|0 คอมเมนต์
ประวัติของคุณฮงต่อนะครับ>>>
เล่าเส้นทางการเรียนรู้ของผม(หัวข้อเบาๆ)
.
by hongvalue (Sataporn Ngarmruengpong)
http://hongvalue.wordpress.com/
กันยายน 15, 2011 ที่ 10:06
.
มีหลายท่านถามผมทางทวิตและทางอีเมล์ว่าอยากจะเริ่มศึกษาการลงทุนทำอย่างไรดี ผมเลยขอตอบโดยการเล่าให้ฟังว่าเส้นทางการเรียนรู้ของหุ้นเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง
.
แต่เดิมเลยผมเป็นเพียงเด็กอยากรวย สมัยเด็กผมชอบเล่นไพ่ยูกิ ผมก็หารายได้เสริมด้วยการนำไพ่ยูกิไปฝากขายตามร้านไพ่ เวลาผมเอาไปขายส่วนใหญ่แล้วผมแทบจะไม่เคยซื้อมาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ไพ่สำหรับปลอมแล้วเดิมพันกับเพื่อนว่าใครชนะก็ให้ยึดไพ่จริงของอีกฝ่ายได้ โชคดีที่ผมเล่นไม่ค่อยแพ้ใครผมเลยได้ไพ่ยูกิมาเยอะแล้วก็นำไปฝากขายที่ร้านขายการ์ตูนสมัยเรียนอยู่ทิวไผ่งาม ทำๆไปซักพักก็อิ่มตัวไพ่ยูกิก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมก็ไม่รู้จะหารายได้ทางไหนดี ตอนเรียนอยู่ ม.หกก็มีเพื่อนมาบอกว่าเล่นหุ้นแล้วกำไร 50% ภายใน 2-3 เดือน มันบอกว่าลงทุน 1 แสนแค่ 2-3 เดือนก็ได้เงินมา 50000 หมื่น ก็รู้สึกสนใจมากและคิดว่าหน้าอย่างมึงยังได้ตังค์กูก็ต้องได้เหมือนกันสิว่ะ แต่ตอนนั้นพอเล่าให้ที่บ้านฟังก็ไม่ค่อยมีคนเห็นด้วย ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แต่นั่งดูหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปวันๆว่าหุ้นตกเพราะอะไรหุ้นขึ้นเพราะอะไร ช่วงนั้นจำได้ว่าเคยเอาเงินไปซื้อทองเก็บไว้ 10 บาท ตอนนั้นประมาณปี 2547 เคยซื้อทองบาทละ 7300 ตอนขึ้นมา 7600 ดีใจแทบตายได้กำไร 300 บาท(แต่มี 10 บาทเลยกำไร 3000)แล้วก็รู้สึกว่าดีว่ะ ไม่ต้องไปนั่งขายไพ่ยูกิเหมือนตอนเรียนม.ปลายแล้ว ว่าแล้วก็คิดว่าถ้าทองลงไป 7300 อีกจะซื้ออีกรอบแล้วก็ขายอีก เล่นแบบนี้แหละรอบละ 3000 เล่นไปซัก 10 รอบก็กำไร 3 หมื่นแล้วที่ไหนได้แม่ม ไป 8000 กว่าแล้วไม่เคยกลับมาอีกเลย หลังจากนั้นก็เลยมาดูหุ้นต่อ ตอนนั้นถามเพื่อนว่าจะรู้ได้ไงว่าซ์้อตัวไหน มันบอกว่ากูซื้อตามน้ากู น้ากูบอกให้เข้าตัวนั้นกูก็เข้าตัวนั้น ผมก็บอกเหรอ ดีว่ะ แนะนำน้ามึงให้กูรู้จักบ้างสิ มันบอกว่าได้เลย และมันก็พาผมไปที่ห้องค้าของโบรกแห่งนึงที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า พอไปถึงมันก็แนะนำให้ผมรู้สึกน้าของมัน ผมเดินไปยกมือไหว้น้ามัน น้ามันก็ไม่ค่อยแลผมเลย ผมก็คิดในใจแลไม่แลช่างแม่มขอให้มึงบอกหุ้นกูก็พอ เสร็จแล้วผมก็ถามน้ามันว่าถ้าผมจะซื้อเข้าแล้วขายตอนบ่ายผมทำได้ไหม น้ามันก็บอกว่าทำได้ แต่น้ามันทำหน้าเซ็งๆใส่ผม ผมก็งงๆว่าคำถามผมมันผิดอะไร แล้วพอผมจะถามน้ามันต่อ น้ามันก็ไม่คุยกับผมบอกว่ามีธุระ แล้วเพื่อนผมก็ถามน้ามันว่าขอ บทวิเคราะห์อาทิตย์นี้ให้ฮงหน่อยได้ไหม น้ามันก็บอกว่าหมดแล้ว (หน้าบอกบุญไม่รับ) ผมก็งงๆ นึกว่าตัวเองเป็นคนขอทานกลับชาติมาเกิดก็เลยออกจากห้องค้าแบบหงุดหงิดแล้วก็คิดว่าไม่เป็นไรไปถามคนอื่นก็ได้ ว่าแล้วผมก็ไปถามคนอื่นในโบรกเดียวกันนี้แต่เป็นที่สาขาอื่นที่อยู่แถวบ้านผม ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ แทบไม่มีใครอยากคุยกับผม ผมเคยถามมาร์คนนึงว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง แล้วมันก็ตอบอย่างมั่นใจว่า “ขึ้น” ผมก็คิดว่าเออ ดีว่ะเราอยากมีความรู้แบบมาร์คนนี้บ้างจัง ปรากฏวันรุ่งขึ้นหุ้นแม่มลง ผมก็คิดในใจ อ้าว มั่วนี้หว้า เอี้ยนี้ ไม่รู้แล้วยังตอบกูมาอีก
.
จนถึงจุดนึงผมเริ่มรู้สึกว่าไม่เห็นมีมาร์คนไหนให้ความรู้อะไรผมได้เลย พวกนี้ไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมด้วยซ้ำแล้วแถมถามว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงก็บอกผิดเป็นส่วนใหญ่ ผมก็เลยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องค้าเขาก็บอกว่ามีอบรมเรื่องกราฟ สอนโดยไอ้ฝรั่งคนหนึ่ง ผมก็รีบโทรไปจองมันก็บอกว่าให้ไปตอนบ่ายโมง bla bla bla ผมก็ไป ตอนไปนั่งฟังครั้งแรกไงมาก เพราะไอ้ฝรั่งพูดว่า วอยุ่ม วอยุ่ม ผมก็งงว่าอะไรว่ะ สรุปผมฟังแทบไม่รู้เรื่องเลยซักกะนิดเดียว แต่วันนั้นฟังเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าวันหลังมาฟังใหม่ดีกว่า
.
แล้วผมก็พยายามจะตามฟังของไอ้ฝรั่งคนนั้นอีกแต่มันก็ไม่ค่อยสอนเท่าไหร่ ผมก็เลยหาของที่อื่นฟังจำได้เคยโทรไปของที่นึงเขาบอกไปฟังวันเดียว 8000 บาท ผมถึงกับตกใจมาก เพราะตอนนั้นพอร์ตลงทุนผมมีแค่ 1 แสนเอง ผมจ่ายตังค์ 8 พันไม่ไหวหรอก ผมอยากฟังฟรีๆอะ ของฟรีมีมะ แล้วในที่สุดของดีที่ฟรีก็มาถึงจนได้ งาน set in the city ที่มีการจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ 4 วันติด ลักษณะงานจะเป็นตั้งแต่วัน พฤษหัสจนถึงวันอาทิตย์ ผมจำได้ว่าผมตื่นเต้นมาากๆๆ ผมพยายามจัดเวลาว่าผมจะไปฟังของห้องไหนบ้าง สมัยนั้นมีอบรมแบบ meeting room 3 ห้อง ผมก็ต้องดูตารางเวลาว่าหัวข้ออันไหนน่าสนใจที่สุดแล้วก็ซื้อเครื่องอัดเทปมาแล้วก็ไปนั่งฟังผมจำได้ว่าส่วนใหญ่ผมจะนั่งหน้าสุด แต่ละวันกลับมาบ้านผมก็เอาเสียงที่อัดมาลองคอมพิวเตอร์แล้วใส่ชื่อไฟล์ว่าไฟล์เสียงนี้เป็นเนื้อหาอะไร แล้วผมก็จะนั่งทอดเทปโดยการนั่งจดเกือบทุกคำพูดของไฟล์เสียงมาลงสมุดลงทุนของผม แล้วมีเวลาเมื่อผมเปิดคอมพิวเตอร์เล่น internet ผมจะเปิดไฟล์เสียงฟังตลอดเวลา ผมทำแบบนี้อยู่หลายปีมากๆ ผมฟังจนผมรู้เลยว่าถ้าคนบรรยายพูดประโยคนี้จบจะพูดประโยคไหนต่อ แล้วตอนฟังมีเสียงผมหัวเราะช่วงไหนบ้าง การไปงาน set in the city แล้วฟัง 4 วันแล้วถอดเทป ช่วยให้ผมเรียนรู้ไปได้เยอะมากในช่วงแรกๆ ช่วงนั้นเวลาผมเข้าไปที่ห้องค้าผมก็ไมค่อยคุยกับมาร์เท่าไหร่ เพราะตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่ากูขยันกว่ามึงอีก กูน่าจะรู้เยอะกว่ามึงแล้วนะตอนนี้อะ (ฮา)
.
จริงๆตอนที่ผมเด็กๆว่าผมไปถามใครผมจะโดนเมินบ่อยมาก ผู้บรรยายมักไม่ค่อยเห็นหัวผม เขาชอบคุยกับผู้ใหญ่ที่ดูท่าทางพอร์ตน่าจะใหญ่ ถามว่าผมโกรธไหม แรกๆก็โกรธและรู้สึกว่าไอ้พวกหน้าเงิน แต่ต่อมาผมก็เริ่มไม่โกรธเท่าไหร่ เพราะผมเริ่มเข้าใจว่าถ้าพวกผู้ใหญ่บางคนพอร์ตหลายสิบล้าน ถ้าเทียบกับพอร์ต 1 แสนของผมในตอนนั้นแล้ว ถ้าผมเป็นวิทยากรผมก็คงจะเลือกคุยกับคนที่ดูมีราศีกว่าเพราะนั้นหมายถึงวอลุ่มของบริษัทที่มากกว่า และผมก็เริ่มรู้สึกว่าคอยดูเถอะซักวันกูจะเก่งและรวยจนพวกมึงนั้นแหละต้องมาคุยกับกูก่อน และผมก็มุ่งหน้าศึกษาของผมต่อไป
.
ในช่วงอยู่มหาลัย ผมซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นทุกเล่มที่มีอยู่ที่ se-ed มาอ่านตอนแรกๆอ่านก็รู้สึกว่าทำไมทุกคนดูเทพ แต่อ่านไปจนถึงจุดนึงก็รู้สึกว่าบางคนแม่ม เขียนมั่วฉิบหายไม่มีหลักการเอี้ยอะไรเลยกูซื้อมาอ่านทำไมว่ะ แล้วผมก็เริ่มรู้ว่าผมรู้อะไรบ้างและผมไม่รู้อะไรบ้าง พออ่านหมด ผมก็ไปเป็นสมาชิกห้องสมุดมารวยแล้วก็ไปยืมหนังสือต่างประเทศที่มารวยมาอ่าน จำได้ว่าตอนนั้นยืมมาอ่านเยอะมาก จนถึงจุดนึงก็อิ่มตัวว่าไม่รุ้จะอ่านอะไรมากมายนักหนา
.
ผมก็เริ่มหันมาศึกษาพื้นฐานหุ้นรายตัวและลองคิดประเด็นต่างๆออกมา และเมื่อยิ่งศึกษาก็ยิ่งเกิดคำถามทำให้ผมไปโพสถามในเว็บกระทิงเขียว ซึ่งเป็นที่มาของคุณ ih ภาคต่างๆถึงกว่า 300 คำถาม ผมค้นพบว่าหลังจากที่เราอ่านหนังสือเข้าไปเยอะๆแล้วเราก็ต้องมาลงสนามจริงและเมื่อลงสนามจริงแล้วเรายังไม่เชี่ยวชาญเราก็จำเป็นต้องถามผู้เชี่ยวชาญ ระหว่างที่ถามไปเรื่อยๆ ผมเองก็เริ่มตกผลึกทางการลงทุนมากขึ้น
.
เมื่อถามจนเริ่มอิ่มตัวสิ่งที่ผมทำต่อมาคือ ผมก็เริ่มเรียนรู้จากการทำวิจัยของตัวเอง อย่างเรื่องหุ้นสิบเด้งที่ผมเคยเปิดสอนก็คล้ายๆกับการนำงานวิจัยของผมเองมาให้คนได้เปิดหูเปิดตา ตอนผมทำต้องยอมรับว่าหาข้อมูลยากมาก ว่าแต่ละเดือนข้อมูลเป็นไง ณ จุดที่เห็นงบรายไตรมาสนั้นๆหุ้นตัวนั้นน่าลงทุนหรือยัง เรียกว่าผมอาบเหงื่อต่างน้ำทีเดียวกว่าจะทำงานวิจัยของตัวเองออกมาได้ซักชิ้น ระหว่างที่ทำผมเคยรู้สึกว่าเรากำลังหลงทางหรือไม่ ใน ขณะที่คนอื่นๆนั่งหาหุ้นกันทำไมเราต้องมานั่งขุดอดีตที่มันผ่านไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องคนตัดฟืนกับขวานของเขา ผมคิดว่าการหาหุ้นใหม่ๆตลอดเวลาก็เปรียบเหมือนคนตัดไม้ที่เข้าป่าไปตัดไม้ทุกวัน แต่จริงๆแล้วขวานที่เขาเอาไปตัดไม้ถึงจุดนึงมันก็จะทื่อไม่คมเท่าไหร่ ดังนั้นการออกไปตัดไม้จึงต้องทำคู่กับการลับขวานให้คมตลอดเวลา การนั่งศึกษา case study ในอดีตเพื่อเข้าใจหลักการเลือกหุ้นในอนาคตก็เปรียบเหมือนการลับขวาน อย่างในตอนนี้ผมเองก็กำลังทำ project อันใหม่อยู่ ทำไปด้วยดูหุ้นไปด้วย ต้องยอมรับว่าเดี่ยวนี้เวลาค่อนข้างน้อยไม่ค่อยได้เล่นทวิตและไม่ได้เล่นเว็บบอร์เท่าไหร่ ถ้าพอมีเวลาก็จะมาเขียนบล็อกบ้าง
.
สรุปคือ ผมคิดว่าถ้าใครเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้นสิ่งที่คุณควรทำช่วงแรกๆคือ ไม่ต้องคิดเรื่องหาหุ้นเลย ให้คิดเรื่องศึกษาหาความรู้อย่างเดียว เปรียบเหมือนตอนนั้นขวานของคุณยังทื่อมากๆเรียกว่าไม่มีทางตัดไม้ได้เลย คุณต้องนั่งลับขวานของตัวเอง คุณอย่าไปเชื่อถ้ามีคนมาบอกว่า ขวานทื่อของคุณก็ตัดไม้ได้ ลองไปที่ป่า xxx สิ แบบนี้ก็เหมือนกับการไปยืมจมูกคนอื่นหายใจซึ่งไม่มีใครยอมให้คุณยืมจมูกเขาหายใจหรอก ก็เหมือนผมตอนพอร์ต 1 แสนเป็นเด็กปีหนึ่ง ไปที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ไปที่ไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ เมื่อคุณอ่านหนังสือเยอะมากพอแล้ว คุณก็เดินทางไปอบรมสัมนาต่างๆแล้วก็ค่อยหาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญถามแล้วก็ค่อยทำวิจัยเป็นของตัวเอง