ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Green
Verified User
โพสต์: 2606
ผู้ติดตาม: 0

ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คือสงสัย ว่าจริงๆ แล้ว ตัวเลข กำไรจากการกิจกรรมการดำเนินงาน ในงบกระแสเงินสด
มันสำคัญกว่า กำไรสุทธิ ในงบกำไรขาดทุน หรือไม่ ครับ


เห็นบางบริษัท บอกว่า กำไรสุทธิ ดีขึ้น ปีแล้ว ปีเล่า
แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน แต่ละปี ไม่สม่ำเสมอเลย
บางปี กำไรเยอะแยะ แต่กระแสเงินสดติดลบ
เพราะต้องให้ลูกค้าติดหนี้นานขึ้น หรือ ต้องตุนสินค้าคงคลังมากขึ้น ตามยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
ต้องไป หมุนเงิน กู้เงินระยะสั้น มาโป๊ะๆ ไว้ก่อน
ต้องกังวลว่า ลูกค้ารายใหญ่จะมีปัญหาชำระหนี้หรือไม่ หรือสินค้าจะล้าสมัย ราคาตลาดโลกจะตกลงมากระทันหันหรือไม่
จะิคิดขายกิจการ ก็เพิ่งพาเงินกู้ก้อนใหญ่ เพราะไม่มีเงินเหลือให้ขยาย
คิดแล้ว ยิ่งโต ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเสี่ยง หรือ ป่าวครับ


อีกแบบ บางบริษัท กำไรสุทธิ ดีขึ้น ปีแล้ว ปีเล่า
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน แต่ละปี ดีกว่ากำไรสุทธิ เสียอีก เยอะด้วย แถมทำได้แบบนี้ ทุกๆ ปีอีก
ยิ่งโต ยิ่งหมุนเงินได้เร็ว ลูกค้าติดหนี้เราน้อย กว่า เราติดหนี้ ซับพลายเออร์ เยอะ
ยิ่งโต ส่วนต่างตรงนี้ ก็ยิ่งมากขึ้น สต๊อกต่อยอดขาย ก็น้อยลงเรื่อยๆ
อย่างนี้ ยิ่งโต เจ้าของยิ่งชอบ เงินยิ่งเหลือเยอะ เอามาขยายกิจการไปส่วนโน้นนี้ ได้อีกเยอะแยะ

บริษัทที่คุณ เป็นเจ้าของอยู่ เป็นแบบไหนครับ
ผมอยากหาแบบหลังมากกว่า แต่หาไม่ค่อยได้ ส่วนพวกที่หาได้ ราคา มันก็เหลือเกิน จริงๆ

จริงๆ แล้ว เราควรให้ความสำคัญ กับ งบกระแสเงินสดมากน้อยแค่ไหน ครับ !!!!
viim
Verified User
โพสต์: 551
ผู้ติดตาม: 0

Re: ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมชอบแบบโตไปด้วยกันทั้งหมดครับ ทั้งยอดขาย กำไรสุทธิ และกระแสเงินสดคล่อง การขยายกิจการใช้เงินทุนไม่มากก็ยิ่งดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นกิจการที่อยู่ในข่าย megatrend นี่ยิ่งดี อย่างไรก็ตามบางทีมันก็หายากมากเหมือนคุณ green ว่า ไอ้ที่ดีๆก็ราคาแพง
atinon
Verified User
โพสต์: 50
ผู้ติดตาม: 0

Re: ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เห็นด้วยกับคุณกรีนในเรื่องเงินทุนหมุนเวียนครับ ที่บางบริษัทยิ่งโตยิ่งต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนไปในลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือค่อนข้างมาก ในขณะที่บางบริษัทไม่จำเป็น และยังสามารถนำเงินในส่วนของเจ้าหนี้การค้ามาใช้ประโยชน์ได้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าจะใช้กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานประกอบการตัดสินใจ ก็ไม่ควรละเลยพวกค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆนะครับ หลายๆบริษัทที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกเยอะก็เพราะเจ้าตัวนี้แหละ ต้องอย่าลืมว่าค่าเสื่อมต่างๆเป็นสิ่งที่บริษัทได้จ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ไปก่อนแล้วล่วงหน้า เพราะฉะนั้นต้องดูให้ดีว่าบริษัทมีภาระการลงทุนใหญ่ๆรออยู่ข้างหน้าด้วยหรือไม่นะครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

บริษัทที่คุณ green ชอบก็ดีครับ

แต่ถึงแม้หนี้การค้าจะไม่มีภาระดอกเบี้ย แต่ก็เป็นหนี้ครับ

ถ้าบริษัทจำหน่ายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงๆ มีภาระในการลงทุนน้อยๆ เหลือกำไรมากๆ กระแสเงินสดอิสระจากการดำเนินงานเป็นบวกมากๆ ก็จะดี
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
Green
Verified User
โพสต์: 2606
ผู้ติดตาม: 0

Re: ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณ ครับ คุณฉัตรชัย

ผมสังเกต พวก บริษัทค้าปลีก ต่างๆ ช่วงแรกๆ เนตมาร์จิ้นค่อนข้างน้อย แต่ต้องลงทุนมากเพื่อเร่งขายสาขา ถ้าทำแล้วติดตลาด มาร์จิ้นที่ว่าน้อย ก็จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ( คงหาแนวทางปรับ product mix กันด้วย ) เงินที่ คงกู้มาขยายสาขาในช่วงแรกๆ นั้นพอสักพัก ก็ไม่ต้องเพิ่งพาเงินกู้ หรือ เพิ่มทุนแล้ว เพราะ เงินสดที่ได้ จากการดำเนินงาน มันมากเพียงพอที่จะขยาย ไปได้มากขึ้น แต่กว่าจะหลุดมาได้ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงที่เสี่ยงว่า กิจการนั้นๆ จะไปได้รอดหรือไม่ ถ้าลูกค้าชอบติดใจ ก็สบายยาวไปได้เลย

นอกจาก พวกค้าปลีก แล้วนั้น หาพวกที่กระแสเงินสดดีๆ ใน Business อื่นๆ ค่อนข้างหายาก หากจะทำให้กิจการของตัวมีกระแสเงินสด ที่ดีมากๆ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการบริหารภายในบริษัทนั้นๆ ซะมากกว่า ว่าผู้บริหารจะพยายาม หรือ สามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน

หรือไม่บางพวก ก็อาศัย หาจังหวะ เล่นเก็งกำไรสต๊อกวัตถุดิบตัวเองซะงั้นเลย ซึ่งก็เป็นดาบสองคมอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
doodeemak
Verified User
โพสต์: 411
ผู้ติดตาม: 0

Re: ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ความเห็นส่วนตัว ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้น ผมก็ชอบแบบที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ
เป็นข้อแรกที่ผมต้องดูก่อนเลย ถ้าไม่สวยก็ยอมเสียโอกาสมองข้ามไปครับ ถึงแม้กำไรจะดูดีก็ตาม

จากนั้นต้องระวังกระแสเงินสดจากการลงทุนด้วยนะครับ เพราะถ้าเผลอ ไม่ได้ระวัง อาจไปเจอกับบริษัทที่ลงทุนแบบที่ไม่เป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างเรา ถ้าลงทุนไม่สวย ก็ยอมมองข้ามไปเหมือนกันครับ

ส่วนกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินดูประกอบเฉยๆว่าบริษัทเราเอาเงินส่วนเหลือไปคืนเงินกู้หรือจ่ายเงินปันผลเหมาะสมรึเปล่า


จากนั้นผมค่อยดู business model เทียบกับราคา (market cap) กับกระแสเงินสดอิสระครับ ว่ามีความน่าสนใจรึเปล่า

เป็นความชอบส่วนตัวครับ ซึ่งอาจจะไม่ให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ผมคิดว่าค่อนข้างปลอดภัยครับ :D
Inactive investor
Green
Verified User
โพสต์: 2606
ผู้ติดตาม: 0

Re: ยิ่งเติบโต ยิ่งมั่นคง

โพสต์ที่ 7

โพสต์

doodeemak เขียน:ความเห็นส่วนตัว ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้น ผมก็ชอบแบบที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ
เป็นข้อแรกที่ผมต้องดูก่อนเลย ถ้าไม่สวยก็ยอมเสียโอกาสมองข้ามไปครับ ถึงแม้กำไรจะดูดีก็ตาม

จากนั้นต้องระวังกระแสเงินสดจากการลงทุนด้วยนะครับ เพราะถ้าเผลอ ไม่ได้ระวัง อาจไปเจอกับบริษัทที่ลงทุนแบบที่ไม่เป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างเรา ถ้าลงทุนไม่สวย ก็ยอมมองข้ามไปเหมือนกันครับ

ส่วนกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินดูประกอบเฉยๆว่าบริษัทเราเอาเงินส่วนเหลือไปคืนเงินกู้หรือจ่ายเงินปันผลเหมาะสมรึเปล่า


จากนั้นผมค่อยดู business model เทียบกับราคา (market cap) กับกระแสเงินสดอิสระครับ ว่ามีความน่าสนใจรึเปล่า

เป็นความชอบส่วนตัวครับ ซึ่งอาจจะไม่ให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ผมคิดว่าค่อนข้างปลอดภัยครับ :D
เห็นด้วยครับ เรื่อง การลงทุน เพราะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง

บางธุรกิจบางอุตสาหกรรม มี Technology ที่เปลี่ยนเร็วมากๆ คุณลงทุนที ต้องลุ้นว่า โปรดักซ์ มันจะไปได้หรือไม่ ไหนจะวิจัย ไหนจะลองตลาด แปร๊บๆ ก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ ทำอีกแล้ว มันคงยากที่จะประสบความสำเร็จได้ตลอดเป็นเวลาหลายๆ ปี แต่บางบริษัทก็ทำได้นะ เช่น Intel Microsoft Google Apple ทำจนใหญ่คับโลก แต่ก็มีอีกมหาศาลที่สำเร็จแปร๊บๆ ก็หายไป

บางธุรกิจ เปลี่ยนแปลงน้อย สิบปีที่แล้วเป็นไง สิบปีต่อไปก็น่าจะเป็นงั้น เช่น โค้ก ชอคโกแลต ประกัน ค้าปลีก พวกนี้ ก็ความเสี่ยงน้อยหน่อย เพราะนานๆ จะทำอะไรใหม่ๆ ซักทีนึง แต่ไม่แน่เพราะโลกไม่เคยหยุดนิ่ง เทคโนโลยี มันอาจจะทำให้วันนึง เด็กรุ่นใหม่ อาจจะเขียนหนังสือไม่เป็นเลยก็ได้

บางธุรกิจ ลงทุนไปแล้ว มีข้อจำกัด เช่น ไลน์ผลิตใหม่ เปิดโรงแรมใหม่ เปิดห้างให้เช่าที่ คุณจะมี Cap จำกัดอยู่แล้ว xx units ต่อปี มันก็ทำได้เท่านั้น แต่บางธุรกิจ การที่คุณลงทุนไปครั้งหนึ่ง มันไม่ได้มี limit มาก หรือ ชัดเจนขนาดนั้น เช่น ร้านค้าขายของค้าปลีก ธุรกิจประกันพวกแบงค์อินชัวรัน เป็นต้น
โพสต์โพสต์