PTTCH เทรด 13 ธ.ค. นี้

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
โป้ง
Verified User
โพสต์: 2326
ผู้ติดตาม: 0

PTTCH เทรด 13 ธ.ค. นี้

โพสต์ที่ 1

โพสต์

PTTCH เทรด13ธ.ค.โบรกฯชี้พื้นฐานปึ้ก TOC-NPC เตรียมประชุมผู้ถือหุ้นร่วม 6 ธ.ค.นี้  คาดบริษัทใหม่ PTTCH  เทรด 13 ธันวาคมนี้  ผู้บริหารมั่นใจหลังควบรวมกิจการแกร่งขึ้น มาร์เก็ตแคปรั้งอันดับ 10 คาดปีนี้ยอดขายรวม 5.7 หมื่นล้านบาท  ส่วนปีหน้าเป็น 6.1 หมื่นล้านบาท พร้อมทุ่มงบ 5.2 หมื่นล้านลงทุนปีนี้-ปี 52 ด้านนักวิเคราะห์ชี้ราคาเหมาะสม PTTCH อยู่ที่ 95 บาท

นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) (TOC) เปิดเผยว่า บริษัทจะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่าง TOC และ บริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NPC) ในวันที่ 6 ธ.ค. นี้ เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ โดยบริษัทใหม่จะใช้ชื่อว่า  บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน)  เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า PTT Chemical Public Company Limited โดยมีชื่อย่อที่ใช้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า PTTCH
ทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัทใหม่ เท่ากับทุนชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และบริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NPC) รวมกัน คือเท่ากับ 11,311,410,000 บาท  แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,131,141,000 หุ้น  มูลค่า ที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
โดยหุ้นของบริษัทฯ และ NPC จะถูกพักการซื้อขายตั้งแต่ประมาณวันที่ 28 พฤศจิกายน 2548 เป็นต้นไป เพื่อเตรียมการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนควบบริษัท และคาดว่าหุ้นของบริษัทใหม่จะเริ่มซื้อขายหุ้นได้ในวันที่ 13 ธ.ค. เป็นต้นไป ซึ่งในวันที่ซื้อขายวันแรกว่าน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80 บาท จากราคาเฉลี่ยหุ้นของ NPC ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 131 บาท/หุ้น และ TOC อยู่ที่ 65.5 บาท/หุ้น
หลังจากการควบรวม มูลค่าตลาดของTOC และ  บมจ.ปิโตรเคมีแห่งชาติ (NPC) หลังจากทั้ง 2 บริษัทรวมกิจการว่าจะอยู่ที่อันดับ 10 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ โดยปัจจุบัน TOC มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท และ NPC มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาทซึ่งหลังรวมแล้วมาร์เก็ตแคปจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทซึ่งการรวมกิจการจะทำให้เกิดผลดี โดยบริษัทจะมีความสามารถในการลงทุนมากขึ้นมีความสามารถในการกู้ยืมที่ดีขึ้น ต้นทุนลดลง
นอกจากนี้ จะทำให้เป็นที่ดึงดูดใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนเพราะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะเน้นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปที่ใหญ่ซึ่งยืนยันการรวมกิจการจะส่งผลดีกับบริษัทและผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์มากขึ้น
สำหรับโครงสร้างของบริษัท ปตท.เคมีกัล หรือ PTTCH ว่า บมจ.ปตท. (PTT) จะถือหุ้นอยู่ในบริษัทใหม่ 51-52% และ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) จะถือหุ้นหลังรวมกิจการ 20% กว่า โดยปตท.ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
