ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 1
บ้างหรือเปล่าครับ เคยทราบว่าคุณ house คุณ ent มีความรู้ด้านนี้
ผมได้ซื้อ SLC ไปบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจ เลยไม่กล้าทุ่มซื้อมาก
เพื่อนๆ ท่านใดสนใจหรือทำงานในบริษัทซอฟแวร์ มีมุมมองโซลูชั่น คอนเนอร์ อย่างไรบ้างครับ
เท่าที่ผมทราบ
-ยอดขาด-กำไร-ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
-เป็นบริษัทผลิตซอฟแวร์เฉพาะ มีความเชี่ยวชาญ มีสินค้าสำหรับหลายกลุ่มลูกค้า
-มีเงินสดต่อหุ้นค่อนข้างสูง
-ปีที่แล้วจ่ายปันผล 40 สตางค์ ราคาตลาดวันนี้ 3.3 บาท
-ผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่ และดูจะมีวิสัยทัศน์ที่ดี
-หากโปรแกรมใหม่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่
ผมได้ซื้อ SLC ไปบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจ เลยไม่กล้าทุ่มซื้อมาก
เพื่อนๆ ท่านใดสนใจหรือทำงานในบริษัทซอฟแวร์ มีมุมมองโซลูชั่น คอนเนอร์ อย่างไรบ้างครับ
เท่าที่ผมทราบ
-ยอดขาด-กำไร-ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
-เป็นบริษัทผลิตซอฟแวร์เฉพาะ มีความเชี่ยวชาญ มีสินค้าสำหรับหลายกลุ่มลูกค้า
-มีเงินสดต่อหุ้นค่อนข้างสูง
-ปีที่แล้วจ่ายปันผล 40 สตางค์ ราคาตลาดวันนี้ 3.3 บาท
-ผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่ และดูจะมีวิสัยทัศน์ที่ดี
-หากโปรแกรมใหม่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 2
งายวิจัยจากฟิลลิปครับ
คาดหมายผลประกอบการปี 48 เพิ่มขึ้น 48% เทียบ YoY
ประมาณการผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ลดลง 22% เทียบ YoY
ซอฟท์แวร์ Easy link จะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต
ปรับประมาณการปี 2548 ลงแต่ยังเติบโต 48% เทียบ YoY
เป็นหุ้นในกลุ่มไอซีทีที่มีผลประกอบการขยายตัวสูงกว่าอุตสาหกรรม และซื้อขายบน PEเพียง 6.3 เท่า
ประมาณการผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ลดลง 22% เทียบ YoYจากการสอบถามข้อมูลของบริษัทพบว่าผลประกอบการไตรมาส 1 จะลดลง 22% เทียบ YoYแม้ประมาณการยอดขายจะเพิ่มขึ้น 20% เทียบ YoY คือที่ 11.8 ล้านบาท และการพัฒนาซอฟท์แวร์ในช่วงที่ผ่านมาทำให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่หากเทียบ QoQ จะลดลงเนื่องจากสัดส่วนการจำหน่ายฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ อีกทั้งบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นในปลายปีที่ผ่านมา, ค่าใช้จ่ายการตลาดในการโฆษณาสินค้าใหม่ และการตัดค่าเสื่อมจากการย้ายอาคารสำนักงาน ทางฝ่ายประมาณการกำไรสุทธิ1.7 ล้านบาทลดลง 22% และ 88% เทียบ YoY และ QoQ
ซอฟท์แวร์ Easy Link จะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการพัฒนาโปรแกรม Easy Link ได้แก่ 1) Easy link for Magic ใช้ Crystal eportปัจจุบันมีการนำเข้าโปรแกรมดังกล่าวเข้ามาและใช้อยู่ราว 80% ของจำนวนผู้ใช้ในประเทศโดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีราคาต่ำกว่าการนำเข้า 93% 2) Easy Quick for Report และ 3)Easy Quick for Web Development เป็นโปรแกรมพัฒนาบน Web สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่มจำหน่ายในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และรับรู้รายได้ในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 2 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2548 บริษัทจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับตลาดในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศบริษัทได้เริ่มแนะนำผลิตภัณฑ์ในประเทศต่าง ๆ ช่วงเดือนมี.ค. เป็นต้นมา และมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในยุโรปคือ Global Web เพื่อจัดจำหน่ายในแถบประเทศยุโรป ส่วนเอเชียได้แต่งตั้ง Magic SoftwareThailand เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย และคาดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะสร้างรายได้ให้บริษัทในอนาคต อีกทั้งยังมีแผนการพัฒนาโปรแกรมในระบบต่าง ๆ อาทิ โรงรับจำนำ, โรงพยาบาล,เช่าซื้อ เป็นต้น เพื่อเป็นการขยายฐานรายได้และกลุ่มลูกค้าของบริษัท
ลงทุนในบริษัทใหม่บริษัทได้ลงทุนในบริษัทใหม่คือบริษัทเทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน5 ล้านบาทและถือหุ้นอยู่ 51% ซึ่งดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายและให้บริการฮาร์ดแวร์ InfraSturcture ครบวงจร, ให้บริการด้านการฝึกอบรมด้านคอมพิวเตอร์ และให้บริการศูนย์สำรองข้อมูล (Disaster Recovery Center) สำหรับลูกค้าจะเน้นกลุ่มเอกชนเป็นหลัก และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ปี นารี
ปัจจุบันมีโครงการในมือรอส่งมอบ 40 ล้านบาทในปี 48 และคาดว่าจะเข้าร่วมประมูลงานในโครงการต่าง ๆ 30โครงการมูลค่า 140 ล้านบาท ผู้บริหารคาดการเติบโตของรายได้ในปี 2548 มาจากการจำหน่ายโปรแกรม ERP,ระบบค้าปลีก และระบบการจัดทำเอกสาร โดยทางฝ่ายประมาณการยอดขายปี 2548 ที่ 92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49%เทียบ YoY แต่คาดว่าการจำหน่ายฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้อัตรากำไรลดลงจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับการทำกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับ Essy Quick และจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2548 ว่าจะมีกำไรสุทธิ 31.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 48%
เทียบ YoYความเห็น: สำหรับหุ้นดังกล่าวทางฝ่ายคาดหมายว่าจะมีผลประกอบการเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมจากการพัฒนาโปรแกรม และเป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงตัวหนึ่งในตลาด ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE เพียง6.3 เท่าซึ่งต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน อย่างไรก็ตามจากสภาพคล่องที่จำกัดทำให้ทางฝ่ายประเมินราคาเหมาะสมโดยมีส่วนลด 20% เพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าว แต่ยังคงแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 5.04 บาทอิงจาก PE 8 เท่า
คาดหมายผลประกอบการปี 48 เพิ่มขึ้น 48% เทียบ YoY
ประมาณการผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ลดลง 22% เทียบ YoY
ซอฟท์แวร์ Easy link จะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต
ปรับประมาณการปี 2548 ลงแต่ยังเติบโต 48% เทียบ YoY
เป็นหุ้นในกลุ่มไอซีทีที่มีผลประกอบการขยายตัวสูงกว่าอุตสาหกรรม และซื้อขายบน PEเพียง 6.3 เท่า
ประมาณการผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ลดลง 22% เทียบ YoYจากการสอบถามข้อมูลของบริษัทพบว่าผลประกอบการไตรมาส 1 จะลดลง 22% เทียบ YoYแม้ประมาณการยอดขายจะเพิ่มขึ้น 20% เทียบ YoY คือที่ 11.8 ล้านบาท และการพัฒนาซอฟท์แวร์ในช่วงที่ผ่านมาทำให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่หากเทียบ QoQ จะลดลงเนื่องจากสัดส่วนการจำหน่ายฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ อีกทั้งบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นในปลายปีที่ผ่านมา, ค่าใช้จ่ายการตลาดในการโฆษณาสินค้าใหม่ และการตัดค่าเสื่อมจากการย้ายอาคารสำนักงาน ทางฝ่ายประมาณการกำไรสุทธิ1.7 ล้านบาทลดลง 22% และ 88% เทียบ YoY และ QoQ
ซอฟท์แวร์ Easy Link จะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการพัฒนาโปรแกรม Easy Link ได้แก่ 1) Easy link for Magic ใช้ Crystal eportปัจจุบันมีการนำเข้าโปรแกรมดังกล่าวเข้ามาและใช้อยู่ราว 80% ของจำนวนผู้ใช้ในประเทศโดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีราคาต่ำกว่าการนำเข้า 93% 2) Easy Quick for Report และ 3)Easy Quick for Web Development เป็นโปรแกรมพัฒนาบน Web สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่มจำหน่ายในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และรับรู้รายได้ในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 2 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2548 บริษัทจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับตลาดในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศบริษัทได้เริ่มแนะนำผลิตภัณฑ์ในประเทศต่าง ๆ ช่วงเดือนมี.ค. เป็นต้นมา และมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในยุโรปคือ Global Web เพื่อจัดจำหน่ายในแถบประเทศยุโรป ส่วนเอเชียได้แต่งตั้ง Magic SoftwareThailand เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย และคาดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะสร้างรายได้ให้บริษัทในอนาคต อีกทั้งยังมีแผนการพัฒนาโปรแกรมในระบบต่าง ๆ อาทิ โรงรับจำนำ, โรงพยาบาล,เช่าซื้อ เป็นต้น เพื่อเป็นการขยายฐานรายได้และกลุ่มลูกค้าของบริษัท
ลงทุนในบริษัทใหม่บริษัทได้ลงทุนในบริษัทใหม่คือบริษัทเทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน5 ล้านบาทและถือหุ้นอยู่ 51% ซึ่งดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายและให้บริการฮาร์ดแวร์ InfraSturcture ครบวงจร, ให้บริการด้านการฝึกอบรมด้านคอมพิวเตอร์ และให้บริการศูนย์สำรองข้อมูล (Disaster Recovery Center) สำหรับลูกค้าจะเน้นกลุ่มเอกชนเป็นหลัก และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ปี นารี
