สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
earthcu
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เนื่องด้วยได้มีโอกาสไปร่วมงาน VI meeting ภาคใต้เป็นครั้งแรก จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้ เผื่ออาจจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นบ้างครับ (รบกวนพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่น ช่วย comment ด้วยครับ ถ้าผมจดผิดหรือเข้าใจคาดเคลื่อน)
1.ในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีอะไรที่แน่นอนเพราะฉะนั้นควรกระจายความเสี่ยงบ้าง
2.VI จะซื้อหุ้นเมื่อเราสามารถที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้ การที่ไปไล่ซื้อหุ้นในราคาสูงๆ โดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นๆ ถือเป็นเรื่องที่อันตราย
3.การลงทุนนั้นสำคัญที่หลักการลงทุน ถ้าหลักการลงทุนผิดนั้นการลงทุนจะไม่ง่าย แต่ถ้าเรามีหลักการลงทุนถูกต้อง ต่อให้ port ติดลบเราก็ไม่ต้องกังวล
4.การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของกิจการมีหลายวิธี แต่เราอาจจะใช้ P/E เพื่อกำหนดมูลค่าของกิจการ โดยดูว่าธุรกิจแบบนี้นั้นควรจะมี P/E เท่าไร ซึ่งบริษัทแต่ละแห่งนั้นเราอาจให้ P/E ได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่นบริษัทที่มีความแน่นอนของกำไรสูง รวมถึงมีกระแสเงินสดที่ดี P/E ของบริษัทเองเราอาจจะให้ได้ 15 เท่าหรือมากกว่า แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มีความไม่แน่นอนของกำไรสูง เช่นบริษัทในกลุ่มอสังหา เราเองก็ไม่สามารถให้ P/E สูงเท่ากับธุรกิจที่กำไรแน่นอน จำเป็นต้องให้ P/E ต่ำกว่า ซี่งต่อให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน P/E ก็อาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับคุณภาพกิจการ, Economy of scale, DCA รวมไปถึงปัจจัยคุณภาพอื่นๆ
5.นักลงทุนควรมองทั้งโอกาสได้กำไร และโอกาสที่จะขาดทุน (Downside risk) บางครั้งการที่มองแต่โอกาสได้กำไรอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มองโอกาสที่จะขาดทุนอาจจะทำให้เราพลาดจนสามารถขาดทุนหนักได้
6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
7.ทำไมหุ้นค้าปลีกในบ้านเราถึงมี P/E สูงกว่าประเทศทางตะวันตก?
เพราะว่าค้าปลีกไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก มี Growth ได้เยอะกว่า เทียบกับประเทศทางตะวันตกซึ่งขยายสาขาจนค่อนข้างจะเต็มพื้นที่แล้ว จึงทำให้โอกาสโตนั้นน้อยกว่า
8.อย่าคาดเดาตลาด ไม่มีใครที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดแล้วไปขายที่ราคาสูงสุดได้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำมากกว่าคือศึกษาหาข้อมูลของกิจการที่เราสามารถเข้าใจได้ เพื่อนำมาประเมินมูลค่าของกิจการ มองหา Margin of safety ที่มากพอเพื่อจะลงทุนในบริษัทนั้น
9.ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น เราควรจะรู้ว่าที่มาของกำไรของบริษัทนั้นมาจากไหน
10.การที่เราซื้อหุ้นของบริษัทที่ความคาดหวังของตลาดน้อย โอกาสที่ผิดหวังจะน้อยกว่าการที่เราซื้อหุ้นของกิจการที่ความคาดหวังของตลาดสูง เพราะถ้ากำไรของบริษัทนั้นไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสที่เราจะเจ็บตัวก็มีสูง
11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณสำหรับความรู้ที่ได้รับจากพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนในงาน VI meeting ภาคใต้ทุกๆท่านนะครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่โจ, พี่ตี้, พี่ worapong, พี่ jack, พี่แมว, พี่สุบัน, คุณหมอฝน รวมถึงท่านอื่นๆด้วยครับ :bow:

และขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับพี่สุชัยด้วยครับที่ช่วยขับรถพาผมขึ้นไปไหว้พระบนสวนสาธารณะของหาดใหญ่และช่วยขับรถไปส่งที่สนามบินด้วยครับ
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
MaiFuen
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 384
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ
:D :D :D
0N0111
Verified User
โพสต์: 399
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 3

โพสต์

:bow: :bow:
" เสียงข้างใน" เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เราได้ยินมัน แต่มันไม่มีเสียง ,,,,,นิ้วกลม
ภาพประจำตัวสมาชิก
คนขายของ
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 788
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 4

