สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 1
เนื่องด้วยได้มีโอกาสไปร่วมงาน VI meeting ภาคใต้เป็นครั้งแรก จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้ เผื่ออาจจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นบ้างครับ (รบกวนพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่น ช่วย comment ด้วยครับ ถ้าผมจดผิดหรือเข้าใจคาดเคลื่อน)
1.ในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีอะไรที่แน่นอนเพราะฉะนั้นควรกระจายความเสี่ยงบ้าง
2.VI จะซื้อหุ้นเมื่อเราสามารถที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้ การที่ไปไล่ซื้อหุ้นในราคาสูงๆ โดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นๆ ถือเป็นเรื่องที่อันตราย
3.การลงทุนนั้นสำคัญที่หลักการลงทุน ถ้าหลักการลงทุนผิดนั้นการลงทุนจะไม่ง่าย แต่ถ้าเรามีหลักการลงทุนถูกต้อง ต่อให้ port ติดลบเราก็ไม่ต้องกังวล
4.การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของกิจการมีหลายวิธี แต่เราอาจจะใช้ P/E เพื่อกำหนดมูลค่าของกิจการ โดยดูว่าธุรกิจแบบนี้นั้นควรจะมี P/E เท่าไร ซึ่งบริษัทแต่ละแห่งนั้นเราอาจให้ P/E ได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่นบริษัทที่มีความแน่นอนของกำไรสูง รวมถึงมีกระแสเงินสดที่ดี P/E ของบริษัทเองเราอาจจะให้ได้ 15 เท่าหรือมากกว่า แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มีความไม่แน่นอนของกำไรสูง เช่นบริษัทในกลุ่มอสังหา เราเองก็ไม่สามารถให้ P/E สูงเท่ากับธุรกิจที่กำไรแน่นอน จำเป็นต้องให้ P/E ต่ำกว่า ซี่งต่อให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน P/E ก็อาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับคุณภาพกิจการ, Economy of scale, DCA รวมไปถึงปัจจัยคุณภาพอื่นๆ
5.นักลงทุนควรมองทั้งโอกาสได้กำไร และโอกาสที่จะขาดทุน (Downside risk) บางครั้งการที่มองแต่โอกาสได้กำไรอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มองโอกาสที่จะขาดทุนอาจจะทำให้เราพลาดจนสามารถขาดทุนหนักได้
6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
7.ทำไมหุ้นค้าปลีกในบ้านเราถึงมี P/E สูงกว่าประเทศทางตะวันตก?
เพราะว่าค้าปลีกไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก มี Growth ได้เยอะกว่า เทียบกับประเทศทางตะวันตกซึ่งขยายสาขาจนค่อนข้างจะเต็มพื้นที่แล้ว จึงทำให้โอกาสโตนั้นน้อยกว่า
8.อย่าคาดเดาตลาด ไม่มีใครที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดแล้วไปขายที่ราคาสูงสุดได้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำมากกว่าคือศึกษาหาข้อมูลของกิจการที่เราสามารถเข้าใจได้ เพื่อนำมาประเมินมูลค่าของกิจการ มองหา Margin of safety ที่มากพอเพื่อจะลงทุนในบริษัทนั้น
9.ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น เราควรจะรู้ว่าที่มาของกำไรของบริษัทนั้นมาจากไหน
10.การที่เราซื้อหุ้นของบริษัทที่ความคาดหวังของตลาดน้อย โอกาสที่ผิดหวังจะน้อยกว่าการที่เราซื้อหุ้นของกิจการที่ความคาดหวังของตลาดสูง เพราะถ้ากำไรของบริษัทนั้นไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสที่เราจะเจ็บตัวก็มีสูง
11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณสำหรับความรู้ที่ได้รับจากพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนในงาน VI meeting ภาคใต้ทุกๆท่านนะครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่โจ, พี่ตี้, พี่ worapong, พี่ jack, พี่แมว, พี่สุบัน, คุณหมอฝน รวมถึงท่านอื่นๆด้วยครับ
และขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับพี่สุชัยด้วยครับที่ช่วยขับรถพาผมขึ้นไปไหว้พระบนสวนสาธารณะของหาดใหญ่และช่วยขับรถไปส่งที่สนามบินด้วยครับ
1.ในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีอะไรที่แน่นอนเพราะฉะนั้นควรกระจายความเสี่ยงบ้าง
2.VI จะซื้อหุ้นเมื่อเราสามารถที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้ การที่ไปไล่ซื้อหุ้นในราคาสูงๆ โดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นๆ ถือเป็นเรื่องที่อันตราย
3.การลงทุนนั้นสำคัญที่หลักการลงทุน ถ้าหลักการลงทุนผิดนั้นการลงทุนจะไม่ง่าย แต่ถ้าเรามีหลักการลงทุนถูกต้อง ต่อให้ port ติดลบเราก็ไม่ต้องกังวล
4.การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของกิจการมีหลายวิธี แต่เราอาจจะใช้ P/E เพื่อกำหนดมูลค่าของกิจการ โดยดูว่าธุรกิจแบบนี้นั้นควรจะมี P/E เท่าไร ซึ่งบริษัทแต่ละแห่งนั้นเราอาจให้ P/E ได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่นบริษัทที่มีความแน่นอนของกำไรสูง รวมถึงมีกระแสเงินสดที่ดี P/E ของบริษัทเองเราอาจจะให้ได้ 15 เท่าหรือมากกว่า แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มีความไม่แน่นอนของกำไรสูง เช่นบริษัทในกลุ่มอสังหา เราเองก็ไม่สามารถให้ P/E สูงเท่ากับธุรกิจที่กำไรแน่นอน จำเป็นต้องให้ P/E ต่ำกว่า ซี่งต่อให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน P/E ก็อาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับคุณภาพกิจการ, Economy of scale, DCA รวมไปถึงปัจจัยคุณภาพอื่นๆ
5.นักลงทุนควรมองทั้งโอกาสได้กำไร และโอกาสที่จะขาดทุน (Downside risk) บางครั้งการที่มองแต่โอกาสได้กำไรอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มองโอกาสที่จะขาดทุนอาจจะทำให้เราพลาดจนสามารถขาดทุนหนักได้
6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
7.ทำไมหุ้นค้าปลีกในบ้านเราถึงมี P/E สูงกว่าประเทศทางตะวันตก?
