$$ รวมหุ้น Turnaround $$
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 211
บทความนี้ ผมเขียนไว้นานแล้วครับ ว่า...
ระหว่าง M-Money กับ M-Model นั้น M ไหนน่าจะสำคัญกว่ากัน?
บทวิจารณ์ : เรื่อง "Money&Model นั้น...Mไหน สำคัญกว่ากัน?"
By pak
ผมขอเริ่มต้นบทความนี้ ด้วยประโยคที่ผมเคยได้ยินมานานแล้ว ที่ว่า...
"ก่อนที่บริษัทฯใดบริษัทฯหนึ่ง จะนำหุ้นเข้ามา IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จะต้องมีการ "แต่งหน้าทาปาก" ให้ดูดีเสมอๆ
เพื่อให้ บริษัทฯสามารถขายหุ้น IPO ได้ในราคาที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้..."[/b]
คำเปรียบเปรยที่ว่า "แต่งหน้าทาปาก" นั้น
ผมเข้าใจว่า น่าจะหมายถึง "งบที่ดูดี"
ไม่ว่าจะเป็น "ผลประกอบการ, ทรัพย์สิน, หนี้สิน, เงินสดในมือ, สินค้าคงคลัง, Backlog, ความสามารถในการจ่ายเงินปันผล และอื่นๆอีกมากมาย"
และนอกจากบริษัทฯจะพยายามทำ Performance ของบริษัทฯให้ดูดีแล้ว...
การจะนำหุ้นเข้า IPO นั้น...โดยส่วนมากเค้าจะพยายามเลือกเข้าใน "จังหวะเวลา(Timming)ที่เหมาะสม" ด้วย
เพื่อให้อารมณ์ หรือ Mood ของนักลงทุนในตลาดฯ มีมุมมองในเชิงบวกกับการซื้อขายหุ้นบนกระดานด้วย
"การเพิ่มทุน"...ก็เป็นเช่นเดียวกัน!!!
บริษัทฯมักจะเลือกเพิ่มทุน ในช่วงเวลาที่บริษัทฯมีความพร้อม และเป็น Timming ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบริษัทฯเช่นกัน
...ผมคิดแบบนั้นนะครับ
กลับมาถึงคำถามที่ผมตั้งไว้ในชื่อบทความของผม ที่ว่า...
"Money&Model นั้น...Mไหน สำคัญกว่ากัน?"
สำหรับความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมมีมุมมองว่า...
คนมากมายที่มีเงินทุน หรือ Money มากมาย
(ตอนนี้เราเจอน้ำท่วมเมืองไทย แต่ในขณะเดียวกัน...เงินก็สามารถท่วมโลกได้เช่นกัน!!!)
แต่เค้าก็ไม่รู้จะนำเงินมากมายเหล่านั้นไปลงทุนอะไรดี!!!
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่เห็น "Model ในทางธุรกิจที่ดี และน่าสนใจ" มากเพียงพอ
ผมเองคิดว่า...
"ถ้าเรามี Model ทางธุรกิจที่ดีเพียงพอแล้ว เงิน(หรือ Money)หน่ะ น่าจะหาไม่ยากหรอกครับ"
ถ้าธุรกิจเราดีจริง ใครๆก็คงจะอยากร่วมลงทุนด้วยอยู่แล้ว
^
^
ว่าแต่...ธุรกิจที่เรามองไว้ มันดีเพียงพอจริงหรือเปล่า?
นี่ต่างหาก...ที่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด!!!
และเป็นปัจจัยสำคัญในการคัดเลือกหุ้น Turnaround ที่ดีเช่นเดียวกัน
pak
(^_^)
ระหว่าง M-Money กับ M-Model นั้น M ไหนน่าจะสำคัญกว่ากัน?
บทวิจารณ์ : เรื่อง "Money&Model นั้น...Mไหน สำคัญกว่ากัน?"
By pak
ผมขอเริ่มต้นบทความนี้ ด้วยประโยคที่ผมเคยได้ยินมานานแล้ว ที่ว่า...
"ก่อนที่บริษัทฯใดบริษัทฯหนึ่ง จะนำหุ้นเข้ามา IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จะต้องมีการ "แต่งหน้าทาปาก" ให้ดูดีเสมอๆ
เพื่อให้ บริษัทฯสามารถขายหุ้น IPO ได้ในราคาที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้..."[/b]
คำเปรียบเปรยที่ว่า "แต่งหน้าทาปาก" นั้น
ผมเข้าใจว่า น่าจะหมายถึง "งบที่ดูดี"
ไม่ว่าจะเป็น "ผลประกอบการ, ทรัพย์สิน, หนี้สิน, เงินสดในมือ, สินค้าคงคลัง, Backlog, ความสามารถในการจ่ายเงินปันผล และอื่นๆอีกมากมาย"
และนอกจากบริษัทฯจะพยายามทำ Performance ของบริษัทฯให้ดูดีแล้ว...
การจะนำหุ้นเข้า IPO นั้น...โดยส่วนมากเค้าจะพยายามเลือกเข้าใน "จังหวะเวลา(Timming)ที่เหมาะสม" ด้วย
เพื่อให้อารมณ์ หรือ Mood ของนักลงทุนในตลาดฯ มีมุมมองในเชิงบวกกับการซื้อขายหุ้นบนกระดานด้วย
"การเพิ่มทุน"...ก็เป็นเช่นเดียวกัน!!!
บริษัทฯมักจะเลือกเพิ่มทุน ในช่วงเวลาที่บริษัทฯมีความพร้อม และเป็น Timming ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบริษัทฯเช่นกัน
...ผมคิดแบบนั้นนะครับ
กลับมาถึงคำถามที่ผมตั้งไว้ในชื่อบทความของผม ที่ว่า...
"Money&Model นั้น...Mไหน สำคัญกว่ากัน?"
สำหรับความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมมีมุมมองว่า...
คนมากมายที่มีเงินทุน หรือ Money มากมาย
(ตอนนี้เราเจอน้ำท่วมเมืองไทย แต่ในขณะเดียวกัน...เงินก็สามารถท่วมโลกได้เช่นกัน!!!)
แต่เค้าก็ไม่รู้จะนำเงินมากมายเหล่านั้นไปลงทุนอะไรดี!!!
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่เห็น "Model ในทางธุรกิจที่ดี และน่าสนใจ" มากเพียงพอ
ผมเองคิดว่า...
"ถ้าเรามี Model ทางธุรกิจที่ดีเพียงพอแล้ว เงิน(หรือ Money)หน่ะ น่าจะหาไม่ยากหรอกครับ"
ถ้าธุรกิจเราดีจริง ใครๆก็คงจะอยากร่วมลงทุนด้วยอยู่แล้ว
^
^
ว่าแต่...ธุรกิจที่เรามองไว้ มันดีเพียงพอจริงหรือเปล่า?
นี่ต่างหาก...ที่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด!!!
และเป็นปัจจัยสำคัญในการคัดเลือกหุ้น Turnaround ที่ดีเช่นเดียวกัน
pak
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re:
โพสต์ที่ 212
^pak เขียน:ขออนุญาตินำเสนออีกบริษัทฯหนึ่งเอาไว้
เพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป
บริษัทฯที่ยังคาบลูกคาบดอก และมีความเสี่ยงมากทีเดียว
บริษัทฯขนาดเล็กๆ แต่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
บริษัทฯที่มีฐานะและผลกอบการย่ำแย่ แต่กลับมีสินค้าบริการ และรายชื่อลูกค้าที่ไม่ธรรมดา
"จะฟื้นหรือฟุบยาว" ยังไม่มีตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน!!!
PAE ครับผม
^
ผมเริ่มลงทุนในหุ้นตัวนี้ในวันที่ 1 ต.ค. 53
และได้นำเสนอหุ้นโดย Post ไว้ในในกระทู้นี้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 53
1 ปีผ่านไป...เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
คำตอบเป็นดังนี้ขอรับ
สรุปเหตุการณ์สำคัญของ PAE ในปี 2553
สรุปเหตุการณ์สำคัญของ PAE ในปี 2554
เห็นไหมครับ ว่าเราไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่อง "ราคา" กันเลย!!!
เราเพียงดู Story และผลประกอบการ(เปรียบเทียบกับ Business Plan)...นั่นก็เพียงพอแล้ว
หุ้นลง...ผมก็ยังไม่ขาย
หุ้นขึ้น...ผมก็ยังไม่ขาย
อืมมม...แล้วผมจะสนใจราคา(ในระยะสั้นๆ)ไปเพื่อ???
ถ้ามีโอกาส ไว้ปีหน้าเรามาดูกันใหม่นะครับ
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปได้บ้าง
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 213
KAMART และบ.ย่อย ไตรมาส 3/54 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 60 ลบ.
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 9 พฤศจิกายน 2554 17:20:49 น.
บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการ(รวมบริษัทย่อย)
งวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 สรุปได้ดังนี้
สอบทาน/ตรวจสอบ
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาส 3 งวด 9 เดือน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 60,004 3,201 81,696 (24,458)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.10 0.01 0.14 (0.04)
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 9 พฤศจิกายน 2554 17:20:49 น.
บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการ(รวมบริษัทย่อย)
งวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 สรุปได้ดังนี้
สอบทาน/ตรวจสอบ
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาส 3 งวด 9 เดือน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 60,004 3,201 81,696 (24,458)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.10 0.01 0.14 (0.04)
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 214
EE พุ่ง 24% หลังงบฯ Q3/54 พลิกเป็นกำไร,ไม่มีขาดทุน FX-รายได้ดบ.สูงขึ้น
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 9 พฤศจิกายน 2554 10:17:50 น.
หุ้น EE ราคาพุ่งพรวดขึ้น 24% มาอยู่ที่ 0.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท มูลค่าซื้อขาย 2.66 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 0.52 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.62 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.52 บาท
บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี(EE)และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/54 มีกำไรสุทธิ 8.04 แสนบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0003 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 16.61 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.006 บาท
พร้อมชี้แจงว่ากำไรงวด 9 เดือนของบริษัท และบริษัทย่อย สิ้นสุด 30 ก.ย.2554 มีผลขาดทุน 10.28 ล้านบาท ลดลง จำนวน 28.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 มีผลขาดทุน 38.70 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้ดอกเบี้ยรับที่สูงขึ้น
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 9 พฤศจิกายน 2554 10:17:50 น.
หุ้น EE ราคาพุ่งพรวดขึ้น 24% มาอยู่ที่ 0.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท มูลค่าซื้อขาย 2.66 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 0.52 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.62 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.52 บาท
บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี(EE)และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/54 มีกำไรสุทธิ 8.04 แสนบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0003 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 16.61 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.006 บาท
พร้อมชี้แจงว่ากำไรงวด 9 เดือนของบริษัท และบริษัทย่อย สิ้นสุด 30 ก.ย.2554 มีผลขาดทุน 10.28 ล้านบาท ลดลง จำนวน 28.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 มีผลขาดทุน 38.70 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้ดอกเบี้ยรับที่สูงขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 215
TSF รออีกหน่อย คาดว่าน่าจะดีขึ้นอีก ไม่เกิน 15/11/ 2011 นี้ประกาศแล้ว
ดูงบหกเดือนแรกไปก่อนคับ
หลักทรัพย์ TSF
แหล่งข่าว TSF
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 2 F45-3
วันที่/เวลา 11 ส.ค. 2554 09:15:00
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 30 มิถุนายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 14,219 (8,691) 21,943 (7,305)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.013 (0.019) 0.021 (0.016)
ต่อหุ้น (บาท)
ดูงบหกเดือนแรกไปก่อนคับ
หลักทรัพย์ TSF
แหล่งข่าว TSF
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 2 F45-3
วันที่/เวลา 11 ส.ค. 2554 09:15:00
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 30 มิถุนายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 14,219 (8,691) 21,943 (7,305)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.013 (0.019) 0.021 (0.016)
ต่อหุ้น (บาท)
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 216
มองหาหุ้น Turnaround
จากการตอบกระทู้ในเว็บไซต์ By pak , 17 พ.ย. 54
ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า...