โพสต์

7.ทำไมหุ้นค้าปลีกในบ้านเราถึงมี P/E สูงกว่าประเทศทางตะวันตก?
เพราะว่าค้าปลีกไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก มี Growth ได้เยอะกว่า เทียบกับประเทศทางตะวันตกซึ่งขยายสาขาจนค่อนข้างจะเต็มพื้นที่แล้ว จึงทำให้โอกาสโตนั้นน้อยกว่า
ผมขออนุญาติ แชร์ความเห็นเรื่องนี้เล็กน้อยครับว่า ผมเห็นด้วยที่ว่าค้าปลีกบ้านเรามีโอกาสโตได้อีกทั้งนี้เพราะว่า เศรษฐกิจ และ การบริโภคของเรายังคงมีโอกาสการขยายตัวได้อีกในอนาคต

แต่ทั้งนี้บริษัทค้าปลีกในโลกตะวันตก ถึงแม้ว่าตลาดในประเทศจะอิ่มตัว แต่โอกาสการขยายตัวออกต่างประเทศยังคงมีอีกมาก หลายท่านคงได้ข่าวเรื่องที่อินเดียอนุญาติให้บริษัทต่างชาติ

ทำธุรกิจค้าปลีกได้ ผมว่าบริษัทค้าปลีกสัญชาติไทยยังคงห่างไกลกับระดับ Global Companies อย่างมากหากต้องมาแข่งในสนามที่ต่างฝ่ายก็เป็นผู้มาเยือนเหมือนกัน

เหตุผลหนึ่งที่ Carrefour ขายธุรกิจในไทยเพราะว่าเขาต้องการลงทุนเพิ่มเพื่อเป็นที่หนึ่งในจีน ประเทศที่มีแนวโน้มว่าต่อไปจะเป็นตลาดค้าปลีกใหญ่อันดับหนึ่งของโลก Carrefour ใหญเป็นที่สอง

รองจาก Walmart และมีธุรกิจส่วนใหญ่มาจากยุโรป ตอนนี้ประเทศใน EU มีประชากรแค่ 550 ล้านคน แต่จีนมี 1300 ล้านคน เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงที่จะทำกำไร

ท่านเจ้าสัวธนินท์ เคยกล่าวว่าธุรกิจค้าปลีกที่จีน เป็นค้าปลีกที่กำไรดีที่สุด ผมเดาว่าเพราะเหตุของเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ค้ามีโอกาสปรับราคาปรับราคาได้มาก เพราะเป็น

เงินเฟ้อแบบ Demand Pull. ตอนนี้บริษัทค้าปลีกไทยเช่น HMPRO และ BIGC เริ่มหาโอกาสโตในต่างประเทศมากขึ้น การทำธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทค้าปลีกในแต่ละที่ ต้องลงทุน

ค่อนข้างมาก เพราะต้องสร้าง Store ใหม่ DC ใหม่ สร้างระบบ Logistic ใหม่ ไม่เหมือนโรงงานผู้ผลิต ที่สามารถส่งออกสินค้าตัวเองไปได้โดยใช้ฐานการผลิตเดิม

ขอฝากประเด็นนี้ไว้ให้ลองพิจารณากันครับ
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
ภาพประจำตัวสมาชิก
vipnum
Verified User
โพสต์: 75
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับ
"life is simple once you make a choice and you never look back"
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1111
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 6

โพสต์

earthcu เขียน:11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
เข้าใจว่า การใช้margin ในที่นี้ หมายถึง การคำนึงถึงmargin of safety ของราคาหุ้นเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสำคัญอย่างอื่น เช่น โมเดลธุรกิจ ผู้บริหาร เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทเสียหายหนักหรือตลาดลงหนักๆ จึงขาดทุนยับเยิน ใช่รึป่าวครับ???
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
earthcu
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 7

โพสต์

sakkaphan เขียน:
earthcu เขียน:11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
เข้าใจว่า การใช้margin ในที่นี้ หมายถึง การคำนึงถึงmargin of safety ของราคาหุ้นเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสำคัญอย่างอื่น เช่น โมเดลธุรกิจ ผู้บริหาร เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทเสียหายหนักหรือตลาดลงหนักๆ จึงขาดทุนยับเยิน ใช่รึป่าวครับ???
ขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติมละกันครับ การใช้ margin ในที่นี้หมายถึงการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้นโดยวางหลักทรัพย์ไว้กับ broker ซึ่งในกรณีที่ราคาหุ้นที่เราซื้อลดลงถึงจุด จุดหนึ่ง เราจะโดน force sale บังคับขาย ทำให้เราอาจจะไม่เหลืออะไรเลย เพราะขาดทุนทั้งส่วนที่เป็นเงินของเรา และส่วนที่เป็นเงินที่กู้มา จึงควรที่จะต้องมีความระมัดระวังให้มากครับ ถ้าจะกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้น เพราะบางครั้งเราเองอาจจะเจอแต่เหตุการณ์ที่พบคนประสบความสำเร็จจากการใช้ margin แต่ไม่ทราบว่าอีกด้านนึงก็มีคนที่ขาดทุนหมดตัวจากการใช้ margin เหมือนกันครับ
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
ilovemom
Verified User
โพสต์: 72
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณค่ะ
supparoj
Verified User
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณสำหรับสรุปความรู้ครับ เป็นข้อเตือนใจดีมากๆครับ
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1111
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 10

