัวแปรที่เปลี่ยน
แปลงง่ายที่สุดครับ
ถ้า M ที่เข้ามาทำตัวให้เป็นประโยชน์ คือก่อให้เกิด
ประสิทธิภาพการผลิต ให้Qเพิ่มได้(จำนวน) ก็จะ
บรรเทาอัตราการเพิ่มของ P ครับ
ตกลงตามนี้ ถ้าผมเข้าใจผิดก็ช่วยแก้ด้วยฮะ
เงินอ่ะครับ จากเงินตั้งต้นนำไปซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิต
เป็นสินค้า รอจนกว่าจำหน่ายออกไป จนได้เงินกลับ
คืนมาให้เจ้าของเงิน
ส่วนในสมการ ก็คือว่ามี M ขึ้นจำนวณมาก ขณะที่ตัวแปร
อื่นไม่เปลี่ยนแปลง การที่สมการกลับสู่สมดุลย์อีกครั้ง
ก็คือ P ปรับเพิ่มขึ้น(เฟ้อ) เพราะมันเป็นตัวแปรที่เปลี่ยน
แปลงง่ายที่สุดครับ
ถ้า M ที่เข้ามาทำตัวให้เป็นประโยชน์ คือก่อให้เกิด
ประสิทธิภาพการผลิต ให้Qเพิ่มได้(จำนวน) ก็จะ
บรรเทาอัตราการเพิ่มของ P ครับ
ตกลงตามนี้ ถ้าผมเข้าใจผิดก็ช่วยแก้ด้วยฮะ