เรามิอาจ "มองหา" หุ้น Turnaround ได้จากงบการเงินเพียงอย่างเดียว!!!
เพราะงบการเงิน มักจะเป็น "อดีต" หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
และก็มิได้บ่งบอกอนาคตมากมายนัก
แต่การ "มองหา" หุ้น Turnaround ที่แท้จริง เราอาจต้องมองลึกลงไปถึง "แก่นแท้" ของธุรกิจนั้นๆ
มองหา "ปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป"
เช่น Strategy ที่เปลี่ยนแปลงไป , การปรับลดค่าใช้จ่าย , การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร , การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และ การเปลี่ยนแปลง Business Model ฯลฯ
"มอง" ไปยังหุ้น และ "หา" ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น
เสมือนว่าเรากำลังจะเข้าไปนั่งเป็นบอร์ดคนหนึ่งของบริษัทฯนั้นๆ
และจงเปรียบเทียบโอกาสเติบโตในอนาคต
"Growth" และ "Sustainable" คือ จุดวกกลับของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เสมอ
ถ้าคุณยังไม่อาจจะ Present หุ้นของคุณต่อผู้อื่นได้ ว่า...
- หุ้นของคุณดีอย่างไร?
- อนาคตข้างหน้า 1 - 5 ปี ข้างหน้า บริษัทฯน่าจะเป็นอย่างไร?
- SWOT ของบริษัทคืออะไร?
- อะไรคือ ความได้เปรียบคู่แข่ง(Competitive Advantage)ของบริษัทฯของคุณ?
ฯลฯ
"ถ้าคุณยังอธิบายคนอื่นไม่ได้ อย่าเพิ่งซื้อหุ้นลงทุนเลยครับ กลับไปทำการบ้านใหม่เสียก่อนจะดีกว่า!!!"
แกะงบ = "จับผิด"
แต่ถ้าเรา "ไว้ใจ" เราก็อาจจะอ่านงบการเงินแบบคร่าวๆก็ย่อมได้
เอาเวลามานั่งศึกษา Business Model และ Forecast อนาคตน่าจะดีกว่า
และเราต้องคอยตรวจสอบว่า งบการเงินที่ออกมา สอดคล้องกับสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้หรือไม่?
ก่อนลงทุน...ควรหาเวลานั่งคุยกับผู้บริหารก่อนนะครับ
ซึ่งมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยาก หรือเป็นสิ่งที่ไปไม่ได้นะครับ เช่น...
เราอาจใช้โอกาสในช่วงเวลาของ การประชุม AGM หรือ Opp Day
ถามสิ่งที่คุณ "คาใจ" เสียให้หมดครับ
และสุดท้าย...
อย่าหวั่นไหวกับความเห็นของคนรอบข้างครับ
วันนี้ หุ้นของเรา อาจเป็นเพียง "หุ้นแห่งความคาดหวัง(ลมๆแล้งๆ)ในสายตาของคนอื่น"
แต่ลึกๆ เรารู้ว่า มันคือ "หุ้นแห่งความมั่นใจ" ของเรา
ลงทุนหุ้น Turnaround...บางครั้งเราต้องอดทน "กลืนเลือด" บ้าง!!!
เพราะหุ้นของเรา มัน "ห่วย" ในสายตาคนอื่น!!!
แต่มันกลับมี "คุณค่า" อย่างยิ่งในสายตาของเรา
มนุษย์จะหลงเหลือสิ่งใดให้เชื่อ หากปราศจากแล้วซึ่ง "ศรัทธา"
ผมยอมขาย NC ทั้งๆที่รู้ว่ากำลังจะมีการกลับรายการ(ใหญ่ๆ)อยู่
ผมยอมขาย FOCUS ทั้งๆที่รู้ว่ากำลังจะรับรู้รายได้(มาก)จากโครงการที่จะโอนใน Q4 นี้
แต่เพื่อ "ความฝัน" บางครั้งเราก็ต้อง "เจ็บปวด" บ้าง
ความกล้า กับ ความบ้า(บิ่น)...อยู่ห่างกันไม่มากนัก
มองและหา , อ่านให้มาก, หาข้อมูลให้ได้มากที่สุด และจงเชื่อหัวใจของตัวเองนะครับ
ด้วยความเคารพ
pak
จากการตอบกระทู้ในเว็บไซต์ By pak , 17 พ.ย. 54
ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า...
เรามิอาจ "มองหา" หุ้น Turnaround ได้จากงบการเงินเพียงอย่างเดียว!!!
เพราะงบการเงิน มักจะเป็น "อดีต" หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
และก็มิได้บ่งบอกอนาคตมากมายนัก
แต่การ "มองหา" หุ้น Turnaround ที่แท้จริง เราอาจต้องมองลึกลงไปถึง "แก่นแท้" ของธุรกิจนั้นๆ
มองหา "ปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป"
เช่น Strategy ที่เปลี่ยนแปลงไป , การปรับลดค่าใช้จ่าย , การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร , การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และ การเปลี่ยนแปลง Business Model ฯลฯ
"มอง" ไปยังหุ้น และ "หา" ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น
เสมือนว่าเรากำลังจะเข้าไปนั่งเป็นบอร์ดคนหนึ่งของบริษัทฯนั้นๆ
และจงเปรียบเทียบโอกาสเติบโตในอนาคต
"Growth" และ "Sustainable" คือ จุดวกกลับของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เสมอ
ถ้าคุณยังไม่อาจจะ Present หุ้นของคุณต่อผู้อื่นได้ ว่า...
- หุ้นของคุณดีอย่างไร?
- อนาคตข้างหน้า 1 - 5 ปี ข้างหน้า บริษัทฯน่าจะเป็นอย่างไร?
- SWOT ของบริษัทคืออะไร?
- อะไรคือ ความได้เปรียบคู่แข่ง(Competitive Advantage)ของบริษัทฯของคุณ?
ฯลฯ
"ถ้าคุณยังอธิบายคนอื่นไม่ได้ อย่าเพิ่งซื้อหุ้นลงทุนเลยครับ กลับไปทำการบ้านใหม่เสียก่อนจะดีกว่า!!!"
แกะงบ = "จับผิด"
แต่ถ้าเรา "ไว้ใจ" เราก็อาจจะอ่านงบการเงินแบบคร่าวๆก็ย่อมได้
เอาเวลามานั่งศึกษา Business Model และ Forecast อนาคตน่าจะดีกว่า
และเราต้องคอยตรวจสอบว่า งบการเงินที่ออกมา สอดคล้องกับสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้หรือไม่?
ก่อนลงทุน...ควรหาเวลานั่งคุยกับผู้บริหารก่อนนะครับ
ซึ่งมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยาก หรือเป็นสิ่งที่ไปไม่ได้นะครับ เช่น...
เราอาจใช้โอกาสในช่วงเวลาของ การประชุม AGM หรือ Opp Day
ถามสิ่งที่คุณ "คาใจ" เสียให้หมดครับ
และสุดท้าย...
อย่าหวั่นไหวกับความเห็นของคนรอบข้างครับ
วันนี้ หุ้นของเรา อาจเป็นเพียง "หุ้นแห่งความคาดหวัง(ลมๆแล้งๆ)ในสายตาของคนอื่น"
แต่ลึกๆ เรารู้ว่า มันคือ "หุ้นแห่งความมั่นใจ" ของเรา
ลงทุนหุ้น Turnaround...บางครั้งเราต้องอดทน "กลืนเลือด" บ้าง!!!
เพราะหุ้นของเรา มัน "ห่วย" ในสายตาคนอื่น!!!
แต่มันกลับมี "คุณค่า" อย่างยิ่งในสายตาของเรา
มนุษย์จะหลงเหลือสิ่งใดให้เชื่อ หากปราศจากแล้วซึ่ง "ศรัทธา"
ผมยอมขาย NC ทั้งๆที่รู้ว่ากำลังจะมีการกลับรายการ(ใหญ่ๆ)อยู่
ผมยอมขาย FOCUS ทั้งๆที่รู้ว่ากำลังจะรับรู้รายได้(มาก)จากโครงการที่จะโอนใน Q4 นี้
แต่เพื่อ "ความฝัน" บางครั้งเราก็ต้อง "เจ็บปวด" บ้าง
ความกล้า กับ ความบ้า(บิ่น)...อยู่ห่างกันไม่มากนัก
มองและหา , อ่านให้มาก, หาข้อมูลให้ได้มากที่สุด และจงเชื่อหัวใจของตัวเองนะครับ
ด้วยความเคารพ
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 217
TFD นี่พอไหวไหม????
หลักทรัพย์ TFD
แหล่งข่าว TFD
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 3 F45-3
วันที่/เวลา 10 พ.ย. 2554 17:17:00
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 113,123 (8,979) 116,583 147,920
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.1613 (0.0128) 0.1662 0.2109
ต่อหุ้น (บาท)
หลักทรัพย์ TFD
แหล่งข่าว TFD
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 3 F45-3
วันที่/เวลา 10 พ.ย. 2554 17:17:00
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 113,123 (8,979) 116,583 147,920
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.1613 (0.0128) 0.1662 0.2109
ต่อหุ้น (บาท)
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 218
TFD
อสังหาริมทรัพย์รอการขาย 1,098.78
http://www.set.or.th/set/companyfinance ... country=TH
คอนโดสามแห่่งลุ้นโอนให้ได้สักครึ่งเดียวก็กำไรโตระเบิดแล้วครับ สำหรับไตรมาสสี่
อสังหาริมทรัพย์รอการขาย 1,098.78
http://www.set.or.th/set/companyfinance ... country=TH
คอนโดสามแห่่งลุ้นโอนให้ได้สักครึ่งเดียวก็กำไรโตระเบิดแล้วครับ สำหรับไตรมาสสี่
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 219
ผมอ่านบทความนี้จาก cway-Investment แล้วรู้สึกชอบมากๆครับ
จึงขอนำมาแชร์ในกระทู้นี้อีกครั้งหนึ่งนะครับ
จึงขอนำมาแชร์ในกระทู้นี้อีกครั้งหนึ่งนะครับ
pak เขียน:และในห้วงเวลาเช่นนี้ ก่อนที่งบของบริษัทฯเราจะประกาศออกมา...
