เมื่อ 3-4 เดือนก่อน ถ้าคุณเชื่อตามที่นักวิเคราะห์จำนวนมากแนะนำว่าหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็นหุ้นดีที่น่าซื้อเพราะว่ารัฐบาลจะมีเมกกะโปรเจ็คจำนวนมากมายและใช้เงินหลายล้าน ๆ บาทกับการลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ และซื้อหุ้นบางตัวในกลุ่มนั้น คุณก็คงจะเหมือนอีกหลาย ๆ คนที่เจ็บตัวไม่ใช่น้อย เพราะแทนที่หุ้นจะขึ้น มันกลับลงเอา ๆ
ข้อเท็จจริงเรื่องเม็ดเงินที่จะใช้ของรัฐบาลนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจริง ๆ แล้วเป็นเท่าไรแน่? และเป็นการทยอยลงทุนในกี่ปี? โครงการอะไรบ้าง? แต่ละโครงการมีงบเท่าไร? และโครงการแต่ละโครงการมีส่วนที่เป็นงานรับเหมาก่อสร้างเท่าไร? และสุดท้ายใครจะเป็นผู้ที่ได้รับงาน? หลังจากนั้น ถ้าเกิดบริษัทที่แนะนำได้งานมาแล้วจะได้กำไรไหม? มากน้อยเท่าไร? นี่เป็นตัวอย่างคำถามที่ยังหาคำตอบที่แน่นอนไม่ได้ โอกาสที่จะแปลงงบเมกกะโปรเจ็คเป็นกำไรของบริษัทดูเลือนลางมาก
ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือการมองภาพใหญ่หรือภาพของอุตสาหกรรมว่าน่าจะดี แล้วมาสรุปว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมจะต้องดีด้วย แต่ปัญหาก็คือ คำว่าอุตสาหกรรมนั้น ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมครอบคลุมธุรกิจที่หลากหลายมาก การหาธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จริง ๆ จึงเป็นเรื่องยาก และที่ยากยิ่งกว่าก็คือ หาบริษัทที่จะทำกำไรจริง ๆ ในธุรกิจนั้น เปรียบไปแล้ว อุตสาหกรรมก็คงเหมือนป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แต่การหากุหลาบพันปีคงไม่ใช่เรื่องง่าย โอกาสที่จะหลงป่าคงจะมีมากกว่า
ก่อนหน้านี้ 2-3 ปี อุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บูมมาก โบรกเกอร์ต่างก็เชียร์ให้ซื้อบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะบ้านเดี่ยว วันที่นักวิเคราะห์ต่างก็เชียร์กันเกือบทุกคนนั้นคือวันที่ราคาหุ้นของกลุ่มเรียลเอสเตทขึ้นไปที่จุดสูงสุดหรือเกือบสูงสุดแล้ว คนที่ซื้อหุ้นหลังจากที่ความมั่นใจของนักลงทุนขึ้นสูงสุดคือคนที่ขาดทุนหนัก ถึงวันนี้มีน้อยมากที่จะพูดถึงหุ้นในกลุ่มนี้
ประเด็นของเรื่องนี้อยู่ที่การตีความว่าถ้าอุตสาหกรรมมีการเจริญเติบโตเร็ว บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมแต่ละแห่งก็จะต้องเติบโตดีขึ้นไปด้วย แต่ปัญหาก็คือ ในอุตสาหกรรมหลายอย่าง รวมทั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการสามารถจะเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา ไม่มีอะไรเป็นกำแพงกั้น หรือมีกฎหมายหรือมีข้อห้ามไม่ให้เข้ามาแข่งได้ ดังนั้นการบูมของเรียลเอสเตทจึงเป็นทุกขลาภของบริษัทที่มีอยู่ เพราะมันดึงดูดผู้เล่น หน้าใหม่ เข้ามามากกว่าการเติบโตของคนซื้อบ้าน กำไรของบริษัทจึงลดลง คนเล่นหุ้นบ้านและที่ดินเพราะคิดว่านี่คือป่าอันอุดมจึง หลงป่า อีกครั้งหนึ่ง
ตรงกันข้าม เมื่อ 4-5 ปีก่อน ธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์มือถือ (ไม่ใช่อุตสาหกรรมสื่อสาร) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลจากการที่เครื่องโทรศัพท์มีราคาถูกลง กอปร์กับการเปิดการให้บริการแบบพรีเพดที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้โทรศัพท์ถูกลงมาก บริษัทที่ให้บริการมือถือที่มีอยู่ก็ได้รับประโยชน์กันทุกราย เหตุผลก็คือ ผู้ให้บริการใหม่ไม่สามารถเข้ามาแบ่งตลาดได้ ในกรณีอย่างนี้ ถ้าวิเคราะห์ว่าธุรกิจจะเติบโตดี เราก็สามารถบอกได้ว่า กิจการในธุรกิจส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดก็จะดีด้วย
อุตสาหกรรมที่บริษัทในกลุ่มทำธุรกิจคล้ายกันมาก หรือเหมือนกันเกือบทุกบริษัท และบริษัทหน้าใหม่ไม่สามารถเข้ามาแย่งตลาดได้แบบเดียวกับธุรกิจบริการโทรศัพท์มือถือเท่าที่พอนึกออกก็มีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์ และประกันภัย อุตสาหกรรมเหล่านี้ถ้าเติบโตดี บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่ก็จะดีด้วย และถ้าอุตสาหกรรมตกต่ำ เกือบทุกบริษัทก็แย่ตามไปด้วย ว่าไปแล้ว ถ้าคิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้ นักลงทุนไม่ต้องคิดมาก ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่เป็นตัวนำในอุตสาหกรรมซึ่งบ่อยครั้ง ก็คือบริษัทที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงสุดก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปเลือกหุ้นให้เสียเวลา
ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์นั้น ดูไปแล้ว บริษัทแต่ละแห่ง แม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่คุณสมบัติก็มักจะแตกต่างกันและผลการดำเนินงานก็ไม่ได้ถูกกระทบจากปัจจัยเดียวกัน เพราะฉะนั้น การนำภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมมาเป็นเหตุผลว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมจะต้องเป็นไปตามภาพใหญ่จึงอาจทำให้เราหลงได้
คำแนะนำของผมก็คือ แทนที่เราจะคิดถึงอุตสาหกรรม เราควรคิดถึงกลุ่มธุรกิจที่จำกัดผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างแคบที่สุดที่ทุกบริษัทในกลุ่มผลิตหรือให้บริการสินค้าแบบเดียวกัน และถ้าเป็นแบบนี้ กลุ่มสื่อสารก็จะมีทั้งธุรกิจที่เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรศัพท์มีสายซึ่งปัจจัยที่มีผลกระทบไม่ใช่แบบเดียวกัน แต่เป็นคนละด้านเลย คือถ้ามือถือดี โทรศัพท์บ้านอาจจะแย่ เพราะมันเป็นธุรกิจที่ทดแทนและแข่งขันกันโดยธรรมชาติ และถ้าเรากำหนดความคิดแบบนี้ได้ เราก็จะไม่หลงไปกับการวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่พูดกันอยู่ทุกวัน และต่อไปถ้ามีคนพูดถึงกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เราควรต้องถามว่า กำลังพูดถึงเหล็กหรือปูน เพราะสองสิ่งนี้ ถึงจะหนักเหมือนกัน แต่ผลการดำเนินงานนั้นอาจจะไปกันคนละทาง