โพสต์

earthcu เขียน:
sakkaphan เขียน:
earthcu เขียน:11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
เข้าใจว่า การใช้margin ในที่นี้ หมายถึง การคำนึงถึงmargin of safety ของราคาหุ้นเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสำคัญอย่างอื่น เช่น โมเดลธุรกิจ ผู้บริหาร เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทเสียหายหนักหรือตลาดลงหนักๆ จึงขาดทุนยับเยิน ใช่รึป่าวครับ???
ขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติมละกันครับ การใช้ margin ในที่นี้หมายถึงการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้นโดยวางหลักทรัพย์ไว้กับ broker ซึ่งในกรณีที่ราคาหุ้นที่เราซื้อลดลงถึงจุด จุดหนึ่ง เราจะโดน force sale บังคับขาย ทำให้เราอาจจะไม่เหลืออะไรเลย เพราะขาดทุนทั้งส่วนที่เป็นเงินของเรา และส่วนที่เป็นเงินที่กู้มา จึงควรที่จะต้องมีความระมัดระวังให้มากครับ ถ้าจะกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้น เพราะบางครั้งเราเองอาจจะเจอแต่เหตุการณ์ที่พบคนประสบความสำเร็จจากการใช้ margin แต่ไม่ทราบว่าอีกด้านนึงก็มีคนที่ขาดทุนหมดตัวจากการใช้ margin เหมือนกันครับ
อ๋อ เข้าใจแล้วครับ พึ่งอ่านหนังสือ Forbes Best Business Mistakes สุดยอดความผิดพลาดในธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือ เดฟ แรมซี่ย์ บอกว่า ความผิดพลาดที่สุดในชีวิตเขาคือการเป็นหนี้ก้อนโต และทำให้เขาล้มละลาย หนทางสู่ความมั่งคั่งไม่ใช่การกู้ยืมเงินมาลงทุน แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ต่างหาก
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1111
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 11

โพสต์

6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย

เห็นด้วยครับ ก่อนหน้านี้ผมมีหุ้นตัวนึงกลุ่มท่องเที่ยว ราคาในตลาดเท่ากับแค่มูลค่าที่ดินที่มี เท่านั้นเอง ดูเหมือนจะราคาถูกมาก แต่พอดูราคาย้อนหลัง 5 ปี ราคาไม่ไปไหนเลยครับ

ขอบคุณสำหรับข้อคิดครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
b4solid
Verified User
โพสต์: 995
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณมากๆ เลยครับ
อยากไปสักครั้งจัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
sai
Verified User
โพสต์: 4090
ผู้ติดตาม: 2

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณมากครับ ที่เสียสละเวลามาแบ่งปันครับ :D
Small Details Make a Big Difference
ภาพประจำตัวสมาชิก
Duckcovery
Verified User
โพสต์: 635
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอบคุณฮะ ที่พี่จกขท. ช่วยแชร์ความรู้

:mrgreen: :mrgreen:
Kuray
Verified User
โพสต์: 77
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ขอบคุณมากคับบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
simplelife
Verified User
โพสต์: 756
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 16

โพสต์

คนขายของ เขียน:ท่านเจ้าสัวธนินท์ เคยกล่าวว่าธุรกิจค้าปลีกที่จีน เป็นค้าปลีกที่กำไรดีที่สุด ผมเดาว่าเพราะเหตุของเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ค้ามีโอกาสปรับราคาปรับราคาได้มาก เพราะเป็น เงินเฟ้อแบบ Demand Pull.
อันนี้เห็นด้วยมากๆ ว่าจีนจะเป็นแหล่งของการทำธุรกิจค้าปลีกที่ดีที่สุด เงินเฟ้อแบบจีนเป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้ลงทุนสร้างโรงงาน หรือแม้แต่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ๆคุ้มทุนได้เร็วมากๆ เพราะอัตราการกำไรมันโตอย่างน้อยๆมันโตตามเงินเฟ้อแน่ๆ คือนับต่อสาขา same store sale ถึงจำนวนชิ้นสินค้า ไม่ต้องเพิ่มแต่ยอดขายเพิ่มเท่ากับเงินเฟ้อ 8-9% มหัศจรรย์มากๆ

แต้ต้องไม่มีลูกโป่ง บอลลูน อะไรแตกนะ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
ภาพประจำตัวสมาชิก
Financeseed
Verified User
โพสต์: 1304
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขอบคุณครับ :D :D
มองวิกฤต หาโอกาส
http://link-seed.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
kabu
Verified User
โพสต์: 2149
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอบคุณน้อง earth ครับที่มาช่วยแชร์

ตกลงเดือนกุมภากำหนดมาญี่ปุ่นยังเหมือนเดิมมั้ยครับ
มาช่วงหนาวสุดๆพอดี สนใจเล่นสโนบอร์ดมั้ยครับ :mrgreen:
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
sipoonya
Verified User
โพสต์: 469
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 19