นายอดิเทพ กล่าวคาดการณ์รายได้ของ บมจ.ปิโตรเคมีแห่งชาติ (NPC) และ บมจ.ไทยโอเลฟินส์(TOC) รวมกันในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จาก TOC ประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาทและรายได้จาก NPC ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2549 คาดการณ์รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.1 หมื่นล้านบาทภายใต้สมมติฐานราคา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอยู่ที่ 700เหรียญสหรัฐ/ตันและเชื่อผลประกอบการในปีถัดไปจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
"ปีหน้าเรามีการขยายกำลังการผลิต MEG ซึ่งมีกำลังการผลิตถึง 3 แสนตัน/ปี แต่เบื้องต้นเราดำเนินการแค่ครึ่งปีทำให้มีกำลังการผลิตปีหน้าเพียง 1.5 แสนตัน/ปี ภายใต้สมมติฐานราคาปิโตรฯ 700-750 เหรียญ/ตัน จึงคาดว่ารายได้ปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอีก 4,000 ล้านบาท เป็น 6.1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่ามีรายได้ 5.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปีถัดไปกำลังการผลิต MEG เดินหน้าได้เต็มที่ที่ 3 แสนตันต่อปีจึงคาดว่ารายได้ในอนาคตจะก้าวกระโดด" นายอดิเทพ กล่าว
ด้านส่วนต่างของราคาโอเลฟินส์และราคาวัตถุดิบในไตรมาส 4 ของปีนี้ว่า น่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่อยู่ในระดับ 370 เหรียญสหรัฐ/ตันโดยคาดว่าจะใกล้เคียงไตรมาส 1 ของปีนี้ที่ราคาอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐฯ /ตัน เป็นผลมาจากพายุแคทริน่าที่ส่งผลให้โรงงานในสหรัฐฯต้องปิดทำให้มีความต้องการในตลาดมากราคาจึงปรับเพิ่มขึ้น
ขณะที่ ดร.วิโรจน์ มาวิจักขณ์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปิโตรเคมีแห่งชาติ (NPC) กล่าวว่า ภายหลังจากการควบรวมกิจการระหว่าง NPC และ  บมจ.ไทยโอเลฟินส์ (TOC) สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทจะลดลงอยู่ที่ 0.4 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทใหม่ที่จะมีนโยบายลงทุน โดยสัดส่วน D/E ไม่เกิน 1 เท่า เพื่อให้สามารถกู้เงินได้ประมาณ 0.6 เท่าของสินทรัพย์ที่มีอยู่
โดยในปีหน้าประเมินว่าบริษัทใหม่ที่ควบรวมดังกล่าวยังไม่มีแผนกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินการแต่อย่างใด เนื่องจากโครงการที่เตรียมลงทุนตามแผนที่กำหนดส่วนใหญ่ใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท รวมถึงเงินจากกำไรสุทธิที่คาดว่ามีมากพอ หลังจากคาดว่าจะได้ยอดขายถึงปีละ 5-6 หมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีการกู้ในการออกหุ้นกู้มูลค่า 200-300ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.5% ระยะเวลา 10 ปี ทำให้บริษัทมีเงินทุนมาใช้ในการดำเนินงาน ขณะเดียวกันยังไม่ต้อง
กังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เพราะบริษัททำการฟิกซ์ดอกเบี้ยและมีการระบุอายุถึง 10 ปีข้างหน้า
สำหรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทใหม่ต้องขึ้นอยู่กับผลการประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้น NPC และ TOC ในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ โดยตามปกติ NPC มีนโยบายจ่ายเงินปันผล 40% ของกำไรสุทธิ ขณะที่ TOC มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 บริษัทมักจ่ายปันผลในอัตราที่มากกว่านโยบาย แต่บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่จะจ่ายอัตราเท่าใดต้องรอความชัดเจนหลังประชุมผู้ถือหุ้นร่วมกันแล้วเสร็จ
นายอดิเทพ กล่าวเสริมว่า ในระหว่างปี 2548 2552 บริษัทคาดว่ามีแผนจะลงทุน 30,179 ล้านบาท โดยบริษัทฯเชื่อว่าจะมีรายได้มารองรับการลงทุน
