'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
- bigshow
- Verified User
- โพสต์: 730
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 1
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2548 01:37 น.
รอยเตอร์ - ผลการวิจัยในสหรัฐฯชี้ "ไอ้โรคจิตที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้" หรือบุคคลที่สมองส่วนเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกมีความบกพร่องเสียหายนั้น จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าคนปกติธรรมดา ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ไทมส์แห่งลอนดอนฉบับวันจันทร์(19)
ตามรายงานของไทมส์ระบุว่า คณะนักวิจัยในสหรัฐฯพบว่า บุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว จะมีความปรารถนาที่จะเสี่ยงด้วยเดิมพันสูงๆ มากกว่า แถมยังดูจะมีการตัดสินใจทางการเงินที่ดีอีกด้วย
การศึกษาคราวนี้ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน และ มหาวิทยาลัยไอโอวา พวกเขามุ่งติดตามสังเกตพฤติกรรมการลงทุนของบุคคลที่มีระดับไอคิวธรรมดาจำนวน 41 คน โดยขอให้คนเหล่านี้เล่นเกมการลงทุนอย่างง่ายๆ เกมหนึ่ง ทว่ามี 15 คนในกลุ่มนี้ซึ่งเคยเจ็บป่วยมีรอยแผลในพื้นที่สมองส่วนซึ่งส่งผลต่อเรื่องอารมณ์ความรู้สึก
ผลปรากฏว่าว่า พวกที่สมองบกพร่องเสียหายเหล่านี้ สามารถทำได้ดีกว่าพวกสมองปกติมาก
คณะผู้วิจัยพบว่า อารมณ์ความรู้สึกเป็นปัจจัยที่ทำให้บุคคลบางคนในกลุ่มหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสี่ยง แม้กระทั่งในเวลาที่เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้ว ผลประโยชน์ซึ่งจะได้มานั้นล้ำเกินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างมากมาย
หนึ่งในคณะนักวิจัย คือ อองตวน เบแชรา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาไอโอวา กล่าวว่า นักลงทุนที่ดีที่สุดในตลาดหุ้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็น "ไอ้โรคจิตที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้" (functional psychopath)
ขณะที่ผู้ร่วมเขียนรายงานการวิจัยชิ้นนี้อีกคน คือ บาบา ชิฟ แห่งบัณฑิตวิทยาลัยบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บอกว่า หัวหน้าของบริษัทจำนวนมากตลอดจนพวกนักกฎหมายระดับท็อป ก็อาจจะมีคุณสมบัติพิเศษในทำนองเดียวกันนี้ด้วย
"อารมณ์ความรู้สึกแสดงบทบาทหน้าที่ในการปรับตัว ในเวลาเร่งรัดกระบวนการตัดสินใจให้เร็วขึ้น" ชิฟอธิบาย
"อย่างไรก็ตาม มันก็มีสภาพการณ์แบบที่จะต้องหยุดยั้งไม่ให้เกิดการตอบสนองทางอารมณ์ความรู้สึกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อจะได้สามารถตัดสินใจอย่างสุขุมรอบคอบและมีโอกาสที่จะเป็นการตัดสินใจอย่างฉลาดมากขึ้น"
การศึกษาวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร จิตวิทยาศาสตร์ (Psychological Science) ฉบับเดือนมิถุนายน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2548 01:37 น.