เพราะว่าค้าปลีกไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก มี Growth ได้เยอะกว่า เทียบกับประเทศทางตะวันตกซึ่งขยายสาขาจนค่อนข้างจะเต็มพื้นที่แล้ว จึงทำให้โอกาสโตนั้นน้อยกว่า
8.อย่าคาดเดาตลาด ไม่มีใครที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดแล้วไปขายที่ราคาสูงสุดได้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำมากกว่าคือศึกษาหาข้อมูลของกิจการที่เราสามารถเข้าใจได้ เพื่อนำมาประเมินมูลค่าของกิจการ มองหา Margin of safety ที่มากพอเพื่อจะลงทุนในบริษัทนั้น
9.ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น เราควรจะรู้ว่าที่มาของกำไรของบริษัทนั้นมาจากไหน
10.การที่เราซื้อหุ้นของบริษัทที่ความคาดหวังของตลาดน้อย โอกาสที่ผิดหวังจะน้อยกว่าการที่เราซื้อหุ้นของกิจการที่ความคาดหวังของตลาดสูง เพราะถ้ากำไรของบริษัทนั้นไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสที่เราจะเจ็บตัวก็มีสูง
11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณสำหรับความรู้ที่ได้รับจากพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนในงาน VI meeting ภาคใต้ทุกๆท่านนะครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่โจ, พี่ตี้, พี่ worapong, พี่ jack, พี่แมว, พี่สุบัน, คุณหมอฝน รวมถึงท่านอื่นๆด้วยครับ
และขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับพี่สุชัยด้วยครับที่ช่วยขับรถพาผมขึ้นไปไหว้พระบนสวนสาธารณะของหาดใหญ่และช่วยขับรถไปส่งที่สนามบินด้วยครับ
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 4
ผมขออนุญาติ แชร์ความเห็นเรื่องนี้เล็กน้อยครับว่า ผมเห็นด้วยที่ว่าค้าปลีกบ้านเรามีโอกาสโตได้อีกทั้งนี้เพราะว่า เศรษฐกิจ และ การบริโภคของเรายังคงมีโอกาสการขยายตัวได้อีกในอนาคต7.ทำไมหุ้นค้าปลีกในบ้านเราถึงมี P/E สูงกว่าประเทศทางตะวันตก?
เพราะว่าค้าปลีกไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก มี Growth ได้เยอะกว่า เทียบกับประเทศทางตะวันตกซึ่งขยายสาขาจนค่อนข้างจะเต็มพื้นที่แล้ว จึงทำให้โอกาสโตนั้นน้อยกว่า
แต่ทั้งนี้บริษัทค้าปลีกในโลกตะวันตก ถึงแม้ว่าตลาดในประเทศจะอิ่มตัว แต่โอกาสการขยายตัวออกต่างประเทศยังคงมีอีกมาก หลายท่านคงได้ข่าวเรื่องที่อินเดียอนุญาติให้บริษัทต่างชาติ
ทำธุรกิจค้าปลีกได้ ผมว่าบริษัทค้าปลีกสัญชาติไทยยังคงห่างไกลกับระดับ Global Companies อย่างมากหากต้องมาแข่งในสนามที่ต่างฝ่ายก็เป็นผู้มาเยือนเหมือนกัน
เหตุผลหนึ่งที่ Carrefour ขายธุรกิจในไทยเพราะว่าเขาต้องการลงทุนเพิ่มเพื่อเป็นที่หนึ่งในจีน ประเทศที่มีแนวโน้มว่าต่อไปจะเป็นตลาดค้าปลีกใหญ่อันดับหนึ่งของโลก Carrefour ใหญเป็นที่สอง
รองจาก Walmart และมีธุรกิจส่วนใหญ่มาจากยุโรป ตอนนี้ประเทศใน EU มีประชากรแค่ 550 ล้านคน แต่จีนมี 1300 ล้านคน เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงที่จะทำกำไร
ท่านเจ้าสัวธนินท์ เคยกล่าวว่าธุรกิจค้าปลีกที่จีน เป็นค้าปลีกที่กำไรดีที่สุด ผมเดาว่าเพราะเหตุของเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ค้ามีโอกาสปรับราคาปรับราคาได้มาก เพราะเป็น
เงินเฟ้อแบบ Demand Pull. ตอนนี้บริษัทค้าปลีกไทยเช่น HMPRO และ BIGC เริ่มหาโอกาสโตในต่างประเทศมากขึ้น การทำธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทค้าปลีกในแต่ละที่ ต้องลงทุน
ค่อนข้างมาก เพราะต้องสร้าง Store ใหม่ DC ใหม่ สร้างระบบ Logistic ใหม่ ไม่เหมือนโรงงานผู้ผลิต ที่สามารถส่งออกสินค้าตัวเองไปได้โดยใช้ฐานการผลิตเดิม
ขอฝากประเด็นนี้ไว้ให้ลองพิจารณากันครับ
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 6
เข้าใจว่า การใช้margin ในที่นี้ หมายถึง การคำนึงถึงmargin of safety ของราคาหุ้นเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสำคัญอย่างอื่น เช่น โมเดลธุรกิจ ผู้บริหาร เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทเสียหายหนักหรือตลาดลงหนักๆ จึงขาดทุนยับเยิน ใช่รึป่าวครับ???earthcu เขียน:11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 7
ขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติมละกันครับ การใช้ margin ในที่นี้หมายถึงการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้นโดยวางหลักทรัพย์ไว้กับ broker ซึ่งในกรณีที่ราคาหุ้นที่เราซื้อลดลงถึงจุด จุดหนึ่ง เราจะโดน force sale บังคับขาย ทำให้เราอาจจะไม่เหลืออะไรเลย เพราะขาดทุนทั้งส่วนที่เป็นเงินของเรา และส่วนที่เป็นเงินที่กู้มา จึงควรที่จะต้องมีความระมัดระวังให้มากครับ ถ้าจะกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้น เพราะบางครั้งเราเองอาจจะเจอแต่เหตุการณ์ที่พบคนประสบความสำเร็จจากการใช้ margin แต่ไม่ทราบว่าอีกด้านนึงก็มีคนที่ขาดทุนหมดตัวจากการใช้ margin เหมือนกันครับsakkaphan เขียน:เข้าใจว่า การใช้margin ในที่นี้ หมายถึง การคำนึงถึงmargin of safety ของราคาหุ้นเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสำคัญอย่างอื่น เช่น โมเดลธุรกิจ ผู้บริหาร เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทเสียหายหนักหรือตลาดลงหนักๆ จึงขาดทุนยับเยิน ใช่รึป่าวครับ???earthcu เขียน:11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 10
อ๋อ เข้าใจแล้วครับ พึ่งอ่านหนังสือ Forbes Best Business Mistakes สุดยอดความผิดพลาดในธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือ เดฟ แรมซี่ย์ บอกว่า ความผิดพลาดที่สุดในชีวิตเขาคือการเป็นหนี้ก้อนโต และทำให้เขาล้มละลาย หนทางสู่ความมั่งคั่งไม่ใช่การกู้ยืมเงินมาลงทุน แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ต่างหากearthcu เขียน:ขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติมละกันครับ การใช้ margin ในที่นี้หมายถึงการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้นโดยวางหลักทรัพย์ไว้กับ broker ซึ่งในกรณีที่ราคาหุ้นที่เราซื้อลดลงถึงจุด จุดหนึ่ง เราจะโดน force sale บังคับขาย ทำให้เราอาจจะไม่เหลืออะไรเลย เพราะขาดทุนทั้งส่วนที่เป็นเงินของเรา และส่วนที่เป็นเงินที่กู้มา จึงควรที่จะต้องมีความระมัดระวังให้มากครับ ถ้าจะกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหุ้น เพราะบางครั้งเราเองอาจจะเจอแต่เหตุการณ์ที่พบคนประสบความสำเร็จจากการใช้ margin แต่ไม่ทราบว่าอีกด้านนึงก็มีคนที่ขาดทุนหมดตัวจากการใช้ margin เหมือนกันครับsakkaphan เขียน:เข้าใจว่า การใช้margin ในที่นี้ หมายถึง การคำนึงถึงmargin of safety ของราคาหุ้นเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสำคัญอย่างอื่น เช่น โมเดลธุรกิจ ผู้บริหาร เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทเสียหายหนักหรือตลาดลงหนักๆ จึงขาดทุนยับเยิน ใช่รึป่าวครับ???earthcu เขียน:11.ข้อควรระวังข้อนึงที่สำคัญ คือการใช้ margin ถ้าเราเป็นนักลงทุนมือใหม่และไม่เคยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาก่อนการใช้ margin เองก็ถือว่าอาจจะอันตรายได้ มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่หมดตัวไปก็เพราะการใช้ margin (จึงควรต้องระวังจุดนี้ให้มากครับ)
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 11
6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
เห็นด้วยครับ ก่อนหน้านี้ผมมีหุ้นตัวนึงกลุ่มท่องเที่ยว ราคาในตลาดเท่ากับแค่มูลค่าที่ดินที่มี เท่านั้นเอง ดูเหมือนจะราคาถูกมาก แต่พอดูราคาย้อนหลัง 5 ปี ราคาไม่ไปไหนเลยครับ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดครับ
เห็นด้วยครับ ก่อนหน้านี้ผมมีหุ้นตัวนึงกลุ่มท่องเที่ยว ราคาในตลาดเท่ากับแค่มูลค่าที่ดินที่มี เท่านั้นเอง ดูเหมือนจะราคาถูกมาก แต่พอดูราคาย้อนหลัง 5 ปี ราคาไม่ไปไหนเลยครับ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- Duckcovery
- Verified User
- โพสต์: 635
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณฮะ ที่พี่จกขท. ช่วยแชร์ความรู้
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 16
อันนี้เห็นด้วยมากๆ ว่าจีนจะเป็นแหล่งของการทำธุรกิจค้าปลีกที่ดีที่สุด เงินเฟ้อแบบจีนเป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้ลงทุนสร้างโรงงาน หรือแม้แต่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ๆคุ้มทุนได้เร็วมากๆ เพราะอัตราการกำไรมันโตอย่างน้อยๆมันโตตามเงินเฟ้อแน่ๆ คือนับต่อสาขา same store sale ถึงจำนวนชิ้นสินค้า ไม่ต้องเพิ่มแต่ยอดขายเพิ่มเท่ากับเงินเฟ้อ 8-9% มหัศจรรย์มากๆคนขายของ เขียน:ท่านเจ้าสัวธนินท์ เคยกล่าวว่าธุรกิจค้าปลีกที่จีน เป็นค้าปลีกที่กำไรดีที่สุด ผมเดาว่าเพราะเหตุของเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ค้ามีโอกาสปรับราคาปรับราคาได้มาก เพราะเป็น เงินเฟ้อแบบ Demand Pull.