ผมเองคงไม่มีสิ่งใดจะมาแชร์ นอกจาก "บทความดีๆ(ที่ผมไปอ่านเจอมา)"
ซึ่งบทความนี้ ผมอ่านแล้วรู้สึกว่า "เห็นภาพชัดเจน" และ "ชอบมากๆเป็นการส่วนตัว"
ผมจึงได้ทำการคัดลอกมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะขอรับ
เผื่อจะเป็น "แง่คิดมุมใหม่ๆ" ในการลงทุนของพวกเรานะครับ (^_^)
v
v
v
================================================
"ผมกล้ายืนยันได้เลยว่า แท้จริงแล้วเราไม่ได้แข่งกับรายใหญ่ เราไม่ได้แข่งกับเจ้ามือ
แต่เราแข่งกับตัวเอง การเล่นหุ้น หรือการลงทุนระยะสั้นคล้ายกับการเล่นกอล์ฟ นั้นคือเราต้องแข่งกับตัวเอง
แม้จะตีออกรอบกับหลายคน เราไม่ได้นำพละกำลัง หรือทักษะไปแข่งขันโดยตรงกับคู่แข่ง
แต่กอล์ฟเน้นไปที่การตีให้ดีที่สุด ชนะความกดดัน ทำทุกช็อตให้สมบูรณ์แบบที่วางแผนไว้
แตกต่างจากมวย ที่เน้นการประหัดประหาร เอาชนะกันแบบหมัดต่อหมัด
เพราะฉนั้นเมื่อการเล่นหุ้น คล้ายการเล่นกอล์ฟ คุณจะไปกังวลทำไมว่า
คู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ ตีไกล หรือแข็งแรงแค่ไหน
เพียงแค่ทำให้ดีที่สุด เล่นให้เกมส์ที่เราวางแผนไว้ ก็เพียงพอแล้ว..."
================================================
Credit บทความ : cway-Investment
ที่มา : http://cway-investment.blogspot.com/201 ... st_16.html
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 220
TFD อีกเสียงครับ
กรุงเทพธุรกิจ
ทีเอฟดี" ทุ่มงบ 3.2 พันล้าน เปิดคอนโดมิเนียมในย่านหัวหิน คาดปีหน้าทำเลชายทะเลบูม รับดีมานด์ผู้บริโภคซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง พร้อมขยายเฟส 2
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (ทีเอฟดี) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บนเนื้อที่กว่า 7 ไร่ บริเวณเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้ชื่อ “เดอะ โคโลเนียล เขาเต่า หัวหิน” มูลค่าการลงทุน 3,200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายภายในช่วงสิ้นปีนี้
โครงการดังกล่าว เป็นอาคารสูง 28 ชั้นจำนวน 2 อาคาร จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 381 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 57 ตร.ม.ขึ้นไป โดยโครงการได้รับใบอนุญาตอีไอเอ รวมถึงใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน มี.ค.2555
"มองว่าปีหน้าตลาดคอนโดมิเนียมจะขยายตัวอย่างมาก หลังจากเกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อคอนโดมิเนียมเป็นบ้านหลังที่ 2 และพื้นที่แถบชายทะเลทั้งฝั่งตะวันออกและหัวหินจะเป็นอีกทำเลขายดีในปีหน้า" นายอภิชัยกล่าว
นอกจากนี้ พบว่าหลังจากเกิดปัญหาน้ำท่วม 7 นิคมอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทที่มีโรงงานอยู่ในนิคมเหล่านั้น ได้ติดต่อเพื่อเตรียมย้ายโรงงานมาตั้งถาวรที่นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีของบริษัท ตั้งอยู่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว บริษัทเตรียมจะขยายเฟส 2 เพิ่มอีกมีเนื้อที่ 800 ไร่ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า
"แม้ว่าที่ตั้งของนิคมทีเอฟดี จะไม่ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่เพื่อสร้างความมั่นใจ จะมีการทำกำแพงคอนกรีตสูง 3-4 เมตร เนื่องจากตัวนิคมอุตสาหกรรมอยู่ใกล้โรงงานของ โตโยต้า ทำให้ปัจจุบันมีซัพพลายเออร์ของโตโยต้าเข้ามาตั้งโรงงานอยู่จำนวนมาก และด้วยทำเลที่ไม่ถูกน้ำท่วม คาดว่าจะทำให้มีโรงงานต่างๆ 10-20% จากใน 7 นิคมฯ ติดต่อเข้ามาตั้งโรงงานถาวรเพิ่ม" นายอภิชัยกล่าว
สำหรับผลประกอบการของทีเอฟดีในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวม 1,362 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมตั้งไว้ 800 ล้านบาท และสูงกว่ารายได้รวมปี 2553 ที่ทำได้กว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการย้ายฐานของโรงงานอุตสาหกรรมหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม
ข่าวหุ้น-การเงิน หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 01:48:00 น.
นอกจากนี้ยังมีที่ดินสะสมที่เขาใหญ่อีก141 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรมแบบอนุรักษ์นิยมและไทม์แชร์ คาดว่าจะเริ่มพัฒนาในปลายปี2555 ส่วนในปี2554 นี้รายได้หลักของบริษัทฯจะมาจากการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 100% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,962 ล้านบาท เกินเป้าที่ตั้งไว้ 700-800 ล้านบาท มากกว่าปี 2553 ที่มีรายได้ 362 ล้านบาท
ผลประกอบการ 9 เดือน มีรายได้ 766 ล้านบาท กำไร0.17บาทต่อหุ้น
รายได้ 10 เดือน 1362 ล้านบาท
ประมาณการปี 2554 คาดว่า 1962ล้านบาท คาดว่ากำไร ระเบิดเถิดเทิงแน่
ปี2553 มีรายได้รวม 362 ล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ
ทีเอฟดี" ทุ่มงบ 3.2 พันล้าน เปิดคอนโดมิเนียมในย่านหัวหิน คาดปีหน้าทำเลชายทะเลบูม รับดีมานด์ผู้บริโภคซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง พร้อมขยายเฟส 2
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (ทีเอฟดี) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บนเนื้อที่กว่า 7 ไร่ บริเวณเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้ชื่อ “เดอะ โคโลเนียล เขาเต่า หัวหิน” มูลค่าการลงทุน 3,200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายภายในช่วงสิ้นปีนี้
โครงการดังกล่าว เป็นอาคารสูง 28 ชั้นจำนวน 2 อาคาร จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 381 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 57 ตร.ม.ขึ้นไป โดยโครงการได้รับใบอนุญาตอีไอเอ รวมถึงใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน มี.ค.2555
"มองว่าปีหน้าตลาดคอนโดมิเนียมจะขยายตัวอย่างมาก หลังจากเกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อคอนโดมิเนียมเป็นบ้านหลังที่ 2 และพื้นที่แถบชายทะเลทั้งฝั่งตะวันออกและหัวหินจะเป็นอีกทำเลขายดีในปีหน้า" นายอภิชัยกล่าว
นอกจากนี้ พบว่าหลังจากเกิดปัญหาน้ำท่วม 7 นิคมอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทที่มีโรงงานอยู่ในนิคมเหล่านั้น ได้ติดต่อเพื่อเตรียมย้ายโรงงานมาตั้งถาวรที่นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีของบริษัท ตั้งอยู่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว บริษัทเตรียมจะขยายเฟส 2 เพิ่มอีกมีเนื้อที่ 800 ไร่ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า
"แม้ว่าที่ตั้งของนิคมทีเอฟดี จะไม่ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่เพื่อสร้างความมั่นใจ จะมีการทำกำแพงคอนกรีตสูง 3-4 เมตร เนื่องจากตัวนิคมอุตสาหกรรมอยู่ใกล้โรงงานของ โตโยต้า ทำให้ปัจจุบันมีซัพพลายเออร์ของโตโยต้าเข้ามาตั้งโรงงานอยู่จำนวนมาก และด้วยทำเลที่ไม่ถูกน้ำท่วม คาดว่าจะทำให้มีโรงงานต่างๆ 10-20% จากใน 7 นิคมฯ ติดต่อเข้ามาตั้งโรงงานถาวรเพิ่ม" นายอภิชัยกล่าว
สำหรับผลประกอบการของทีเอฟดีในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวม 1,362 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมตั้งไว้ 800 ล้านบาท และสูงกว่ารายได้รวมปี 2553 ที่ทำได้กว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการย้ายฐานของโรงงานอุตสาหกรรมหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม
ข่าวหุ้น-การเงิน หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 01:48:00 น.
นอกจากนี้ยังมีที่ดินสะสมที่เขาใหญ่อีก141 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรมแบบอนุรักษ์นิยมและไทม์แชร์ คาดว่าจะเริ่มพัฒนาในปลายปี2555 ส่วนในปี2554 นี้รายได้หลักของบริษัทฯจะมาจากการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 100% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,962 ล้านบาท เกินเป้าที่ตั้งไว้ 700-800 ล้านบาท มากกว่าปี 2553 ที่มีรายได้ 362 ล้านบาท
ผลประกอบการ 9 เดือน มีรายได้ 766 ล้านบาท กำไร0.17บาทต่อหุ้น
รายได้ 10 เดือน 1362 ล้านบาท
ประมาณการปี 2554 คาดว่า 1962ล้านบาท คาดว่ากำไร ระเบิดเถิดเทิงแน่
ปี2553 มีรายได้รวม 362 ล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 222
ข่าวหุ้น-การเงิน หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 01:48:00 น.