รอยเตอร์ - ผลการวิจัยในสหรัฐฯชี้ "ไอ้โรคจิตที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้" หรือบุคคลที่สมองส่วนเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกมีความบกพร่องเสียหายนั้น จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าคนปกติธรรมดา ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ไทมส์แห่งลอนดอนฉบับวันจันทร์(19)
ตามรายงานของไทมส์ระบุว่า คณะนักวิจัยในสหรัฐฯพบว่า บุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว จะมีความปรารถนาที่จะเสี่ยงด้วยเดิมพันสูงๆ มากกว่า แถมยังดูจะมีการตัดสินใจทางการเงินที่ดีอีกด้วย
การศึกษาคราวนี้ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน และ มหาวิทยาลัยไอโอวา พวกเขามุ่งติดตามสังเกตพฤติกรรมการลงทุนของบุคคลที่มีระดับไอคิวธรรมดาจำนวน 41 คน โดยขอให้คนเหล่านี้เล่นเกมการลงทุนอย่างง่ายๆ เกมหนึ่ง ทว่ามี 15 คนในกลุ่มนี้ซึ่งเคยเจ็บป่วยมีรอยแผลในพื้นที่สมองส่วนซึ่งส่งผลต่อเรื่องอารมณ์ความรู้สึก
ผลปรากฏว่าว่า พวกที่สมองบกพร่องเสียหายเหล่านี้ สามารถทำได้ดีกว่าพวกสมองปกติมาก
คณะผู้วิจัยพบว่า อารมณ์ความรู้สึกเป็นปัจจัยที่ทำให้บุคคลบางคนในกลุ่มหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสี่ยง แม้กระทั่งในเวลาที่เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้ว ผลประโยชน์ซึ่งจะได้มานั้นล้ำเกินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างมากมาย
หนึ่งในคณะนักวิจัย คือ อองตวน เบแชรา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาไอโอวา กล่าวว่า นักลงทุนที่ดีที่สุดในตลาดหุ้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็น "ไอ้โรคจิตที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้" (functional psychopath)
ขณะที่ผู้ร่วมเขียนรายงานการวิจัยชิ้นนี้อีกคน คือ บาบา ชิฟ แห่งบัณฑิตวิทยาลัยบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บอกว่า หัวหน้าของบริษัทจำนวนมากตลอดจนพวกนักกฎหมายระดับท็อป ก็อาจจะมีคุณสมบัติพิเศษในทำนองเดียวกันนี้ด้วย
"อารมณ์ความรู้สึกแสดงบทบาทหน้าที่ในการปรับตัว ในเวลาเร่งรัดกระบวนการตัดสินใจให้เร็วขึ้น" ชิฟอธิบาย
"อย่างไรก็ตาม มันก็มีสภาพการณ์แบบที่จะต้องหยุดยั้งไม่ให้เกิดการตอบสนองทางอารมณ์ความรู้สึกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อจะได้สามารถตัดสินใจอย่างสุขุมรอบคอบและมีโอกาสที่จะเป็นการตัดสินใจอย่างฉลาดมากขึ้น"
การศึกษาวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร จิตวิทยาศาสตร์ (Psychological Science) ฉบับเดือนมิถุนายน
เป็นคนเลว ในสายตาคนอื่น ดีกว่าโกหกตัวเอง ให้เทิดทูนบูชา ติดกับมายาคติ ที่กะลาครอบ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 2
อืม ทำไมไปเรียกว่าไอ้โรคจิตหละ
เหมือนกับว่า เราทำไม่ได้พอมีคนทำได้ก็ไปด่าเขา
เวลาบีโทเฟน แต่งเพลงได้ แต่หูหนวก ทำไม ไม่เรียก ไอ้หนวกหละ
การพูดด้วยท่าที่ ที่เคารพ หรือ ดูถูก นี่มันต่างกันนะ
......................................................................................................
ส่วนตัวผมเชื่อครับ ว่า การเล่นหุ้น ต้องมีความคิดที่แตกต่างจากคนธรรมดา ให้ได้ ถึงจะสำเร็จ
เสียดายนะ เมื่อไรผมจะสำเร็จสักกะที
เหมือนกับว่า เราทำไม่ได้พอมีคนทำได้ก็ไปด่าเขา
เวลาบีโทเฟน แต่งเพลงได้ แต่หูหนวก ทำไม ไม่เรียก ไอ้หนวกหละ
การพูดด้วยท่าที่ ที่เคารพ หรือ ดูถูก นี่มันต่างกันนะ
......................................................................................................