แต้ต้องไม่มีลูกโป่ง บอลลูน อะไรแตกนะ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณครับ
- kabu
- Verified User
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณน้อง earth ครับที่มาช่วยแชร์
ตกลงเดือนกุมภากำหนดมาญี่ปุ่นยังเหมือนเดิมมั้ยครับ
มาช่วงหนาวสุดๆพอดี สนใจเล่นสโนบอร์ดมั้ยครับ
ตกลงเดือนกุมภากำหนดมาญี่ปุ่นยังเหมือนเดิมมั้ยครับ
มาช่วงหนาวสุดๆพอดี สนใจเล่นสโนบอร์ดมั้ยครับ
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 19
อันนี้เจอกับตัวเองเลย การเฝ้ารอผู้มาปลดปล่อยนานเกินไป ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนearthcu เขียน: 6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
หุ้นประเภทนี้ ถ้าไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับรู้คุณค่าแล้วรอนานมากเลยครับ
ขอบคุณนะครับที่นำมาแบ่งปัน
Sixth Sense Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 20
ส่วนตัวแล้วรู้สึก "โดนใจ" กับข้อนี้มากที่สุดearthcu เขียน:5.นักลงทุนควรมองทั้งโอกาสได้กำไร และโอกาสที่จะขาดทุน (Downside risk) บางครั้งการที่มองแต่โอกาสได้กำไรอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มองโอกาสที่จะขาดทุนอาจจะทำให้เราพลาดจนสามารถขาดทุนหนักได้
ขอบคุณคุณ earthcu ที่แบ่งปันข้อมูลนะขอรับ _/\_
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 21
ผมมีหุ้นประกันอยู่ตัวหนึ่ง BV ต่ำกว่า 1 มาก ซื้อมาตั้งแต่ปี 05 มาถึงปัจจุบัน BV ก็ยังต่ำกว่า 1sipoonya เขียน:อันนี้เจอกับตัวเองเลย การเฝ้ารอผู้มาปลดปล่อยนานเกินไป ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนearthcu เขียน: 6.หุ้นประเภท asset play นั้น ในเมืองไทยเอง โอกาสที่จะได้กำไรนั้นค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสปลด lock เมื่อไร อาจจะ 1 ปี , 2 ปี หรือ 10 ปี การที่จะซื้อหุ้นประเภทนี้มากๆ ควรจะต้องระวังในจุดนี้ด้วย
หุ้นประเภทนี้ ถ้าไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับรู้คุณค่าแล้วรอนานมากเลยครับ
ขอบคุณนะครับที่นำมาแบ่งปัน
ถ้าผู้บริหารไม่คิดจะปลดปล่อยมูลค่าหุ้นออกมาก ก็ไม่น่าเล่นครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 22
ขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทุกท่านสำหรับความคิดเห็นและขอขอบคุณพี่คนขายของ,พี่ sakkaphan, พี่ simplelife, พี่ sipoonya,
พี่ SunShine@Night ด้วยครับสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
และผมขอสรุปเพิ่มเติมอีก 1 ข้อครับ (พอดีเพิ่งมานึกได้หลังจาก post ไปเมื่อคราวก่อน)
12.การที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น ข้อหนึ่งที่สำคัญคือการที่ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองและหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้ข้อผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต การที่เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดพลาดของคนอื่นนั้น มีแต่ทำให้ตัวเราเองนั้นไม่ได้เกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาความสามารถในการลงทุนให้ดีขึ้น
คิดว่าคงทันไปเล่นสโนบอร์ดกับลูกของพี่ kabu พอดีครับ
พี่ SunShine@Night ด้วยครับสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
และผมขอสรุปเพิ่มเติมอีก 1 ข้อครับ (พอดีเพิ่งมานึกได้หลังจาก post ไปเมื่อคราวก่อน)
12.การที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น ข้อหนึ่งที่สำคัญคือการที่ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองและหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้ข้อผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต การที่เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดพลาดของคนอื่นนั้น มีแต่ทำให้ตัวเราเองนั้นไม่ได้เกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาความสามารถในการลงทุนให้ดีขึ้น
เบื้องต้นยังยืนยันกำหนดการเดิมครับ ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ครับkabu เขียน:ขอบคุณน้อง earth ครับที่มาช่วยแชร์