โพสต์

earthcu เขียน: 6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
อันนี้เจอกับตัวเองเลย การเฝ้ารอผู้มาปลดปล่อยนานเกินไป ทำให้เสียโอกาสในการลงทุน
หุ้นประเภทนี้ ถ้าไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับรู้คุณค่าแล้วรอนานมากเลยครับ :D
ขอบคุณนะครับที่นำมาแบ่งปัน
Sixth Sense Investor
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 20

โพสต์

earthcu เขียน:5.นักลงทุนควรมองทั้งโอกาสได้กำไร และโอกาสที่จะขาดทุน (Downside risk) บางครั้งการที่มองแต่โอกาสได้กำไรอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มองโอกาสที่จะขาดทุนอาจจะทำให้เราพลาดจนสามารถขาดทุนหนักได้
ส่วนตัวแล้วรู้สึก "โดนใจ" กับข้อนี้มากที่สุด

ขอบคุณคุณ earthcu ที่แบ่งปันข้อมูลนะขอรับ _/\_
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 21

โพสต์

sipoonya เขียน:
earthcu เขียน: 6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
อันนี้เจอกับตัวเองเลย การเฝ้ารอผู้มาปลดปล่อยนานเกินไป ทำให้เสียโอกาสในการลงทุน
หุ้นประเภทนี้ ถ้าไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับรู้คุณค่าแล้วรอนานมากเลยครับ :D
ขอบคุณนะครับที่นำมาแบ่งปัน
ผมมีหุ้นประกันอยู่ตัวหนึ่ง BV ต่ำกว่า 1 มาก ซื้อมาตั้งแต่ปี 05 มาถึงปัจจุบัน BV ก็ยังต่ำกว่า 1

ถ้าผู้บริหารไม่คิดจะปลดปล่อยมูลค่าหุ้นออกมาก ก็ไม่น่าเล่นครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
earthcu
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทุกท่านสำหรับความคิดเห็นและขอขอบคุณพี่คนขายของ,พี่ sakkaphan, พี่ simplelife, พี่ sipoonya,
พี่ SunShine@Night ด้วยครับสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

และผมขอสรุปเพิ่มเติมอีก 1 ข้อครับ (พอดีเพิ่งมานึกได้หลังจาก post ไปเมื่อคราวก่อน)

12.การที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น ข้อหนึ่งที่สำคัญคือการที่ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองและหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้ข้อผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต การที่เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดพลาดของคนอื่นนั้น มีแต่ทำให้ตัวเราเองนั้นไม่ได้เกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาความสามารถในการลงทุนให้ดีขึ้น
kabu เขียน:ขอบคุณน้อง earth ครับที่มาช่วยแชร์

ตกลงเดือนกุมภากำหนดมาญี่ปุ่นยังเหมือนเดิมมั้ยครับ
มาช่วงหนาวสุดๆพอดี สนใจเล่นสโนบอร์ดมั้ยครับ :mrgreen:
เบื้องต้นยังยืนยันกำหนดการเดิมครับ ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ครับ
คิดว่าคงทันไปเล่นสโนบอร์ดกับลูกของพี่ kabu พอดีครับ :wink:
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
charonp
Verified User
โพสต์: 408
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ไม่ทราบว่า asset play นี่หมายถึงหุ้นที่มีทรัพย์สินเยอะ ๆ แล้วราคาเมื่อเทียบกับทรัพย์สิน นี่ราคาถูกมากเหรอครับ พอจะยกตัวอย่าง หุ้นกลุ่มนี้ได้มั้ยครับ

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
untrataro25
Verified User
โพสต์: 952
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ :mrgreen:
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
earthcu
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 25

โพสต์

charonp เขียน:ไม่ทราบว่า asset play นี่หมายถึงหุ้นที่มีทรัพย์สินเยอะ ๆ แล้วราคาเมื่อเทียบกับทรัพย์สิน นี่ราคาถูกมากเหรอครับ พอจะยกตัวอย่าง หุ้นกลุ่มนี้ได้มั้ยครับ

ขอบคุณครับ
ออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ค่อยถนัดกับกลุ่มนี้สักเท่าไรครับ เห็นว่าถามมาก็จะขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติมละกันครับ เท่าที่ผมพอจะทราบก็มียกตัวอย่างเช่น QH เองถือหุ้น HMRPO อยู่ ประมาณ 1000 ล้านหุ้น , ถือ LHBANK อีกร้อยละ 26 (สัดส่วนการถือหุ้น), ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควอลิตี้ เฮ้าส์ อีกร้อยละ 26 ซึ่งถ้านับคร่าวๆแล้วมูลค่าหุ้นที่ถือก็น่าจะมากกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ประมาณ 12900 ล้านบาท) ยังไม่นับรวมกับที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า (ทั้งที่พักอาศัยและสำนักงาน) อีกหลายรายการ (รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถไปอ่านได้ใน 56-1 ของบริษัทในหัวข้อ Property ครับ)