ฉบับเต็ม
นายอภิชัย เตชะอุบล ที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด(มหาชน)หรือTFD เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดนิคมอุตสาหกรรมว่า ภายหลังจากที่เกิดอุทกภัย ได้มีผู้ประกอบการธุรกิจในนิคมฯต่างๆที่ประสบปัญหาน้ำท่วมต่างย้ายไปเช่าพื้นที่ในนิคมฯที่ไม่สบปัญหาเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าจะมีหลายรายย้ายโรงงานไปอยู่ในนิคมฯโซนตะวันออกมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีความจริงใจในการกู้ 7 นิคมฯให้ฟื้นตัวโดยเร็ว มิเช่นนั้นผู้ประกอบการโรงงานที่ส่วนใหญ่มาจากประเทศญี่ปุ่น จะถอนตัวไปลงทุนประเทศอื่นหมด
ในส่วนของ "นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี" ซึ่งตั้งอยู่ที่อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ในเฟส1 ซึ่งมีพื้นที่ 302.44 ไร่ล่าสุดได้มีลูกค้าญี่ปุ่นที่หนีปัญหาน้ำท่วมมาซื้อที่ดินของบริษัทฯเพื่อสร้างโรงงาน จำนวน 3 ราย รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท
และประมาณปลายไตรมาส1ปี2555 บริษัทฯมีแผนที่จะนำที่ดินอีก1,000 ไร่ เปิดการขายในเฟส2 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้งบในการพัฒนาพื้นที่และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างโรงงานสำเร็จรูปประมาณ 25% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยที่ดินเปล่าจะขายในราคาไร่ละ 6-6.5 ล้านบาท เป็นการปรับราคาขายขึ้นมาจากเดิมที่ 5.5 ล้านบาท/ไร่ และเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการที่เคยลงทุนพัฒนาโรงงานใน 7 นิคมฯที่ประสบปัญหาน้ำท่วมย้ายมาที่นิคมฯทีเอฟดี ประมาณ 20%
นอกจากนี้ยังมีที่ดินสะสมที่เขาใหญ่อีก141 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรมแบบอนุรักษ์นิยมและไทม์แชร์ คาดว่าจะเริ่มพัฒนาในปลายปี2555 ส่วนในปี2554 นี้รายได้หลักของบริษัทฯจะมาจากการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 100% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,962 ล้านบาท เกินเป้าที่ตั้งไว้ 700-800 ล้านบาท มากกว่าปี 2553 ที่มีรายได้ 362 ล้านบาท
ฉบับเต็ม
นายอภิชัย เตชะอุบล ที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด(มหาชน)หรือTFD เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดนิคมอุตสาหกรรมว่า ภายหลังจากที่เกิดอุทกภัย ได้มีผู้ประกอบการธุรกิจในนิคมฯต่างๆที่ประสบปัญหาน้ำท่วมต่างย้ายไปเช่าพื้นที่ในนิคมฯที่ไม่สบปัญหาเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าจะมีหลายรายย้ายโรงงานไปอยู่ในนิคมฯโซนตะวันออกมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีความจริงใจในการกู้ 7 นิคมฯให้ฟื้นตัวโดยเร็ว มิเช่นนั้นผู้ประกอบการโรงงานที่ส่วนใหญ่มาจากประเทศญี่ปุ่น จะถอนตัวไปลงทุนประเทศอื่นหมด
ในส่วนของ "นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี" ซึ่งตั้งอยู่ที่อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ในเฟส1 ซึ่งมีพื้นที่ 302.44 ไร่ล่าสุดได้มีลูกค้าญี่ปุ่นที่หนีปัญหาน้ำท่วมมาซื้อที่ดินของบริษัทฯเพื่อสร้างโรงงาน จำนวน 3 ราย รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท
และประมาณปลายไตรมาส1ปี2555 บริษัทฯมีแผนที่จะนำที่ดินอีก1,000 ไร่ เปิดการขายในเฟส2 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้งบในการพัฒนาพื้นที่และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างโรงงานสำเร็จรูปประมาณ 25% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยที่ดินเปล่าจะขายในราคาไร่ละ 6-6.5 ล้านบาท เป็นการปรับราคาขายขึ้นมาจากเดิมที่ 5.5 ล้านบาท/ไร่ และเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการที่เคยลงทุนพัฒนาโรงงานใน 7 นิคมฯที่ประสบปัญหาน้ำท่วมย้ายมาที่นิคมฯทีเอฟดี ประมาณ 20%
นอกจากนี้ยังมีที่ดินสะสมที่เขาใหญ่อีก141 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรมแบบอนุรักษ์นิยมและไทม์แชร์ คาดว่าจะเริ่มพัฒนาในปลายปี2555 ส่วนในปี2554 นี้รายได้หลักของบริษัทฯจะมาจากการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 100% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,962 ล้านบาท เกินเป้าที่ตั้งไว้ 700-800 ล้านบาท มากกว่าปี 2553 ที่มีรายได้ 362 ล้านบาท
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Re:
โพสต์ที่ 223
pak เขียน:^pak เขียน:ขออนุญาตินำเสนออีกบริษัทฯหนึ่งเอาไว้
เพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป
บริษัทฯที่ยังคาบลูกคาบดอก และมีความเสี่ยงมากทีเดียว
บริษัทฯขนาดเล็กๆ แต่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
บริษัทฯที่มีฐานะและผลกอบการย่ำแย่ แต่กลับมีสินค้าบริการ และรายชื่อลูกค้าที่ไม่ธรรมดา
"จะฟื้นหรือฟุบยาว" ยังไม่มีตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน!!!
PAE ครับผม
^
ผมเริ่มลงทุนในหุ้นตัวนี้ในวันที่ 1 ต.ค. 53
และได้นำเสนอหุ้นโดย Post ไว้ในในกระทู้นี้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 53
1 ปีผ่านไป...เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
คำตอบเป็นดังนี้ขอรับ
สรุปเหตุการณ์สำคัญของ PAE ในปี 2553
สรุปเหตุการณ์สำคัญของ PAE ในปี 2554
เห็นไหมครับ ว่าเราไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่อง "ราคา" กันเลย!!!
เราเพียงดู Story และผลประกอบการ(เปรียบเทียบกับ Business Plan)...นั่นก็เพียงพอแล้ว
หุ้นลง...ผมก็ยังไม่ขาย
หุ้นขึ้น...ผมก็ยังไม่ขาย
อืมมม...แล้วผมจะสนใจราคา(ในระยะสั้นๆ)ไปเพื่อ???
ถ้ามีโอกาส ไว้ปีหน้าเรามาดูกันใหม่นะครับ
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปได้บ้าง
(^_^)
ข่าวงบการเงินวันนี้
25 พ.ย. 2554
เวลา หลักทรัพย์ หัวข้อข่าว รูปแบบข่าว
07:37:56 PAE สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 3 (F45-3) HTML PDF
หลักทรัพย์ PAE
แหล่งข่าว PAE
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 3 F45-3
วันที่/เวลา 25 พ.ย. 2554 07:37:56
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 8,775 (25,113) 28,698 (109,786)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.013 (0.037) 0.04 (0.16)
ต่อหุ้น (บาท)
งบการเงินเฉพาะกิจการ
ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 1,504 (14,933) 10,987 (75,945)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.002 (0.022) 0.02 (0.11)
ต่อหุ้น (บาท)
ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน
ไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต
หมายเหตุ
โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุประกอบ
งบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์
"ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบการเงิน
ฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต.
เรียบร้อยแล้ว"
ลงลายมือชื่อ ___________________________
( นางจินตนา กาวีวงศ์ )
กรรมการบริหาร
ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
______________________________________________________________________
อรุณสวัสดิ์
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 224
ตั้งแต่ผมเขียนกระทู้นี้มา สิ่งที่แอบเซ็งนิดๆ ก็คือ...
ในเว็บนี้อ่ะนะครับ
ที่ http://www.stock2morrow.com/showthread. ... 030&page=1
พอ Search Google ดวยคำว่า "หุ้น Turnaround" ก็จะเจอบทความแรกของผมที่เขียนเอาไว้ชิ้นนี้
เอาไปลง ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะเป็นการแชร์ข้อมูลและมุมมอง แต่...
อืมมม เอาข้อความไปลง จริงๆแล้วเค้าก็น่าจะใส่ "Credit" หรือ "ที่มา" กันสักหน่อยอ่ะนะขอรับ
แต่ไม่เป็นไรครับ "อัตตา" คือสิ่งที่เราต้องพยายาม "ละวาง" อยู่แล้ว
...บ่นไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้วซิเรา 555+
ปล.
อรุณสวัสดิ์เช่นกันครับ คุณ Ii'8N
(^_^)
ในเว็บนี้อ่ะนะครับ
ที่ http://www.stock2morrow.com/showthread. ... 030&page=1
พอ Search Google ดวยคำว่า "หุ้น Turnaround" ก็จะเจอบทความแรกของผมที่เขียนเอาไว้ชิ้นนี้
เอาไปลง ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะเป็นการแชร์ข้อมูลและมุมมอง แต่...
อืมมม เอาข้อความไปลง จริงๆแล้วเค้าก็น่าจะใส่ "Credit" หรือ "ที่มา" กันสักหน่อยอ่ะนะขอรับ
แต่ไม่เป็นไรครับ "อัตตา" คือสิ่งที่เราต้องพยายาม "ละวาง" อยู่แล้ว
...บ่นไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้วซิเรา 555+
ปล.
อรุณสวัสดิ์เช่นกันครับ คุณ Ii'8N
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 225
ผมเห็นน้องเม่ารวมเล่มการ์ตูน
...ผมเลยนึกถึงคุณ pak
แล้วขนาดหนุ่มน้อย "stock tomorrow" เขา่ยังเขียนอะไรออกมาเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่เพิ่งเรียนรู้มา เพิ่งลงสนาม กลิ่นนวมยังไม่เหม็นสาบ กางเกงนักมวยยังเหม็นใหม่อยู่เลย
แต่คุณ pak ความหล่อให้สาวกริ๊ดก็สูสีกับหนุ่มน้อยนั่น ว่ากันด้วยเนื้อหาสาระเรื่องนี้ของคุณ pak เขียนจากการผ่านกระบวนการคิด และการกลั่นกรองข้อมูลที่เข้าถึงเพื่อ "ลงทุน" มากกว่า "เล่นหุ้น" ประกอบด้วย methodology มากกว่าหลายขุม มี output ออกมาเป็นที่ปรากฎชัด ว่าสิ่งที่คิด ได้ลงมือทำผ่านการใช้งานจริงได้ผลแล้ว
ผมเลยคิดว่า บทความคุณ pak ที่เขียนๆมานั้น รวมเล่มได้เลยนะ เท่าที่มี อาจเป็นแค่ภาค 1 ก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้จบในคราวเดียวประเภทเล่มหนาหนุนนอน แล้วอาจเสริมด้วยตัวอย่างที่วิเคราะห์งบจริงของ turn around สักหน่้อย ให้ผู้อ่านได้กระชุ่มกระชวยด้วยการเรียนรู้จริงลงมือวิเคราะห์ตามได้ แล้วโชว์กลายๆ ด้วยว่า อันนี้แหละของจริง ลงมือทำจริงได้ต้องแบบนี้
ต่อไป เวลาใคร post จะได้มีคนพูดถึงว่า่ "เอ้อ เรื่องรวม turn around...คุณ pak เขารวมเล่มแล้วนะเห็นที่ SE-ED/B2S/นายอินทร์ ไปซื้อฉบับกระดาษจับต้องได้ดีกว่า เผื่อนั่งอ่านตอนรอรถเมล์หรือบนรถไฟฟ้า"
แล้วพอสักพัก อาจมีเล่มต่อไปให้แฟนๆ ติดตาม...
...ผมเลยนึกถึงคุณ pak
แล้วขนาดหนุ่มน้อย "stock tomorrow" เขา่ยังเขียนอะไรออกมาเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่เพิ่งเรียนรู้มา เพิ่งลงสนาม กลิ่นนวมยังไม่เหม็นสาบ กางเกงนักมวยยังเหม็นใหม่อยู่เลย
แต่คุณ pak ความหล่อให้สาวกริ๊ดก็สูสีกับหนุ่มน้อยนั่น ว่ากันด้วยเนื้อหาสาระเรื่องนี้ของคุณ pak เขียนจากการผ่านกระบวนการคิด และการกลั่นกรองข้อมูลที่เข้าถึงเพื่อ "ลงทุน" มากกว่า "เล่นหุ้น" ประกอบด้วย methodology มากกว่าหลายขุม มี output ออกมาเป็นที่ปรากฎชัด ว่าสิ่งที่คิด ได้ลงมือทำผ่านการใช้งานจริงได้ผลแล้ว
ผมเลยคิดว่า บทความคุณ pak ที่เขียนๆมานั้น รวมเล่มได้เลยนะ เท่าที่มี อาจเป็นแค่ภาค 1 ก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้จบในคราวเดียวประเภทเล่มหนาหนุนนอน แล้วอาจเสริมด้วยตัวอย่างที่วิเคราะห์งบจริงของ turn around สักหน่้อย ให้ผู้อ่านได้กระชุ่มกระชวยด้วยการเรียนรู้จริงลงมือวิเคราะห์ตามได้ แล้วโชว์กลายๆ ด้วยว่า อันนี้แหละของจริง ลงมือทำจริงได้ต้องแบบนี้
ต่อไป เวลาใคร post จะได้มีคนพูดถึงว่า่ "เอ้อ เรื่องรวม turn around...คุณ pak เขารวมเล่มแล้วนะเห็นที่ SE-ED/B2S/นายอินทร์ ไปซื้อฉบับกระดาษจับต้องได้ดีกว่า เผื่อนั่งอ่านตอนรอรถเมล์หรือบนรถไฟฟ้า"
แล้วพอสักพัก อาจมีเล่มต่อไปให้แฟนๆ ติดตาม...