ปัจจุบันมีโครงการในมือรอส่งมอบ 40 ล้านบาทในปี 48 และคาดว่าจะเข้าร่วมประมูลงานในโครงการต่าง ๆ 30โครงการมูลค่า 140 ล้านบาท ผู้บริหารคาดการเติบโตของรายได้ในปี 2548 มาจากการจำหน่ายโปรแกรม ERP,ระบบค้าปลีก และระบบการจัดทำเอกสาร โดยทางฝ่ายประมาณการยอดขายปี 2548 ที่ 92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49%เทียบ YoY แต่คาดว่าการจำหน่ายฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้อัตรากำไรลดลงจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับการทำกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับ Essy Quick และจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2548 ว่าจะมีกำไรสุทธิ 31.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 48%
เทียบ YoYความเห็น: สำหรับหุ้นดังกล่าวทางฝ่ายคาดหมายว่าจะมีผลประกอบการเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมจากการพัฒนาโปรแกรม และเป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงตัวหนึ่งในตลาด ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE เพียง6.3 เท่าซึ่งต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน อย่างไรก็ตามจากสภาพคล่องที่จำกัดทำให้ทางฝ่ายประเมินราคาเหมาะสมโดยมีส่วนลด 20% เพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าว แต่ยังคงแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 5.04 บาทอิงจาก PE 8 เท่า
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกอิสาน เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 24, 2005 11:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 3
จากโนมูระครับ
Extremely high dividend yield plus robust earnings growth in 2005
ถึงแม้ว่าผลกำไรสุทธิ 1Q48 จะมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษงวดเดียวในไตรมาสแต่ CNS คาดผลกำไรสุทธิสำหรับทั้งปี 2548 มีแนวโน้มขยายตัวก้าวกระโดด 52% จากมูลค่างานในมือ(backlog) ณ ปัจจุบันซึ่งสูงถึง 40 ล้านบาท (มากกว่า 90% จะทำการบันทึกเป็นรายได้ในปี 2548) รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดเชิงรุกตั้งแต่กลางปี 2548 จากการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่และรุกผลิตภัณฑ์เดิมสำหรับโปรแกรมประยุกต์ให้กับกลุ่มลูกค้ารายเดิมซึ่งทำการซื้อซ้ำเพื่อปรับปรุง พัฒนาระบบ หรือขยายงาน และกลุ่มลูกค้ารายใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชนในปี 2548
นอกจากนี้การรุกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับโปรแกรมเครื่องมือภายใต้ชื่อ EasyQuick ตั้งแต่กลางปี 2548 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกระตุ้นรายได้ให้เพิ่มขึ้นใน 2H48 มูลค่างานที่อยู่ระหว่างการประมูลและจะเข้าประมูลในปี 2548 มีมูลค่าสูงถึง 140ล้านบาทจำนวน 30 โครงการ ซึ่ง CNS คาดโอกาสชนะงานประมูลมีสูงถึง 60% จากมูลค่าโครงการทั้งหมดและยังคงไม่คำนวณเข้าไปในประมาณการรายได้และถือเป็น upside สำหรับ SLC ในอนาคต
ในประเด็นเรื่องการลงทุนในบ.ร่วมชื่อ Terabyte Net Solution ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา CNS ประเมินว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มและแรงผนึกทางธุรกิจ (synergy) ให้กับ SLC ในระยะยาวในแง่ของต้นทุนการดำเนินงานลดลง และการสร้างฐานลูกค้ารวมให้ใหญ่ขึ้นจากการเน้นกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่มที่แตกต่างกัน จุดเด่นของหุ้น SLC อยู่ที่ 2 ประเด็นได้แก่ ผลการดำเนินงานปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวก้าวกระโดดและผลตอบแทนจากการเงินปันผล (dividend yield) ซึ่งอยู่ในระดั้บที่สูงมากถึง 11% ในปี 2548 มูลค่าพื้นฐานซึ่งประเมินด้วยวิธี PEG อยู่ที่ 7.16 บาท CNS ยังคงคำแนะนำ BUY CNS ประเมินว่าหุ้น SLC จัดว่าเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันที่ P/E ต่ำเพียงแค่ 6.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มสื่อสารที่ 11-12 เท่า รวมถึง dividend yieldซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
√ Company Visit & Earnings Result Preview for 1Q05:
√ CNS คาดผลกำไรสุทธิงวด 1Q48 ลดลง 53% y-y จากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษงวดเดียวในไตรมาส: ค่าใช้จ่ายพิเศษใน 1Q48 ได้แก่ 1) ค่าใช้จ่ายพิเศษจากการเข้าร่วมแสดงสินค้าไอทีในงาน Cebit ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี 1 ล้านบาท; 2) ค่าเสื่อมราคาที่เหลืองวดสุดท้ายจากการย้ายสำนักงาน ซึ่งตัดจำหนา่ ยงวดสุดท้ายในเดือนม.ค.48 และ 3) จาํ นวนพนักงานเพิ่มขึ้นอีก 17 คน (จาก 45 คน ปลายปี2547 เพิ่มเป็น 62 คน) หรืออาจกล่าวได้ว่าค่าใช้จ่ายพิเศษทั้ง 3 รายการรวมกันที่บันทึกใน 1Q48 เพิ่มขึ้นจากเดิมคิดเป็น 20-30%
แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของรายได้ จะพบว่ายังคงเพิ่มขึ้น 40% y-y เนื่องจาก(1) รายได้จากซอฟท์แวร์โปรแกรมประยุกต์ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากลูกค้ารายเดิมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อซ้ำ (คิดเป็น 20% ของรายได้รวม) ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง ปรับปรุงและพัฒนาระบบใหม่ ในขณะที่ลูกค้ารายใหม่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเอกชนที่ได้เพิ่มขึ้นใน 1Q48 เช่น กลุ่ม TRUE-TAO จะซื้อโปรแกรมประยุกต์ระบบบริหารงานธุรกิจค้าปลีก (Retail Management System : RMS) และนำมาประยุกต์ใช้ในร้านโทรศัพท์มือถือของ TAO กลุ่มลูกค้าเดิมที่ทำการซื้อซ้ำสำหรับโปรแกรมประยุกต์ทั้ง 3 โปรแกรมได้แก่ ระบบบริหารทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP) ระบบสำนักงานอัตโนมัติแบบไร้กระดาษ(E-Office) และระบบทะเบียนและวัดผล ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร และกรมพัฒนาที่ดิน เป็นต้น
(2) โครงการบางส่วนที่ทำการปิดงวดไม่ทันปีที่แล้วมูลค่า 16 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นโครงการภาครัฐ)คาดว่ามูลค่า 13 ล้านบาทจะบันทึกเป็นรายได้ในปี 2548 ส่วนที่เหลือบันทึกในปี 2549 อาจกล่าวได้ว่าการลดลงของผลกาํ ไรสุทธิใน 1Q48 มาจากการบันทึกค่าใช้พิเศษซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาสและเป็นผลกระทบทางลบระยะสั้นแต่ถ้าพิจารณารายได้ถือได้ว่ายังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ดังนั้นถ้าค่าใช้จ่ายพิเศษไม่เกิดขึ้นใน 2Q48 CNS คาดว่าผลกำไรสุทธิ 2Q48 มีแนวโน้มอยู่ในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น
√ ผลกำไรสุทธิทั้งปี 2548 ขยายตัวก้าวกระโดด 52% จากมูลค่า backlog ณ ปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับสูงรวมถึงการรุกเจาะตลาดผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์โปรแกรมประยุกต์ 3 ผลิตภัณฑ์ตั้งแต่กลางปี 2548เป็นต้นไป: CNS คาดผลกำไรสุทธิปี 2548 เท่ากับ 32 ล้านบาท (หรือขยายตัว 52%)
จากเหตุผล (1)
มูลค่างานในมือที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 40 ล้านบาท (รวม 16 ล้านบาทซึ่งเลื่อนมาจากปี 2547) มูลค่างาน 37 ล้านบาทคาดว่าจะบั้นทึกเป็นรายได้ในปี 2548 และอีก 3 ล้านบาทที่เหลือในปี 2549 สัดส่วนของมูลค่า Backlog ณ ปัจจุบัน 80% ยังเป็นงานของภาครัฐและที่เหลือเป็นงานของภาคเอกชน การใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ ERP, RMS และ E-Office ซึ่งรวมกันคิดเป็น80% ของมูลค่า backlog ทั้งหมด; (2) การรุกเจาะตลาดโปรแกรมประยุกต์สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้แก่โปรแกรมพัฒนาระบบการวัดผลปฏิบัติงานและประเมินองค์กร (Balanced Scorecard) ซึ่ง ณ ขณะนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว 90% และจะรุกทำตลาดจริงจั้งใน 2H48 ปัจจุบันลูกค้าที่ทำการซื้อโปรแกรมนี้แล้วได้แก่ กรมพัฒนาที่ดินมูลค่า 5 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วจะทาํ การรุกผลิตภัณฑ์เดิมได้แก ่ โปรแกรมระบบทะเบียนและวัดผลนักศึกษาของมหาวิทยาลัยให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 15 มหาวิทยาลัย การรุกโปรแกรมRMS กับกลุ่มลูกค้าบริษัทเอกชนองค์กรใหญ่เช่น TAO Shell AutoServ และ Bquick และโปรแกรม E-Office
กับกลุ่มโรงพยาบาลกว่า 30 แห่งให้เพิ่มขึ้นจากเดิม เป็นต้น CNS คาดว่าในปี 2548 SLC จะมุ่งไปยังกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าราชการมีแนวโน้มลดลง CNS คาดลูกค้าราชการ:เอกชน:ต่างประเทศ 60:30:10 ในปี 2548 เทียบกับลูกค้าราชการ:เอกชน 80:20 ในปี 2547