ตกลงเดือนกุมภากำหนดมาญี่ปุ่นยังเหมือนเดิมมั้ยครับ
มาช่วงหนาวสุดๆพอดี สนใจเล่นสโนบอร์ดมั้ยครับ
คิดว่าคงทันไปเล่นสโนบอร์ดกับลูกของพี่ kabu พอดีครับ
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 25
ออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ค่อยถนัดกับกลุ่มนี้สักเท่าไรครับ เห็นว่าถามมาก็จะขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติมละกันครับ เท่าที่ผมพอจะทราบก็มียกตัวอย่างเช่น QH เองถือหุ้น HMRPO อยู่ ประมาณ 1000 ล้านหุ้น , ถือ LHBANK อีกร้อยละ 26 (สัดส่วนการถือหุ้น), ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควอลิตี้ เฮ้าส์ อีกร้อยละ 26 ซึ่งถ้านับคร่าวๆแล้วมูลค่าหุ้นที่ถือก็น่าจะมากกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ประมาณ 12900 ล้านบาท) ยังไม่นับรวมกับที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า (ทั้งที่พักอาศัยและสำนักงาน) อีกหลายรายการ (รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถไปอ่านได้ใน 56-1 ของบริษัทในหัวข้อ Property ครับ)charonp เขียน:ไม่ทราบว่า asset play นี่หมายถึงหุ้นที่มีทรัพย์สินเยอะ ๆ แล้วราคาเมื่อเทียบกับทรัพย์สิน นี่ราคาถูกมากเหรอครับ พอจะยกตัวอย่าง หุ้นกลุ่มนี้ได้มั้ยครับ
ขอบคุณครับ
เท่าที่ทราบบริษัทเองก็ถือครองทรัพย์สินพวกนี้มาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะปลด lock ทรัพย์สินพวกนี้เช่นการขายหุ้นที่ถืออยู่เพื่อนำมาตอบแทนคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นแต่ประการใดครับ
(ผิดถูกประการใด วานเพื่อนๆพี่ๆท่านอื่นช่วยแนะนำด้วยครับ)
นอกจากนี้ผมไปลองค้นบทความเก่าๆที่ น่าจะช่วยอธิบายเกี่ยวกับหุ้น Asset play ได้ดีมาฝากตามนี้ครับ (ขอขอบคุณพี่ สุมาอี้, พี่ Invisible Hand, พี่ yoyo ครับสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาฝากเพื่อนๆน้องๆเสมอครับ )
By P'สุมาอี้
0017: Asset Play
by DekisugiPosted on November 15, 2006
มีวิธีการลงทุนแบบหนึ่ง เรียกว่า Asset Play วิธีนี้คือการหาว่าบริษัทเป็นเจ้าของสินทรัพย์อะไรที่มีมูลค่าซ้อนเร้นอยู่หรือไม่ ถ้าราคาหุ้นในกระดานของบริษัทยังไม่ได้สะท้อนค่าของสินทรัพย์นั้น การเข้าไปซื้อหุ้นนั้นไว้ก็ถือว่าเป็นการซื้อของลดราคา
ตัวอย่างยอดนิยมของสินทรัพย์ที่มีมูลค่าแฝงก็คือ ที่ดิน เพราะที่ดินจะถูกลงบัญชีที่ราคาต้นทุนที่ซื้อมา และจะคงที่อยู่อย่างนั้นตลอดไปไม่ว่าจะอีกสักกี่สิบปี ถ้าคุณออกแรงสักนิดด้วยการตรวจดูที่ดินของบริษัทต่างๆ ในตลาดว่ามีอยู่กี่ไร่ นำมาคูณด้วยราคาประเมินของกรมที่ดินในปัจจุบัน คุณอาจพบที่ดินของบางบริษัทที่มีราคาประเมินสูงกว่ามูลค่าตลาดของทั้งบริษัทหักด้วยหนี้สิน หุ้นนั้นเสียอีก หุ้นเหล่านี้คือ Asset Play
ปัญหาสำคัญของการเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ก็คือ เราไม่รู้ว่าเมื่อไรราคาหุ้นในกระดานจะสะท้อนมูลค่าแฝงของสินทรัพย์นั้นเสียที ในบางกรณีผู้บริหารของบริษัทยังดำเนินงานแบบธุรกิจครอบครัวอยู่จึงไม่นำพาต่อหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้บริหารของบริษัทมหาชน ได้แก่ การ maximize shareholder’s value แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าการขายที่ดินนั้นเสียแล้วย้ายโรงงานไปอยู่ในที่ที่ที่ดินราคาต่ำลงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าของบริษัท แต่ก็ไม่ทำเพราะเป็นความรู้สึกผูกพันกับสมบัติประจำตระกูล อย่างนี้แล้วนักลงทุนรายย่อยที่ไปเข้าไปซื้อหุ้นเอาไว้ก็บอกได้คำเดียวต้องรอจนเหงื่อแห้งครับ
การลงทุนในตลาดหุ้นมีต้นทุนของเงินทุนอยู่ราวปีละ 10% เสมอ ถ้าคุณถือหุ้น Asset Play ไว้เฉยๆ หนึ่งปีแล้วราคาไม่ไปไหน ก็ต้องถือว่าขาดทุนไปแล้ว 10% ไม่ใช่เสมอตัว ยิ่งถ้าต้องรออีก 10 ปี ผู้บริหารคนเก่าจึงจะแก่ตาย ผู้บริหารคนใหม่จึงจะสั่งขายที่ดิน ก็ต้องถือว่า คุณขาดทุนหุ้นตัวนั้นหมดทั้ง 100% แล้ว ดังนั้นถ้าดูแล้วไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อไรราคาหุ้นในกระดานจะมีโอกาสสะท้อนมูลค่าที่แฝงอยู่ได้ การเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ก็นับว่าค่อนข้าง “ลมๆ แล้งๆ” ครับ