เท่าที่ทราบบริษัทเองก็ถือครองทรัพย์สินพวกนี้มาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะปลด lock ทรัพย์สินพวกนี้เช่นการขายหุ้นที่ถืออยู่เพื่อนำมาตอบแทนคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นแต่ประการใดครับ

(ผิดถูกประการใด วานเพื่อนๆพี่ๆท่านอื่นช่วยแนะนำด้วยครับ)

นอกจากนี้ผมไปลองค้นบทความเก่าๆที่ น่าจะช่วยอธิบายเกี่ยวกับหุ้น Asset play ได้ดีมาฝากตามนี้ครับ (ขอขอบคุณพี่ สุมาอี้, พี่ Invisible Hand, พี่ yoyo ครับสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาฝากเพื่อนๆน้องๆเสมอครับ :bow: )


By P'สุมาอี้
0017: Asset Play

by DekisugiPosted on November 15, 2006


มีวิธีการลงทุนแบบหนึ่ง เรียกว่า Asset Play วิธีนี้คือการหาว่าบริษัทเป็นเจ้าของสินทรัพย์อะไรที่มีมูลค่าซ้อนเร้นอยู่หรือไม่ ถ้าราคาหุ้นในกระดานของบริษัทยังไม่ได้สะท้อนค่าของสินทรัพย์นั้น การเข้าไปซื้อหุ้นนั้นไว้ก็ถือว่าเป็นการซื้อของลดราคา

ตัวอย่างยอดนิยมของสินทรัพย์ที่มีมูลค่าแฝงก็คือ ที่ดิน เพราะที่ดินจะถูกลงบัญชีที่ราคาต้นทุนที่ซื้อมา และจะคงที่อยู่อย่างนั้นตลอดไปไม่ว่าจะอีกสักกี่สิบปี ถ้าคุณออกแรงสักนิดด้วยการตรวจดูที่ดินของบริษัทต่างๆ ในตลาดว่ามีอยู่กี่ไร่ นำมาคูณด้วยราคาประเมินของกรมที่ดินในปัจจุบัน คุณอาจพบที่ดินของบางบริษัทที่มีราคาประเมินสูงกว่ามูลค่าตลาดของทั้งบริษัทหักด้วยหนี้สิน หุ้นนั้นเสียอีก หุ้นเหล่านี้คือ Asset Play

ปัญหาสำคัญของการเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ก็คือ เราไม่รู้ว่าเมื่อไรราคาหุ้นในกระดานจะสะท้อนมูลค่าแฝงของสินทรัพย์นั้นเสียที ในบางกรณีผู้บริหารของบริษัทยังดำเนินงานแบบธุรกิจครอบครัวอยู่จึงไม่นำพาต่อหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้บริหารของบริษัทมหาชน ได้แก่ การ maximize shareholder’s value แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าการขายที่ดินนั้นเสียแล้วย้ายโรงงานไปอยู่ในที่ที่ที่ดินราคาต่ำลงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าของบริษัท แต่ก็ไม่ทำเพราะเป็นความรู้สึกผูกพันกับสมบัติประจำตระกูล อย่างนี้แล้วนักลงทุนรายย่อยที่ไปเข้าไปซื้อหุ้นเอาไว้ก็บอกได้คำเดียวต้องรอจนเหงื่อแห้งครับ

การลงทุนในตลาดหุ้นมีต้นทุนของเงินทุนอยู่ราวปีละ 10% เสมอ ถ้าคุณถือหุ้น Asset Play ไว้เฉยๆ หนึ่งปีแล้วราคาไม่ไปไหน ก็ต้องถือว่าขาดทุนไปแล้ว 10% ไม่ใช่เสมอตัว ยิ่งถ้าต้องรออีก 10 ปี ผู้บริหารคนเก่าจึงจะแก่ตาย ผู้บริหารคนใหม่จึงจะสั่งขายที่ดิน ก็ต้องถือว่า คุณขาดทุนหุ้นตัวนั้นหมดทั้ง 100% แล้ว ดังนั้นถ้าดูแล้วไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อไรราคาหุ้นในกระดานจะมีโอกาสสะท้อนมูลค่าที่แฝงอยู่ได้ การเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ก็นับว่าค่อนข้าง “ลมๆ แล้งๆ” ครับ

Asset Play จะได้ผลเฉพาะกับนักลงทุนรายใหญ่ที่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้ในสัดส่วนที่มากพอที่จะเข้ามาควบคุมบริษัทได้เท่านั้น ถ้าคุณซื้อหุ้นจนเกิน 51% ไล่กรรมการชุดเก่าออกให้หมด ขายที่ดิน นำเงินสดที่ได้ไปใช้หนี้บริษัท เลิกบริษัท แล้วนำเงินที่เหลือเก็บเข้ากระเป๋า แบบนี้คุ้มค่าแน่นอนครับ

คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่สวยหรูว่า “ผู้ถือหุ้น คุณคือเจ้าของ” แต่ในความเป็นจริง ถ้าคุณและพวกอีกอย่างน้อย 24 คนมีปัญญาซื้อหุ้นรวมกันได้แค่ไม่เกิน 10% ก็ต้องขอบอกว่า คุณและพวกปราศจากอำนาจในการควบคุมบริษัทมหาชนโดยสิ้นเชิง แค่ขอเรียกประชุมผู้ถือหุ้นยังไม่ได้เลย ดังนั้น การเล่นหุ้นแบบ Asset Play ให้ประสบความสำเร็จดูจะมีข้อจำกัดมากสำหรับคนที่เป็นนักลงทุนรายย่อย ความเห็นส่วนตัวของผมคือ เวลาที่คุณซื้อหุ้น คุณควรซื้อความสามารถในการทำกำไรมากกว่าที่จะซื้อเพราะสินทรัพย์ (ถ้าคุณอยากได้โต๊ะและเก้าอี้สำนักงานเหล่านั้น ไปซื้อที่ชั้น 5 มาบุญครองก็ได้ครับ ไม่ต้องไปซื้อหุ้นหรอก) เพราะสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนที่หุ้นที่ตนเองถืออยู่เป็นสิทธิที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีเท่ากับผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างแน่นอนโดยเสมอภาคกัน

ที่มา http://dekisugi.net/archives/27



By P'Invisible Hand (25/3/2007)

หุ้นประเภทที่มีทรัพย์สินมาก และมีมูลค่าหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดของมูลค่าทรัพย์สินมากนั้นมีจำนวนไม่น้อยครับ

ถ้าเป็นตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งตลาดอย่างสหรัฐอเมริกานั้นหุ้นส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนการถือหุ้นของรายย่อยหรือ free float สูง เพราะหลายบริษัทมีอายุยาวนานคือเป็นผู้บริหารรุ่นที่ 2-3 แล้วและมีอาจจะมีการเพิ่มทุนจนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ลดลงมาเรื่อยๆ หุ้นตัวไหนที่มีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงแต่มีการบริหารที่ไม่ดีและผลกำไรต่ำ จะมีกองทุนหรือบริษัทอื่นเข้าไป take over เพื่อบริหารกิจการแทน หรือเข้าไป take over แล้วชำแหละบริษัทนั้นๆ ออกขายแยกส่วนและได้กำไรในจำนวนมากกลับไป

อาจจะฟังดูเหมือนว่าไม่ดีว่าทำไมตลาดอย่างสหรัฐถึงปล่อยให้มีการ take over แบบที่เจ้าของหรือผู้บริหารบริษัทเดิมไม่เต็มใจ หรือที่เรียกว่า hostile takeover ซึ่งดูผิวเผินแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่จริงๆ มันส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจมากครับเพราะมันช่วยให้การจัดการในสินทรัพย์ที่เป็นปัจจัยการผลิตซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ สินทรัพย์ที่ดีจะถูกเปลี่ยนมือหากเจ้าของสินทรัพย์นั้นใช้มันอย่างด้อยประสิทธิภาพไปยังเจ้าของใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพและ productivity ในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น มีที่ดินอยุ่แปลงหนึ่งมีสภาพที่ดินอุดมสมบูรณ์มาก แต่เจ้าของที่ดินกลับปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเพราะซื้อเก็งกำไร หากมีใครมาขอซื้อแล้วเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนและมีราคาสูง ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากที่ดินพื้นนั้นก็สูงขึ้นและเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นกฎหมายต่างๆ ของตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วแม้จะไม่สนับสนุนการทำ hostile takeover แต่ก็ไม่ได้มีการห้ามหรือตั้งข้อจำกัดอะไรมากมาย

นอกจากนี้ ข้อดีของการปล่อยให้มีการทำ hostile takeover อีกอย่างก็คือเป็นการบังคับให้ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นรายย่อย รวมไปถึงราคาหุ้น กิจการที่ดีและปล่อยให้ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานนานๆ ซึงอาจจะเกิดจากนโยบายบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น การมีกำไรสูงๆ แต่จ่ายปันผลต่ำและเก็บเงินสดในบริษัทไว้มากเกินความจำเป็น หรือการไม่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลกับนักลงทุนหรือสภาพคล่องการซื้อขายหุ้น หุ้นเหล่านี้จะเป็นเป้าหมายการ take over ซึ่งหากผู้บริหารไม่อยากให้ถูก take over โดยง่าย ก็จะต้องพยายามให้หุ้นตัวเองสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงในระดับหนึ่ง และเป็นมิตรกับผู้ถือหุ้นรายย่อยเพราะเมื่อมีการ ทำ hostile take over เกิดขึ้นแล้วต้องมีการโหวดแข่งกัน เจ้าของที่เป็นมิตรกับรายย่อยและมีประวัติการบริหารที่ดีจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นทั่วไปและทำให้การทำ hostile take over ไม่ประสบความสำเร็จได้