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 226
ผมขอจองด้วย 1 เล่ม นะครับ พี่ Ii'8N +555
stock tomorrow นี่มันเป็นธุรกิจ
นายคนนั้นก็อาศัยแรงโปรโมต ประชาสัมพันธ์ซะ
stock tomorrow นี่มันเป็นธุรกิจ
นายคนนั้นก็อาศัยแรงโปรโมต ประชาสัมพันธ์ซะ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 227
เห็นด้วย100%untrataro25 เขียน:stock tomorrow นี่มันเป็นธุรกิจ
นายคนนั้นก็อาศัยแรงโปรโมต ประชาสัมพันธ์ซะ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 229
ข้อสังเกต : ทำไมการ Turnaround จึงไม่เคยเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น!!!
By pak , 30 พ.ย. 54
สิ่งที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมเรียกมันเพียงว่า "ข้อสังเกต"
..หาใช่ "บทความ" ไม่!!!
เพราะการเขียนบทความนั้น ผู้เขียนควรจะ "ตกผลึก" และมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ตนเองจะเขียนเสียก่อน
แต่สำหรับกรณีนี้ ผมต้องบอกตรงๆว่า...
ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญด้านบัญชี และยังมีประสบการณ์น้อยเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างชัดเจน
ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นเพียง "ข้อสังเกต" และเป็นเพียง "จิ๊กซอว์เล็กๆ" เพียงชิ้นหนึ่ง
เพื่อที่จะนำไว้เป็น "วัตถุดิบ" ในการเขียนบทความที่ดีต่อไปได้ในอนาคต
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม
ผมตั้งข้อสังเกตมั่วๆเอาไว้ว่า..."ทำไมการ Turnaround จึงไม่เคยเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น!!!"
เหตุผลหนึ่ง คือ "Change" ในบริษัทฯเกิดขึ้นได้อย่างช้าๆ อันเนื่องมาจาก "วัฒนธรรมเกรงใจกัน" หรือ "หยวนๆกันไป" ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กร และการเชิญคนออก(ในกรณีที่ศักยภาพน้อยกว่าเงินเดือนที่ได้รับ)
แต่อีกเหตผลหนึ่ง(ที่ซ่อนตัวอยู่) ผมมองว่า มันน่าจะมาจาก "Strategy" ใน 2 ด้าน ดังต่อไปนี้
1) การสร้าง Growth และภาพลักษณ์ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการ Turnaround แบบค่อยเป็นค่อยไป
2) กลยุทธ์ทางด้านภาษี
ซึ่งกลยุทธ์ทางด้านภาษีนี้เอง มีหลากหลายแง่มุมที่น่าสนใจยิ่งนัก นำมาซึ่งคำว่า "Backdoor Listing"
ซรวมทั้งผมมองว่า...
พวกเราน่าจะต้องคุ้นชินกับคำว่า "Tax Shield" พอสมควร ถ้าเราจะหันมาสนใจในเรื่องราวของ "หุ้น Turnaround"!!!
เพราะมันน่าจะนำมาสู้ความเข้าใจในเรื่องของ "ความสามารถในการทำกำไร(ที่ซ่อนตัวอยู่)" ในอีกรูปแบบหนึ่ง
BATA และ NC นั้น...กว่าจะ Turnaround ได้จากวิกฤติปี 2540 ยังต้องใช้เวลาร่วม 10 ปี!!!
ดังนั้น การ Turnaround ผมมองว่า "บริษัทฯไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วนัก"
สำหรับเรื่อง "Tax Shield" กับ "Key Word คำว่าตัวเลข Time Frame 5 ปี" นั้น จะเกี่ยวข้องด้วยขนาดไหน
ถ้าผมตกผลึกมากกว่านี้ ผมจะกลับมาเขียนบทความอีกครั้งนะครับ
วันนี้ผมจึงขอเขียน "ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ ขาดทุนสะสม และการนำไปใช้ประโยชน์" ก่อนแล้วกันนะครับ
ดังนี้
v
v
==================================================================
รายจ่ายที่หักได้เพิ่มขึ้น (4)
หลักการทั่วไปในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น กำหนดจัดเก็บจากกำไรสุทธิทางภาษีอากรเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากเงินได้สุทธิหรือเงินได้พึงประเมิน ดังนั้น ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประสบผลขาดทุนนอกจากไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นแล้ว ยังสามารถนำผลขาดทุนสุทธิไปหักเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี ตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร จึงขอนำมาเป็นประเด็น ปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา มีข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 รอบระยะเวลาบัญชี
วิสัชนา ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร โดยทั่วไปในทางบัญชีไม่ถือเป็นรายจ่าย แต่ในทางภาษีอากรกำหนดยอมให้นำมาถือเป็นรายจ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
1. ผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนๆ เว้นแต่ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
(1) โดยทั่วไปผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อนๆ จะนำมาถือเป็นรายจ่ายไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องต้องกัน ทั้งในทางบัญชีและในทางภาษีอากร
(2) อย่างไรก็ตาม ในทางภาษีอากร ยอมให้นำผลขาดทุนสุทธิออกมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิในทางภาษีอากรได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการดังต่อไปนี้
(ก) ต้องเป็นผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ซึ่งได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
(ข) ผลขาดทุนสุทธิดังกล่าว ต้องเป็นผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่นับย้อนหลังขึ้นไปไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
(ค) การนำผลขาดทุนสุทธิไปถือเป็นรายจ่าย ให้นำผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่เกิดขึ้นก่อน ไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่มีกำไรสุทธิเป็นปีแรก ในช่วงเวลาไม่เกิน 5 ปี หลังจากปีที่มีผลขาดทุนสุทธิดังกล่าว ตามหลักผลขาดทุนเกิดขึ้นก่อนให้นำมาหักก่อน (First-loss, First-use) ในกรณีที่ยังมีผลขาดทุนสุทธิเหลืออยู่ ก็ให้นำผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อไป ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น
(ง) ในการนำผลขาดทุนสุทธิยกมาถือเป็นรายจ่าย ให้นำมาหักเป็นรายจ่ายได้เพียงเท่าที่ไม่เกินกว่ากำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเท่านั้น
2. วิธีคำนวณผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน ที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
การคำนวณผลขาดทุนสุทธิมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน ที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ต้องคำนวณตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปีแรกที่มีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิยกมาจากรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อนดังนี้
(1) ให้นำผลกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีแรก ที่มีกำไรสุทธิมาตั้ง แล้วนับย้อนกลับขึ้นไป 5 ปีก่อนปีที่มีกำไรสุทธิ ดังกล่าว ให้นำผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีแรกในระยะเวลา 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชี ปีที่มีกำไรสุทธิมาหักเป็นรายจ่าย หากยังเหลือเป็นกำไรสุทธิ ให้นำผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อๆ มาในระยะเวลา 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่มีกำไรสุทธิมาหักเป็นรายจ่ายได้ต่อไป จนกว่าจะปรากฏผลดังนี้
(ก) ปรากฏผลเป็นกำไรสุทธิ ให้นำผลกำไรสุทธินั้นไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อไป
(ข) ปรากฏผลเป็นขาดทุนสุทธิ ซึ่งเป็นผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชี ปีที่นำผลขาดทุนสุทธิมาคำนวณหักเป็นรายจ่าย ให้หยุดคำนวณ ซึ่งเป็นผลให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าว
(2) ให้นำผลกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อมาตั้ง แล้วดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ (1) ข้างต้น
ปุจฉา มีแนวทางการวางแผนเกี่ยวกับผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบันอย่างไร
วิสัชนา ให้ดำเนินการวางแผนเกี่ยวกับผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
1. ผลขาดทุนสุทธิที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอาการ ต้องใช้ผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากรที่ได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว มิใช่ผลขาดทุนสุทธิทางบัญชีการเงินตามบัญชีกำไรขาดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไป
2. การประกอบกิจการในรูปของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล อาจมีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าการประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา หรือคณะบุคคล ในประเด็นที่กำหนดให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ หากมีผลขาดทุนสุทธินอกจากจะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว ยังสามารถยกยอดผลขาดทุนสุทธิไปหักเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อๆ ไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี
3. ให้พยายามสร้างรายได้และผลกำไรสุทธิ เพื่อนำผลขาดทุนสุทธิยกมาในรอบบัญชีปีก่อนมาหักเป็นรายจ่ายให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ โดยหากิจกรรมที่มีกำไรสูงเข้ามาในกิจการ
4. ในกรณีที่มีผลประกอบกิจการมีขาดทุนสุทธิมาก แต่ผู้ถือหุ้นต้องการเงินปันผลจากบริษัท อาจใช้วิธีการลดทุน เพื่อลดผลขาดทุนสะสมในทางบัญชี ซึ่งทำให้ไม่มีผลขาดทุนสะสมคงเหลืออีกต่อไป แต่ในทางภาษีอากร ยังคงมีสิทธินำผลขาดทุนสุทธิในส่วนที่ไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ถือเป็นรายจ่ายได้ และในขณะเดียวกัน กิจการก็สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
ที่มา : http://www.nationejobs.com/content/lega ... ?conno=166
==================================================================
และผมขอ Recommend บทความที่น่าสนใจมากๆอีกเรื่องหนึ่ง ชื่อ "ไม่ได้นำผลขาดทุนไปใช้ จะทำอย่างไรดี"
ที่ http://www.pattanakit.net/%E0%B8%A3%E0% ... B8%B5.html
ผมหวังว่า น่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเรื่อง หุ้น Turnaround บ้างนะครับ
By pak
By pak , 30 พ.ย. 54
สิ่งที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมเรียกมันเพียงว่า "ข้อสังเกต"
..หาใช่ "บทความ" ไม่!!!
เพราะการเขียนบทความนั้น ผู้เขียนควรจะ "ตกผลึก" และมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ตนเองจะเขียนเสียก่อน
แต่สำหรับกรณีนี้ ผมต้องบอกตรงๆว่า...
ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญด้านบัญชี และยังมีประสบการณ์น้อยเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างชัดเจน
ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นเพียง "ข้อสังเกต" และเป็นเพียง "จิ๊กซอว์เล็กๆ" เพียงชิ้นหนึ่ง
เพื่อที่จะนำไว้เป็น "วัตถุดิบ" ในการเขียนบทความที่ดีต่อไปได้ในอนาคต
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม
ผมตั้งข้อสังเกตมั่วๆเอาไว้ว่า..."ทำไมการ Turnaround จึงไม่เคยเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น!!!"
เหตุผลหนึ่ง คือ "Change" ในบริษัทฯเกิดขึ้นได้อย่างช้าๆ อันเนื่องมาจาก "วัฒนธรรมเกรงใจกัน" หรือ "หยวนๆกันไป" ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กร และการเชิญคนออก(ในกรณีที่ศักยภาพน้อยกว่าเงินเดือนที่ได้รับ)
แต่อีกเหตผลหนึ่ง(ที่ซ่อนตัวอยู่) ผมมองว่า มันน่าจะมาจาก "Strategy" ใน 2 ด้าน ดังต่อไปนี้
1) การสร้าง Growth และภาพลักษณ์ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการ Turnaround แบบค่อยเป็นค่อยไป
2) กลยุทธ์ทางด้านภาษี
ซึ่งกลยุทธ์ทางด้านภาษีนี้เอง มีหลากหลายแง่มุมที่น่าสนใจยิ่งนัก นำมาซึ่งคำว่า "Backdoor Listing"
ซรวมทั้งผมมองว่า...
