กับดัก ROE

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

กับดัก ROE

โพสต์ที่ 1

โพสต์

อันนี้ทบทวนความรู้ที่มีอยู่ในสมองอันน้อยนิดของกระผมว่า กับดักของ ROE ที่ใช้กันอยู่นั้นมีอะไรบ้าง

สิ่งแรกกับดักของ ROE คือ บริษัทที่กู้มาเพื่อใช้เป็นตัวดำเนินการ ROE สูงกว่า บริษัทที่ไ่ม่กู้เลย
จุดนี้ต้องระวังว่า กิจการที่กู้นั้น โดยปกติบริษัทกู้ในอัตราเท่าไร อุตสาหกรรมกู้ที่อัตราส่วนเท่าไร (D/Eนั้นเอง)
สิ่งสำคัญคือ ยิ่งกู้มากก็ทำให้เจ้าหนี้มีความกังวลเรื่องการใช้คืนเงินต้น และดอกเบี้ยที่ได้รับหรือไม่

กับดักที่สอง ROE คือ ผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น หากบริษัทนั้นๆ เพิ่งออกมาจากหมวดฟื้นฟูกิจการ
โดยส่วนของผู้ถือหุ้นนั้นจากติดลบเพิ่งเป็นบวก อาจจะทำให้เกิดอาการหลงได้ว่าเป็นกิจการที่ ROE มีคุณภาพ
แต่อย่างไงก็ตาม ต้องตั้งเครื่องหมายคำถามก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจว่า กิจการไม่ดี เพราะ ต้องตรวจสอบในระยะเวลาหนึ่ง ว่า จริงๆแล้ว ROE ของกิจการนี้ควรเป็นเท่าไร มองดูบริษัทอื่นๆที่ทำูธุรกิจคล้ายๆกันว่า ROE เท่าไร ละ

กับดักที่สามคือ ROE ในส่วนของ Return นั้นต้องดูดีๆ ว่า Return ที่นำมาคิดนั้น เป็นผลตอบแทนที่ได้จากตัวกำไรปกติหรือไม่ และตัว E มีการเพิ่มทุนระหว่างปีหรือไม่ หากมีต้องปรับให้ดูเรียบร้อยด้วยละ

เนี่ยคือส่วนน้อยๆที่สมองอันน้อยนิดของกระผมคิดออกในตอนนี้ เพื่อนมีอะไรเพิ่มเติมไหม
:)
:)
Montri M.
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ช่วยเสริมครับ บทความจากคุณ วิบูลย์ พึงประเสริฐ

‘ROE’ สำคัญกับการลงทุนอย่างไร? : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
Posted by admin in Investment on ม.ค. 14th, 2010 | one response
(2 votes, average: 5.00 out of 5)
Loading ...


การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีหลักการในการลงทุนหลายอย่าง บางท่านอาจจะให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้นเป็นหลัก โดยใช้หลักการทางเทคนิคเป็นจุดสำคัญ หรือ บางท่านอาจจะชอบลงทุนในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ซื้อขายวันต่อวัน

การลงทุนในลักษณะดังกล่าว อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องรู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของบริษัทที่จะลงทุนมากนัก สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้นมากกว่า

แต่ “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” ที่เน้นการถือหุ้นที่มีศักยภาพในระยะยาว สิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนักลงทุนก็คือ การที่นักลงทุนควรจะเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจที่จะลงทุนนั้นเป็นอย่างดี

คราวนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงหัวข้อของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญค่าหนึ่ง ก็คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity Ratio หรือ ROE)

ROE คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่าง ความสามารถในการทำกำไรกับเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ สูตรที่ใช้กันทั่วไปก็คือ

ROE = Net Profit/Equity หรือ กำไรสุทธิ หารด้วย ส่วนของผู้ถือหุ้น

สมมติ บริษัท ก. มีงบกำไรขาดทุนและงบดุล ณ ปลายปี คร่าวๆดังนี้

งบกำไรขาดทุนบริษัท ก. (หน่วย: ล้านบาท)

ยอดขาย 12,000

ต้นทุนรวมภาษี 10,800

กำไรสุทธิ 1,200

งบดุลบริษัท ก.(หน่วย: ล้านบาท)

ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 2,000

ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 0

ส่วนของผู้ถือหุ้น 8,000

รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000

ดังนั้น ROE ของบริษัท ก. คำนวณจาก กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งเท่ากับ 1,200/8,000 = 15%

ในทางปฏิบัติ ควรจะนำส่วนผู้ถือหุ้นของต้นปีและปลายปีมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อความถูกต้องมากขึ้น ROEที่คำนวณได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถนำเงินของผู้ถือหุ้นไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับ 15% จากการดำเนินงานของบริษัทตามปกติ

นักลงทุนสามารถนำ ROE ไปเปรียบเทียบระหว่างบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อตรวจสอบความสามารถของผู้บริหารในการบริหารเงินลงทุนของบริษัท

สมมติอีกบริษัทหนึ่ง คือ บริษัท ข. มี ROE เท่ากับ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท ก. ข้างต้นที่มี ROE 15% แล้ว นักลงทุนจะพบว่า บริษัท ก. มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าในจำนวนเงินลงทุนที่เท่ากัน

สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว บริษัทที่มี ROE สูงกว่าจะน่าสนใจมากกว่า เพราะบริษัทที่มี ROE สูง สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าบริษัทที่มี ROE ต่ำกว่า

แต่ในขณะเดียวกัน การรักษา ROEให้สูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี ถ้าบริษัทดำเนินกิจการอย่างมีกำไรและเก็บบางส่วนไว้เป็นกำไรสะสม จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การรักษา ROE ให้อยู่ในระดับเดิม บริษัทจำเป็นต้องทำกำไรให้มากขึ้นให้เพียงพอต่อการเติบโตของส่วนผู้ถือหุ้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นปีละ 10% บริษัทที่ต้องการรักษา ROE ให้เท่าเดิมในปีถัดไป จำเป็นจะต้องมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% ด้วยเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริง ธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้ ต้องเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างสูงมากทีเดียว

อีกกรณีหนึ่ง บางบริษัทอาจจะทำให้ ROE สูงขึ้นได้ โดยใช้ leverage จากการกู้ยืมทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้สินระยะยาว

ตัวอย่างเช่น บริษัท ก. และ ค. มีงบกำไรสุทธิเหมือนกัน แต่บริษัท ค. มีงบดุลดังต่อไปนี้

งบดุลบริษัท ค. (หน่วย: ล้านบาท)

ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 500

ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 4,700

ส่วนของผู้ถือหุ้น 4,800

รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000

ดังนั้น ROE ของบริษัท ค. เท่ากับ 1,200/4,800 = 25% ซึ่งมากกว่าบริษัท ก. มาก แต่บริษัท ก. ไม่มีหนี้สินเลย ขณะที่บริษัท ข. มีหนี้สินอยู่เกือบเท่าส่วนผู้ถือหุ้น

ในกรณีนี้ เราควรจะใช้อัตราส่วนทางการเงินอีกค่าหนึ่งในการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ คือ Return on Total Capital Ratio (ROTC) คำนวณได้จาก

ROTC = Net Profit/(Longterm Liability + Equity) หรือ กำไรสุทธิหารด้วยผลบวกของหนี้สินระยะยาวกับส่วนผู้ถือหุ้น

จากตัวอย่างข้างต้นจะพบว่าบริษัท ก. มี ROTC เท่ากับ 15% (1,200/8,000) ในขณะที่บริษัท ค. มี ROTC ลดลงเหลือเพียง 12% (1,200/(4,700+4,800))

ในกรณีเช่นนี้ บริษัทที่มี ROE สูงกว่า อาจจะมี ROTC ต่ำกว่าได้ การใช้ ROE เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์ความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทที่จะลงทุนอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้

ดังนั้น นักลงทุนนอกจากจะใช้ ROE เปรียบเทียบระหว่างบริษัทแล้ว อาจจะต้องใช้ ROTC ในการเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น เพราะ ROTC จะทำให้มองเห็นภาพความสามารถในการลงทุนของบริษัทได้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น

นอกเหนือจากนั้น บางบริษัทอาจจะมี ROE เพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะบริษัทที่เพิ่งออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ สาเหตุเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยผลการดำเนินงานเปลี่ยนจากการขาดทุนในอดีตมาเป็นทำกำไรได้ในปีปัจจุบัน ทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นทันทีได้