ตัวอย่างของลักษณะการ take over แล้วแยกสินทรัพย์ขายเป็นชิ้นๆ ผมแนะนำให้ดูหนังเรื่อง Pretty woman ครับเพราะบริษัทที่พระเอกคือ ริชาร์ด เกียร์ เป็นเจ้าของทำธุรกิจแบบนี้เลยครับ ในเรื่องเนื้อหาหลักคือพระเอกจะ take over บริษัทต่อเรือที่มีสินทรัพย์เป็นที่ดินจำนวนมากและกำลังจะได้ project ใหญ่จากรัฐบาลเพื่อแยกเป็นชิ้นส่วนขายครับ

แต่สำหรับเมืองไทย การเล่นหุ้นในลักษณะ asset play ก็มีความเสี่ยงมากพอสมควรเนื่องจากทางกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นไม่สนับสนุนการทำ hostile takeover มากนัก และหลายๆ บริษัทผู้บริหารถือหุ้นเกิน 51% รวมทั้งหากมีรายการไม่ชอบมาพากลเช่นการใช้เงินสดจำนวนมากในบริษัทไปในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ปล่อยกู้ในกับบริษัทในเครือ นำไปลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนต่ำ หรือการขายสินทรัพย์ออกไปในราคาถูก ผู้ถือหุ้นรายย่อยมักจะไม่สามารถคัดค้านได้

บางครั้งการมีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากๆ หากธุรกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือมีการบริหารที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เงินสดหรือสินทรัพย์นั้นอาจจะลดลงหรือเสื่อมมูลค่าไปได้ภายในระยะเวลาไม่นานนัก อย่างในกรณีของหุ้น Singer ที่ต้องมีการตั้งสำรองจำนวนมาก หรือ SPSU ที่เคยมีเงินสดต่อหุ้นสูงกว่าราคาหุ้นในกระดานแต่ท้ายสุดแล้วเงินสดต่อหุ้นก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ

ดังนั้น การลงทุนในหุ้นโดยมอง Asset play เป็นอย่างเดียวนั้นอาจจะไม่เพียงพอ คงจะต้องพิจารณาปัจจัยด้านอื่นๆ โดยเฉพาะจริยธรรม ความสามารถของผู้บริหารและแนวโน้มธุรกิจในอนาคตประกอบด้วยครับ

ที่มา http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
(ขอขอบคุณ web กระทิงเขียว ด้วยครับ)




By P'yoyo (Thursday, February 21, 2008)
สำรวจความผิดพลาดของตัวเอง


การวิเคราะห์หุ้นรายตัวนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่ามีความสำคัญมากแค่ไหนในการลงทุน แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ลงทุนมานานแล้วยังรู้สึกว่าความสามารถในการลงทุนนั้นไม่ได้มีการพัฒนามากเท่าไหร่นัก เพราะอาจจะลืมวิเคราะห์ตัวเองไป

ในแต่ละปีผมจะพยายามตรวจดูว่าตัวเองมีความผิดพลาดในการลงทุนอย่างไรบ้าง เกิดจากอะไร และจะพยายามแก้ไขอย่างไร... ความผิดพลาดที่ผ่านๆมาของผมที่มักจะเกิดขึ้นจนทำให้ผลตอบแทนนั้นลดลงกว่าที่ควรจะเป็น มีคร่าวๆดังนี้

1. ตัดสินใจเร็วจนเกินไป... หลายๆครั้งเมื่อผมเจอหุ้นบางตัวที่ดูแล้วน่าสนใจมากๆ ผมมักจะรีบซื้ออย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะมีคนมาไล่ซื้อก่อนทำให้ผมต้องซื้อหุ้นในราคาแพงขึ้น การตัดสินใจเร็วไปทำให้ผมขาดความรอบคอบ ไม่ได้ศึกษาตัวธุรกิจอย่างดีก่อนที่จะลงทุน