พวกเราน่าจะต้องคุ้นชินกับคำว่า "Tax Shield" พอสมควร ถ้าเราจะหันมาสนใจในเรื่องราวของ "หุ้น Turnaround"!!!
เพราะมันน่าจะนำมาสู้ความเข้าใจในเรื่องของ "ความสามารถในการทำกำไร(ที่ซ่อนตัวอยู่)" ในอีกรูปแบบหนึ่ง
BATA และ NC นั้น...กว่าจะ Turnaround ได้จากวิกฤติปี 2540 ยังต้องใช้เวลาร่วม 10 ปี!!!
ดังนั้น การ Turnaround ผมมองว่า "บริษัทฯไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วนัก"
สำหรับเรื่อง "Tax Shield" กับ "Key Word คำว่าตัวเลข Time Frame 5 ปี" นั้น จะเกี่ยวข้องด้วยขนาดไหน
ถ้าผมตกผลึกมากกว่านี้ ผมจะกลับมาเขียนบทความอีกครั้งนะครับ
วันนี้ผมจึงขอเขียน "ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ ขาดทุนสะสม และการนำไปใช้ประโยชน์" ก่อนแล้วกันนะครับ
ดังนี้
v
v
==================================================================
รายจ่ายที่หักได้เพิ่มขึ้น (4)
หลักการทั่วไปในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น กำหนดจัดเก็บจากกำไรสุทธิทางภาษีอากรเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากเงินได้สุทธิหรือเงินได้พึงประเมิน ดังนั้น ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประสบผลขาดทุนนอกจากไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นแล้ว ยังสามารถนำผลขาดทุนสุทธิไปหักเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี ตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร จึงขอนำมาเป็นประเด็น ปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา มีข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 รอบระยะเวลาบัญชี
วิสัชนา ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร โดยทั่วไปในทางบัญชีไม่ถือเป็นรายจ่าย แต่ในทางภาษีอากรกำหนดยอมให้นำมาถือเป็นรายจ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
1. ผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนๆ เว้นแต่ผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
(1) โดยทั่วไปผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อนๆ จะนำมาถือเป็นรายจ่ายไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องต้องกัน ทั้งในทางบัญชีและในทางภาษีอากร
(2) อย่างไรก็ตาม ในทางภาษีอากร ยอมให้นำผลขาดทุนสุทธิออกมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิในทางภาษีอากรได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการดังต่อไปนี้
(ก) ต้องเป็นผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ซึ่งได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
(ข) ผลขาดทุนสุทธิดังกล่าว ต้องเป็นผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่นับย้อนหลังขึ้นไปไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
(ค) การนำผลขาดทุนสุทธิไปถือเป็นรายจ่าย ให้นำผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่เกิดขึ้นก่อน ไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่มีกำไรสุทธิเป็นปีแรก ในช่วงเวลาไม่เกิน 5 ปี หลังจากปีที่มีผลขาดทุนสุทธิดังกล่าว ตามหลักผลขาดทุนเกิดขึ้นก่อนให้นำมาหักก่อน (First-loss, First-use) ในกรณีที่ยังมีผลขาดทุนสุทธิเหลืออยู่ ก็ให้นำผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อไป ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น
(ง) ในการนำผลขาดทุนสุทธิยกมาถือเป็นรายจ่าย ให้นำมาหักเป็นรายจ่ายได้เพียงเท่าที่ไม่เกินกว่ากำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเท่านั้น
2. วิธีคำนวณผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน ที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
การคำนวณผลขาดทุนสุทธิมาไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน ที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ต้องคำนวณตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปีแรกที่มีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิยกมาจากรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อนดังนี้
(1) ให้นำผลกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีแรก ที่มีกำไรสุทธิมาตั้ง แล้วนับย้อนกลับขึ้นไป 5 ปีก่อนปีที่มีกำไรสุทธิ ดังกล่าว ให้นำผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีแรกในระยะเวลา 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชี ปีที่มีกำไรสุทธิมาหักเป็นรายจ่าย หากยังเหลือเป็นกำไรสุทธิ ให้นำผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อๆ มาในระยะเวลา 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่มีกำไรสุทธิมาหักเป็นรายจ่ายได้ต่อไป จนกว่าจะปรากฏผลดังนี้
(ก) ปรากฏผลเป็นกำไรสุทธิ ให้นำผลกำไรสุทธินั้นไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อไป
(ข) ปรากฏผลเป็นขาดทุนสุทธิ ซึ่งเป็นผลขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชี ปีที่นำผลขาดทุนสุทธิมาคำนวณหักเป็นรายจ่าย ให้หยุดคำนวณ ซึ่งเป็นผลให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าว
(2) ให้นำผลกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อมาตั้ง แล้วดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ (1) ข้างต้น
ปุจฉา มีแนวทางการวางแผนเกี่ยวกับผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบันอย่างไร
วิสัชนา ให้ดำเนินการวางแผนเกี่ยวกับผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
1. ผลขาดทุนสุทธิที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอาการ ต้องใช้ผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากรที่ได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว มิใช่ผลขาดทุนสุทธิทางบัญชีการเงินตามบัญชีกำไรขาดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไป
2. การประกอบกิจการในรูปของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล อาจมีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าการประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา หรือคณะบุคคล ในประเด็นที่กำหนดให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ หากมีผลขาดทุนสุทธินอกจากจะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว ยังสามารถยกยอดผลขาดทุนสุทธิไปหักเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปีต่อๆ ไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี
3. ให้พยายามสร้างรายได้และผลกำไรสุทธิ เพื่อนำผลขาดทุนสุทธิยกมาในรอบบัญชีปีก่อนมาหักเป็นรายจ่ายให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ โดยหากิจกรรมที่มีกำไรสูงเข้ามาในกิจการ
4. ในกรณีที่มีผลประกอบกิจการมีขาดทุนสุทธิมาก แต่ผู้ถือหุ้นต้องการเงินปันผลจากบริษัท อาจใช้วิธีการลดทุน เพื่อลดผลขาดทุนสะสมในทางบัญชี ซึ่งทำให้ไม่มีผลขาดทุนสะสมคงเหลืออีกต่อไป แต่ในทางภาษีอากร ยังคงมีสิทธินำผลขาดทุนสุทธิในส่วนที่ไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ถือเป็นรายจ่ายได้ และในขณะเดียวกัน กิจการก็สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
ที่มา : http://www.nationejobs.com/content/lega ... ?conno=166
==================================================================
และผมขอ Recommend บทความที่น่าสนใจมากๆอีกเรื่องหนึ่ง ชื่อ "ไม่ได้นำผลขาดทุนไปใช้ จะทำอย่างไรดี"
ที่ http://www.pattanakit.net/%E0%B8%A3%E0% ... B8%B5.html
ผมหวังว่า น่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเรื่อง หุ้น Turnaround บ้างนะครับ
By pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 230
ปล.
สำหรับเรื่องหนังสือนั้น ผมมองว่า "ผมยังไม่เก่งเพียงพอ" ครับ!!!
หนังสือที่ดี จะสามารถให้ได้ในเรื่องของ "ความรู้" และ "แรงบันดาลใจ"...อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง
"หากหนังสือที่เขียน...จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน ก็น่าจะยังไม่มีประโยชน์อะไร
แต่หากหนังสือที่เขียน...จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นได้มากเพียงพอ นั่นจึงเป็นเวลาที่เราควรจะเขียนครับ"
แต่ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า "ผมยังห่างไกลจากจุดนั้นอีกมากทีเดียว"
เพียงแค่วันนี้...ผมได้มีโอกาสแชร์มุมมองและประสบการณ์ที่เว็บแห่งนี้
และมีผู้แวะเวียนมาอ่าน และแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน
นั่นก็ถือว่า "เพียงพอ" สำหรับผมแล้วครับ
ด้วยความเคารพ (และขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจนะครับ) _/\_
pak
สำหรับเรื่องหนังสือนั้น ผมมองว่า "ผมยังไม่เก่งเพียงพอ" ครับ!!!
หนังสือที่ดี จะสามารถให้ได้ในเรื่องของ "ความรู้" และ "แรงบันดาลใจ"...อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง
"หากหนังสือที่เขียน...จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน ก็น่าจะยังไม่มีประโยชน์อะไร
แต่หากหนังสือที่เขียน...จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นได้มากเพียงพอ นั่นจึงเป็นเวลาที่เราควรจะเขียนครับ"
แต่ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า "ผมยังห่างไกลจากจุดนั้นอีกมากทีเดียว"
เพียงแค่วันนี้...ผมได้มีโอกาสแชร์มุมมองและประสบการณ์ที่เว็บแห่งนี้
และมีผู้แวะเวียนมาอ่าน และแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน
นั่นก็ถือว่า "เพียงพอ" สำหรับผมแล้วครับ
ด้วยความเคารพ (และขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจนะครับ) _/\_
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 79
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 231
ผมขอเสนอหุ้น LVT เข้าร่วมประกวด ลองเอา EPS รายไตรมาส มา plot graph จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
Q EPSงบรวม EPSงบเดี่ยว
1 Q1,50 0.10 0.05
2 Q2,50 0.06 0.02
3 Q3,50 0.13 0.11
4 Q4,50 - 0.04
5 Q1,51 0.18 0.05
6 Q2,51 0.26 0.07
7 Q3,51 0.37 0.15
8 Q4,51 0.19 0.18
9 Q1,52 0.17 0.28
10 Q2,52 0.12 0.07
11 Q3,52 0.11 0.05
12 Q4,52 0.07 (0.01)
13 Q1,53 (0.12) (0.09)
14 Q2,53 (0.15) (0.17)
15 Q3,53 (0.27) (0.33)
16 Q4,53 (0.12) (0.18)
17 Q1,54 (0.07) (0.11)
18 Q2,54 0.02 0.03
19 Q3,54 0.09 0.03
Q EPSงบรวม EPSงบเดี่ยว
1 Q1,50 0.10 0.05
2 Q2,50 0.06 0.02
3 Q3,50 0.13 0.11
4 Q4,50 - 0.04
5 Q1,51 0.18 0.05
6 Q2,51 0.26 0.07
7 Q3,51 0.37 0.15
8 Q4,51 0.19 0.18
9 Q1,52 0.17 0.28
10 Q2,52 0.12 0.07
11 Q3,52 0.11 0.05
12 Q4,52 0.07 (0.01)
13 Q1,53 (0.12) (0.09)
14 Q2,53 (0.15) (0.17)
15 Q3,53 (0.27) (0.33)
16 Q4,53 (0.12) (0.18)
17 Q1,54 (0.07) (0.11)
18 Q2,54 0.02 0.03
19 Q3,54 0.09 0.03
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 232
บทความ : เรื่อง "ลั่นกลองรบ"
By pak , 4 ธ.ค. 54
ในห้วงเวลาที่ คุณเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ขึ้นรับรางวัลผู้นำวิทยาศาสตร์พลังงานทางเลือกดีเด่น
แห่งชาติ สาขาเทคโนโลยี Solar PV (Outstanding Alternative Energy Science Leaders)
ในงานการประชุมวิชาการ และนิทรรศการวิทยาศาสตร์ พลังงานทางเลือกนานาชาติ 2009 (World Alternative Engery Sciences Expo 2009 : WAESE 2009)
ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด นั้น
ทุกคนคงคาดคิดว่า...นี่คือ "โอกาส" ที่ดีในทางธุรกิจเป็นอย่างแน่แท้
คุณเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ท่านยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กลุ่มในภาคเศรษฐกิจ:การผลิตด้านการอุตสาหกรรม และก็เป็นรุ่นพี่ของผมเองด้วย คือท่านจบการศึกษามาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ "เปิดยุทธศาสตร์กลุ่มเอกรัฐสู่ความเป็นหนึ่งในตลาดโลก" ก็คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ท่านเลือกใช้ในอดีต
แต่ทว่า...