ขณะเดียวกัน ดร.วิโรจน์  มาวิจักขณ์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปิโตรเคมีแห่งชาติ (NPC) กล่าวว่า ปี 2548-2552 บริษัทฯคาดว่าจะมีการลงทุนทั้งสิ้น 22,025 ล้านบาท ซึ่งถ้ารวม 2 บริษัทจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 52,202 ล้านบาท
ด้านนางพันธ์ทิพ อึ๊งผาสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกลยุทธ์และการเงิน บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOCกล่าวถึงการเสียภาษีของบริษัทฯ หลังจากที่มีการควบรวมกิจการกับบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NPC ว่า ขณะนี้ ปตท.เป็นผู้ยื่นเรื่องให้กรมสรรพากรตีความในเรื่องการเสียภาษีว่าจะเป็นอัตราเท่าไรโดยปัจจุบัน TOC  ได้รับการยกเว้นภาษีจากการลงทุนในโครงการ BOI และได้รับการยกเว้นในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ปัจจุบันเสียภาษี 12.5%
นางพันธ์ทิพ กล่าวว่า การตีความในเรื่องการเสียภาษียังถือเป็นความเสี่ยงที่ยังหาข้อยุติไม่ได้แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังได้รับการยกเว้นภาษีเหลืออีกเพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็จะต้องเสียภาษีเต็มอัตรา
"ความเสี่ยงในเรื่องภาษีขณะนี้ยังไม่มีข้อยุติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าหวง เพราะเหลือเวลายกเว้นภาษีอีก 2 ปี หลังจากนั้นก้ต้องเสียภาษีเต็มอัตราเหมือนบริษัทอื่น  ส่วน NPC  ปัจจุบันก็เสียภาษีตามอัตราที่ทาง BOI กำหนด"  นางพันธ์ทิพ กล่าว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่าจากการควบรวมกันระหว่าง  บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOC และ บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NPC เพื่อจัดตั้งใหม่คือ  บริษัท ปตท. เคมีกัล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ซึ่งจะเริ่มซื้อขายหุ้นได้ในวันที่ 13 ธ.ค. เป็นต้นไป มองว่าภายหลังการควบรวมกิจการแล้ว ผลการดำเนินงานของ PTTCH คงจะดีขึ้น
"การควบรวมกิจการในครั้งนี้น่าจะส่งผลดีต่อทั้งสองบริษัท ซึ่งก็เท่ากับเอาหนึ่งมาบวกหนึ่งก็เป็นสอง ก็ย่อมต้องดีกว่าหนึ่งเพราะช่วยหนุนกันในเรื่องของการพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นมีความมั่นคงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจปิโตรเคมีก็ต้องอิงกับภาวะราคาขายปิโตรเคมีแล้วซึ่งจะโตหรือไม่โตก็ต้องขึ้นกับปัจจัยนี้ด้วย" แหล่งข่าวรายเดิมกล่าว
ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเล่นหุ้น PTTCH จะเลือกซื้อหุ้น TOC หรือ NPC ก็ได้เนื่องจากเมื่อควบรวมกิจการแล้วก็เป็นหุ้นตัวเดียวกันไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างสำหรับราคาหุ้น PTTCH ณ. ปัจจุบันอยู่ที่ 83 บาท ส่วนราคาเหมาะสมให้ไว้ที่ 95 บาท  อย่างไรก็ตามผลประกอบการในไตรมาสที่ 4/2548 ของ PTTCH คาดว่าน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา
ด้านนักวิเคราะห์จากบล. ไซรัสกล่าวว่า จากข่าวที่ออกมา คิดว่าราคา PTTCH  น่าจะอยู่ที่ประมาณ 80 บาท เบื้องต้นเราทำไว้ ที่  85  บาท ทิศทางการเจริญเติบดตของเขา จะออกมาค่อนข้างชัดเจนในปีหน้า
"เราเขามองว่าในปีหน้าจะโดดเด่น โดยเฉพาะในเรื่องของความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจาการร่วมทุน  เราราคาเขาไว้คร่าวๆ 85 บาท"
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้น  TOC เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ปิดที่ 66.00  บาท ลดลง 0.50 บาท หรือลดลง 0.75% มีมูลค่าซื้อขาย 98.55 ล้านบาท ส่วน NPC  ปิดที่ 131 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 16.55 ล้านบาท
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
ล็อคหัวข้อ