Asset Play จะได้ผลเฉพาะกับนักลงทุนรายใหญ่ที่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้ในสัดส่วนที่มากพอที่จะเข้ามาควบคุมบริษัทได้เท่านั้น ถ้าคุณซื้อหุ้นจนเกิน 51% ไล่กรรมการชุดเก่าออกให้หมด ขายที่ดิน นำเงินสดที่ได้ไปใช้หนี้บริษัท เลิกบริษัท แล้วนำเงินที่เหลือเก็บเข้ากระเป๋า แบบนี้คุ้มค่าแน่นอนครับ
คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่สวยหรูว่า “ผู้ถือหุ้น คุณคือเจ้าของ” แต่ในความเป็นจริง ถ้าคุณและพวกอีกอย่างน้อย 24 คนมีปัญญาซื้อหุ้นรวมกันได้แค่ไม่เกิน 10% ก็ต้องขอบอกว่า คุณและพวกปราศจากอำนาจในการควบคุมบริษัทมหาชนโดยสิ้นเชิง แค่ขอเรียกประชุมผู้ถือหุ้นยังไม่ได้เลย ดังนั้น การเล่นหุ้นแบบ Asset Play ให้ประสบความสำเร็จดูจะมีข้อจำกัดมากสำหรับคนที่เป็นนักลงทุนรายย่อย ความเห็นส่วนตัวของผมคือ เวลาที่คุณซื้อหุ้น คุณควรซื้อความสามารถในการทำกำไรมากกว่าที่จะซื้อเพราะสินทรัพย์ (ถ้าคุณอยากได้โต๊ะและเก้าอี้สำนักงานเหล่านั้น ไปซื้อที่ชั้น 5 มาบุญครองก็ได้ครับ ไม่ต้องไปซื้อหุ้นหรอก) เพราะสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนที่หุ้นที่ตนเองถืออยู่เป็นสิทธิที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีเท่ากับผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างแน่นอนโดยเสมอภาคกัน
ที่มา http://dekisugi.net/archives/27
By P'Invisible Hand (25/3/2007)
หุ้นประเภทที่มีทรัพย์สินมาก และมีมูลค่าหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดของมูลค่าทรัพย์สินมากนั้นมีจำนวนไม่น้อยครับ
ถ้าเป็นตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งตลาดอย่างสหรัฐอเมริกานั้นหุ้นส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนการถือหุ้นของรายย่อยหรือ free float สูง เพราะหลายบริษัทมีอายุยาวนานคือเป็นผู้บริหารรุ่นที่ 2-3 แล้วและมีอาจจะมีการเพิ่มทุนจนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ลดลงมาเรื่อยๆ หุ้นตัวไหนที่มีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงแต่มีการบริหารที่ไม่ดีและผลกำไรต่ำ จะมีกองทุนหรือบริษัทอื่นเข้าไป take over เพื่อบริหารกิจการแทน หรือเข้าไป take over แล้วชำแหละบริษัทนั้นๆ ออกขายแยกส่วนและได้กำไรในจำนวนมากกลับไป
อาจจะฟังดูเหมือนว่าไม่ดีว่าทำไมตลาดอย่างสหรัฐถึงปล่อยให้มีการ take over แบบที่เจ้าของหรือผู้บริหารบริษัทเดิมไม่เต็มใจ หรือที่เรียกว่า hostile takeover ซึ่งดูผิวเผินแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่จริงๆ มันส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจมากครับเพราะมันช่วยให้การจัดการในสินทรัพย์ที่เป็นปัจจัยการผลิตซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ สินทรัพย์ที่ดีจะถูกเปลี่ยนมือหากเจ้าของสินทรัพย์นั้นใช้มันอย่างด้อยประสิทธิภาพไปยังเจ้าของใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพและ productivity ในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น มีที่ดินอยุ่แปลงหนึ่งมีสภาพที่ดินอุดมสมบูรณ์มาก แต่เจ้าของที่ดินกลับปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเพราะซื้อเก็งกำไร หากมีใครมาขอซื้อแล้วเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนและมีราคาสูง ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากที่ดินพื้นนั้นก็สูงขึ้นและเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นกฎหมายต่างๆ ของตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วแม้จะไม่สนับสนุนการทำ hostile takeover แต่ก็ไม่ได้มีการห้ามหรือตั้งข้อจำกัดอะไรมากมาย