ในการศึกสงครามทางธุรกิจ ย่องมีทั้งคำว่า "แพ้" และ "ชนะ"!!!
"การคิดการใหญ่" หรือ "การลั่นกลองรบ"...ย่อมมีความเสี่ยง
โอกาส "แพ้" และ "ชนะ" มีทั้งคู่
แต่ข้อมูลที่ผมเห็น คือ "การขาดทุนมาตลอดเกือบทั้ง 4 ปีติดต่อกัน"
และล่าสุด คือ ศาลได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 933,450,754.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ให้กับทางธนาคารทหารไทย!!!
พร้อมฟกับราคาหุ้นที่ร่วงลงจาก 2 บาท เป็น 1 บาท และเป็น 60 กว่าสตางค์ในปัจจุบัน(ราคาพาร์ 1บาท)
ขาดทุนสะสมอีกกว่า 500 ล้านบาท(หลังจากหักส่วนเกินมูลค่าหุ้นไปแล้ว)
และปัจจุบัน ที่บริษัทฯยังคงเดินหน้าหา "พันธมิตรใหม่" ต่อไป
(ซึ่งผมเอง ก็ยังขอคงเป็นกำลังใจให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯทุกท่าน และเอาใจช่วยรุ่นพี่คณะของผมด้วยนะครับ)
แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีบางสงครามที่สุดแสนจะน่ากลัว!!!
ในยามที่บริษัทของคนไทย ต้องเผชิญหน้ากับบริษัทฯยักษใหญ่ข้ามชาติ
คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ กลับพากองทัพของ CPALL มีชัยเหลือ Lotus Express ได้อย่างสวยงาม
สงครามจะ "แพ้" หรือ "ชนะ" อะไรคือสาเหตุสำคัญ?
ผมว่าอาจจะเป็น "ชัยภูมิที่ตั้ง , จำนวนทหาร , ขวัญกำลังใจของทหาร , กลยุทธ์การรบ ,
ที่ปรึกษาทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ , ความร่วมมือของประชาชน ฯลฯ"
รวมทั้งสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม อาทิเช่น โรคระบาด , ฟ้าฝนดินฟ้าอากาศ และกับสิ่งที่เรียกว่า "โชคชะตา"
และสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการรบนั่นคือ "แม่ทัพฯ"
"บริษัทฯขนาดเล็ก" จะก้าวข้ามไปสู่ "บริษัทฯขนาดใหญ่"
บริษัทฯที่ต้องการก้าวกระโดด ,แตกไลน์ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ หรือแม้แต่บริษัทฯที่ต้องการเปลี่ยน Business Model เพื่อการ Turnaround
การจะเกิด "Paradigm Shift ครั้งสำคัญ" ของบริษัทฯ....ย่อมต้องมีการ "ลั่นกลองรบ" เสมอ!!!
บริษัทฯที่ก้าวข้ามไปไม่ได้...จะถูกกล่าวขานเพียง เล็ก , หุ้นแห่งความหวัง และ (หุ้น)ปั่น
แต่ถ้าบริษัทฯที่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้นั้น...จะมีชัยชนะที่สวยงามรออยู่เบื้องหน้าเสมอ
สำหรับการลงทุนในหุ้นหรืออ่านข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้น
บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือน นั่งอ่าน "สามก๊ก" อยู่เหมือนกันอ่ะนะขอรับ
อดีต...เราอยู่ในสงครามที่รบกันด้วยอาวุธ
แต่ในปัจจุบัน...ผมว่าเราอยู่ในสงครามที่รบกันด้วยเงิน หรือ "Money Game" อ่ะนะขอรับ
ตอนนี้บริษัทฯ Turnaround ของผมเอง...ก็กำลัง "รัวกลอง" ในจังหวะที่กระชากหัวใจทีเดียว
จะ "แพ้" หรือ "ชนะ"?
ผมถือว่า ผมได้เลือกที่จะเชื่อใจ "แม่ทัพ" คนนี้แล้ว
หากเราแพ้...ผมก็คงรู้สึกเป็นเกียรติที่ครั้งหนึ่งเคยได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับแม่ทัพที่ผมนับถือและไว้วางใจ
"การลั่นกลองรบในสงครามครั้งนี้"...มันน่าตื่นเต้นยิ่งนัก
pak
By pak , 4 ธ.ค. 54
ในห้วงเวลาที่ คุณเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ขึ้นรับรางวัลผู้นำวิทยาศาสตร์พลังงานทางเลือกดีเด่น
แห่งชาติ สาขาเทคโนโลยี Solar PV (Outstanding Alternative Energy Science Leaders)
ในงานการประชุมวิชาการ และนิทรรศการวิทยาศาสตร์ พลังงานทางเลือกนานาชาติ 2009 (World Alternative Engery Sciences Expo 2009 : WAESE 2009)
ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด นั้น
ทุกคนคงคาดคิดว่า...นี่คือ "โอกาส" ที่ดีในทางธุรกิจเป็นอย่างแน่แท้
คุณเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ท่านยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กลุ่มในภาคเศรษฐกิจ:การผลิตด้านการอุตสาหกรรม และก็เป็นรุ่นพี่ของผมเองด้วย คือท่านจบการศึกษามาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ "เปิดยุทธศาสตร์กลุ่มเอกรัฐสู่ความเป็นหนึ่งในตลาดโลก" ก็คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ท่านเลือกใช้ในอดีต
แต่ทว่า...
ในการศึกสงครามทางธุรกิจ ย่องมีทั้งคำว่า "แพ้" และ "ชนะ"!!!
"การคิดการใหญ่" หรือ "การลั่นกลองรบ"...ย่อมมีความเสี่ยง
โอกาส "แพ้" และ "ชนะ" มีทั้งคู่
แต่ข้อมูลที่ผมเห็น คือ "การขาดทุนมาตลอดเกือบทั้ง 4 ปีติดต่อกัน"
และล่าสุด คือ ศาลได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 933,450,754.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ให้กับทางธนาคารทหารไทย!!!
พร้อมฟกับราคาหุ้นที่ร่วงลงจาก 2 บาท เป็น 1 บาท และเป็น 60 กว่าสตางค์ในปัจจุบัน(ราคาพาร์ 1บาท)
ขาดทุนสะสมอีกกว่า 500 ล้านบาท(หลังจากหักส่วนเกินมูลค่าหุ้นไปแล้ว)
และปัจจุบัน ที่บริษัทฯยังคงเดินหน้าหา "พันธมิตรใหม่" ต่อไป
(ซึ่งผมเอง ก็ยังขอคงเป็นกำลังใจให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯทุกท่าน และเอาใจช่วยรุ่นพี่คณะของผมด้วยนะครับ)
แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีบางสงครามที่สุดแสนจะน่ากลัว!!!
ในยามที่บริษัทของคนไทย ต้องเผชิญหน้ากับบริษัทฯยักษใหญ่ข้ามชาติ
คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ กลับพากองทัพของ CPALL มีชัยเหลือ Lotus Express ได้อย่างสวยงาม
สงครามจะ "แพ้" หรือ "ชนะ" อะไรคือสาเหตุสำคัญ?
ผมว่าอาจจะเป็น "ชัยภูมิที่ตั้ง , จำนวนทหาร , ขวัญกำลังใจของทหาร , กลยุทธ์การรบ ,
ที่ปรึกษาทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ , ความร่วมมือของประชาชน ฯลฯ"
รวมทั้งสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม อาทิเช่น โรคระบาด , ฟ้าฝนดินฟ้าอากาศ และกับสิ่งที่เรียกว่า "โชคชะตา"
และสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการรบนั่นคือ "แม่ทัพฯ"
"บริษัทฯขนาดเล็ก" จะก้าวข้ามไปสู่ "บริษัทฯขนาดใหญ่"
บริษัทฯที่ต้องการก้าวกระโดด ,แตกไลน์ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ หรือแม้แต่บริษัทฯที่ต้องการเปลี่ยน Business Model เพื่อการ Turnaround
การจะเกิด "Paradigm Shift ครั้งสำคัญ" ของบริษัทฯ....ย่อมต้องมีการ "ลั่นกลองรบ" เสมอ!!!
บริษัทฯที่ก้าวข้ามไปไม่ได้...จะถูกกล่าวขานเพียง เล็ก , หุ้นแห่งความหวัง และ (หุ้น)ปั่น
แต่ถ้าบริษัทฯที่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้นั้น...จะมีชัยชนะที่สวยงามรออยู่เบื้องหน้าเสมอ
สำหรับการลงทุนในหุ้นหรืออ่านข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้น
บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือน นั่งอ่าน "สามก๊ก" อยู่เหมือนกันอ่ะนะขอรับ
อดีต...เราอยู่ในสงครามที่รบกันด้วยอาวุธ
แต่ในปัจจุบัน...ผมว่าเราอยู่ในสงครามที่รบกันด้วยเงิน หรือ "Money Game" อ่ะนะขอรับ
ตอนนี้บริษัทฯ Turnaround ของผมเอง...ก็กำลัง "รัวกลอง" ในจังหวะที่กระชากหัวใจทีเดียว
จะ "แพ้" หรือ "ชนะ"?
ผมถือว่า ผมได้เลือกที่จะเชื่อใจ "แม่ทัพ" คนนี้แล้ว
หากเราแพ้...ผมก็คงรู้สึกเป็นเกียรติที่ครั้งหนึ่งเคยได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับแม่ทัพที่ผมนับถือและไว้วางใจ
"การลั่นกลองรบในสงครามครั้งนี้"...มันน่าตื่นเต้นยิ่งนัก
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 233
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 234
ผมขออนุญาต Copy ข้อความของผม มาเก็บไว้ในกระทู้นี้สักหน่อยนะขอรับ
ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=20&t=48842
จากการตอบกระทู้ เรื่อง "เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง" ของผมในห้อง "มือใหม่หัดลงทุน" นะครับpak เขียน:ผมยังจำตาราง Excel เมื่อสองปีที่แล้วของผมได้ดีครับ
ด้วยเงินเริ่มต้นในการลงทุนจำนวน 300,000 บาท เป็นเงินสะสมในสหกรณ์ของผม ตลอดการทำงาน 15 ปีที่ผ่านมา
ผมไปลาออกจากสหกรณ์และกำเงินก้อนนี้ออกมา (มีคนเคยแซวผมว่า "อะไรฟร่ะ ทำงานมาตั้ง 15 ปี ดันมีเงินเก็บแค่ 3 แสน!!!" 555+)
ในตาราง Excel นั้น แต่ละ Row หมายถึงแต่ละเดือน
โดยในแต่ละเดือน ผมตั้งใจว่าผมจะประหยัด และเอาเงินมาลงทุนในหุ้นหรือกิจการที่ผมรักและเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี
และในทุกๆต้นปี ผมจะใส่ประมาณการ เงินโบนัส เพื่อนำมาลงทุนในหุ้นด้วย
จากผลลัพธ์การคำนวณใน Excel Sheet มันบอกผมว่า...