ส่วนตัวผมเชื่อครับ ว่า การเล่นหุ้น ต้องมีความคิดที่แตกต่างจากคนธรรมดา ให้ได้ ถึงจะสำเร็จ
เสียดายนะ เมื่อไรผมจะสำเร็จสักกะที
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 3
pyschopath แปลภาษาไทยคือ ผู้ป่วยโรคจิตชนิดหนึ่ง
ถ้าใช้ในภาษาพูดทั่วไป ก็พอจะแปลได้ว่า "ไอ้โรคจิต" ครับ
ในอเมริกา ผู้ป่วยโรคจิตก็ไม่ต่างกับการเรียกว่า ป่วยโรคหวัด
แต่ในภาษาไทย คำว่าโรคจิตฟังดูรุนแรง
เพราะเรายังไม่ยอมรับว่า โรคจิต ก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง เหมือนหวัด
เหมือนโรคเบาหวาน บางอย่างรักษาได้ บางอย่าไม่ได้
แต่ที่ไม่ได้ ก็ยังสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับคนทั่วไปได้
(ที่ไม่ได้ก็มี)
ในกรณีอาจจะเทียบได้เหมือนกับพูดว่า
"ไอ้ขาเป๋จะตีกอล์ฟได้เก่งกว่าคนปกติ" เป็นต้น
ถ้าใช้ในภาษาพูดทั่วไป ก็พอจะแปลได้ว่า "ไอ้โรคจิต" ครับ
ในอเมริกา ผู้ป่วยโรคจิตก็ไม่ต่างกับการเรียกว่า ป่วยโรคหวัด
แต่ในภาษาไทย คำว่าโรคจิตฟังดูรุนแรง
เพราะเรายังไม่ยอมรับว่า โรคจิต ก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง เหมือนหวัด
เหมือนโรคเบาหวาน บางอย่างรักษาได้ บางอย่าไม่ได้
แต่ที่ไม่ได้ ก็ยังสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับคนทั่วไปได้
(ที่ไม่ได้ก็มี)
ในกรณีอาจจะเทียบได้เหมือนกับพูดว่า
"ไอ้ขาเป๋จะตีกอล์ฟได้เก่งกว่าคนปกติ" เป็นต้น
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 4
สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ใช้อารมณ์ประกอบการตัดสินใจครับ (loss aversion, overconfidence, ฯลฯ) นี่เป็นสัญชาตญาณที่ต้องใช้เพื่อความอยู่รอดมาตั้งแต่ยุคหินแล้ว การตัดสินใจโดยใช้เหตุผลเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติมาก คนที่สมองบางส่วนถูกทำลายจึงมีความได้เปรียบตรงนี้อยู่
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 5
เพราะเรียกไป แกก็ไม่ได้ยินคับJeng เขียน:เวลาบีโทเฟน แต่งเพลงได้ แต่หูหนวก ทำไม ไม่เรียก ไอ้หนวกหละ
เอ้อ...บางคนเค้าว่า เบโทเฟนใช้อวัยวะอื่นฟังเสียงนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 424
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 6
งั้นกล้าลงทุนให้เขามาลงทุนจริง ๆ ไหมครับ
จะได้รู้กันจริง ๆ ไม่ได้ประชดนะครับ
อยากรู้จริง ๆ ต้องลองของจริงครับ
จะได้รู้กันจริง ๆ ไม่ได้ประชดนะครับ
อยากรู้จริง ๆ ต้องลองของจริงครับ
นักลงทุนเน้นคุณค่ามือใหม่ยังไม่เก่ง แต่ใจรักครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 7
อย่างถ้าคุณเปิดบริษัทในกทม. คุณไม่ทำประกันแผ่นดินไหวเพราะโอกาสเกิดแผ่นดินไหวในกทม.มีน้อยมาก
ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวขั้นรุนแรงใจกลางกทม. โชคดีที่บริษัทคุณเสียหายเพียงเล็กน้อย หลังจากเหตุการณ์นั้นคุณจะรู้สึกอยากทำประกันแผ่นดินไหวขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นสองสามปี พอไม่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกว่าการทำประกันไม่จำเป็นขึ้นมาอีก