นอกจากนี้ ข้อดีของการปล่อยให้มีการทำ hostile takeover อีกอย่างก็คือเป็นการบังคับให้ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นรายย่อย รวมไปถึงราคาหุ้น กิจการที่ดีและปล่อยให้ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานนานๆ ซึงอาจจะเกิดจากนโยบายบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น การมีกำไรสูงๆ แต่จ่ายปันผลต่ำและเก็บเงินสดในบริษัทไว้มากเกินความจำเป็น หรือการไม่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลกับนักลงทุนหรือสภาพคล่องการซื้อขายหุ้น หุ้นเหล่านี้จะเป็นเป้าหมายการ take over ซึ่งหากผู้บริหารไม่อยากให้ถูก take over โดยง่าย ก็จะต้องพยายามให้หุ้นตัวเองสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงในระดับหนึ่ง และเป็นมิตรกับผู้ถือหุ้นรายย่อยเพราะเมื่อมีการ ทำ hostile take over เกิดขึ้นแล้วต้องมีการโหวดแข่งกัน เจ้าของที่เป็นมิตรกับรายย่อยและมีประวัติการบริหารที่ดีจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นทั่วไปและทำให้การทำ hostile take over ไม่ประสบความสำเร็จได้
ตัวอย่างของลักษณะการ take over แล้วแยกสินทรัพย์ขายเป็นชิ้นๆ ผมแนะนำให้ดูหนังเรื่อง Pretty woman ครับเพราะบริษัทที่พระเอกคือ ริชาร์ด เกียร์ เป็นเจ้าของทำธุรกิจแบบนี้เลยครับ ในเรื่องเนื้อหาหลักคือพระเอกจะ take over บริษัทต่อเรือที่มีสินทรัพย์เป็นที่ดินจำนวนมากและกำลังจะได้ project ใหญ่จากรัฐบาลเพื่อแยกเป็นชิ้นส่วนขายครับ
แต่สำหรับเมืองไทย การเล่นหุ้นในลักษณะ asset play ก็มีความเสี่ยงมากพอสมควรเนื่องจากทางกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นไม่สนับสนุนการทำ hostile takeover มากนัก และหลายๆ บริษัทผู้บริหารถือหุ้นเกิน 51% รวมทั้งหากมีรายการไม่ชอบมาพากลเช่นการใช้เงินสดจำนวนมากในบริษัทไปในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ปล่อยกู้ในกับบริษัทในเครือ นำไปลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนต่ำ หรือการขายสินทรัพย์ออกไปในราคาถูก ผู้ถือหุ้นรายย่อยมักจะไม่สามารถคัดค้านได้
บางครั้งการมีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากๆ หากธุรกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือมีการบริหารที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เงินสดหรือสินทรัพย์นั้นอาจจะลดลงหรือเสื่อมมูลค่าไปได้ภายในระยะเวลาไม่นานนัก อย่างในกรณีของหุ้น Singer ที่ต้องมีการตั้งสำรองจำนวนมาก หรือ SPSU ที่เคยมีเงินสดต่อหุ้นสูงกว่าราคาหุ้นในกระดานแต่ท้ายสุดแล้วเงินสดต่อหุ้นก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ
ดังนั้น การลงทุนในหุ้นโดยมอง Asset play เป็นอย่างเดียวนั้นอาจจะไม่เพียงพอ คงจะต้องพิจารณาปัจจัยด้านอื่นๆ โดยเฉพาะจริยธรรม ความสามารถของผู้บริหารและแนวโน้มธุรกิจในอนาคตประกอบด้วยครับ
ที่มา http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
(ขอขอบคุณ web กระทิงเขียว ด้วยครับ)
By P'yoyo (Thursday, February 21, 2008)
สำรวจความผิดพลาดของตัวเอง
การวิเคราะห์หุ้นรายตัวนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่ามีความสำคัญมากแค่ไหนในการลงทุน แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ลงทุนมานานแล้วยังรู้สึกว่าความสามารถในการลงทุนนั้นไม่ได้มีการพัฒนามากเท่าไหร่นัก เพราะอาจจะลืมวิเคราะห์ตัวเองไป
ในแต่ละปีผมจะพยายามตรวจดูว่าตัวเองมีความผิดพลาดในการลงทุนอย่างไรบ้าง เกิดจากอะไร และจะพยายามแก้ไขอย่างไร... ความผิดพลาดที่ผ่านๆมาของผมที่มักจะเกิดขึ้นจนทำให้ผลตอบแทนนั้นลดลงกว่าที่ควรจะเป็น มีคร่าวๆดังนี้
1. ตัดสินใจเร็วจนเกินไป... หลายๆครั้งเมื่อผมเจอหุ้นบางตัวที่ดูแล้วน่าสนใจมากๆ ผมมักจะรีบซื้ออย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะมีคนมาไล่ซื้อก่อนทำให้ผมต้องซื้อหุ้นในราคาแพงขึ้น การตัดสินใจเร็วไปทำให้ผมขาดความรอบคอบ ไม่ได้ศึกษาตัวธุรกิจอย่างดีก่อนที่จะลงทุน
2. ลงทุนนอกกรอบความถนัดของตัวเอง .. ที่ผ่านมาผมมีหุ้นอยู่ 2 ประเภทที่มักจะสร้างกำไรให้ผมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ได้แก่หุ้นขนาดเล็กเติบโตเร็ว หรรือหุ้นที่เป็นงานประมูล นักลงทุนแต่ละคนอาจจะมีความถนัดในหุ้นแต่ละประเภทแตกต่างกันไป การลงทุนในกรอบความถนัดของตัวเองนั้นจะทำให้โอกาสขาดทุนลดลง และโอกาสทำกำไรก็มากขึ้น มีหุ้นอยู่ประเภทหนึ่งที่ผมพยายามจะเข้าไปซื้ออยู่หลายรอบ คือหุ้นที่เรียกว่าเป็น Asset play (หุ้นที่มีสินทรัพย์หักด้วยหนี้สิน เยอะว่ามูลค่าหุ้นทั้งบริษัทอยู่มาก) ตลอชีวิตการลงทุนผมผ่านหุ้นประเภทนี้มา 3 ตัว ได้แก่ charan spsu brock