"อีก 3 ปีนับจากวันแรกที่ผมวางแผน...ผมจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯจดทะเบียนแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์
กล่าวคือ มีหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 0.5%
แม้ว่าจะเป็นบริษัทฯเล็กๆก็ตาม แต่มันก็คือ จุดเริ่มต้นความฝันของผม
หลังจากลงทุนไม่นาน ผมไปขอเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งของผมจากคุณแม่ ขายแหวนเพชร ขายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป
จนได้เงินมาเพิ่มอีก 7 แสนบาท รวมเป็น 1.0 ล้านบาท
ใช่ครับ ผมมีความฝันนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผมบอกคุณแม่ผมไว้ว่า "3 ปี นับจากนี้ ลูกชายของแม่คนนี้ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(หรือ Major Shareholder) ในบริษัทฯเล็กๆแต่ทว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย"
ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เรียนไปรู้ไป และได้รับคำปรึกษาดีๆมากมายจากพี่ๆที่มีประสบการณ์ในเว็บไทวีไอแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็น คุณลูกอิสาน, คุณกูรูขอบสนาม, คุณ OMAC, คุณ Thirdwave, พี่ฉัตร และอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ทั้งความรู้ และกำลังใจ พร่างพรูมาตลอดเวลาครับ
ผมเป็นผู้รวบรวมข้อมูลที่บ้าบิ่นที่สุดคนหนึ่ง
ผมตั้งใจไว้ว่า "ผมจะต้องรู้ไม่น้อยไปกว่าใครในตลาดแห่งนี้ฯ" หรือ "ต้องไม่มีอะไรที่ผมควรรู้ แต่ไม่รู้!!!"
ทุกแหล่ง ทุกๆการพูดคุย ผมสะสมข้อมูลตลอดเวลา
ทั้งสื่อต่างๆ จากคนรู้จัก จาก นสพ. จากนิตยสาร จากเว็บไซต์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวบริษัทฯ, ผู้บริหาร, ผถห.ใหญ่, Suplier, Customer...ผมต้องไม่รู้น้อยไปกว่าคนอื่น
ทุกๆงาน Opp Day หรือการประชุมสามัญประจำปี ผมจะเป็นคนที่ทำการบ้าน และถามคำถามที่ผมไม่รู้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะ Strategic Question ที่เราต้องการฟังคำตอบจากปากผู้บริหารเท่านั้น
ผมรวบรวมข้อมูลและเปิด Roadshow ให้คนรอบข้างฟังอยู่เสมอ
ไม่ใช่เพื่อเชียร์(หุ้น) แต่เพื่อ แชร์(ข้อมูล) ครับ
หลายครั้งหลังจากผมพูดจบ คนฟังมักจะให้ข้อมูลที่ผมเองไม่เคยรู้มาเสมอๆ
นี่คือกำไร หรือที่มาของคำว่า "ยิ่งให้...จะยิ่งได้มา"
แต่ด้วยความฟลุ๊ค หรือสภาพตลาดที่อำนวยไม่ทราบได้
วันนี้ผมเป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯแห่งหนึ่งจำนวน 1.0% ภายในต้นปีหน้า เนื่องจากต้องเอาเงินโบนัสมาซื้อเพิ่มอีกเล็กน้อย
(เดิมผมแยกเป็น ผถห.รายใหญ่อยู่ 3 บริษัทฯ แต่ปัจจุบันรวมก้อนใหญ่มาที่เพียงบริษัทฯเดียวนะครับ)
กับบริษัทฯที่ผมรัก และผมเชื่อว่า ผมมีข้อมูลไม่น้อยกว่าใครในตลาดแห่งนี้
หากบริษัทฯที่ผมรักเจ๊งไป ผมจะไม่โทษใครเลย เพราะผมได้เลือกที่จะรัก และไว้ใจผู้บริหารไปหมดแล้ว
บริษัทฯที่ผมคอยเป็นห่วงเป็นใย เฉกเช่นเดียวกับเป็นบริษัทฯของตนเอง
บริษัทฯที่ผมคอยส่ง ข้อเสนอแนะ เข้าไปที่ e-mail ของบริษัทฯ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าเค้าเคยอ่านบ้างไหม?
บริษัทฯที่ผมสามารถเล่าความเป็นมา และ Story ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตให้คนอื่นได้ฟัง ได้ยาวกว่า 1 ชม.
บริษัทฯที่ผมเชื่อว่า ผู้บริหารก็ให้ความเอ็นดูผม (ผมดูจากสายตาเวลาท่านตอบคำถามผม ในวันประชุม AGM)
บริษัทฯที่ผมตั้งใจว่า นี่จะเป็นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลผม
มากกว่ารัก ยิ่งกว่าไว้ใจ
และไม่เพียงแต่บริษัทฯที่ผมถือหุ้นเท่านั้น
แม้แต่บริษัทฯที่ผมเคยลงทุนในลักษณะนี้มา ผมเองก็รู้สึกรัก และผูกพันไม่แพ้กัน แม้ว่าเราจะไม่มีหุ้นของเค้าแล้วก็ตาม
BATA คือ ตัวอย่างหนึ่งในนั้น
ผมเชื่อว่า ถ้าวันนึงที่ผมมีเงินมากพอ ผมอาจจะกลับมาลงทุนในบริษัทฯเก่าๆเหล่านี้
นั่นเป็นเพราะความผูกพันครับ
หุ้น Turnaround...กลายเป็นแบรนด์ของ Login ที่ชื่อว่า pak ไปเสียแล้ว
เพราะผมบอกเสมอว่า "ผมคือนักลงทุนระยะยาว!!!"
ผมไม่มีเป้าหมายราคา หากแต่ผมมีเป้าหมายเวลา ว่าผมควรจะซื้อและขายหุ้นในห้วงเวลาใด
นั่นเพราะ ผมมีข้อมูลมากพอ ที่จะ Forecast การเติบโตของ Business ได้พอสมควร
ผมไม่ต้องการ เชียร์หุ้น ให้คนอื่นมาซื้อ
เพราะถ้าเค้าซื้อ แล้วเค้าไม่รัก วันนึงเค้าก็ต้องขาย
ถ้าเค้าซื้อมาก เวลาขาย ก็เท่ากับกำลังทุบหุ้นผม!!!
ผมจึงไม่ชอบแนะนำใคร ยกเว้นให้ข้อมูลเท่านั้น
ส่วนเรื่องการลงทุน ควรเป็นการตัดสินใจของเค้าเอง
ผมพูดเสมอว่า...
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ"
ฝันให้ใหญ่และไปให้ถึง ในขณะเดียวกันก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บบ้าง
เพราะในการสงคราม ย่อมมีทั้งแพ้และชนะ
แต่ถ้าเรามั่นใจแม่ทัพ และเลือกข้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรนอกจากเดินหน้าครับ
มนุษย์จะหลงเหลือสิ่งใดให้เชื่อ หากปราศจากแล้วซึ่ง "ศรัทธา"
แม้ใครจะดูถูกผมว่าเป็น "ราชาหุ้นเน่า ราชาหุ้นปั่น!!!"
แต่ผมพร้อมจะกลืนเลือดครับ
เพราะหุ้นของผมมันห่วยในสายตาคนอื่น แต่มันมีค่ายิ่งในสายตาของผม
Pricing Strategy ย่อมเกิดจาก Demand และ Supply
ในห้วงเวลาที่หุ้นขึ้น มันมีอยู่ 2 ประการเท่านั้น คือ...
1) ปั่นจริงๆ โดยไม่มีพื้นฐานรองรับ
2) ปั่นเหมือนกัน แต่มีพื้นฐานรองรับ (เพราะมันมีคนที่รู้มูลค่าที่แท้จริงของมันในอนาคตแล้ว แต่ก็ปั่นเล่นรอบเพื่อกำไร)
ปัญหาจึงมีว่า...
"ไม่ใช่ให้เราหนีหุ้นปั่น แต่ให้เราหามูลค่าที่แท้จริงให้เจอ...ก็เท่านั้นเอง"
เพราะเราไปห้ามให้เค้าปั่นหุ้นของเราไม่ได้
เวลาเราเห็นของรักของเรา เค้าเอาไปปั่น เอาไปทำปู้ยี้ปู้ยำจนเสียงชื่อเสียง
เราก็เจ็บเหมือนกันนะครับ
แต่ผมพยายามทำใจว่า เราเป็นเพียงผู้ถือหุ้นใหญ่รายเล็กๆ
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ ย่อมต้องเจ็บมากกว่า
ผมคิดเสมอว่า...
ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 เค้ารู้สึกอย่างไร? ผมจะพยายามรู้สึกให้ได้เฉกเช่นนั้น!!!
นั่นคือ "มั่นใจ" และ "มั่นคง" ครับ
ถ้าคิดใหญ่กว่านั้น...
เราแอบฝันได้ไหมว่า "วันหนึ่ง บริษัทฯนี้อาจจะเชิญเราเข้าไปนั่งเป็นกรรมการอิสระคนหนึ่งด้วย!!!"
แม้มันจะเป็นความฝันที่ริบหรี่ แต่ความฝันมันไม่ต้องใช้ตังค์ซื้อมาซักหน่อย...จริงไหมครับ?
ขอบคุณที่นั่งอ่านตัวตนและความฝันของผม
ด้วยความเคารพ
pak
ปล.
พิมพ์ผ่านหัวใจ โดยไม่ได้ตรวจทานนะขอรับ
(^_^)
ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=20&t=48842
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 235
สุดยอดครับพี่ pak กับข้อมูลดีๆ
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา…
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 239
คนส่วนมากมักจะคิดในเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว
เช่น "ในวิกฤตรอบที่ผ่านๆมา คนรวยกันไปเยอะเลยนะ!!!"
ซึ่งเป็นเรื่องจริงครับว่า...
"วิกฤต เท่ากับ โอกาส
ความกลัว เท่ากับ โอกาส
การอคอย เท่ากับ โอกาส"
คำถามในอนาคตที่ดีจำนวน 3 คำถาม คือ...
"คุณมองเห็นวิกฤตและความกลัวของนักลงทุนในบริษัทฯไหนบ้างหรือเปล่า?
และคุณเชื่อมั่นแค่ไหนว่าบริษัทฯนั้นจะสามารถฟันฝ่าและผ่านพ้นวิกฤตนั้นไปได้?
และที่สำคัญ คุณรู้จักการรอคอยด้วยจิตใจสงบบ้างหรือเปล่า?"
นั่นแหล่ะครับ..."แก่นแท้ของ Turnaround Stock"
(^_^)
เช่น "ในวิกฤตรอบที่ผ่านๆมา คนรวยกันไปเยอะเลยนะ!!!"
ซึ่งเป็นเรื่องจริงครับว่า...
"วิกฤต เท่ากับ โอกาส
ความกลัว เท่ากับ โอกาส
การอคอย เท่ากับ โอกาส"
คำถามในอนาคตที่ดีจำนวน 3 คำถาม คือ...
"คุณมองเห็นวิกฤตและความกลัวของนักลงทุนในบริษัทฯไหนบ้างหรือเปล่า?
และคุณเชื่อมั่นแค่ไหนว่าบริษัทฯนั้นจะสามารถฟันฝ่าและผ่านพ้นวิกฤตนั้นไปได้?
และที่สำคัญ คุณรู้จักการรอคอยด้วยจิตใจสงบบ้างหรือเปล่า?"
นั่นแหล่ะครับ..."แก่นแท้ของ Turnaround Stock"
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 240
โดน ครับ
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา…
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