การทำตลาดผลิตภัณฑ์โปรแกรมเครืองมือ EasyQuick อย่างจริงจังทังในและต่างประเทศตังแต่พ.ค.48เป็นต้นไปเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ผลกำไรสุทธิปี 2548 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด: ผลิตภัณฑ์โปรแกรมเครืองมือ EasyQuick 3 ผลิตภัณฑ์ได้แก่ EasyLink for Magic, EasyQuick for Report และ EasyQuick forWeb Development จะเริ่มเปิดตัวอย่างจริงจังทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศตั้งแต่เดือนพ.ค.48 เป็นต้นไปโดยผ่านทางสื่อโฆษณาและอินเตอร์เน็ต หลังจากที่เริ่มทาํ ตลาดในไทยตั้งแต่เดือนพ.ย.47 และทาํ ตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจาํ หน่ายได้แก Magic Software (Thailand) สาํ หรับการทาํ ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและ Global Web (Thailand) สาํ หรับการทาํ ตลาดในทวีปยุโรป การทาํ ตลาดในต่างประเทศได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนม.ี ค.48 รายได้จากโปรแกรมเครื่องมือ EasyQuick จากการทาํ ตลาดในประเทศเทา่ กบั 2 ล้านบาทในปี 2547 และ CNS คาดรายได้อย่างอนุรักษ์นิยมสำหรับลิตภัณฑ์ EasyQuick จากทั้งในและต่างประเทศเท่ากบั 10 ล้านบาทสาํ หรับปี 2548 ในสว่ นของตน้ ทนุ คา่ R&D สาํ หรับผลิตภัณฑ์ EasyQuick ได้ทาํ การทยอยลงทุนไปแล้วจำนวน 3 ล้านในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า ดั้งนั้นต้นทุนการลงทุนเพิ่มเติมจึงไม่น่าจะมากนักในอนาคตข้างหน้า ส่งผลให้อัตราส่วนผลกำไรขั้นต้น (gross margin) ของผลิตภัณฑ์นี้ถ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นน่าจะอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ SLC ผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดของ SLC จะทำการตัดจำหน่ายทันทีทั้งจำนวนครั้งเดียว เช่น เงินลงทุนระบบ ERP จำนวน 10 ล้านบาทได้ตัดจำหน่ายทั้งจำนวนในปี 2545 หรือเงินลงทุนระบบ BSC จำนวน 3 ล้านบาทได้ทำการตัดจำหน่ายทั้งจำนวนแล้วเช่นกันในปี 2547
ดังนั้นผลกระทบทางลบจากการบันทึกค่าเสื่อมราคาต่องบกำไรขาดทุนในปีต่อไปจึงคาดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นUpside มาจากมูลค่าโครงการที่มีโอกาสชนะการประมูลค่อนข้างสูงอีก 140 ล้านบาทสำหรับ 30 โครงการ ซึ่ง SLC อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมงานเข้าประมูล และ CNS ยังคงไม่คำนวณเข้าไปในประมาณการของ CNS: มูลค่างานที่ถือเป็น upside potential ซึ่ง SLC อยู่ระหว่างการประมูลหรือวางแผนที่เข้าประมูลมีจำนวนทั้งสิ้น 95 โครงการ โดยแบ่งเป็น (1) 30 โครงการมูลค่า 140 ล้านบาท ซึ่งโอกาสที่จะชนะการประมูลมีสูงถึง 60% และมีแนวโน้มรับรู้เป็นรายได้ทันในปี 2548 บางส่วนถ้าชนะการประมูล และ (2) 65 โครงการมูลค่า 350 ล้านบาท ในส่วนนี CNS ประเมินว่าโอกาสทีจะชนะโครงการมีความเป็นไปได้น้อยมาก โครงการทีSLC คาดว่าจะเซ็นสัญญาภายในระยะเวลาอันใกล้ได้แก่ โครงการระบบบุคลากรขององค์กรสำนักงานธนานุเคราะห์มูลค่า 5 ล้านบาท และโครงการที่คาดว่าจะเข้ายื่นประมูลในเดือนพ.ค.48 ซึ่งมั่นใจว่ามีโอกาสชนะสูงได้แก่ โครงการระบบสำนักงานไร้กระดาษ (E-Office) ของหน่วยงานย่อยการเคหะแห่งชาติมูลค่า 15 ล้านบาทCNS ยังคงไม่รวมโครงการดังกล่าวเข้าไปในประมาณการแต่อย่างใดและถือเป็น upside potential
ในอนาคตการร่วมลงทุนในบ.ร่วมทุนเทราไบท์ เน็ต โซลูชั่น จำกัด (Terabyte Net Solution) ในเดือนมี.ค.48 จะสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับ SLC: SLC ได้เข้าลงทุนในบ.ร่วมทุนชื่อ Terabyte Net Solution ซึ่งบ.ร่วมทุนดังกล่าวดำเนินกิจการจัดจำหน่ายและให้บริการฮาร์ดแวร์ครบวงจร รวมถึงให้บริการฝึกอบรมด้านคอมพิวเตอร์และบริการศูนย์สำรองข้อมูล ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 5 ล้านบาท โดย SLC เข้าถือหุ้น 51% และใส่เงินลงทุนเข้าไปแล้ว 2.55 ล้านบาท ส่วนที่เหลือถือหุ้นโดยกลุ่ม Terabyte CNS ประเมินว่าการเข้าถือหุ้นในบ.ร่วมทุนดังกล่าวจะส่งผลดีต่อ SLC ในระยะยาวในแง่ของการถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้แก่กัน โดยบ.ร่วมทุนจะชำนาญในส่วนงานฮาร์ดแวร์ แต่ SLC จะชำนาญในส่วนงานของซอฟท์แวร์ และยังเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงานร่วมกันด้วยในอนาคต นอกจากนี้ CNS ประเมินว่ากลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันระหว่าง SLC ซึ่งเน้นลูกค้าราชการและ Terabyte ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเอกชน จะสร้างฐานลูกค้าให้ใหญ่ขึ้นในระยะยาว CNS ยังคงไม่ใส่ผลกระทบของบ.ร่วมทุนเข้าไปในประมาณการของ SLC จนกว่าจะได้รับรายละเอียดของบ.ร่วมทุนนี้มากพอในอนาคต และคาดว่าผลกระทบทางบวกของบ.ร่วมทุนในแง่ของรายได้ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนร่วมกันที่ลดลงจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 3Q48 เป็นต้นไป
CNS ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ SLC อยู่ในระดับที่สูงมากถึง 11% และยังคงคำแนะนำ BUY โดยมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 7.16 บาท: CNS ยังคงคำแนะนำ BUY และประเมินว่านอกจากผลการดำเนินงานของ SLC ซึงจะยังคงขยายตัวก้าวกระโดดในปี 2548 แล้ว อีกหนึงปัจจัยบวกได้แก่ เงินปันผลในปี2548 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 0.42 บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) เท่ากับ11% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
Extremely high dividend yield plus robust earnings growth in 2005
ถึงแม้ว่าผลกำไรสุทธิ 1Q48 จะมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษงวดเดียวในไตรมาสแต่ CNS คาดผลกำไรสุทธิสำหรับทั้งปี 2548 มีแนวโน้มขยายตัวก้าวกระโดด 52% จากมูลค่างานในมือ(backlog) ณ ปัจจุบันซึ่งสูงถึง 40 ล้านบาท (มากกว่า 90% จะทำการบันทึกเป็นรายได้ในปี 2548) รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดเชิงรุกตั้งแต่กลางปี 2548 จากการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่และรุกผลิตภัณฑ์เดิมสำหรับโปรแกรมประยุกต์ให้กับกลุ่มลูกค้ารายเดิมซึ่งทำการซื้อซ้ำเพื่อปรับปรุง พัฒนาระบบ หรือขยายงาน และกลุ่มลูกค้ารายใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชนในปี 2548
นอกจากนี้การรุกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับโปรแกรมเครื่องมือภายใต้ชื่อ EasyQuick ตั้งแต่กลางปี 2548 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกระตุ้นรายได้ให้เพิ่มขึ้นใน 2H48 มูลค่างานที่อยู่ระหว่างการประมูลและจะเข้าประมูลในปี 2548 มีมูลค่าสูงถึง 140ล้านบาทจำนวน 30 โครงการ ซึ่ง CNS คาดโอกาสชนะงานประมูลมีสูงถึง 60% จากมูลค่าโครงการทั้งหมดและยังคงไม่คำนวณเข้าไปในประมาณการรายได้และถือเป็น upside สำหรับ SLC ในอนาคต
ในประเด็นเรื่องการลงทุนในบ.ร่วมชื่อ Terabyte Net Solution ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา CNS ประเมินว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มและแรงผนึกทางธุรกิจ (synergy) ให้กับ SLC ในระยะยาวในแง่ของต้นทุนการดำเนินงานลดลง และการสร้างฐานลูกค้ารวมให้ใหญ่ขึ้นจากการเน้นกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่มที่แตกต่างกัน จุดเด่นของหุ้น SLC อยู่ที่ 2 ประเด็นได้แก่ ผลการดำเนินงานปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวก้าวกระโดดและผลตอบแทนจากการเงินปันผล (dividend yield) ซึ่งอยู่ในระดั้บที่สูงมากถึง 11% ในปี 2548 มูลค่าพื้นฐานซึ่งประเมินด้วยวิธี PEG อยู่ที่ 7.16 บาท CNS ยังคงคำแนะนำ BUY CNS ประเมินว่าหุ้น SLC จัดว่าเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันที่ P/E ต่ำเพียงแค่ 6.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มสื่อสารที่ 11-12 เท่า รวมถึง dividend yieldซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
√ Company Visit & Earnings Result Preview for 1Q05:
√ CNS คาดผลกำไรสุทธิงวด 1Q48 ลดลง 53% y-y จากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษงวดเดียวในไตรมาส: ค่าใช้จ่ายพิเศษใน 1Q48 ได้แก่ 1) ค่าใช้จ่ายพิเศษจากการเข้าร่วมแสดงสินค้าไอทีในงาน Cebit ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี 1 ล้านบาท; 2) ค่าเสื่อมราคาที่เหลืองวดสุดท้ายจากการย้ายสำนักงาน ซึ่งตัดจำหนา่ ยงวดสุดท้ายในเดือนม.ค.48 และ 3) จาํ นวนพนักงานเพิ่มขึ้นอีก 17 คน (จาก 45 คน ปลายปี2547 เพิ่มเป็น 62 คน) หรืออาจกล่าวได้ว่าค่าใช้จ่ายพิเศษทั้ง 3 รายการรวมกันที่บันทึกใน 1Q48 เพิ่มขึ้นจากเดิมคิดเป็น 20-30%
แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของรายได้ จะพบว่ายังคงเพิ่มขึ้น 40% y-y เนื่องจาก(1) รายได้จากซอฟท์แวร์โปรแกรมประยุกต์ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากลูกค้ารายเดิมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อซ้ำ (คิดเป็น 20% ของรายได้รวม) ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง ปรับปรุงและพัฒนาระบบใหม่ ในขณะที่ลูกค้ารายใหม่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเอกชนที่ได้เพิ่มขึ้นใน 1Q48 เช่น กลุ่ม TRUE-TAO จะซื้อโปรแกรมประยุกต์ระบบบริหารงานธุรกิจค้าปลีก (Retail Management System : RMS) และนำมาประยุกต์ใช้ในร้านโทรศัพท์มือถือของ TAO กลุ่มลูกค้าเดิมที่ทำการซื้อซ้ำสำหรับโปรแกรมประยุกต์ทั้ง 3 โปรแกรมได้แก่ ระบบบริหารทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP) ระบบสำนักงานอัตโนมัติแบบไร้กระดาษ(E-Office) และระบบทะเบียนและวัดผล ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร และกรมพัฒนาที่ดิน เป็นต้น
(2) โครงการบางส่วนที่ทำการปิดงวดไม่ทันปีที่แล้วมูลค่า 16 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นโครงการภาครัฐ)คาดว่ามูลค่า 13 ล้านบาทจะบันทึกเป็นรายได้ในปี 2548 ส่วนที่เหลือบันทึกในปี 2549 อาจกล่าวได้ว่าการลดลงของผลกาํ ไรสุทธิใน 1Q48 มาจากการบันทึกค่าใช้พิเศษซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาสและเป็นผลกระทบทางลบระยะสั้นแต่ถ้าพิจารณารายได้ถือได้ว่ายังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ดังนั้นถ้าค่าใช้จ่ายพิเศษไม่เกิดขึ้นใน 2Q48 CNS คาดว่าผลกำไรสุทธิ 2Q48 มีแนวโน้มอยู่ในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น
√ ผลกำไรสุทธิทั้งปี 2548 ขยายตัวก้าวกระโดด 52% จากมูลค่า backlog ณ ปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับสูงรวมถึงการรุกเจาะตลาดผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์โปรแกรมประยุกต์ 3 ผลิตภัณฑ์ตั้งแต่กลางปี 2548เป็นต้นไป: CNS คาดผลกำไรสุทธิปี 2548 เท่ากับ 32 ล้านบาท (หรือขยายตัว 52%)
จากเหตุผล (1)
มูลค่างานในมือที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 40 ล้านบาท (รวม 16 ล้านบาทซึ่งเลื่อนมาจากปี 2547) มูลค่างาน 37 ล้านบาทคาดว่าจะบั้นทึกเป็นรายได้ในปี 2548 และอีก 3 ล้านบาทที่เหลือในปี 2549 สัดส่วนของมูลค่า Backlog ณ ปัจจุบัน 80% ยังเป็นงานของภาครัฐและที่เหลือเป็นงานของภาคเอกชน การใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ ERP, RMS และ E-Office ซึ่งรวมกันคิดเป็น80% ของมูลค่า backlog ทั้งหมด; (2) การรุกเจาะตลาดโปรแกรมประยุกต์สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้แก่โปรแกรมพัฒนาระบบการวัดผลปฏิบัติงานและประเมินองค์กร (Balanced Scorecard) ซึ่ง ณ ขณะนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว 90% และจะรุกทำตลาดจริงจั้งใน 2H48 ปัจจุบันลูกค้าที่ทำการซื้อโปรแกรมนี้แล้วได้แก่ กรมพัฒนาที่ดินมูลค่า 5 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วจะทาํ การรุกผลิตภัณฑ์เดิมได้แก ่ โปรแกรมระบบทะเบียนและวัดผลนักศึกษาของมหาวิทยาลัยให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 15 มหาวิทยาลัย การรุกโปรแกรมRMS กับกลุ่มลูกค้าบริษัทเอกชนองค์กรใหญ่เช่น TAO Shell AutoServ และ Bquick และโปรแกรม E-Office
กับกลุ่มโรงพยาบาลกว่า 30 แห่งให้เพิ่มขึ้นจากเดิม เป็นต้น CNS คาดว่าในปี 2548 SLC จะมุ่งไปยังกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าราชการมีแนวโน้มลดลง CNS คาดลูกค้าราชการ:เอกชน:ต่างประเทศ 60:30:10 ในปี 2548 เทียบกับลูกค้าราชการ:เอกชน 80:20 ในปี 2547
การทำตลาดผลิตภัณฑ์โปรแกรมเครืองมือ EasyQuick อย่างจริงจังทังในและต่างประเทศตังแต่พ.ค.48เป็นต้นไปเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ผลกำไรสุทธิปี 2548 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด: ผลิตภัณฑ์โปรแกรมเครืองมือ EasyQuick 3 ผลิตภัณฑ์ได้แก่ EasyLink for Magic, EasyQuick for Report และ EasyQuick forWeb Development จะเริ่มเปิดตัวอย่างจริงจังทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศตั้งแต่เดือนพ.ค.48 เป็นต้นไปโดยผ่านทางสื่อโฆษณาและอินเตอร์เน็ต หลังจากที่เริ่มทาํ ตลาดในไทยตั้งแต่เดือนพ.ย.47 และทาํ ตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจาํ หน่ายได้แก Magic Software (Thailand) สาํ หรับการทาํ ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและ Global Web (Thailand) สาํ หรับการทาํ ตลาดในทวีปยุโรป การทาํ ตลาดในต่างประเทศได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนม.ี ค.48 รายได้จากโปรแกรมเครื่องมือ EasyQuick จากการทาํ ตลาดในประเทศเทา่ กบั 2 ล้านบาทในปี 2547 และ CNS คาดรายได้อย่างอนุรักษ์นิยมสำหรับลิตภัณฑ์ EasyQuick จากทั้งในและต่างประเทศเท่ากบั 10 ล้านบาทสาํ หรับปี 2548 ในสว่ นของตน้ ทนุ คา่ R&D สาํ หรับผลิตภัณฑ์ EasyQuick ได้ทาํ การทยอยลงทุนไปแล้วจำนวน 3 ล้านในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า ดั้งนั้นต้นทุนการลงทุนเพิ่มเติมจึงไม่น่าจะมากนักในอนาคตข้างหน้า ส่งผลให้อัตราส่วนผลกำไรขั้นต้น (gross margin) ของผลิตภัณฑ์นี้ถ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นน่าจะอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ SLC ผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดของ SLC จะทำการตัดจำหน่ายทันทีทั้งจำนวนครั้งเดียว เช่น เงินลงทุนระบบ ERP จำนวน 10 ล้านบาทได้ตัดจำหน่ายทั้งจำนวนในปี 2545 หรือเงินลงทุนระบบ BSC จำนวน 3 ล้านบาทได้ทำการตัดจำหน่ายทั้งจำนวนแล้วเช่นกันในปี 2547
ดังนั้นผลกระทบทางลบจากการบันทึกค่าเสื่อมราคาต่องบกำไรขาดทุนในปีต่อไปจึงคาดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นUpside มาจากมูลค่าโครงการที่มีโอกาสชนะการประมูลค่อนข้างสูงอีก 140 ล้านบาทสำหรับ 30 โครงการ ซึ่ง SLC อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมงานเข้าประมูล และ CNS ยังคงไม่คำนวณเข้าไปในประมาณการของ CNS: มูลค่างานที่ถือเป็น upside potential ซึ่ง SLC อยู่ระหว่างการประมูลหรือวางแผนที่เข้าประมูลมีจำนวนทั้งสิ้น 95 โครงการ โดยแบ่งเป็น (1) 30 โครงการมูลค่า 140 ล้านบาท ซึ่งโอกาสที่จะชนะการประมูลมีสูงถึง 60% และมีแนวโน้มรับรู้เป็นรายได้ทันในปี 2548 บางส่วนถ้าชนะการประมูล และ (2) 65 โครงการมูลค่า 350 ล้านบาท ในส่วนนี CNS ประเมินว่าโอกาสทีจะชนะโครงการมีความเป็นไปได้น้อยมาก โครงการทีSLC คาดว่าจะเซ็นสัญญาภายในระยะเวลาอันใกล้ได้แก่ โครงการระบบบุคลากรขององค์กรสำนักงานธนานุเคราะห์มูลค่า 5 ล้านบาท และโครงการที่คาดว่าจะเข้ายื่นประมูลในเดือนพ.ค.48 ซึ่งมั่นใจว่ามีโอกาสชนะสูงได้แก่ โครงการระบบสำนักงานไร้กระดาษ (E-Office) ของหน่วยงานย่อยการเคหะแห่งชาติมูลค่า 15 ล้านบาทCNS ยังคงไม่รวมโครงการดังกล่าวเข้าไปในประมาณการแต่อย่างใดและถือเป็น upside potential
ในอนาคตการร่วมลงทุนในบ.ร่วมทุนเทราไบท์ เน็ต โซลูชั่น จำกัด (Terabyte Net Solution) ในเดือนมี.ค.48 จะสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับ SLC: SLC ได้เข้าลงทุนในบ.ร่วมทุนชื่อ Terabyte Net Solution ซึ่งบ.ร่วมทุนดังกล่าวดำเนินกิจการจัดจำหน่ายและให้บริการฮาร์ดแวร์ครบวงจร รวมถึงให้บริการฝึกอบรมด้านคอมพิวเตอร์และบริการศูนย์สำรองข้อมูล ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 5 ล้านบาท โดย SLC เข้าถือหุ้น 51% และใส่เงินลงทุนเข้าไปแล้ว 2.55 ล้านบาท ส่วนที่เหลือถือหุ้นโดยกลุ่ม Terabyte CNS ประเมินว่าการเข้าถือหุ้นในบ.ร่วมทุนดังกล่าวจะส่งผลดีต่อ SLC ในระยะยาวในแง่ของการถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้แก่กัน โดยบ.ร่วมทุนจะชำนาญในส่วนงานฮาร์ดแวร์ แต่ SLC จะชำนาญในส่วนงานของซอฟท์แวร์ และยังเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงานร่วมกันด้วยในอนาคต นอกจากนี้ CNS ประเมินว่ากลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันระหว่าง SLC ซึ่งเน้นลูกค้าราชการและ Terabyte ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเอกชน จะสร้างฐานลูกค้าให้ใหญ่ขึ้นในระยะยาว CNS ยังคงไม่ใส่ผลกระทบของบ.ร่วมทุนเข้าไปในประมาณการของ SLC จนกว่าจะได้รับรายละเอียดของบ.ร่วมทุนนี้มากพอในอนาคต และคาดว่าผลกระทบทางบวกของบ.ร่วมทุนในแง่ของรายได้ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนร่วมกันที่ลดลงจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 3Q48 เป็นต้นไป
CNS ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ SLC อยู่ในระดับที่สูงมากถึง 11% และยังคงคำแนะนำ BUY โดยมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 7.16 บาท: CNS ยังคงคำแนะนำ BUY และประเมินว่านอกจากผลการดำเนินงานของ SLC ซึงจะยังคงขยายตัวก้าวกระโดดในปี 2548 แล้ว อีกหนึงปัจจัยบวกได้แก่ เงินปันผลในปี2548 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 0.42 บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) เท่ากับ11% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกอิสาน เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 24, 2005 11:49 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 4
อ่านงานวิจัยโบรคเกอร์แล้ว อย่าเพิ่งเชื่อนะครับ
ดูข้อมูลอื่นๆประกอบด้วย เพราะโบรคมักมองด้านเดียว
ข้อด้อย-ความเสี่ยงที่คิดว่ามีคือ
1.งานส่วนใหญ่เป็นงานราชการที่ต้องมีการประมูล ทำให้มีความไม่แน่นอนสูง แต่งานราชการเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ และมีความเสี่ยงต่ำในแง่หนี้สูญ บริษัทมีรายได้จากการบำรุงรักษา ประมาณ 20% ครอบคลุมรายจ่ายประจำประมาณ 40% บริษัทมีนโยบายเพิ่มงานเอกชนมากขึ้น การซื้อเทอร์ราไบท์ซึ่งมีลูกค้าเอกชนจำนวนมาก จะช่วยในส่วนนี้ได้
2.เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดเช่น MFEC AIT IRCP โซลูชั่นจะมีขนาดเล็กว่า แต่มีมาร์จินสูงสุด เพราะเน้นการพัฒนาซอฟแวร์ ในขณะที่รายอื่นจะมีรายได้จากส่วนฮาดแวร์ซึ่งมีกำไรน้อยมากกว่า

ดูข้อมูลอื่นๆประกอบด้วย เพราะโบรคมักมองด้านเดียว
ข้อด้อย-ความเสี่ยงที่คิดว่ามีคือ
1.งานส่วนใหญ่เป็นงานราชการที่ต้องมีการประมูล ทำให้มีความไม่แน่นอนสูง แต่งานราชการเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ และมีความเสี่ยงต่ำในแง่หนี้สูญ บริษัทมีรายได้จากการบำรุงรักษา ประมาณ 20% ครอบคลุมรายจ่ายประจำประมาณ 40% บริษัทมีนโยบายเพิ่มงานเอกชนมากขึ้น การซื้อเทอร์ราไบท์ซึ่งมีลูกค้าเอกชนจำนวนมาก จะช่วยในส่วนนี้ได้
2.เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดเช่น MFEC AIT IRCP โซลูชั่นจะมีขนาดเล็กว่า แต่มีมาร์จินสูงสุด เพราะเน้นการพัฒนาซอฟแวร์ ในขณะที่รายอื่นจะมีรายได้จากส่วนฮาดแวร์ซึ่งมีกำไรน้อยมากกว่า

การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 5
เคยซื้อไว้เมื่อต้นปีที่ 3.94 ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาลากเลย
พอเก็บได้ไม่ครบอย่างที่ตั้งใจก็เลยขายซะเลย
เพิ่มจะรู้นี่ว่าตอนนี้ราคาเหลือแค่ 3 บาทกว่าแล้ว
ยอมรับฝีมือเจ้าของเลยครับว่าเก่งมาก
ต้นปีที่แล้วทุนจดทะเบียนยังแค่ 3 ล้านเลยครับ
พี่แกเพิ่มทุนโดยแปลงกำไรสะสมเป็นทุนที่ราคา 1 บาท
แล้วเพิ่มทุนด้วยเงินสดตัวเองที่ราคา 1 บาท เพื่อให้ทุนจดทะเบียนเป็น
40 ล้าน จะได้เข้าตลาดได้
จากนั้นก็ขาย IPO ที่ราคา 5.5 บาท
เสกเงินเข้าบริษัทได้เพียบโดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมยังถือหุ้นอยู่ถึง 80%
ส่วนตัวผมคงไม่ซื้ออีกแล้วด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. ไม่ค่อยชอบหุ้นที่กำไรไม่สม่ำเสมอ
2. อีกสามปี BOI ก็หมดแล้ว
พอเก็บได้ไม่ครบอย่างที่ตั้งใจก็เลยขายซะเลย
เพิ่มจะรู้นี่ว่าตอนนี้ราคาเหลือแค่ 3 บาทกว่าแล้ว
ยอมรับฝีมือเจ้าของเลยครับว่าเก่งมาก
ต้นปีที่แล้วทุนจดทะเบียนยังแค่ 3 ล้านเลยครับ
พี่แกเพิ่มทุนโดยแปลงกำไรสะสมเป็นทุนที่ราคา 1 บาท
แล้วเพิ่มทุนด้วยเงินสดตัวเองที่ราคา 1 บาท เพื่อให้ทุนจดทะเบียนเป็น
40 ล้าน จะได้เข้าตลาดได้
จากนั้นก็ขาย IPO ที่ราคา 5.5 บาท
เสกเงินเข้าบริษัทได้เพียบโดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมยังถือหุ้นอยู่ถึง 80%
ส่วนตัวผมคงไม่ซื้ออีกแล้วด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. ไม่ค่อยชอบหุ้นที่กำไรไม่สม่ำเสมอ
2. อีกสามปี BOI ก็หมดแล้ว
- sailom
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 6
[quote=
2.เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดเช่น MFEC AIT IRCP โซลูชั่นจะมีขนาดเล็กว่า แต่มีมาร์จินสูงสุด เพราะเน้นการพัฒนาซอฟแวร์ ในขณะที่รายอื่นจะมีรายได้จากส่วนฮาดแวร์ซึ่งมีกำไรน้อยมากกว่า
[/quote]
MFEC และ IRCP เป็นบริษัทที่มีจุดแข็งทางด้านซอฟต์แวร์ครับ และเป็นบริษัทที่เติบโตมาจากซอฟต์แวร์ ก่อนที่จะขยายมาขาย Solution ซึ่งแน่นอนว่าต้องขายฮาร์ดแวร์และ Infrastructure ด้วยทำให้ Margin ลด แต่ข้อดีก็คือจะได้เงินสดหมุนเวียนเร็วขึ้นมากกว่างานซอฟต์แวร์
ผมไม่แน่ใจว่าโซลูชั่นนี้จะเป็นบริษัทเดียวกับที่เมื่อก่อนอยู่ในเครือดาต้าแมทหรือเปล่า (ยังไม่ได้อ่าน 56-1 ครับ) แต่ถ้าดูในเรื่องโครงสร้างเงินทุนกับความน่าเชื่อถือของบริษัทและผู้บริหาร ผมมองว่า MFEC และ IRCP น่าสนใจกว่า (อันนี้เป็น Bias ล้วน ๆเพราะผมรู้จักผู้บริหารของสองบริษัทที่ว่า แต่ไม่รู้จักผู้บริหารของโซลูชั่นครับ)
2.เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดเช่น MFEC AIT IRCP โซลูชั่นจะมีขนาดเล็กว่า แต่มีมาร์จินสูงสุด เพราะเน้นการพัฒนาซอฟแวร์ ในขณะที่รายอื่นจะมีรายได้จากส่วนฮาดแวร์ซึ่งมีกำไรน้อยมากกว่า

MFEC และ IRCP เป็นบริษัทที่มีจุดแข็งทางด้านซอฟต์แวร์ครับ และเป็นบริษัทที่เติบโตมาจากซอฟต์แวร์ ก่อนที่จะขยายมาขาย Solution ซึ่งแน่นอนว่าต้องขายฮาร์ดแวร์และ Infrastructure ด้วยทำให้ Margin ลด แต่ข้อดีก็คือจะได้เงินสดหมุนเวียนเร็วขึ้นมากกว่างานซอฟต์แวร์
ผมไม่แน่ใจว่าโซลูชั่นนี้จะเป็นบริษัทเดียวกับที่เมื่อก่อนอยู่ในเครือดาต้าแมทหรือเปล่า (ยังไม่ได้อ่าน 56-1 ครับ) แต่ถ้าดูในเรื่องโครงสร้างเงินทุนกับความน่าเชื่อถือของบริษัทและผู้บริหาร ผมมองว่า MFEC และ IRCP น่าสนใจกว่า (อันนี้เป็น Bias ล้วน ๆเพราะผมรู้จักผู้บริหารของสองบริษัทที่ว่า แต่ไม่รู้จักผู้บริหารของโซลูชั่นครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 109
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 7
ผมเองก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นนะส่วนตัวผมคงไม่ซื้ออีกแล้วด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. ไม่ค่อยชอบหุ้นที่กำไรไม่สม่ำเสมอ
คุณลูกอิสาน มองตรงนี้อย่างไรครับ
อีกประการ ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มครอบครัวเดียวมากกว่า 60%
คุณลูกอิสานรู้จัก เขาดีแค่ไหนครับ
ที่ถามมานี่ ไม่ใช่ไม่สนนะ ก็มองๆดูอยู่ครับ

- เพื่อน
- Verified User
- โพสต์: 1826
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 8
ข้อควรระวังอีกประการในธุระกิจประเภทนี้คือ
ความสามารถทำกำไรของบริษัท ต้องพึ่งพิงบุคคลากรเป็นหลัก ถ้าส่วนหัวถูกดึงออกหรือไปเปิดกิจการเอง(กลายเป็นคู่แข่ง) มักจะดึงลูกทีมตามออกไปด้วย
แต่ถ้าเค้าจัดการป้องกันส่วนนีได้ก็ดีครับ...น่าสนใจขึ้นอีกมาก
ความสามารถทำกำไรของบริษัท ต้องพึ่งพิงบุคคลากรเป็นหลัก ถ้าส่วนหัวถูกดึงออกหรือไปเปิดกิจการเอง(กลายเป็นคู่แข่ง) มักจะดึงลูกทีมตามออกไปด้วย
แต่ถ้าเค้าจัดการป้องกันส่วนนีได้ก็ดีครับ...น่าสนใจขึ้นอีกมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณครับสำหรับมุมมองที่แตกต่าง
ผมคงต้องไปทำการบ้านเพิ่มเติม ในประเด็นที่เพื่อนๆมองว่าเป็นความเสี่ยง
ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจเช่นกัน ไม่ได้อยู่ในแวดวงคอมพิวเตอร์ด้วย
แต่ประเด็นธรรมภิบาลของผู้บริหารคุณนิทัศน์ มณีศิลาสันต์
เท่าที่เคยได้พูดคุย และติดตามอ่านจากหนังสือ 11 แม่ทัพไอที
ซึ่งคุณนิทัศน์เป็น 1 ใน 11 คนด้วย และเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด
ผมก็คิดไปเองว่า คุณนิทัศน์ค่อนข้างเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องความธรรมภิบาลนะครับ แกเคยล้มเหลวกับ 2 ธุรกิจ แต่ไม่ยอมเสียเครดิตครับ ยิ่งดูโหวเฮ้งหน้าตานี่ ผมรู้สึกว่าแกไม่ใช่คนมีเล่เหลี่ยมเลยครับ (เข้าไปดูหน้าตาคุณนิทัศน์ได้ที่ www.slc1998.com)
อันนี้ผมมองจากความรู้สึกนะครับ จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ ต้องติดตามต่อไป..
อ้อ..คุณนิทัศน์ เคยบอกว่าที่นำบริษัทเข้าตลาดไม่ได้เพราะต้องการเงินครับ เพราะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน และยังมีปันผลทุกปี แต่เหตุผลคือต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ และขยับทุนจดทะเบียน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเข้าประมูลงานภาครัฐ
ส่วนปัญหาเรื่องบุคลากร เท่าที่เคยอ่าน SLC มีปัญหานี้ค่อนข้างน้อยครับ เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งมีความทะเยอทะยานน้อยกว่าผู้ชาย และหลายคนก็เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ไม่ได้จบสาขานี้โดยตรง แต่ได้รับโอกาสและฝึกการเขียนโปรแกรมจากบริษัท
ผมคงต้องไปทำการบ้านเพิ่มเติม ในประเด็นที่เพื่อนๆมองว่าเป็นความเสี่ยง
ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจเช่นกัน ไม่ได้อยู่ในแวดวงคอมพิวเตอร์ด้วย
แต่ประเด็นธรรมภิบาลของผู้บริหารคุณนิทัศน์ มณีศิลาสันต์
เท่าที่เคยได้พูดคุย และติดตามอ่านจากหนังสือ 11 แม่ทัพไอที
ซึ่งคุณนิทัศน์เป็น 1 ใน 11 คนด้วย และเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด
ผมก็คิดไปเองว่า คุณนิทัศน์ค่อนข้างเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องความธรรมภิบาลนะครับ แกเคยล้มเหลวกับ 2 ธุรกิจ แต่ไม่ยอมเสียเครดิตครับ ยิ่งดูโหวเฮ้งหน้าตานี่ ผมรู้สึกว่าแกไม่ใช่คนมีเล่เหลี่ยมเลยครับ (เข้าไปดูหน้าตาคุณนิทัศน์ได้ที่ www.slc1998.com)
อันนี้ผมมองจากความรู้สึกนะครับ จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ ต้องติดตามต่อไป..

อ้อ..คุณนิทัศน์ เคยบอกว่าที่นำบริษัทเข้าตลาดไม่ได้เพราะต้องการเงินครับ เพราะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน และยังมีปันผลทุกปี แต่เหตุผลคือต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ และขยับทุนจดทะเบียน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเข้าประมูลงานภาครัฐ

ส่วนปัญหาเรื่องบุคลากร เท่าที่เคยอ่าน SLC มีปัญหานี้ค่อนข้างน้อยครับ เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งมีความทะเยอทะยานน้อยกว่าผู้ชาย และหลายคนก็เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ไม่ได้จบสาขานี้โดยตรง แต่ได้รับโอกาสและฝึกการเขียนโปรแกรมจากบริษัท
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 10
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบเลยงานส่วนใหญ่เป็นงานราชการที่ต้องมีการประมูล ทำให้มีความไม่แน่นอนสูง แต่งานราชการเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ และมีความเสี่ยงต่ำในแง่หนี้สูญ
อันนี้อ่ะน่าสนใจ พี่เจ๋งไป visit ที่นี่กันน่าจะดีนะส่วนปัญหาเรื่องบุคลากร เท่าที่เคยอ่าน SLC มีปัญหานี้ค่อนข้างน้อยครับ เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง



Expecto Patronum!!!!!!
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 11
ผมเข้าไปดูรูปพนักงานผู้หญิงแล้ว ยังไม่ค่อยโดนใจนะharry เขียน: อันนี้อ่ะน่าสนใจ พี่เจ๋งไป visit ที่นี่กันน่าจะดีนะ![]()
![]()

ความเสี่ยงของ SLC คัดลอกจาก 56-1 ครับ
1. กรณีบริษัทพึ่งพาบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
รายได้ประมาณร้อยละ 80 ของบริษัทมาจากการพัฒนาและจำหน่ายซอฟต์แวร์ รวมทั้งค่าดูแลบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ ซึ่งพัฒนาโดยบุคลากรที่มีความชำนาญด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการเขียนโปรแกรม ดังนั้นหากบริษัทสูญเสียบุคลากรเหล่านั้นไปไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
จะทำให้มีผลกระทบต่อรายได้หลักของบริษัทเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ความรุนแรงของผลกระทบขึ้นอยู่กับจำนวนบุคลากรและปริมาณงานที่จะสูญเสียไป ตลอดจนระยะเวลาที่จะจัดหาพนักงานหรือพัฒนาพนักงานขึ้นมาทดแทน ในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะมีพนักงานลาออกและมีการรับพนักงานเข้าใหม่อยู่เสมอ แต่บริษัทยังไม่เคยมีกรณีที่ขาดแคลนพนักงานจนทำให้การส่งมอบงานส่งช้า อย่างไรก็ดีบริษัทมีมาตรการในการลดความเสี่ยงจากการสูญเสียบุคลากรดังกล่าวคือ บริษัทมีการแบ่งแยกพนักงานเป็น 3 ฝ่าย ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกันดังนี้ ผู้พัฒนาระบบ (System Analysis) ทำหน้าที่วิเคราะห์ระบบเพื่อส่งต่อให้ฝ่ายโปรแกรมเมอร์นำไปเขียนและพัฒนาระบบ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายติดตั้งและสนับสนุน (Support) นอกจากนี้โปรแกรมเมอร์แต่ละรายก็ยังได้รับการมอบหมายงานต่างๆ กันไป โดยในการรับงานโครงการหนึ่งบริษัทจะแบ่งงานให้โปรแกรมเมอร์หลายคนร่วมกันพัฒนา โดยบริษัทจะไม่ให้โปรแกรมเมอร์รายใดรายหนึ่งรับผิดชอบงานทั้งหมดเพียงคนเดียว ทำให้ลดความเสี่ยงจากการพึ่งโปรแกรมเมอร์รายเดียวในการพัฒนาโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายในการดูแลและส่งเสริมพนักงานให้มีความรู้สึกผูกพันและรักบริษัทรวมทั้งจัดให้มีอัตราเงินเดือนที่เหมาะสมและสวัสดิการพนักงานที่จูงใจให้พนักงานทำงานให้บริษัทในระยะยาวได้ นอกจากนี้ได้มีการสำรองอัตรากำลังของหน่วยงานในฝ่ายพัฒนาระบบให้เกินไว้ประมาณ 5 %ของจำนวนโปรแกรมเมอร์ที่มีทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทยังมีระบบการพัฒนาโปรแกรมเมอร์ที่มีประสิทธิภาพเป็นขั้นเป็นตอน และสร้างแบบแผนการเรียนรู้ให้สามารถถ่ายทอดความรู้ในขั้นตอนการทำงานได้ในช่วงระยะเวลาเริ่มตั้งแต่ 2 - 4 สัปดาห์เป็นต้นไป ดังนั้นหากบริษัทจะต้องเสียบุคลากรด้านโปรแกรมเมอร์บางส่วนไปก็จะสามารถพัฒนาขึ้นมาใหม่ได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก ด้านผู้พัฒนาระบบนั้นบริษัทมีนโยบายส่งเสริมให้โปรแกรมเมอร์ที่มีความเชี่ยวชาญให้พัฒนาขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพได้ โดยคัดเลือกจากโปรแกรมเมอร์ในบริษัทที่มีความรู้ความสามารถเพียงพอและมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองได้ นอกจากนี้บริษัทมีการทำสัญญากับพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบทุกคน โดยมีข้อห้ามมิให้โปรแกรมเมอร์รับทำงานให้กับลูกค้าที่ตนรับผิดชอบเป็นระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัท
2. กรณีรายได้หลักส่วนใหญ่พึ่งพิงงานจากภาครัฐบาล
ในปี 2547 บริษัทมีรายได้จากการประมูลงานภาครัฐคิดเป็นประมาณร้อยละ 70 ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งรายได้ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชนะการประมูลโครงการที่มีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับงบประมาณของหน่วยงานนั้นๆ และนโยบายต่างๆ ของภาครัฐบาล อย่างไรก็ตามผลงานของบริษัทที่ผ่านมาเป็นที่ยอมรับเนื่องจากสามารถทำงานได้ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขและมีประวัติที่ดีมาโดยตลอดทำให้ได้รับความไว้วางใจจากภาครัฐบาล และจากนโยบายของภาครัฐในการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในหน่วยงานต่างๆ มากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับหน่วยงาน ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทได้มีประวัติการรับงานภาครัฐมากเป็นการรองรับสำหรับงานประมูลในอนาคต นอกจากนี้แล้วในปี 2548 บริษัทได้เตรียมแผนในการผลักดันผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ของบริษัท ให้จำหน่ายในภาคเอกชนและต่างประเทศให้มากขึ้น
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 12
4. กรณีบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงและจำนวนคู่แข่งมาก
ธุรกิจโปรแกรมประยุกต์และโปรแกรมยูทิลิตี้เป็นธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้นได้เสมอและมักใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการแข่งขัน บริษัทจึงมีนโยบายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ในเชิงลึกกล่าวคือจะเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงการใช้งานกับโปรแกรมที่มีอยู่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผลิตภัณฑ์เดิมให้ตอบสนองและสามารถใช้งานระหว่างฝ่ายงานต่างๆได้โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับองค์กรที่ต้องการขยายและเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานไม่เพียงจำกัดการใช้เพียงฝ่ายงานใดฝ่ายงานหนึ่งเท่านั้น ในปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่งรายใดที่มีซอฟต์แวร์ระบบโปรแกรมที่มีความสามารถครอบคลุมระบบบริหารต่างๆ ในองค์กร และเชื่อมโยงในแต่ละฝ่ายงานได้มากเท่ากับที่บริษัทมีอยู่ ในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดบริษัทยังได้พัฒนาโปรแกรมระบบบริหารสำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีความต้องการใช้งานไม่ซับซ้อนภายในหน่วยงาน ซึ่งในระบบบริหารย่อยนี้คู่แข่งของบริษัทจะเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายย่อยที่พัฒนาแต่ละระบบโปรแกรม ทั้งนี้จุดเด่นของซอฟต์แวร์ของบริษัทสามารถทำงานในลักษณะของ web application ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดยังทำงานในลักษณะของ client/sever
ประเด็นเรื่อง boi ผมไปดูข้อมูลมาแล้ว บริษัทยังเหลือสิทธิ์ยกเว้นภาษีอีก 3 ปี หลังจากนั้นน่าจะเสียภาษีในอัตรา 15% อีก 5 ปี และหลังจาก 5 ปี จะเสียภาษี 20% ตามสิทธิ์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดใหม่ต่อไปอีก 5 ปี
ประเด็นภาษียังไม่แน่ใจมากนักครับ ใครสนใจลองไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมนะครับ
ธุรกิจโปรแกรมประยุกต์และโปรแกรมยูทิลิตี้เป็นธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้นได้เสมอและมักใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการแข่งขัน บริษัทจึงมีนโยบายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ในเชิงลึกกล่าวคือจะเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงการใช้งานกับโปรแกรมที่มีอยู่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผลิตภัณฑ์เดิมให้ตอบสนองและสามารถใช้งานระหว่างฝ่ายงานต่างๆได้โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับองค์กรที่ต้องการขยายและเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานไม่เพียงจำกัดการใช้เพียงฝ่ายงานใดฝ่ายงานหนึ่งเท่านั้น ในปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่งรายใดที่มีซอฟต์แวร์ระบบโปรแกรมที่มีความสามารถครอบคลุมระบบบริหารต่างๆ ในองค์กร และเชื่อมโยงในแต่ละฝ่ายงานได้มากเท่ากับที่บริษัทมีอยู่ ในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดบริษัทยังได้พัฒนาโปรแกรมระบบบริหารสำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีความต้องการใช้งานไม่ซับซ้อนภายในหน่วยงาน ซึ่งในระบบบริหารย่อยนี้คู่แข่งของบริษัทจะเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายย่อยที่พัฒนาแต่ละระบบโปรแกรม ทั้งนี้จุดเด่นของซอฟต์แวร์ของบริษัทสามารถทำงานในลักษณะของ web application ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดยังทำงานในลักษณะของ client/sever
ประเด็นเรื่อง boi ผมไปดูข้อมูลมาแล้ว บริษัทยังเหลือสิทธิ์ยกเว้นภาษีอีก 3 ปี หลังจากนั้นน่าจะเสียภาษีในอัตรา 15% อีก 5 ปี และหลังจาก 5 ปี จะเสียภาษี 20% ตามสิทธิ์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดใหม่ต่อไปอีก 5 ปี
ประเด็นภาษียังไม่แน่ใจมากนักครับ ใครสนใจลองไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมนะครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 14
ปกติรายได้ของ SLC จะผันแปรไปตามไตรมาสดังนี้ครับ
ไตรมาส 1 -10%
ไตรมาส 2 -10%
ไตรมาส 3 -20%
ไตรมาส 4 -60%
ที่เป็นไปอย่างนี้เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานราชการที่มักจะเบิกจ่ายตอนสิ้นปีงบประมาณนั่นเอง
รายได้ย้อนหลัง 4 ปี(ล้าน) 41--46--50--62.5
กำไรย้อนหลัง 4 ปี(ล้าน) 14.6--12.5--16--21
กำไรต่อหุ้น(บาท) 4.87--4.17--5.36--0.42
ปันผลต่อหุ้น(บาท) 2.5--2.7--5.4--0.4
กิจการมีความต้องการเงินทุนน้อยมาก กำไรส่วนใหญ่มักนำมาจ่ายปันผล
เงินที่ระดมทุนได้ ส่วนหนึ่งนำไปซื้อสินทรัพย์ถาวรคืออาคาร ทำให้ต้องตัดค่าเสื่อมเพิ่มขึ้น แต่จะประหยัดค่าเช่าลง
ไตรมาส 1 -10%
ไตรมาส 2 -10%
ไตรมาส 3 -20%
ไตรมาส 4 -60%
ที่เป็นไปอย่างนี้เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานราชการที่มักจะเบิกจ่ายตอนสิ้นปีงบประมาณนั่นเอง
รายได้ย้อนหลัง 4 ปี(ล้าน) 41--46--50--62.5
กำไรย้อนหลัง 4 ปี(ล้าน) 14.6--12.5--16--21
กำไรต่อหุ้น(บาท) 4.87--4.17--5.36--0.42
ปันผลต่อหุ้น(บาท) 2.5--2.7--5.4--0.4
กิจการมีความต้องการเงินทุนน้อยมาก กำไรส่วนใหญ่มักนำมาจ่ายปันผล
เงินที่ระดมทุนได้ ส่วนหนึ่งนำไปซื้อสินทรัพย์ถาวรคืออาคาร ทำให้ต้องตัดค่าเสื่อมเพิ่มขึ้น แต่จะประหยัดค่าเช่าลง
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 16
ผมเคยอยู่ในวงการไอทีมาก่อนครับ
ข้อดีของ SLC คือ ตลาดซอฟต์แวร์ประเภทนี้ผ่านช่วงของ competition shakeout ไปนานแล้ว รายใหญ่ในตลาดจึงมีเพียงไม่กี่รายรวมทั้ง SLC ด้วย ทำให้มีความมั่นคงกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วไป
ข้อเสียของ SLC คือ ซอฟต์แวร์ประเภทนี้เริ่มมีในประเทศไทยตั้งแต่ 20 ปีก่อนจึงไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ แล้ว โอกาสเติบโตจึงน้อยครับ ถ้าจะให้โตเร็วต้องหันไปทำซอฟต์แวร์แบบใหม่ๆ ซึ่งก็จะต้องเสี่ยงใหม่ เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์เลย
การเข้าตลาดจึงมีเหตุผลครับ คือโตจนสุดแล้วค่อยขายหุ้นให้คนอื่นถือจะได้ขายได้ราคาดี ไม่ถือว่าเป็นความเลวนะครับ เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
ข้อดีของ SLC คือ ตลาดซอฟต์แวร์ประเภทนี้ผ่านช่วงของ competition shakeout ไปนานแล้ว รายใหญ่ในตลาดจึงมีเพียงไม่กี่รายรวมทั้ง SLC ด้วย ทำให้มีความมั่นคงกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วไป
ข้อเสียของ SLC คือ ซอฟต์แวร์ประเภทนี้เริ่มมีในประเทศไทยตั้งแต่ 20 ปีก่อนจึงไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ แล้ว โอกาสเติบโตจึงน้อยครับ ถ้าจะให้โตเร็วต้องหันไปทำซอฟต์แวร์แบบใหม่ๆ ซึ่งก็จะต้องเสี่ยงใหม่ เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์เลย
การเข้าตลาดจึงมีเหตุผลครับ คือโตจนสุดแล้วค่อยขายหุ้นให้คนอื่นถือจะได้ขายได้ราคาดี ไม่ถือว่าเป็นความเลวนะครับ เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 18
บทสัมภาษณ์คุณนิทัศน์
บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) เป็นบริษัทจดทะเบียนอีกรายหนึ่งที่เตรียมเข้าระดม ทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ในช่วงปลาย ไตรมาส 3/2547 ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระ 40 ล้านบาท เพิ่มทุนเป็น 50 ล้านบาท โดยจะนำหุ้นเพิ่มทุน 10 ล้านบาท ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท จำนวน 10 ล้านหุ้น เสนอขายประชาชน ซึ่งยังไม่ได้กำหนดราคา ทั้งนี้ ใช้บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ นักธุรกิจรุ่นใหม่วัย 38 ปี กรรมการผู้จัดการ และในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทจับธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ เขียนโปรแกรมต่างๆ รองรับเกี่ยวกับงานทะเบียนต่างๆ งานสำนักงานอัตโนมัติ งานบริหารทรัพยากรองค์กรขายให้แก่กลุ่มลูกค้าเอกชนและรัฐ ซึ่งจะรับเขียนโปรแกรมให้สอดคล้อง กับความต้องการของลูกค้า เช่น
ทรูก็เป็นหนึ่งในลูก ค้ารายใหญ่ที่ใช้บริการ หรือโรงพยาบาลลาดพร้าวที่ให้เราทำโปรแกรมทะเบียนคนไข้
บริษัทตั้งขึ้นกว่า 7 ปีแล้ว อาศัยประสบการณ์ที่เคยทำร่วมกับเพื่อนแล้วล้มลุกคลุกคลานจนแยกย้ายกันไป แต่ตัวเองเห็นว่า เรายังมีความสามารถ ด้านเขียนโปรแกรมต่างๆ ขาย จึงมั่นใจว่าทรัพย์สินทางปัญญาที่มีติดตัวนี้ จะทำให้บริษัทฟื้นกลับขึ้นมาได้ ซึ่งวันนี้ทำสำเร็จแล้ว บริษัทมีผลดำเนินงานดีขึ้นภายใต้การร่วมมือร่วมใจของนักโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีมันสมองอมพิวเตอร์ติดตัวถึง 40 คนมาร่วมงานช่วยกันคิดพัฒนาโปรแกรมต่างๆ มาขายจนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ การทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ขาย ต้องคำนึง 4 ข้อ คือ 1.ทุน 2.คนต้องพร้อม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก เพราะต้องใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของโปร แกรมเมอร์แต่ละคนมาเขียนซอฟต์แวร์ให้ ยอมรับว่าตรงนี้เป็นต้นทุนใหญ่ แต่ถ้าพัฒนาซอฟต์แวร์มาขายได้ สมมติแต่ละซอฟต์แวร์ขายราคา 20,000 บาท ตัวซอฟต์แวร์นี้จะเหมือนเขียนหนังสือแล้วพิมพ์
ขายได้ทีละหลายๆ เล่ม จะได้เงินเป็นจำนวนมากเข้ามา 3. นวัตกรรม และ 4.รีเลชั่นกับลูกค้า
"เราต้องการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ เพื่อนำเงินมาใช้พัฒนาโครงการต่างๆ ที่อยากทำ และสามารถรองรับการเข้าประมูลงานภาครัฐได้หลายๆ โปรเจ็กต์ ซึ่งแต่ละโปรเจ็กต์ต้องใช้เงินวางมัดจำ ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียนจึงจำเป็น จริงๆ แล้ว ธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นการโตที่ทุนจดทะเบียน ความจริงทุน 50 ล้านบาท เราพูดได้ว่าค่อนข้างเพียงพอในช่วงนี้ที่เราขยายเฉพาะซอฟต์แวร์ เว้นแต่ว่าในอนาคต เราจะเปลี่ยนไปจับธุรกิจฮาร์ดแวร์มากขึ้น"
แผนอนาคตที่วางไว้ตอนนี้ บริษัทต้องการจะขยายธุรกิจด้านการเป็นผู้รวบรวมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งได้จับมือกับเมจิก ซอฟต์แวร์ ในการช่วยขายซอฟต์แวร์ในตลาดต่างประเทศ ส่วนโครงสร้างรายได้มาจาก 4 ด้าน โดยปีที่แล้วมีรายได้รวม 50 ล้านบาท หลักๆ มาจากขายซอฟต์แวร์ 27.41 ล้านบาท คิดเป็น 55% จากการขายฮาร์ดแวร์ 7.11 ล้านบาท คิดเป็น 14.23% ส่วนกำไรขั้นต้น 27.12 ล้านบาท กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมจำนวน 18.20 ล้านบาท กำไรสุทธิ 16.09 ล้านบาท ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 16.18% ลดลงจากปีก่อนระดับ 13.79%
วันนี้ ฐานะการเงินของบริษัท ณ สิ้นปี 2546 มีสินทรัพย์รวม 32.68 ล้านบาท หนี้สิน 7.87 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 24.80 ล้านบาท ส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์อยู่ที่ 47.34% ทุกวันนี้ โซลูชั่นเริ่มมีชื่อติดตลาดไม่น้อย แม้จะดูเป็นเอสเอ็มอี แต่ได้พยายามที่จะสร้างมูลค่ารวมของผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะตัวอีสซีส์ คลิก"เรามีความหวังที่ซอฟต์แวร์ตัวนี้จะขายได้ดีทั้งในและต่างประเทศ เพราะฝรั่งยังไม่ได้ทำตัวนี้ออกมาและถ้าดูมูลค่าตลาดของเครื่องมือทั่วโลกในกลุ่มแรงงานสูงถึงพันๆ ล้านบาทต่างหันมาใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้กัน เรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศทีเดียว แล้วต่างประเทศจะรู้จักชื่อโชลูชั่นกัน เป้าหมายต่อไปในอนาคตของผมคือเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ได้ ซึ่งผมต้องทำกำไรให้เติบโตขึ้นมาอีกระดับ"
บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) เป็นบริษัทจดทะเบียนอีกรายหนึ่งที่เตรียมเข้าระดม ทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ในช่วงปลาย ไตรมาส 3/2547 ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระ 40 ล้านบาท เพิ่มทุนเป็น 50 ล้านบาท โดยจะนำหุ้นเพิ่มทุน 10 ล้านบาท ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท จำนวน 10 ล้านหุ้น เสนอขายประชาชน ซึ่งยังไม่ได้กำหนดราคา ทั้งนี้ ใช้บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ นักธุรกิจรุ่นใหม่วัย 38 ปี กรรมการผู้จัดการ และในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทจับธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ เขียนโปรแกรมต่างๆ รองรับเกี่ยวกับงานทะเบียนต่างๆ งานสำนักงานอัตโนมัติ งานบริหารทรัพยากรองค์กรขายให้แก่กลุ่มลูกค้าเอกชนและรัฐ ซึ่งจะรับเขียนโปรแกรมให้สอดคล้อง กับความต้องการของลูกค้า เช่น
ทรูก็เป็นหนึ่งในลูก ค้ารายใหญ่ที่ใช้บริการ หรือโรงพยาบาลลาดพร้าวที่ให้เราทำโปรแกรมทะเบียนคนไข้
บริษัทตั้งขึ้นกว่า 7 ปีแล้ว อาศัยประสบการณ์ที่เคยทำร่วมกับเพื่อนแล้วล้มลุกคลุกคลานจนแยกย้ายกันไป แต่ตัวเองเห็นว่า เรายังมีความสามารถ ด้านเขียนโปรแกรมต่างๆ ขาย จึงมั่นใจว่าทรัพย์สินทางปัญญาที่มีติดตัวนี้ จะทำให้บริษัทฟื้นกลับขึ้นมาได้ ซึ่งวันนี้ทำสำเร็จแล้ว บริษัทมีผลดำเนินงานดีขึ้นภายใต้การร่วมมือร่วมใจของนักโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีมันสมองอมพิวเตอร์ติดตัวถึง 40 คนมาร่วมงานช่วยกันคิดพัฒนาโปรแกรมต่างๆ มาขายจนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ การทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ขาย ต้องคำนึง 4 ข้อ คือ 1.ทุน 2.คนต้องพร้อม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก เพราะต้องใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของโปร แกรมเมอร์แต่ละคนมาเขียนซอฟต์แวร์ให้ ยอมรับว่าตรงนี้เป็นต้นทุนใหญ่ แต่ถ้าพัฒนาซอฟต์แวร์มาขายได้ สมมติแต่ละซอฟต์แวร์ขายราคา 20,000 บาท ตัวซอฟต์แวร์นี้จะเหมือนเขียนหนังสือแล้วพิมพ์
ขายได้ทีละหลายๆ เล่ม จะได้เงินเป็นจำนวนมากเข้ามา 3. นวัตกรรม และ 4.รีเลชั่นกับลูกค้า
"เราต้องการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ เพื่อนำเงินมาใช้พัฒนาโครงการต่างๆ ที่อยากทำ และสามารถรองรับการเข้าประมูลงานภาครัฐได้หลายๆ โปรเจ็กต์ ซึ่งแต่ละโปรเจ็กต์ต้องใช้เงินวางมัดจำ ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียนจึงจำเป็น จริงๆ แล้ว ธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นการโตที่ทุนจดทะเบียน ความจริงทุน 50 ล้านบาท เราพูดได้ว่าค่อนข้างเพียงพอในช่วงนี้ที่เราขยายเฉพาะซอฟต์แวร์ เว้นแต่ว่าในอนาคต เราจะเปลี่ยนไปจับธุรกิจฮาร์ดแวร์มากขึ้น"
แผนอนาคตที่วางไว้ตอนนี้ บริษัทต้องการจะขยายธุรกิจด้านการเป็นผู้รวบรวมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งได้จับมือกับเมจิก ซอฟต์แวร์ ในการช่วยขายซอฟต์แวร์ในตลาดต่างประเทศ ส่วนโครงสร้างรายได้มาจาก 4 ด้าน โดยปีที่แล้วมีรายได้รวม 50 ล้านบาท หลักๆ มาจากขายซอฟต์แวร์ 27.41 ล้านบาท คิดเป็น 55% จากการขายฮาร์ดแวร์ 7.11 ล้านบาท คิดเป็น 14.23% ส่วนกำไรขั้นต้น 27.12 ล้านบาท กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมจำนวน 18.20 ล้านบาท กำไรสุทธิ 16.09 ล้านบาท ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 16.18% ลดลงจากปีก่อนระดับ 13.79%
วันนี้ ฐานะการเงินของบริษัท ณ สิ้นปี 2546 มีสินทรัพย์รวม 32.68 ล้านบาท หนี้สิน 7.87 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 24.80 ล้านบาท ส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์อยู่ที่ 47.34% ทุกวันนี้ โซลูชั่นเริ่มมีชื่อติดตลาดไม่น้อย แม้จะดูเป็นเอสเอ็มอี แต่ได้พยายามที่จะสร้างมูลค่ารวมของผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะตัวอีสซีส์ คลิก"เรามีความหวังที่ซอฟต์แวร์ตัวนี้จะขายได้ดีทั้งในและต่างประเทศ เพราะฝรั่งยังไม่ได้ทำตัวนี้ออกมาและถ้าดูมูลค่าตลาดของเครื่องมือทั่วโลกในกลุ่มแรงงานสูงถึงพันๆ ล้านบาทต่างหันมาใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้กัน เรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศทีเดียว แล้วต่างประเทศจะรู้จักชื่อโชลูชั่นกัน เป้าหมายต่อไปในอนาคตของผมคือเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ได้ ซึ่งผมต้องทำกำไรให้เติบโตขึ้นมาอีกระดับ"
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 19
SETTRADE.COM - Where Investors Start
SLCปลื้มลูกค้าเยอรมันพอใจ'อีซี่ควิก'
Q2เปิดซื้อขาย-ประมูลงานสธ.1พันล.