•ตัวแรก charan มีเงินสด+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้สินทั้งหมดประมาณ 70-80 บาทต่อหุ้น ในขณะที่หุ้นมีราคา 40 กว่าบาทเท่านั้น ... ผมก็ซื้อไปถือรอไป 2 ปี แล้วก็ขายหุ้นไปในราคาประมาณ 45 พอๆกับราคาที่ซื้อมา แม้จะไม่ได้ขาดทุนอะไร (ได้เงินปันผลมาปีละประมาณ 2-3 บาท) แต่ถ้าเอาเงินไปลงทุนในกลุ่มที่ถนัดผมจะได้ผลตอบแทนสูงกว่านี้มากๆ
•spsu เป็นบริษัทที่ทำการตลาดในกับรถซูซูกิ บริษัทมีบ.ร่วมเป็นโรงงานผลิตมอไซด์ซูซูกิ ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชีสูงว่าเงินลงทุนที่บันทึกไว้มาก ผมลองเอาเงินสด + มูลค่าบริษัทร่วม - หนี้สินทั้งหมด ได้ประมาณ 12-14 บาทต่อหุ้น ตอนนั้นหุ้นราคาประมาณ 7 บาท... ผมซื้อไว้แล้วรอเวลา .. เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจของ spsu ก็แย่ลงเรื่อยๆ ส่วนแบ่งการตลาดถูกคู่แข่งทั้ง Honda และ Yamaha สุดท้ายผมก็ไปขายหุ้นราคาประมาณ 6 บาท เจ็บตัวอีกแล้ว
•brock อันนี้เพิ่งซื้อมาเมื่อต้นปีที่แล้ว... ผมมองมูลค่าที่ดินที่ภูเก็ตของบริษัทซึ่งมีอยู่สูงมาก จากการสอบถามคนรู้จักที่เชี่ยวชาญเรื่องที่ดินที่ภูเก็ตหลายท่าน ผมตีมูลค่าที่ดินของ brock (เฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้น .. จริงๆบริษัทยังมีที่ดินที่อื่นอีกมาก) ได้ประมาณ 3-4 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทนั้นมีเงินสดมากกว่าหนี้สินทั้งหมดของบริษัทซะอีก และบริษัทนั้นซื้อขายกันที่ราคาทั้งบริษัทประมาณ 1000 ล้านบาทเท่านั้นเอง ... ผมก็ซื้อไว้ประมาณ 1 บาทกว่าๆต่อหุ้น... แล้วก็ถืออยู่เกือบปีแล้วก็ขายไปที่ประมาณ 1 บาทกว่าๆต่อหุ้นเช่นกัน
หุ้น Asset Play ไม่ได้มีอะไรผิดครับ มันไม่ใช่ว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ไม่ดี หลายๆบริษัทที่เข้าข่าย Asset play ก็จัดว่าเป็นบริษัทที่ดีที่กำลังรอเวลาจะดีขึ้นมากๆในอนาคต เพียงแต่ผมไม่มีความสามารถพอที่จะคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ สินทรัพย์มหาศาลที่บริษัทเก็บไว้อยู่ จะแสดงมูลค่าของมันออกมาให้เห็นได้ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้
3. หุ้นที่ผมขาดทุน ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ผมไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร เพราะการเพียงนั่งอ่านข้อมูลเพียงอย่างเดียวอาจจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทได้พอสมควร แต่ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของผู้บริหาร หรือข้อมูลเชิงลึกหลายๆอย่างเกี่ยวกับธุรกิจและบริษัทนั้น จะหาได้ยากมากถ้าไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหาร ที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยจะเข็ดเท่าไหร่.. เพราะผิดข้อนี้ซ้ำๆอยู่หลายรอบ เนื่องจากหุ้นบางตัวเราหาโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารได้ยาก (จะมีก็เฉพาะงานประชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้น) หลายครั้งผมอ่านข้อมูลหุ้น หรือข่าวบางชิ้นก็ทำให้อยากซื้อหุ้นทันที เพราะรู้สึกว่ากว่าจะรอให้ประชุมผู้ถือหุ้นก็คงไม่ทันการณ์ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะหุ้นพวกนี้เป็นประจำ... ตอนนี้ผมเลยพยายามตั้งกฏขึ้นมาให้ตัวเองว่า "การลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ (เช่นเกิน 10% ของเงินลงทุน) ผมจะต้องได้คุยกับผู้บริหารก่อนเสมอ"
ยิ่งเราพบจุดอ่อนตัวเองและหาทางแก้ไขจุดอ่อนของเรามากเท่าไหร่ เราก็จะมีฝีมือในการลงทุนที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน.... การปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอนั้นสำคัญไม่เฉพาะเรื่องของการลงทุนเท่านั้นนะครับ ลองประยุกต์เอาไปใช้กับเรื่องนิสัยส่วนตัว การทำงาน หรือครอบครัว และจะรู้ว่าชีวิตคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา และเราก็พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพทั้งในแง่การเงินและการใช้ชีวิตครับ
ที่มา http://www.yoyoway.com/
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณทุกความเห็นได้ความรู้ดี