ที่จริงแล้วถ้าคุณเป็นคนมีเหตุผล คุณควรรู้สึกว่ายังไงก็ไม่ควรทำประกันอยู่ดี เพราะความน่าจะเป็นของการเกิดแผ่นดินไหวในกทม.ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว มันยังคงมีค่าเท่าเดิมตลอดเวลา
คนที่สมองบางส่วนเสียหายไปจะไม่มี bias ทำนองนี้
ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวขั้นรุนแรงใจกลางกทม. โชคดีที่บริษัทคุณเสียหายเพียงเล็กน้อย หลังจากเหตุการณ์นั้นคุณจะรู้สึกอยากทำประกันแผ่นดินไหวขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นสองสามปี พอไม่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกว่าการทำประกันไม่จำเป็นขึ้นมาอีก
ที่จริงแล้วถ้าคุณเป็นคนมีเหตุผล คุณควรรู้สึกว่ายังไงก็ไม่ควรทำประกันอยู่ดี เพราะความน่าจะเป็นของการเกิดแผ่นดินไหวในกทม.ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว มันยังคงมีค่าเท่าเดิมตลอดเวลา
คนที่สมองบางส่วนเสียหายไปจะไม่มี bias ทำนองนี้
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 8
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เอ้อ...บางคนเค้าว่า เบโทเฟนใช้อวัยวะอื่นฟังเสียงนะ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 9
งานวิจัยหลายๆชิ้น ก็ค้นพบในทำนองเดียวกันว่า อารมณ์มีผลให้การตัดสินใจทำได้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดี อารมณ์เศร้า รู้สึกโลภ รู้สึกกลัว
อารมณ์ที่เหมาะที่สุดที่จะตัดสินใจน่าจะอยู่ในสภาวะ อุเบกขา ตามที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบมาสองพันกว่าปีแล้ว
ดังนั้นจึงเป็นข่าวดีว่า
ท่านใดที่ควบคุมอารมณ์ยังไม่ค่อยได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้สมองส่วนควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์พิการนะครับ ฝึกทำอุเบกขาก็ด้าย.......
ปล.ควรฝึกตามลำดับก่อนหลังนะครับ ถ้ากระโดดไปฝึกอุเบกขาก่อน ท่านอาจจะเป็นคนแล้งน้ำใจ ธาตุไฟเข้าแทรก อิอิ
อารมณ์ที่เหมาะที่สุดที่จะตัดสินใจน่าจะอยู่ในสภาวะ อุเบกขา ตามที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบมาสองพันกว่าปีแล้ว
ดังนั้นจึงเป็นข่าวดีว่า
ท่านใดที่ควบคุมอารมณ์ยังไม่ค่อยได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้สมองส่วนควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์พิการนะครับ ฝึกทำอุเบกขาก็ด้าย.......
ปล.ควรฝึกตามลำดับก่อนหลังนะครับ ถ้ากระโดดไปฝึกอุเบกขาก่อน ท่านอาจจะเป็นคนแล้งน้ำใจ ธาตุไฟเข้าแทรก อิอิ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 11
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปล.ควรฝึกตามลำดับก่อนหลังนะครับ ถ้ากระโดดไปฝึกอุเบกขาก่อน ท่านอาจจะเป็นคนแล้งน้ำใจ ธาตุไฟเข้าแทรก อิอิ
ฝึกอุเบกขาก่อนจะกลายเปงคนแล้วน้ำใจ งง
อุเบกขา เปงการรักษาจิตใจตัวเอง มะให้ทุกข์นะครับ
อุเบกขา = เหงคนอื่นทุก มะทุกข์ด้วย
อุเบกขา มะใช่มะมีเมตตา คือ อะไรช่วยได้ก็ช่วยไปแล้ว แต่ถ้ายังทุกข์