2. ลงทุนนอกกรอบความถนัดของตัวเอง .. ที่ผ่านมาผมมีหุ้นอยู่ 2 ประเภทที่มักจะสร้างกำไรให้ผมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ได้แก่หุ้นขนาดเล็กเติบโตเร็ว หรรือหุ้นที่เป็นงานประมูล นักลงทุนแต่ละคนอาจจะมีความถนัดในหุ้นแต่ละประเภทแตกต่างกันไป การลงทุนในกรอบความถนัดของตัวเองนั้นจะทำให้โอกาสขาดทุนลดลง และโอกาสทำกำไรก็มากขึ้น มีหุ้นอยู่ประเภทหนึ่งที่ผมพยายามจะเข้าไปซื้ออยู่หลายรอบ คือหุ้นที่เรียกว่าเป็น Asset play (หุ้นที่มีสินทรัพย์หักด้วยหนี้สิน เยอะว่ามูลค่าหุ้นทั้งบริษัทอยู่มาก) ตลอชีวิตการลงทุนผมผ่านหุ้นประเภทนี้มา 3 ตัว ได้แก่ charan spsu brock
•ตัวแรก charan มีเงินสด+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้สินทั้งหมดประมาณ 70-80 บาทต่อหุ้น ในขณะที่หุ้นมีราคา 40 กว่าบาทเท่านั้น ... ผมก็ซื้อไปถือรอไป 2 ปี แล้วก็ขายหุ้นไปในราคาประมาณ 45 พอๆกับราคาที่ซื้อมา แม้จะไม่ได้ขาดทุนอะไร (ได้เงินปันผลมาปีละประมาณ 2-3 บาท) แต่ถ้าเอาเงินไปลงทุนในกลุ่มที่ถนัดผมจะได้ผลตอบแทนสูงกว่านี้มากๆ
•spsu เป็นบริษัทที่ทำการตลาดในกับรถซูซูกิ บริษัทมีบ.ร่วมเป็นโรงงานผลิตมอไซด์ซูซูกิ ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชีสูงว่าเงินลงทุนที่บันทึกไว้มาก ผมลองเอาเงินสด + มูลค่าบริษัทร่วม - หนี้สินทั้งหมด ได้ประมาณ 12-14 บาทต่อหุ้น ตอนนั้นหุ้นราคาประมาณ 7 บาท... ผมซื้อไว้แล้วรอเวลา .. เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจของ spsu ก็แย่ลงเรื่อยๆ ส่วนแบ่งการตลาดถูกคู่แข่งทั้ง Honda และ Yamaha สุดท้ายผมก็ไปขายหุ้นราคาประมาณ 6 บาท เจ็บตัวอีกแล้ว
•brock อันนี้เพิ่งซื้อมาเมื่อต้นปีที่แล้ว... ผมมองมูลค่าที่ดินที่ภูเก็ตของบริษัทซึ่งมีอยู่สูงมาก จากการสอบถามคนรู้จักที่เชี่ยวชาญเรื่องที่ดินที่ภูเก็ตหลายท่าน ผมตีมูลค่าที่ดินของ brock (เฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้น .. จริงๆบริษัทยังมีที่ดินที่อื่นอีกมาก) ได้ประมาณ 3-4 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทนั้นมีเงินสดมากกว่าหนี้สินทั้งหมดของบริษัทซะอีก และบริษัทนั้นซื้อขายกันที่ราคาทั้งบริษัทประมาณ 1000 ล้านบาทเท่านั้นเอง ... ผมก็ซื้อไว้ประมาณ 1 บาทกว่าๆต่อหุ้น... แล้วก็ถืออยู่เกือบปีแล้วก็ขายไปที่ประมาณ 1 บาทกว่าๆต่อหุ้นเช่นกัน

หุ้น Asset Play ไม่ได้มีอะไรผิดครับ มันไม่ใช่ว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ไม่ดี หลายๆบริษัทที่เข้าข่าย Asset play ก็จัดว่าเป็นบริษัทที่ดีที่กำลังรอเวลาจะดีขึ้นมากๆในอนาคต เพียงแต่ผมไม่มีความสามารถพอที่จะคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ สินทรัพย์มหาศาลที่บริษัทเก็บไว้อยู่ จะแสดงมูลค่าของมันออกมาให้เห็นได้ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้

3. หุ้นที่ผมขาดทุน ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ผมไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร เพราะการเพียงนั่งอ่านข้อมูลเพียงอย่างเดียวอาจจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทได้พอสมควร แต่ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของผู้บริหาร หรือข้อมูลเชิงลึกหลายๆอย่างเกี่ยวกับธุรกิจและบริษัทนั้น จะหาได้ยากมากถ้าไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหาร ที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยจะเข็ดเท่าไหร่.. เพราะผิดข้อนี้ซ้ำๆอยู่หลายรอบ เนื่องจากหุ้นบางตัวเราหาโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารได้ยาก (จะมีก็เฉพาะงานประชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้น) หลายครั้งผมอ่านข้อมูลหุ้น หรือข่าวบางชิ้นก็ทำให้อยากซื้อหุ้นทันที เพราะรู้สึกว่ากว่าจะรอให้ประชุมผู้ถือหุ้นก็คงไม่ทันการณ์ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะหุ้นพวกนี้เป็นประจำ... ตอนนี้ผมเลยพยายามตั้งกฏขึ้นมาให้ตัวเองว่า "การลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ (เช่นเกิน 10% ของเงินลงทุน) ผมจะต้องได้คุยกับผู้บริหารก่อนเสมอ"

ยิ่งเราพบจุดอ่อนตัวเองและหาทางแก้ไขจุดอ่อนของเรามากเท่าไหร่ เราก็จะมีฝีมือในการลงทุนที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน.... การปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอนั้นสำคัญไม่เฉพาะเรื่องของการลงทุนเท่านั้นนะครับ ลองประยุกต์เอาไปใช้กับเรื่องนิสัยส่วนตัว การทำงาน หรือครอบครัว และจะรู้ว่าชีวิตคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา และเราก็พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพทั้งในแง่การเงินและการใช้ชีวิตครับ :)

ที่มา http://www.yoyoway.com/
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
tatteerapong
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ขอบคุณทุกความเห็นได้ความรู้ดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Petey
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
If you only think of things that you haven't got...
You could have it all and still never have enough...
So don't worry, be happy...
โพสต์โพสต์