ลักษณะเช่นนี้ นักลงทุนควรพิจารณานำกำไรขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ออกจากการคำนวณ เพราะจะทำให้ ROE ที่หาได้สูงเกินไป และไม่สะท้อนกับผลการดำเนินงานตามปกติของบริษัท

บางบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นวัฏจักร (Cyclical) เช่น วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี เหล็ก กระดาษ หรือ ผลิตภัณฑ์การเกษตร บางปีบริษัทจะมีผลกำไรตกต่ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วราคาและต้นทุนของกิจการเหล่านั้น จะถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้ามากกว่าที่จะถูกกำหนดโดยบริษัท

ถ้าปีใดราคาสินค้าลดลงก็จะทำให้บริษัทมี ROE ในปีนั้นต่ำไปด้วย แต่บางปีอาจจะเป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดี และมีกำไรสูงขึ้น ผลพลอยได้ก็คือทำให้ ROE ของบริษัทในปีนั้นสูงตามขึ้นไปด้วย

เราสามารถตรวจสอบได้ว่า บริษัทนั้นๆอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักรหรือไม่ง่ายๆด้วยการตรวจสอบ ROE ย้อนหลังหลายๆปี ถ้าพบว่า ROE มีลักษณะที่มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไปก็สันนิษฐานได้ว่า บริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักร

จากเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า การที่บริษัทมี ROE สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีในระยะยาวเสมอไป

ดังนั้น สำหรับนักลงทุน ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ควรตรวจสอบ ROE ของบริษัทที่สนใจลงทุนก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่

บริษัทที่มี ROE สม่ำเสมอจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีการบริหารงานที่ดี สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทก็เพิ่มพูนความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี

‘ROE’ สำคัญกับการลงทุนอย่างไร?
Value Way
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
- จงใช้ชีวิตในแต่ละวันของคุณ ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
- อย่าเสียเวลาเพื่อเติมเต็มชีวิตผู้อื่น อย่าติดกับดักของกฎเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับผลของความคิดของคนอื่น
- จงกล้าที่จะทำตามหัวใจและสัญชาติญาณของคุณ

สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs)
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
Verified User
โพสต์: 2565
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ช่วยเสริ่มครับ ผมเคยนั่งทำWorksheet ให้PEคงที่ ROEคงที่ พบว่าROEยิ่งสูงทำให้Returnในการลงทุนยิ่งสูงเป็นเงาตามตัว เพราะโดยมากกำไรบริษัทมันโตควบคู่กับROE แต่สำหรับบริษัทที่DivPayoutออกมาเยอะๆเช่น80-90%ของกำไร หุ้นกลุ่มนี้แม้นROEจะสูงมากแต่Returnที่เราจะได้จริงๆก็มากกว่า%Divเพียงนิดเดียวครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ROE เป็นอัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนมากครับ เพราะนักลงทุนที่ไปจ้าง CEO มาบริหารทุนของเขาให้งอกเงยก็คุยกันผ่าน ROE บอกว่าปีนี้อยากได้ ROE เท่านั้นเท่านี้ทำไม่ได้ก็ไล่ออกกลับบ้านไป CEO ถ้าอยากทำงานต่อก็ต้องไปวางแผนตามรูปและทำให้ได้ทั้งเรื่อง financial management, margin management และ asset management จนได้ตัวเลข ROE อย่างที่ลูกพี่(นักลงทุน)ต้องการแล้วก็มาไล่บี้เหล่ามนุษย์เงินเดือนผ่าน สารพัด KPI ,นโยบาย,โครงการต่างฯ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
sipoonya
Verified User
โพสต์: 469
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 5

โพสต์

picklife เขียน:ช่วยเสริ่มครับ ผมเคยนั่งทำWorksheet ให้PEคงที่ ROEคงที่ พบว่าROEยิ่งสูงทำให้Returnในการลงทุนยิ่งสูงเป็นเงาตามตัว เพราะโดยมากกำไรบริษัทมันโตควบคู่กับROE แต่สำหรับบริษัทที่DivPayoutออกมาเยอะๆเช่น80-90%ของกำไร หุ้นกลุ่มนี้แม้นROEจะสูงมากแต่Returnที่เราจะได้จริงๆก็มากกว่า%Divเพียงนิดเดียวครับ
จริงด้วยครับ เพราะงั้น บัฟเฟตต์เลยชอบหุ้น ROE สูง แล้วถ้ามีเงินเหลือ เลยชอบให้ซื้อหุ้นคืนมากกว่าปันผล
พอบวกกับเป็นบริษัทผูกขาดเลยยิ่งโตไปใหญ่เลย และจากที่คุณ picklife ว่ามานอกจาก Div Payout เยอะๆแล้ว
สำหรับผม ความแน่นอนของกำไร มาก่อน ROE สูงๆครับ (แน่นอนทั้งในแง่กำไรฐานปัจจุบันและการเติบโตด้วยครับ
แต่ส่วนใหญ่ ผมดูความแน่นอนในปัจจุบัน และในอนาคตว่าไม่ลดลง เติบโตเป็นของแถม :B )
และจากสูตร P/VB = P/E * ROE ถ้ามองแล้วผมว่าปัจจัยเรื่องกำไรสำคัญสุด ส่วนถ้ามองเป็นอัตราส่วนแล้ว
ผมว่า P/E > ROE > P/VB สุดท้ายที่ ผมมักพลาดคือ ไปดู ROE โดยไม่เข้าใจธุรกิจ (เหมือนๆไม่เข้าใจ P/E ที่เหมาะสม)

นั่นก็เลยเป็นเหตุให้ มือใหม่ ใจร้อน (แบบผม) มักพลาดและไม่ได้ผลตอบแทนที่ดี เพราะไปสนใจอัตราส่วนมากเกินไป
สำหรับผมก็ประมาณนี้แหละครับ รอฟังท่านอื่นๆอยู่เหมือนกัน
Sixth Sense Investor
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เป็นอีกกระทู้หนึ่งที่ดีมากๆสำหรับมือใหม่อย่างผม เพราะผมชอบดูตัวนี้เป็นอย่างแรกเวลาสนใจหุ้นตัวนั้นๆ :D
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 7

โพสต์

คล้ายกับที่ผมถามไว้ในห้อง symc อะคับ
คือ pay out เยอะๆ
ตัดค่าเสื่อมเยอะๆ
ไม่มีการลงทุนใหม่ๆ
เช่นธุรกิจให้เช่าสินทรัพย์ต่างๆ


equity ลดเรื่อยในแต่ละปี roe จะสูงขึ้นเรื่อยๆแบบลวงตา รวมทั้ง roa ด้วย
show me money.
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ส่วนเรื่อง บัฟเฟตกับ roe

roe คือ growth แท้จริงของส่วน equity แบบทบต้น
ซึ่งบัฟเฟต จะเน้น การหา absolute value มากกว่า relative value
ดังนั้น จึงสามารถ เอา roe เฉลี่ย มาแทน growth เฉลี่ย ของ equity ได้เลย

ดังนั้น เราจะได้ equity ปีฐาน เป็น pv
มี roe เปน อัตตรา เติบโตทบต้น r
เท่านี้ บัฟ ก็จะได้ equity ตามจำนวนปีที่คำนวณ เปน fv

หลังจากนั้น สมมติฐานคือ หุ้นควรจะซื้อขายกันที่ pbv 1-2
เอามาคูณกับ fv จะได้มูลค่าในอนาคต
จะพอมองเห็นภาพ เรื่อง roeบ้างนะคับ รวมถึงทำไม บัฟ ไม่ค่อยสน pe
จริงๆต้องไปอ่านเพิ่มนะคับ แค่เล่าภาพคร่าวๆ กับขยายภาพโพสต์คุณ picklife
show me money.
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 9

โพสต์

buff แกพวก simple is the best
จากที่เล่าก็ หมายถึง dcf แบบ simplified
ยังไม่รวมที่แกมีวิธีหา capex แบบ simpleๆ แบบของแกอีก
show me money.
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0

Re: กับดัก ROE

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ถ้าหุ้น ROE ต่ำแต่มีกลยุทธ์ขยายกิจการให้ ROE สูงขึ้นในอนาคตก็น่าสนนะครับ ทนหน่อย ได้ซื้อก่อนชาวบ้านด้วย
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
โพสต์โพสต์