อุเบกขา ก็มะทุกข์ด้วยนะ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 12
อาจจะเฉยๆครับ
อาจจะเป็นหรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ บางคนมีบุญเก่า(มีเมตตามากๆ)มาก่อน ก็อาจจะไม่เป็นไร ฝึกได้เลย บางกลุ่มอาจจะไม่มีบุญเก่า ก็มีโอกาสเสี่ยง เหมือนเล่นยิมนาสติคหนะ ถ้าไม่ได้วอร์มอัพและเริ่มเล่นท่าง่ายๆก่อน แต่ข้ามขั้นไปเล่นท่ายากๆเลย ก็มีโอกาสบาดเจ็บ
พรหมวิหารสี่เองก็เช่นเดียวกัน ผมว่าการเรียงลำดับ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ไม่ได้เรียงแบบบังเอิญนะ แต่เป็นการเรียงตามลำดับการปฏิบัติเลยทีเดียว
นั่นหมายถึงว่าควรจะเจริญเมตตาก่อน แล้วกรุณา แล้ว มุทิตา แล้วค่อย อุเบกขา ซึ่งถ้าปฏิบัติสามขั้นแรกได้ดี จะมีโมเมนตัมส่งให้การปฏิบัติอุเบกขาอยู่ในบริบทของการมีเมตตา
การข้ามขั้นตอนโดยกระโดดไปอุเบกขาเลย ถ้าผู้ปฏิบัติทตีความความหมายได้ไม่ถูกต้อง อาจจะคิดว่าตนเองวางเฉย เฉยๆถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปสนใจใครจะทุกข์จะยากอย่างไร แต่ถ้าผ่านสามขั้นตอนแรกมาก่อน โมเมนตัมที่ยังมีอยู่ก็จะทำให้อุเบกขานี้แตกต่างออกไป
อาจจะเป็นหรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ บางคนมีบุญเก่า(มีเมตตามากๆ)มาก่อน ก็อาจจะไม่เป็นไร ฝึกได้เลย บางกลุ่มอาจจะไม่มีบุญเก่า ก็มีโอกาสเสี่ยง เหมือนเล่นยิมนาสติคหนะ ถ้าไม่ได้วอร์มอัพและเริ่มเล่นท่าง่ายๆก่อน แต่ข้ามขั้นไปเล่นท่ายากๆเลย ก็มีโอกาสบาดเจ็บ
พรหมวิหารสี่เองก็เช่นเดียวกัน ผมว่าการเรียงลำดับ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ไม่ได้เรียงแบบบังเอิญนะ แต่เป็นการเรียงตามลำดับการปฏิบัติเลยทีเดียว
นั่นหมายถึงว่าควรจะเจริญเมตตาก่อน แล้วกรุณา แล้ว มุทิตา แล้วค่อย อุเบกขา ซึ่งถ้าปฏิบัติสามขั้นแรกได้ดี จะมีโมเมนตัมส่งให้การปฏิบัติอุเบกขาอยู่ในบริบทของการมีเมตตา
การข้ามขั้นตอนโดยกระโดดไปอุเบกขาเลย ถ้าผู้ปฏิบัติทตีความความหมายได้ไม่ถูกต้อง อาจจะคิดว่าตนเองวางเฉย เฉยๆถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปสนใจใครจะทุกข์จะยากอย่างไร แต่ถ้าผ่านสามขั้นตอนแรกมาก่อน โมเมนตัมที่ยังมีอยู่ก็จะทำให้อุเบกขานี้แตกต่างออกไป
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
'ไอ้โรคจิต'ลงทุนเก่งกว่าคนทั่วไป
โพสต์ที่ 14
หลวงพ่อพุทธทาสท่านเคยบอกไว้ว่า ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว ทำไมยังมาสนใจสอนธรรมะอยู่ ในเมื่อทุกอย่างก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สอนไปก็ไม่คงทนยั่งยืนถาวร ไม่มีตัวตูของตู แล้วสอนไปทำไม
ท่านบอกว่า ผู้ที่บรรลุอรหันต์ มักจะมีโมเมนตัมของความมีเมตตาเหลืออยู่ แม้ท่านจะไม่ยึดติดในตัวตนแล้ว ไม่มีตัวตูของตูแล้ว แต่โมเมนตัมของเมตตาเป็นตัวผลักดันให้พระอรหันต์ยังสอนอยู่
ท่านบอกว่า ผู้ที่บรรลุอรหันต์ มักจะมีโมเมนตัมของความมีเมตตาเหลืออยู่ แม้ท่านจะไม่ยึดติดในตัวตนแล้ว ไม่มีตัวตูของตูแล้ว แต่โมเมนตัมของเมตตาเป็นตัวผลักดันให้พระอรหันต์ยังสอนอยู่
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด