โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 กุมภาพันธ์ 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การวิเคราะห์หุ้นนั้น เราต้องวิเคราะห์ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณก่อน นั่นก็คือ เขาจะดูตัวเลขผลประกอบการและฐานะการเงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไร ถ้าดูไม่ดีโดยเฉพาะในปีล่าสุด เขาก็อาจจะเลิกสนใจไปเลย ถ้าดูดีหรือดีมาก เขาก็จะศึกษาต่อทางด้านคุณภาพ นั่นก็คือ ดูว่าบริษัทขายอะไร สินค้าโดดเด่นไหม แนวโน้มของราคาของสินค้าหรือบริการเป็นอย่างไร บริษัทอยู่ในตำแหน่งไหนของอุตสาหกรรม เป็นต้น แต่สำหรับผมเองนั้น ผมมักจะเริ่มต้นวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพก่อน เริ่มจากการมองด้านการตลาดและต่อเนื่องไปทางด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความได้เปรียบในเชิงแข่งขันของกิจการเทียบกับคู่แข่ง เมื่อสนใจแล้ว ผมจึงเริ่มวิเคราะห์ทางด้านปริมาณ และตัวเลขทางการเงินที่ผมจะดูก่อนเลยก็คือตัวเลขสรุปข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ 4-5 ปี ย้อนหลัง ที่มีอยู่ในเวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์ set.or.th ของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัท และต่อไปนี้คือการแนวการวิเคราะห์ของผม
ตัวเลขตัวแรกที่ผมสนใจมากก็คือ กำไรสุทธิ สิ่งที่ผมมองก็คือ ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมากำไรของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ากำไรของบริษัทนั้น “ลุ่ม ๆ ดอน ๆ” นั่นคือ บางปีก็กำไร บางปีก็ขาดทุน แบบนี้ก็อาจจะบอกได้ว่า กำไรของบริษัทนั้น “คาดการณ์ได้ยาก” ดังนั้น อนาคตกำไรของบริษัทก็คงไม่แน่นอน อาจจะกำไรหรือขาดทุนก็ได้ ลักษณะแบบนี้ผมก็จะรู้ว่าการหามูลค่าที่แท้จริงทำได้ยากมาก ดังนั้น บ่อยครั้งผมก็มักจะปล่อย “ผ่าน” ไป ถ้ากำไรของบริษัทมีความผันผวนพอสมควรทีเดียวแต่ก็ยังกำไรอยู่ทุกปี แบบนี้ผมก็จะดูว่าปีที่แย่ที่สุดเป็นอย่างไร ถ้าพบว่าปีที่แย่ก็ยังได้กำไรคิดแล้วเท่ากับ 10%ของ Market Cap. หรือของมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน แบบนี้ ผมก็คิดว่าหุ้นของบริษัทก็อาจจะยังน่าสนใจ เพราะถ้าในอนาคตกำไรไม่ต่ำกว่านั้น การลงทุนซื้อหุ้นของผมในวันนี้ก็ยังทำผลตอบแทนได้ 10% ต่อปี ซึ่งถือว่าไม่เลวนัก
ถ้ากำไร 4-5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็นนั้น มีความ “สม่ำเสมอ” คือขึ้นลงในระดับ 10-20 % แบบนี้ ผมก็จะสรุปว่ากำไรของบริษัทในอนาคตนั้นน่าจะพอ “คาดการณ์ได้” ผมก็จะศึกษาต่อไปว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้นน่าจะเป็นเท่าไรโดยอาจจะเทียบกับกำไรล่าสุดที่ผมเห็น ถ้ากำไรที่สม่ำเสมอนั้น เป็นกำไรที่ไม่ค่อยจะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปีแรกสุดจนถึงปีสุดท้ายที่แสดงในตาราง ผมก็มักจะสรุปว่าเป็นหุ้นของกิจการที่อาจจะ “โตช้าหรือไม่โต” แบบนี้มูลค่าพื้นฐานที่ผมจะให้ก็จะต่ำ เช่น อาจจะให้มูลค่าพื้นฐานไม่เกิน 10 เท่าของกำไรของปีล่าสุดที่ผมเห็น แต่ถ้ากำไร 5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็นนั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจเช่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 15-20% แบบนี้ผมก็อาจจะบอกตัวเองว่ามันอาจจะเป็นบริษัทที่กำลังโตเร็ว ถ้าเป็นแบบนี้ ผมก็จะให้มูลค่ากับหุ้นสูงกว่าหุ้นที่ไม่โตมาก อาจจะให้มูลค่าเท่ากับ 15-20 เท่าของกำไรของปีล่าสุดก็ได้
ตัวเลขตัวสำคัญต่อมาที่ผมจะดูก็คือ ค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ถ้าตัวเลขนี้ในทั้ง 4-5 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 10% ต่อปี ผมก็จะบอกตัวเองว่าบริษัทนี้กำไรไม่ดี เป็นบริษัทที่มีคุณค่าค่อนข้างน้อยในเชิงธุรกิจ บริษัทไม่ควรลงทุนขยายงานเพิ่มเพราะทำไปก็ไม่คุ้ม ถ้ามีเงินสดเหลือควรจะจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากกว่า แต่ถ้าค่า ROE ของบริษัทสูงเกิน 15% ทุกปี หรืออาจจะสูงเกิน 20% ทุกปี แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากเพราะทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นสูงกว่าการลงทุนอื่นของผู้ถือหุ้นเอง และสูงกว่าต้นทุนการเงินของบริษัท อย่างไรก็ตาม ผมก็จะต้องดูเพิ่มว่า ROE ที่สูงนี้ ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทมีหนี้เงินกู้จากธนาคารสูงเกินไปด้วย
ตัวเลขสำคัญตัวที่สามก็คืออัตรากำไรสุทธิคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ตัวเลขนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะแตกต่างกัน เช่น ถ้าเป็นผู้ค้าปลีก ตัวเลขอาจจะอยู่ที่เพียง 3-5% แต่ธุรกิจเช่น โรงแรม อาจจะสูงถึง 20% เหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ค้าปลีกมักมียอดขายสูงดังนั้น กำไรเพียง 3% ก็ได้กำไรมากแล้ว ในขณะที่โรงแรมนั้น ยอดขายมักจะต่ำเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้สร้างโรงแรม ดังนั้น Profit Margin ก็จะต้องสูงจึงจะคุ้ม ประเด็นสำคัญของตัวเลขนี้ก็คือ ถ้าอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว บริษัทที่มี Margin สูงกว่าก็มักจะแสดงว่าเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติหรือคุณภาพที่สูงกว่า พูดง่าย ๆ มี Value สูงกว่า นอกจากตัวเลขรายปีแล้ว แนวโน้มของตัวเลขนี้ก็มีความสำคัญมาก ถ้า Profit Margin ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี เช่น ปีแรกเป็น 4% ต่อมาเป็น 4.2% และถึงปีสุดท้ายหรือปีล่าสุดกลายเป็น 5% แบบนี้ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า คุณภาพของบริษัทนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้ Value หรือมูลค่าของบริษัทสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวเลขที่สี่ที่ผมสนใจก็คือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ Market Cap. นี่คือตัวเลขที่บอกว่าอดีต 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดให้มูลค่าบริษัทเท่าไร และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าเท่าไร ประเด็นที่ต้องระวังก็คือ บริษัทมีวอแร้นต์หรือสิทธิที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นอยู่หรือไม่และมีมากเท่าไร เพราะถ้ามีมากและจะออกขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ตัวเลข Market Cap. ที่เห็นล่าสุดก็อาจจะไม่จริง เราอาจจะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าสิ่งที่เห็น ข้อมูลมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นนี้เป็นตัวที่บอกว่าเราจะต้องจ่ายเท่าไรถ้าเราจะเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด ลองเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเลขหลาย ๆ ตัวเราก็จะพอมีไอเดียว่ามันถูกหรือแพง
ตัวเลขที่ห้าที่สำคัญมากก็คือ ค่า PE ซึ่งบอกถึงความถูกหรือแพงของหุ้นในกรณีที่บริษัท “มีกำไรที่สม่ำเสมอ” ค่า PE ที่ปานกลางก็คือค่า PE ที่เท่า ๆ กับค่า PE ของตลาดโดยรวมซึ่งในช่วงนี้มีค่าประมาณ 12 -13 เท่า ถ้าหุ้นที่เราดูอยู่มีค่า PE ต่ำกว่านี้ก็ถือว่าถูกและถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าแพง แต่หุ้นจะน่าซื้อหรือไม่นั้นต้องดูราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพด้วย ถ้ากิจการดี ค่า PE จะสูงบ้างก็อาจจะคุ้ม ตรงกันข้าม ถ้าบริษัทไม่ดีเลย ค่า PE แม้ว่าจะต่ำก็อาจจะไม่คุ้มค่า
ตัวเลขที่หกก็คือค่า PB ซึ่งบอกถึงราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าของทรัพย์สินสุทธิของบริษัท ค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงนี้ก็ประมาณเท่ากับ 2 เท่าเศษ ๆ ดังนั้น หุ้นที่มีค่า PB สูงกว่า 2 เท่าก็ถือว่าแพงกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม ค่า PB นั้นก็มักจะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่สินทรัพย์มีราคาตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชีอย่างเช่นในกรณีของสถาบันการเงิน ส่วนบริษัทอีกจำนวนมากนั้น ค่า PB ก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก
และสุดท้ายก็คือ อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน นี่คือตัวเลขที่บอกว่ามันเป็น “หุ้นปันผล”หรือเปล่า ถ้าตัวเลขนี้อยู่ในขั้น 5-6% เกือบทุกปี นี่ก็อาจจะบอกได้ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะเป็นแนวหุ้นปันผลดี ความเสี่ยงก็น่าจะต่ำหน่อยและก็อาจจะเหมาะสำหรับบางคนหรือเหมาะสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหุ้นที่ไม่เสี่ยงมาก