โดย กระแสหุ้น
"โซลูชั่น คอนเนอร์" ปลื้มแผนโรดโชว์ โปรแกรม EasyQuick
ที่เยอรมนี ลูกค้าแห่ตอบรับอื้อ คาดไตรมาส 2 เริ่มเปิดซื้อขาย
พร้อมเปิดตลาดเพิ่มทั้งในอังกฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย
ล่าสุดเตรียมยื่นประมูลโครงการสารสนเทศ
ร.พ.ของสาธารณสุขมูลค่า1พันล้านบาท โบรกฯคาดทั้งปีกำไร
เพิ่มเกือบ 50%
นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซลูชั่น
คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC เปิดเผยว่า
สำหรับผลิตภัณฑ์อีซี่ควิกโครงการ 1 Million Down Load
ที่ทางบริษัทได้นำโครงการดังกล่าวไปโรดโชว์ที่ประเทศ
เยอรมนีนั้น
ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีหลังจากที่ดาวน์โหลด
โปรแกรม EasyQuickไปใช้งานได้จริง
โดยมีลูกค้าที่แสดงความความสนใจกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
มากกว่า 100 ราย ทั้งนี้คาดว่าในไตรมาส 2/2548 นี้
ทางบริษัทน่าจะสามารถทำการเจรจาและสามารถเปิดการขาย
ได้ อย่างไรก็ตาม หากจำนวนผู้ที่สนใจจำนวน 100 ราย
มีการแสดงเจตจำนงที่จะใช้ผลิตภัณฑ์และซื้อซอฟต์แวร์ แอ
พพลิเคชั่น หรือ ฟังก์ชั่นอื่นๆ เพื่อเติม
ดังนั้นทางบริษัทก็อาจจะมีการปรับเพิ่มยอดขายในปีนี้เพิ่มขึ้นได้
ขณะเดียวกัน บริษัทมีก็มีแผนที่จะรุกนำผลิตภัณฑ์ตัวอีซี่ควิกส่ง
ออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศด้วยซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง
การเจรจาและทำแผนการตลาด
ซึ่งถ้าหากการเจรจาประสบความสำเร็จ
คาดว่าบริษัทจะสามารถนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวส่งออกไปยัง
ตลาดต่างประเทศได้ อาทิ สหภาพโซเวียต เยอรมัน อังกฤษ
ฮอลแลนด์ และรัสเซีย
"การที่เราไปโรดโชว์ที่เยอรมันนั้น
เราได้รับกระแสการตอบรับที่ดีโดยมีผู้ที่ให้ความสนใจกับทางเรา
มากกว่า100 ราย โดยเราคคาดว่าเราน่าจะเจรจาและปิดการขาย
กับลูกค้าต่างประเทศที่แสดง
ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์อี่ซี่ควิกของเรา ซึ่งเราคาดว่าภาย
ใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้เราน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
และเราก็อาจจะทำการปรับเพิ่มยอดขายของเราในปีนี้ได้"
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ในส่วนดังกล่าวภายใน
ประเทศประมาณ 10 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทจะนำซอฟต์แวร์
ตัวอี่ซี่ควิกเข้าไปโรดโชว์ตามสถาบันการศึกษา
มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งในสถานที่ราชการต่างๆ
ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้นำซอฟต์แวร์ดังกล่าวเข้าไปโรดโชว์และ
ให้สามารถดาวน์ใช้งานได้จริงแล้ว
อาทิเช่น วิทยาลัยสันติราษฎร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้บริษัทคาดว่าก็น่าจะได้รับกระแส
การตอบรับที่ดี
เนื่องจากเป็นซอฟต์แวร์ที่ไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ขณะที่ความสามารถในการใช้งานนั้นเทียบเท่ากับซอฟต์แวร์
ของต่างประเทศ
นายนิทัศน์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทมีความพร้อมจะเข้ายื่น
ประกวดราคาใน โครงการติดตั้งระบบสารสนเทศในโรงพยาบาล
กว่า 819 แห่งของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีมูลค่าโครงการ
รวม กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากในกรณีที่มีการเปิดประมูลขึ้น
ใหม่ ส่วนของโครงกาทางภาครัฐนั้น
บริษัทก็จะทำการยื่นซองประมูลของโครงการทางภาครัฐ
โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท อาทิ
โครงการของการเคหะแห่งชาติ การประปานครหลวง สถานธนา
นุเคราะห์(โรงรับจำนำ) การรถไฟแห่งประเทศไทย และภาค
เอกชน โดยปัจจุบันบริษัทโครงการที่มีอยู่ในมือ (Backlog)
ประมาณ 28 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้
ทั้งหมดภายในปีนี้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า แม้ว่า SLC จะมีผลการดำเนินงานในปี 2548
เติบโตอีกกว่า 56%
แต่ธุรกิจการจำหน่ายซอฟแวร์ยังคงมีความเสี่ยงจากการลอก
เลียนแบบผลิตภัณฑ์ได้ง่าย
อีกทั้งการประมูลโครงการพัฒนาซอฟทต์แวร์ให้กับหน่วยงาน
ต่างๆ ต้องเผชิญกับคู่แข่งขันจำนวนมาก
จึงอาจทำให้ราคาหุ้นเกิดการผันผวน
อย่างไรก็ดีเราชดเชยความเสี่ยงดังกล่าวที่ผ่านการกำหนดมูลค่า
พื้นฐานด้วยวิธี
PER ที่ค่อนข้างต่ำที่ระดับ 9 เท่า (ค่าเฉลี่ยในบริษัท MAI)
ซึ่งให้มูลค่าพื้นฐานในปี 2548 ที่ 5.95 บาท/หุ้น
และที่สำคัญบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.40 บาท/
หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนสูงถึง 8.16% จากราคาปัจจุบัน
ทั้งนี้ คาดว่ารายได้ในปี 2548 จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 48.8%
เป็น 92.0 ล้านบาท เนื่องจากการขยายการจำหน่ายซอฟต์แวร์
Easy Quick ในต่างประเทศมากขึ้น
ประกอบกับการรับรู้รายได้จากโครงการติดตั้งและพัฒนา
ซอฟต์แวร์ให้กับภาครัฐและเอกชน
ซึ่งส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2548 เติบโตขึ้นอีก 56.4% เป็น 33.1
ล้านบาท (0.66 บาท/หุ้น)
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ผมสนใจ SLC ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆทำงานด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
โพสต์ที่ 20
SETTRADE.COM - Where Investors Start
SLCเตรียมโรดโชว์ยุโรปปั๊มรายได้พุ่ง
มั่นใจทั้งปีโตเพิ่ม50%-ลั่น5ปีออกMAI
โดย กระแสหุ้นโซลูชั่น คอนเนอร์"
มั่นใจทั้งปีรายได้เติบโตเพิ่ม 50% จากสินค้าที่หลาก
หลาย ล่าสุดเปิดตัวเรือธง
ซอฟต์แวร์ "อีซี่ควิก" ลุยโรดโชว์ยุโรป ฮอลแลนด์
ฝรั่งเศส เยอรมนี
หวังช่วยสร้างยอดขายเติบโตก้าวกระโดด
รับเล็งจ่ายปันผล 50%ของกำไร-มั่นใจ 5ปีออกจาก
MAI
นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท
โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ
SLC เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการ
เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 50%
เนื่องจากในปีนี้บริษัทมีสินค้าที่หลากหลายและพร้อม
ที่จะขาย ซึ่งจะทำให้ในปีนี้มียอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่
อย่างไรก็ตามบริษัทก็จะพยายาม
รักษาสัดส่วนของซอฟต์แวร์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ส่วนยอดขายในปีนี้คาดว่ายอดขายจะเติบโตในสัด
ส่วนที่ใกล้เคียง
กับอุตสาหกรรมโดยรวมหรือคาดว่าจะมียอดขาย
มากกว่า 27% ซึ่งคิดว่าน่าจะสามารถทำยอดขายได้
ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
ขณะเดียวกันบริษัทนโยบายที่จะอาจจะจ่ายเงินปันผล
ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า
50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี แต่ทั้งนี้ก็จะต้องนำ
เรื่องดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท
และเข้าสู่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น
เพื่อให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติก่อน ส่วนในปีนี้บริษัทก็มีแผนที่
จะพัฒนาซอฟต์แวร์ของ
อีซี่ควิก ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รู้จักกันทั่วโลก
โดยสามารถดาวน์โหลดและนำไปใช้ได้จริงจำนวน
40 บริษัท และไม่เสียค่าใช้จ่าย
ขณะเดียวกันถ้าหากผู้ที่ใช้โปรแกรมนี้แล้วอยากจะหา
แอพพิเคชั่น
หรือฟังก์ชั่นก็สามารถซื้อซอฟต์แวร์ของบริษัทได้
ขณะเดียวกัน บริษัทจะทำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ร่วม
กับบริษัท Global Web Thailand
โดยบริษัทจะร่วมเดินทางไปกับกรมส่งเสริมการส่ง
ออก และหลังจากนั้นบริษัทก็จะไปโรดโชว์เพิ่มที่
ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน
สำหรับตัวซอฟ์แวร์ อีซี่ส์ควิกนี้
บริษัทคาดว่าจะเป็นตัวที่สามารถทำรายได้ให้กับ
บริษัท ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จก็ส่งผล
ให้รายได้ของบริษัท เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้
"ผมค่อนข้างที่คาดหวังกับตัวโปรแกรมที่จะให้ดาวน์
ใหลดและ สามารถที่จะนำไปใช้ได้จริงนี้มาก
เพราะถ้าหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จจริง
และมีคนดาวน์โหลดโปรกรมดังกล่าวใช้ประมาณ 1
ล้านคนก็เท่ากับว่าเราสามารถที่จะขายตัวซอฟต์แวร์
แอพพิเคชั่น หรือฟังก์ชั่นอื่น ๆ กับเรา
ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเราจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างก้าวกระ
โดดในปีนี้"
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่ร่วมลงทุนกับบริษัทที่มี
ความเชี่ยวชาญทางด้านเน็ตเวิร์ก
เซิฟเวอร์ ดาต้าเบส ไอที และซิเคียวริตี้ โดย
ทางบริษัทจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าเสนอ
ต่อที่ประชุมในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อรองรับการเติบโต
และเสริมสร้างศักยภาพการ
ทำงานของบริษัทในอนาคต
และบริษัทมีแผนที่ปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการ
เติบโตของบริษัท
ซึ่งคาดว่าจะปรับองค์กรออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มระบบสารสนเทศ MIS กลุ่ม E-OFFICE
และกลุ่มพัฒนาโปรแกรมอีซี่ส์ควิก
นายนิทัศน์ กล่าวต่อว่า
บริษัทมีสินค้าที่มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการ
ของ ทางภาครัฐที่ระดับงานประมาณ
2-8 ล้านบาท ประมาณ 30-40 โครงการ
โดยมีมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท โครงการขนาด
ใหญ่อีก2-3 โครงการ โดยมีมูลค่าประมาณ 200 ล้าน
บาท และโครงการที่เป็นโครงการขนาดยักษ์
ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะเข้าร่วมประมูล
โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 900 ล้านบาท ขณะ
เดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้าที่อาจจะขยับจากการจด
ทะเบียนในตลาด MAI มาเป็นตลาดหลักทรัพย์ คาด
ว่าบริษัทจะอาจจะใช้เวลาไม่เกิน 5 ปี
"เราคาดหวังว่าเราน่าจะขยับจากการที่เราอยู่ในตลาด
MAI มาจดในตลาดใหญ่ได้ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่
น่าจะเกิน 5 ปี
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะเปลี่ยนจากตลาด MAI
มาเป็นตลาดใหญ่นั้นก็คงจะใช้ระยะเวลาพอสมควร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีอะไรแน่นอน
บางทีเราก็อาจจะขยับเข้ามาอยู่ในตลาดใหญ่ได้เร็ว
กว่า 5 ปีก็เป็นได้"
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว