มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
- tidy
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 1
เห็นมือเก๋าวิเคราะห์แบบทะลุปรุโปร่ง ทำให้บางครั้งผมรู้สึกอึ้ง ทึ่ง ท้อครับ
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะทำได้บ้าง
มือใหม่ มือเก่า รบกวนแสดงความเห็นหน่อยครับ
ขอบคุณครับ
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะทำได้บ้าง
มือใหม่ มือเก่า รบกวนแสดงความเห็นหน่อยครับ
ขอบคุณครับ
“Heads I win. Tales I don’t lose much.”
- The Dhandho Investor
- The Dhandho Investor
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 4
เฉยๆครับ
ไม่มีเวลาให้ท้อครับ
ไม่มีเวลาให้ท้อครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 5
ยกบทความของคุณฮงมาให้ดูนะครับ จะได้มีกำลังใจว่า กว่าจะมีวันนี้ของคุณฮง เขาผ่านมาเยอะมาก
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเล่นหุ้นไม่ประสบความสำเร็จ
by hongvalue (Sataporn Ngarmruengpong)
http://hongvalue.wordpress.com/
สิงหาคม 12, 2011 ที่ 10:31
หัวข้อในบล็อกวันนี้เบาๆ ไม่ใช่เชิงวิชาการหลักการคิดอะไร แต่อยากจะมาแชร์ถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เจอกับคนในตลาดหุ้น ว่าในมุมมองของผมทำไมคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
ผมว่าเรื่องแรกเลยคือ หลายคนยังบอกว่าการเล่นหุ้นเป็นแค่งานอดิเรกขำๆก็คือว่า ไม่ต้องศึกษามากหรอกเล่นไป chill chill เดี่ยวก็รวยแล้ว ผมกล้าพูดว่า 100 ละ 100 ของคนที่คิดแบบนี้ระยะยาวไม่มีวันประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นหรอก จริงๆแล้วคุณทำงานประจำคุณไม่ชอบที่มีคนมากดขี่ กดหัว มีเพื่อนร่วมงานเฮงซวยขี้อิจฉา คุณก็เริ่มอยากจะเป็นนายของตัวเอง แต่คุณก็อยากมีอิสระทางเวลาด้วยดังนั้นตลาดหุ้นคือ คำตอบ หลายคนก็เลยอยากเล่นหุ้นได้กำไรเยอะๆจะได้ไม่ต้องทำงานที่ตัวเองไม่ชอบอีกต่อไป แต่เวลาที่คุณทุ่มเทให้กับตลาดหุ้นได้นั้นทำได้วันละไม่ถึงชั่วโมง (ไม่นับเวลานั่งดูราคาหุ้น) ตลกมาก คุณทำงานประจำคุณต้องทำวันละ 8 ชั่วโมง แต่พอต้องอ่านเรื่องหุ้นแป๊ปเดียวคุณก็รู้สึกว่าเครียด รู้สึกเหนื่อย แล้วแบบนี้คุณจะหวังว่าจะเล่นหุ้นแล้วรวยได้อย่างไร อย่างผมเป็น full time investor คนนึกว่าผมสบาย คำตอบของผมคือ สบายกับผีนะสิ ผมอ่านเอกสารวันนึงกองยังกับภูเขา แถมผมมีสอนมือใหม่ มีเขียนหนังสือ อาทิตย์นึงมีเวลาเข้า fitness ไม่เกิน 3 วันด้วยซ้ำ ผมมีทัศนคติว่าถ้าเราอยากได้สิ่งที่สุดยอดเราก็ต้องทุ่มเทถวายหัวให้กับมัน ดังนั้นทั้งชีวิตของผมมอบให้กับการลงทุน ผมไม่เคยมีความคิดจะซื้อที่ดิน ซื้อทอง ซื้อพันธบัตรอะไรแม้แต่อย่างเดียว บางคนอ่านหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจสัมภาษผม นึกว่าผมนั่งๆนอนๆแล้วมีเงินเป็นสิบล้านหล่นลงมา โลกความเป็นจริงไม่มีหรอกครับ
การเล่นหุ้นให้ได้กำไรชนะตลาดในระยะยาวต้องอาศัยความพยายามสูงมาก ซึ่งความพยายามนั้นก็ต้องมาจากทัศนคติที่ถูกต้องและพร้อมจะทุ่มเทก่อนแต่หลายคนไม่มีความคิดแบบนั้นรู้สึกว่าอยากได้เงินง่ายๆ แค่นี้ก็จบแล้ว คุณไม่มีทางอยู่รอดในตลาดหุ้นระยะยาวได้ คุณเป็นแค่หมูอ้วนๆตัวนึงในตลาดหุ้นที่เสือ สิง กระทิง แรด อยากจะรุมสกัมให้เหลือแต่กระดูก เหตุผลเพราะ คุณไม่มีความรู้ในหัวเลยใช้แต่อารมณ์ลงทุนก็เลยเป็นเหยื่อของรายใหญ่หรือคนที่รู้มากกว่า
บางคนเพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาถามผมว่ามี course อะไรแนะนำไหม ผมแนะนำไปดันมาตอบผมว่า โห ตั้ง 2000 บาทแพงจังเลยมี course ฟรีไหม อ้าว ไอ้เวรเอ๋ย ถ้าเป็นเพื่อนผมนี้ผมตบกระโหลกไปแล้ว มึงเรียนมหาลัยมา 4 ปีเสียเงินตั้งหลายแสนเพื่อไปทำงานบริษัททำไมมึงเสียได้ว่ะ แล้วพอไปทำงานมึงก็บอกว่าอยากมีอิสระภาพทางการเงิน อยากมี financial freedom แต่พอจะหันมามีอิสรภาพทางการเงิน ค่าเรียนรู้เบื่้องต้น 2000 เจือกไม่ยอมเสีย แบบนี้เมิงก็ทำงานงกๆๆๆ ต่อไปเถอะ คนแบบนี้เหมือนอยากมีเมียเป็นนางงาม เป็นนางแบบ แต่ตัวเองไม่ดูแลหุ้นปล่อยให้อ้วนฉุ มีกลิ่นปาก แต่งตัวไม่เป็น แถมจน แต่อยากได้เมียเป็นนางงาม ก็เหมือนกันอยากรวยเร็วๆ อยากมีความรู้ทางการลงทุน แต่ไม่อยากเสียเงินไปเรียน คนพวกนี้บางคนผมเคยแนะนำหนังสือการลงทุน ตปท ไปให้ก็บอกว่า “โห แพงจังเล่มละตั้ง 800 บาท” ผมเลยไม่ตอบอะไรเขาอีก เพราะผมถือว่าเราคุยกันคนละภาษา ผมคุยภาษา อิตาลี เขาคุยภาษาเขมร และเราไม่มีทางคุยกันเข้าใจได้
ของฟรีไม่มีในโลกถ้าคุณอยากเก่งเรื่องหุ้น ผมคิดว่าคุณต้องกันค่าใช้จ่ายเรื่องไปเรียนกับเรื่องหนังสือเอาไว้หลายๆหมื่นเลย ผมเห็นหลาย course ของที่อื่นเก็บกันวันละ 4500-5000 คนไปเรียนหลายคนก็บอกว่าคุ้ม ได้แนวคิดดีๆกลับมาน่าจะช่วยทำให้อีกหน่อยทำเงินในตลาดหุ้นได้หลายแสนหลายล้านคุ้มกว่าค่าเรียนเยอะ ผมว่าทัศนคติแบบนี้เป็นเรื่องถูกต้อง เหตุผลเพราะว่า การเล่นหุ้นแล้วได้กำไรแล้วทบต้นไปเรื่อยๆในปีหลังๆจำนวนเงินจะมหาศาลมากแล้วจะทำให้ค่าความรู้เช่นพวกค่าหนังสือ ค่าเรียนพวกนั้นถูกยังกับซื้อโอเล่มากินเลยทีเดียว อย่างตัวผมเองก็หมดค่าสัมนาไปเป็นแสน ค่าหนังสือตปททุกเล่มรวมกันก็เยอะมาก แต่พอผมกำไรหุ้นเยอะๆทีเดียว ค่าหนังสือกับค่าอบรมก็ถูกแสนถูก คุณต้องคิดว่าการลงทุนความรู้ในตัวคุณเองเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด และจงอย่าได้ตระหนี่กับค่าใช้จ่ายที่เอาไว้พัฒนาตัวเองเพราะ คนประสบความสำเร็จทุกคนต้องพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง
ผมเคยได้ยินรายใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีเงินหลายพันนล้านเล่าว่า สมัยก่อนแทบไม่มีกราฟให้ใช้ จะดูได้นี้ต้องจ่ายแพงมาก และค่าเรียนเรื่องกราฟสมัยก่อนก็ 50000 บาทขึ้นไป รายใหญ่คนนี้ยังไปเรียนเลย ไปเรียนในสมัยที่เงิน 50000 บาทถือว่าแพงมากๆ(เพราะนานมากแล้ว) ทุกวันนี้คนๆนี้ก็เป็นเสี่ยพันล้าน เสี่ยคนนี้เขาไม่ได้เล่นหุ้นด้วยความรู้สึกเล่นไปขำๆไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากแล้วก็หวังรวย เขาทุ่มเทจิตวิญญาณให้กับตลาดหุ้น สุดท้ายก็กลายเป็นตำนวนของเมืองไทยที่คนในตลาดหุ้นอยากไปให้ถึงจุดที่เขาเป็นอยู่
และเหตุผลอย่างอื่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นน่าจะเป็นเพราะว่าเขามีความอดทนไม่มากพอ อย่างว่ากว่าคุณจะออกมาทำงานได้คุณต้องเรียนตั้งกี่ปี แต่ในตลาดหุ้นไม่ใช่ว่าคึณขยันแค่ 3 เดือนแล้วคุณจะมีความรู้เพียงพอ คุณต้องขยันตลอดเวลาและรอคอยได้นานหลายปีกว่าจะถึงจุดที่ความรู้ของคุณตกผลึก หลายคนเข้ามาในตลาดหุ้นทำไปได้แป๊ปเดียวก็รู้สึกว่ามันต้องพยายามมากขนาดนี้ทำไมเล่นไม่ได้ตังค์ซะทีว่ะ ไอ้พวกคนได้ตังค์มันต้องดวงดีแหงๆ โอ๊ยมันเป็นเรื่องของดวงนี้หว้า ไม่ต่างจากแทงหวยเลิกพยายามดีกว่า ปญอ จัง อะไรประมาณนี้คือความคิดของหลายคนที่เข้ามาในตลาดแล้วพยายามได้ 2-3 เดือนแล้วยังไม่กำไร ซึ่งการจะประสบความสำเร็จจากอะไรซักอย่างมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นมันต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น นอกจากคุณจะทุ่มเทได้มากพอแล้วคุณยังต้องอึดมากพอที่จะรอให้วันของคุณมาถึงอีกด้วย
ถ้าคุณให้เวลากับมันได้ ไม่ทำตัวแบบคนต้องการนางงามแต่ไม่พัฒนาตัวเอง(อยากเก่งแต่ไม่อยากจ่ายค่าเรียนรู้) และอดทน ผมคิดว่าในระยะยาวคุณจะกลายเป็นเสี่ยครับ
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเล่นหุ้นไม่ประสบความสำเร็จ
by hongvalue (Sataporn Ngarmruengpong)
http://hongvalue.wordpress.com/
สิงหาคม 12, 2011 ที่ 10:31
หัวข้อในบล็อกวันนี้เบาๆ ไม่ใช่เชิงวิชาการหลักการคิดอะไร แต่อยากจะมาแชร์ถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เจอกับคนในตลาดหุ้น ว่าในมุมมองของผมทำไมคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
ผมว่าเรื่องแรกเลยคือ หลายคนยังบอกว่าการเล่นหุ้นเป็นแค่งานอดิเรกขำๆก็คือว่า ไม่ต้องศึกษามากหรอกเล่นไป chill chill เดี่ยวก็รวยแล้ว ผมกล้าพูดว่า 100 ละ 100 ของคนที่คิดแบบนี้ระยะยาวไม่มีวันประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นหรอก จริงๆแล้วคุณทำงานประจำคุณไม่ชอบที่มีคนมากดขี่ กดหัว มีเพื่อนร่วมงานเฮงซวยขี้อิจฉา คุณก็เริ่มอยากจะเป็นนายของตัวเอง แต่คุณก็อยากมีอิสระทางเวลาด้วยดังนั้นตลาดหุ้นคือ คำตอบ หลายคนก็เลยอยากเล่นหุ้นได้กำไรเยอะๆจะได้ไม่ต้องทำงานที่ตัวเองไม่ชอบอีกต่อไป แต่เวลาที่คุณทุ่มเทให้กับตลาดหุ้นได้นั้นทำได้วันละไม่ถึงชั่วโมง (ไม่นับเวลานั่งดูราคาหุ้น) ตลกมาก คุณทำงานประจำคุณต้องทำวันละ 8 ชั่วโมง แต่พอต้องอ่านเรื่องหุ้นแป๊ปเดียวคุณก็รู้สึกว่าเครียด รู้สึกเหนื่อย แล้วแบบนี้คุณจะหวังว่าจะเล่นหุ้นแล้วรวยได้อย่างไร อย่างผมเป็น full time investor คนนึกว่าผมสบาย คำตอบของผมคือ สบายกับผีนะสิ ผมอ่านเอกสารวันนึงกองยังกับภูเขา แถมผมมีสอนมือใหม่ มีเขียนหนังสือ อาทิตย์นึงมีเวลาเข้า fitness ไม่เกิน 3 วันด้วยซ้ำ ผมมีทัศนคติว่าถ้าเราอยากได้สิ่งที่สุดยอดเราก็ต้องทุ่มเทถวายหัวให้กับมัน ดังนั้นทั้งชีวิตของผมมอบให้กับการลงทุน ผมไม่เคยมีความคิดจะซื้อที่ดิน ซื้อทอง ซื้อพันธบัตรอะไรแม้แต่อย่างเดียว บางคนอ่านหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจสัมภาษผม นึกว่าผมนั่งๆนอนๆแล้วมีเงินเป็นสิบล้านหล่นลงมา โลกความเป็นจริงไม่มีหรอกครับ
การเล่นหุ้นให้ได้กำไรชนะตลาดในระยะยาวต้องอาศัยความพยายามสูงมาก ซึ่งความพยายามนั้นก็ต้องมาจากทัศนคติที่ถูกต้องและพร้อมจะทุ่มเทก่อนแต่หลายคนไม่มีความคิดแบบนั้นรู้สึกว่าอยากได้เงินง่ายๆ แค่นี้ก็จบแล้ว คุณไม่มีทางอยู่รอดในตลาดหุ้นระยะยาวได้ คุณเป็นแค่หมูอ้วนๆตัวนึงในตลาดหุ้นที่เสือ สิง กระทิง แรด อยากจะรุมสกัมให้เหลือแต่กระดูก เหตุผลเพราะ คุณไม่มีความรู้ในหัวเลยใช้แต่อารมณ์ลงทุนก็เลยเป็นเหยื่อของรายใหญ่หรือคนที่รู้มากกว่า
บางคนเพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาถามผมว่ามี course อะไรแนะนำไหม ผมแนะนำไปดันมาตอบผมว่า โห ตั้ง 2000 บาทแพงจังเลยมี course ฟรีไหม อ้าว ไอ้เวรเอ๋ย ถ้าเป็นเพื่อนผมนี้ผมตบกระโหลกไปแล้ว มึงเรียนมหาลัยมา 4 ปีเสียเงินตั้งหลายแสนเพื่อไปทำงานบริษัททำไมมึงเสียได้ว่ะ แล้วพอไปทำงานมึงก็บอกว่าอยากมีอิสระภาพทางการเงิน อยากมี financial freedom แต่พอจะหันมามีอิสรภาพทางการเงิน ค่าเรียนรู้เบื่้องต้น 2000 เจือกไม่ยอมเสีย แบบนี้เมิงก็ทำงานงกๆๆๆ ต่อไปเถอะ คนแบบนี้เหมือนอยากมีเมียเป็นนางงาม เป็นนางแบบ แต่ตัวเองไม่ดูแลหุ้นปล่อยให้อ้วนฉุ มีกลิ่นปาก แต่งตัวไม่เป็น แถมจน แต่อยากได้เมียเป็นนางงาม ก็เหมือนกันอยากรวยเร็วๆ อยากมีความรู้ทางการลงทุน แต่ไม่อยากเสียเงินไปเรียน คนพวกนี้บางคนผมเคยแนะนำหนังสือการลงทุน ตปท ไปให้ก็บอกว่า “โห แพงจังเล่มละตั้ง 800 บาท” ผมเลยไม่ตอบอะไรเขาอีก เพราะผมถือว่าเราคุยกันคนละภาษา ผมคุยภาษา อิตาลี เขาคุยภาษาเขมร และเราไม่มีทางคุยกันเข้าใจได้
ของฟรีไม่มีในโลกถ้าคุณอยากเก่งเรื่องหุ้น ผมคิดว่าคุณต้องกันค่าใช้จ่ายเรื่องไปเรียนกับเรื่องหนังสือเอาไว้หลายๆหมื่นเลย ผมเห็นหลาย course ของที่อื่นเก็บกันวันละ 4500-5000 คนไปเรียนหลายคนก็บอกว่าคุ้ม ได้แนวคิดดีๆกลับมาน่าจะช่วยทำให้อีกหน่อยทำเงินในตลาดหุ้นได้หลายแสนหลายล้านคุ้มกว่าค่าเรียนเยอะ ผมว่าทัศนคติแบบนี้เป็นเรื่องถูกต้อง เหตุผลเพราะว่า การเล่นหุ้นแล้วได้กำไรแล้วทบต้นไปเรื่อยๆในปีหลังๆจำนวนเงินจะมหาศาลมากแล้วจะทำให้ค่าความรู้เช่นพวกค่าหนังสือ ค่าเรียนพวกนั้นถูกยังกับซื้อโอเล่มากินเลยทีเดียว อย่างตัวผมเองก็หมดค่าสัมนาไปเป็นแสน ค่าหนังสือตปททุกเล่มรวมกันก็เยอะมาก แต่พอผมกำไรหุ้นเยอะๆทีเดียว ค่าหนังสือกับค่าอบรมก็ถูกแสนถูก คุณต้องคิดว่าการลงทุนความรู้ในตัวคุณเองเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด และจงอย่าได้ตระหนี่กับค่าใช้จ่ายที่เอาไว้พัฒนาตัวเองเพราะ คนประสบความสำเร็จทุกคนต้องพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง
ผมเคยได้ยินรายใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีเงินหลายพันนล้านเล่าว่า สมัยก่อนแทบไม่มีกราฟให้ใช้ จะดูได้นี้ต้องจ่ายแพงมาก และค่าเรียนเรื่องกราฟสมัยก่อนก็ 50000 บาทขึ้นไป รายใหญ่คนนี้ยังไปเรียนเลย ไปเรียนในสมัยที่เงิน 50000 บาทถือว่าแพงมากๆ(เพราะนานมากแล้ว) ทุกวันนี้คนๆนี้ก็เป็นเสี่ยพันล้าน เสี่ยคนนี้เขาไม่ได้เล่นหุ้นด้วยความรู้สึกเล่นไปขำๆไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากแล้วก็หวังรวย เขาทุ่มเทจิตวิญญาณให้กับตลาดหุ้น สุดท้ายก็กลายเป็นตำนวนของเมืองไทยที่คนในตลาดหุ้นอยากไปให้ถึงจุดที่เขาเป็นอยู่
และเหตุผลอย่างอื่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นน่าจะเป็นเพราะว่าเขามีความอดทนไม่มากพอ อย่างว่ากว่าคุณจะออกมาทำงานได้คุณต้องเรียนตั้งกี่ปี แต่ในตลาดหุ้นไม่ใช่ว่าคึณขยันแค่ 3 เดือนแล้วคุณจะมีความรู้เพียงพอ คุณต้องขยันตลอดเวลาและรอคอยได้นานหลายปีกว่าจะถึงจุดที่ความรู้ของคุณตกผลึก หลายคนเข้ามาในตลาดหุ้นทำไปได้แป๊ปเดียวก็รู้สึกว่ามันต้องพยายามมากขนาดนี้ทำไมเล่นไม่ได้ตังค์ซะทีว่ะ ไอ้พวกคนได้ตังค์มันต้องดวงดีแหงๆ โอ๊ยมันเป็นเรื่องของดวงนี้หว้า ไม่ต่างจากแทงหวยเลิกพยายามดีกว่า ปญอ จัง อะไรประมาณนี้คือความคิดของหลายคนที่เข้ามาในตลาดแล้วพยายามได้ 2-3 เดือนแล้วยังไม่กำไร ซึ่งการจะประสบความสำเร็จจากอะไรซักอย่างมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นมันต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น นอกจากคุณจะทุ่มเทได้มากพอแล้วคุณยังต้องอึดมากพอที่จะรอให้วันของคุณมาถึงอีกด้วย
ถ้าคุณให้เวลากับมันได้ ไม่ทำตัวแบบคนต้องการนางงามแต่ไม่พัฒนาตัวเอง(อยากเก่งแต่ไม่อยากจ่ายค่าเรียนรู้) และอดทน ผมคิดว่าในระยะยาวคุณจะกลายเป็นเสี่ยครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 6
ประวัติของคุณฮงต่อนะครับ>>>
เล่าเส้นทางการเรียนรู้ของผม(หัวข้อเบาๆ)
.
by hongvalue (Sataporn Ngarmruengpong)
http://hongvalue.wordpress.com/
กันยายน 15, 2011 ที่ 10:06
.
มีหลายท่านถามผมทางทวิตและทางอีเมล์ว่าอยากจะเริ่มศึกษาการลงทุนทำอย่างไรดี ผมเลยขอตอบโดยการเล่าให้ฟังว่าเส้นทางการเรียนรู้ของหุ้นเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง
.
แต่เดิมเลยผมเป็นเพียงเด็กอยากรวย สมัยเด็กผมชอบเล่นไพ่ยูกิ ผมก็หารายได้เสริมด้วยการนำไพ่ยูกิไปฝากขายตามร้านไพ่ เวลาผมเอาไปขายส่วนใหญ่แล้วผมแทบจะไม่เคยซื้อมาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ไพ่สำหรับปลอมแล้วเดิมพันกับเพื่อนว่าใครชนะก็ให้ยึดไพ่จริงของอีกฝ่ายได้ โชคดีที่ผมเล่นไม่ค่อยแพ้ใครผมเลยได้ไพ่ยูกิมาเยอะแล้วก็นำไปฝากขายที่ร้านขายการ์ตูนสมัยเรียนอยู่ทิวไผ่งาม ทำๆไปซักพักก็อิ่มตัวไพ่ยูกิก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมก็ไม่รู้จะหารายได้ทางไหนดี ตอนเรียนอยู่ ม.หกก็มีเพื่อนมาบอกว่าเล่นหุ้นแล้วกำไร 50% ภายใน 2-3 เดือน มันบอกว่าลงทุน 1 แสนแค่ 2-3 เดือนก็ได้เงินมา 50000 หมื่น ก็รู้สึกสนใจมากและคิดว่าหน้าอย่างมึงยังได้ตังค์กูก็ต้องได้เหมือนกันสิว่ะ แต่ตอนนั้นพอเล่าให้ที่บ้านฟังก็ไม่ค่อยมีคนเห็นด้วย ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แต่นั่งดูหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปวันๆว่าหุ้นตกเพราะอะไรหุ้นขึ้นเพราะอะไร ช่วงนั้นจำได้ว่าเคยเอาเงินไปซื้อทองเก็บไว้ 10 บาท ตอนนั้นประมาณปี 2547 เคยซื้อทองบาทละ 7300 ตอนขึ้นมา 7600 ดีใจแทบตายได้กำไร 300 บาท(แต่มี 10 บาทเลยกำไร 3000)แล้วก็รู้สึกว่าดีว่ะ ไม่ต้องไปนั่งขายไพ่ยูกิเหมือนตอนเรียนม.ปลายแล้ว ว่าแล้วก็คิดว่าถ้าทองลงไป 7300 อีกจะซื้ออีกรอบแล้วก็ขายอีก เล่นแบบนี้แหละรอบละ 3000 เล่นไปซัก 10 รอบก็กำไร 3 หมื่นแล้วที่ไหนได้แม่ม ไป 8000 กว่าแล้วไม่เคยกลับมาอีกเลย หลังจากนั้นก็เลยมาดูหุ้นต่อ ตอนนั้นถามเพื่อนว่าจะรู้ได้ไงว่าซ์้อตัวไหน มันบอกว่ากูซื้อตามน้ากู น้ากูบอกให้เข้าตัวนั้นกูก็เข้าตัวนั้น ผมก็บอกเหรอ ดีว่ะ แนะนำน้ามึงให้กูรู้จักบ้างสิ มันบอกว่าได้เลย และมันก็พาผมไปที่ห้องค้าของโบรกแห่งนึงที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า พอไปถึงมันก็แนะนำให้ผมรู้สึกน้าของมัน ผมเดินไปยกมือไหว้น้ามัน น้ามันก็ไม่ค่อยแลผมเลย ผมก็คิดในใจแลไม่แลช่างแม่มขอให้มึงบอกหุ้นกูก็พอ เสร็จแล้วผมก็ถามน้ามันว่าถ้าผมจะซื้อเข้าแล้วขายตอนบ่ายผมทำได้ไหม น้ามันก็บอกว่าทำได้ แต่น้ามันทำหน้าเซ็งๆใส่ผม ผมก็งงๆว่าคำถามผมมันผิดอะไร แล้วพอผมจะถามน้ามันต่อ น้ามันก็ไม่คุยกับผมบอกว่ามีธุระ แล้วเพื่อนผมก็ถามน้ามันว่าขอ บทวิเคราะห์อาทิตย์นี้ให้ฮงหน่อยได้ไหม น้ามันก็บอกว่าหมดแล้ว (หน้าบอกบุญไม่รับ) ผมก็งงๆ นึกว่าตัวเองเป็นคนขอทานกลับชาติมาเกิดก็เลยออกจากห้องค้าแบบหงุดหงิดแล้วก็คิดว่าไม่เป็นไรไปถามคนอื่นก็ได้ ว่าแล้วผมก็ไปถามคนอื่นในโบรกเดียวกันนี้แต่เป็นที่สาขาอื่นที่อยู่แถวบ้านผม ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ แทบไม่มีใครอยากคุยกับผม ผมเคยถามมาร์คนนึงว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง แล้วมันก็ตอบอย่างมั่นใจว่า “ขึ้น” ผมก็คิดว่าเออ ดีว่ะเราอยากมีความรู้แบบมาร์คนนี้บ้างจัง ปรากฏวันรุ่งขึ้นหุ้นแม่มลง ผมก็คิดในใจ อ้าว มั่วนี้หว้า เอี้ยนี้ ไม่รู้แล้วยังตอบกูมาอีก
.
จนถึงจุดนึงผมเริ่มรู้สึกว่าไม่เห็นมีมาร์คนไหนให้ความรู้อะไรผมได้เลย พวกนี้ไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมด้วยซ้ำแล้วแถมถามว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงก็บอกผิดเป็นส่วนใหญ่ ผมก็เลยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องค้าเขาก็บอกว่ามีอบรมเรื่องกราฟ สอนโดยไอ้ฝรั่งคนหนึ่ง ผมก็รีบโทรไปจองมันก็บอกว่าให้ไปตอนบ่ายโมง bla bla bla ผมก็ไป ตอนไปนั่งฟังครั้งแรกไงมาก เพราะไอ้ฝรั่งพูดว่า วอยุ่ม วอยุ่ม ผมก็งงว่าอะไรว่ะ สรุปผมฟังแทบไม่รู้เรื่องเลยซักกะนิดเดียว แต่วันนั้นฟังเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าวันหลังมาฟังใหม่ดีกว่า
.
แล้วผมก็พยายามจะตามฟังของไอ้ฝรั่งคนนั้นอีกแต่มันก็ไม่ค่อยสอนเท่าไหร่ ผมก็เลยหาของที่อื่นฟังจำได้เคยโทรไปของที่นึงเขาบอกไปฟังวันเดียว 8000 บาท ผมถึงกับตกใจมาก เพราะตอนนั้นพอร์ตลงทุนผมมีแค่ 1 แสนเอง ผมจ่ายตังค์ 8 พันไม่ไหวหรอก ผมอยากฟังฟรีๆอะ ของฟรีมีมะ แล้วในที่สุดของดีที่ฟรีก็มาถึงจนได้ งาน set in the city ที่มีการจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ 4 วันติด ลักษณะงานจะเป็นตั้งแต่วัน พฤษหัสจนถึงวันอาทิตย์ ผมจำได้ว่าผมตื่นเต้นมาากๆๆ ผมพยายามจัดเวลาว่าผมจะไปฟังของห้องไหนบ้าง สมัยนั้นมีอบรมแบบ meeting room 3 ห้อง ผมก็ต้องดูตารางเวลาว่าหัวข้ออันไหนน่าสนใจที่สุดแล้วก็ซื้อเครื่องอัดเทปมาแล้วก็ไปนั่งฟังผมจำได้ว่าส่วนใหญ่ผมจะนั่งหน้าสุด แต่ละวันกลับมาบ้านผมก็เอาเสียงที่อัดมาลองคอมพิวเตอร์แล้วใส่ชื่อไฟล์ว่าไฟล์เสียงนี้เป็นเนื้อหาอะไร แล้วผมก็จะนั่งทอดเทปโดยการนั่งจดเกือบทุกคำพูดของไฟล์เสียงมาลงสมุดลงทุนของผม แล้วมีเวลาเมื่อผมเปิดคอมพิวเตอร์เล่น internet ผมจะเปิดไฟล์เสียงฟังตลอดเวลา ผมทำแบบนี้อยู่หลายปีมากๆ ผมฟังจนผมรู้เลยว่าถ้าคนบรรยายพูดประโยคนี้จบจะพูดประโยคไหนต่อ แล้วตอนฟังมีเสียงผมหัวเราะช่วงไหนบ้าง การไปงาน set in the city แล้วฟัง 4 วันแล้วถอดเทป ช่วยให้ผมเรียนรู้ไปได้เยอะมากในช่วงแรกๆ ช่วงนั้นเวลาผมเข้าไปที่ห้องค้าผมก็ไมค่อยคุยกับมาร์เท่าไหร่ เพราะตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่ากูขยันกว่ามึงอีก กูน่าจะรู้เยอะกว่ามึงแล้วนะตอนนี้อะ (ฮา)
.
จริงๆตอนที่ผมเด็กๆว่าผมไปถามใครผมจะโดนเมินบ่อยมาก ผู้บรรยายมักไม่ค่อยเห็นหัวผม เขาชอบคุยกับผู้ใหญ่ที่ดูท่าทางพอร์ตน่าจะใหญ่ ถามว่าผมโกรธไหม แรกๆก็โกรธและรู้สึกว่าไอ้พวกหน้าเงิน แต่ต่อมาผมก็เริ่มไม่โกรธเท่าไหร่ เพราะผมเริ่มเข้าใจว่าถ้าพวกผู้ใหญ่บางคนพอร์ตหลายสิบล้าน ถ้าเทียบกับพอร์ต 1 แสนของผมในตอนนั้นแล้ว ถ้าผมเป็นวิทยากรผมก็คงจะเลือกคุยกับคนที่ดูมีราศีกว่าเพราะนั้นหมายถึงวอลุ่มของบริษัทที่มากกว่า และผมก็เริ่มรู้สึกว่าคอยดูเถอะซักวันกูจะเก่งและรวยจนพวกมึงนั้นแหละต้องมาคุยกับกูก่อน และผมก็มุ่งหน้าศึกษาของผมต่อไป
.
ในช่วงอยู่มหาลัย ผมซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นทุกเล่มที่มีอยู่ที่ se-ed มาอ่านตอนแรกๆอ่านก็รู้สึกว่าทำไมทุกคนดูเทพ แต่อ่านไปจนถึงจุดนึงก็รู้สึกว่าบางคนแม่ม เขียนมั่วฉิบหายไม่มีหลักการเอี้ยอะไรเลยกูซื้อมาอ่านทำไมว่ะ แล้วผมก็เริ่มรู้ว่าผมรู้อะไรบ้างและผมไม่รู้อะไรบ้าง พออ่านหมด ผมก็ไปเป็นสมาชิกห้องสมุดมารวยแล้วก็ไปยืมหนังสือต่างประเทศที่มารวยมาอ่าน จำได้ว่าตอนนั้นยืมมาอ่านเยอะมาก จนถึงจุดนึงก็อิ่มตัวว่าไม่รุ้จะอ่านอะไรมากมายนักหนา
.
ผมก็เริ่มหันมาศึกษาพื้นฐานหุ้นรายตัวและลองคิดประเด็นต่างๆออกมา และเมื่อยิ่งศึกษาก็ยิ่งเกิดคำถามทำให้ผมไปโพสถามในเว็บกระทิงเขียว ซึ่งเป็นที่มาของคุณ ih ภาคต่างๆถึงกว่า 300 คำถาม ผมค้นพบว่าหลังจากที่เราอ่านหนังสือเข้าไปเยอะๆแล้วเราก็ต้องมาลงสนามจริงและเมื่อลงสนามจริงแล้วเรายังไม่เชี่ยวชาญเราก็จำเป็นต้องถามผู้เชี่ยวชาญ ระหว่างที่ถามไปเรื่อยๆ ผมเองก็เริ่มตกผลึกทางการลงทุนมากขึ้น
.
เมื่อถามจนเริ่มอิ่มตัวสิ่งที่ผมทำต่อมาคือ ผมก็เริ่มเรียนรู้จากการทำวิจัยของตัวเอง อย่างเรื่องหุ้นสิบเด้งที่ผมเคยเปิดสอนก็คล้ายๆกับการนำงานวิจัยของผมเองมาให้คนได้เปิดหูเปิดตา ตอนผมทำต้องยอมรับว่าหาข้อมูลยากมาก ว่าแต่ละเดือนข้อมูลเป็นไง ณ จุดที่เห็นงบรายไตรมาสนั้นๆหุ้นตัวนั้นน่าลงทุนหรือยัง เรียกว่าผมอาบเหงื่อต่างน้ำทีเดียวกว่าจะทำงานวิจัยของตัวเองออกมาได้ซักชิ้น ระหว่างที่ทำผมเคยรู้สึกว่าเรากำลังหลงทางหรือไม่ ใน ขณะที่คนอื่นๆนั่งหาหุ้นกันทำไมเราต้องมานั่งขุดอดีตที่มันผ่านไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องคนตัดฟืนกับขวานของเขา ผมคิดว่าการหาหุ้นใหม่ๆตลอดเวลาก็เปรียบเหมือนคนตัดไม้ที่เข้าป่าไปตัดไม้ทุกวัน แต่จริงๆแล้วขวานที่เขาเอาไปตัดไม้ถึงจุดนึงมันก็จะทื่อไม่คมเท่าไหร่ ดังนั้นการออกไปตัดไม้จึงต้องทำคู่กับการลับขวานให้คมตลอดเวลา การนั่งศึกษา case study ในอดีตเพื่อเข้าใจหลักการเลือกหุ้นในอนาคตก็เปรียบเหมือนการลับขวาน อย่างในตอนนี้ผมเองก็กำลังทำ project อันใหม่อยู่ ทำไปด้วยดูหุ้นไปด้วย ต้องยอมรับว่าเดี่ยวนี้เวลาค่อนข้างน้อยไม่ค่อยได้เล่นทวิตและไม่ได้เล่นเว็บบอร์เท่าไหร่ ถ้าพอมีเวลาก็จะมาเขียนบล็อกบ้าง
.
สรุปคือ ผมคิดว่าถ้าใครเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้นสิ่งที่คุณควรทำช่วงแรกๆคือ ไม่ต้องคิดเรื่องหาหุ้นเลย ให้คิดเรื่องศึกษาหาความรู้อย่างเดียว เปรียบเหมือนตอนนั้นขวานของคุณยังทื่อมากๆเรียกว่าไม่มีทางตัดไม้ได้เลย คุณต้องนั่งลับขวานของตัวเอง คุณอย่าไปเชื่อถ้ามีคนมาบอกว่า ขวานทื่อของคุณก็ตัดไม้ได้ ลองไปที่ป่า xxx สิ แบบนี้ก็เหมือนกับการไปยืมจมูกคนอื่นหายใจซึ่งไม่มีใครยอมให้คุณยืมจมูกเขาหายใจหรอก ก็เหมือนผมตอนพอร์ต 1 แสนเป็นเด็กปีหนึ่ง ไปที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ไปที่ไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ เมื่อคุณอ่านหนังสือเยอะมากพอแล้ว คุณก็เดินทางไปอบรมสัมนาต่างๆแล้วก็ค่อยหาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญถามแล้วก็ค่อยทำวิจัยเป็นของตัวเอง
เล่าเส้นทางการเรียนรู้ของผม(หัวข้อเบาๆ)
.
by hongvalue (Sataporn Ngarmruengpong)
http://hongvalue.wordpress.com/
กันยายน 15, 2011 ที่ 10:06
.
มีหลายท่านถามผมทางทวิตและทางอีเมล์ว่าอยากจะเริ่มศึกษาการลงทุนทำอย่างไรดี ผมเลยขอตอบโดยการเล่าให้ฟังว่าเส้นทางการเรียนรู้ของหุ้นเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง
.
แต่เดิมเลยผมเป็นเพียงเด็กอยากรวย สมัยเด็กผมชอบเล่นไพ่ยูกิ ผมก็หารายได้เสริมด้วยการนำไพ่ยูกิไปฝากขายตามร้านไพ่ เวลาผมเอาไปขายส่วนใหญ่แล้วผมแทบจะไม่เคยซื้อมาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ไพ่สำหรับปลอมแล้วเดิมพันกับเพื่อนว่าใครชนะก็ให้ยึดไพ่จริงของอีกฝ่ายได้ โชคดีที่ผมเล่นไม่ค่อยแพ้ใครผมเลยได้ไพ่ยูกิมาเยอะแล้วก็นำไปฝากขายที่ร้านขายการ์ตูนสมัยเรียนอยู่ทิวไผ่งาม ทำๆไปซักพักก็อิ่มตัวไพ่ยูกิก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมก็ไม่รู้จะหารายได้ทางไหนดี ตอนเรียนอยู่ ม.หกก็มีเพื่อนมาบอกว่าเล่นหุ้นแล้วกำไร 50% ภายใน 2-3 เดือน มันบอกว่าลงทุน 1 แสนแค่ 2-3 เดือนก็ได้เงินมา 50000 หมื่น ก็รู้สึกสนใจมากและคิดว่าหน้าอย่างมึงยังได้ตังค์กูก็ต้องได้เหมือนกันสิว่ะ แต่ตอนนั้นพอเล่าให้ที่บ้านฟังก็ไม่ค่อยมีคนเห็นด้วย ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แต่นั่งดูหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปวันๆว่าหุ้นตกเพราะอะไรหุ้นขึ้นเพราะอะไร ช่วงนั้นจำได้ว่าเคยเอาเงินไปซื้อทองเก็บไว้ 10 บาท ตอนนั้นประมาณปี 2547 เคยซื้อทองบาทละ 7300 ตอนขึ้นมา 7600 ดีใจแทบตายได้กำไร 300 บาท(แต่มี 10 บาทเลยกำไร 3000)แล้วก็รู้สึกว่าดีว่ะ ไม่ต้องไปนั่งขายไพ่ยูกิเหมือนตอนเรียนม.ปลายแล้ว ว่าแล้วก็คิดว่าถ้าทองลงไป 7300 อีกจะซื้ออีกรอบแล้วก็ขายอีก เล่นแบบนี้แหละรอบละ 3000 เล่นไปซัก 10 รอบก็กำไร 3 หมื่นแล้วที่ไหนได้แม่ม ไป 8000 กว่าแล้วไม่เคยกลับมาอีกเลย หลังจากนั้นก็เลยมาดูหุ้นต่อ ตอนนั้นถามเพื่อนว่าจะรู้ได้ไงว่าซ์้อตัวไหน มันบอกว่ากูซื้อตามน้ากู น้ากูบอกให้เข้าตัวนั้นกูก็เข้าตัวนั้น ผมก็บอกเหรอ ดีว่ะ แนะนำน้ามึงให้กูรู้จักบ้างสิ มันบอกว่าได้เลย และมันก็พาผมไปที่ห้องค้าของโบรกแห่งนึงที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า พอไปถึงมันก็แนะนำให้ผมรู้สึกน้าของมัน ผมเดินไปยกมือไหว้น้ามัน น้ามันก็ไม่ค่อยแลผมเลย ผมก็คิดในใจแลไม่แลช่างแม่มขอให้มึงบอกหุ้นกูก็พอ เสร็จแล้วผมก็ถามน้ามันว่าถ้าผมจะซื้อเข้าแล้วขายตอนบ่ายผมทำได้ไหม น้ามันก็บอกว่าทำได้ แต่น้ามันทำหน้าเซ็งๆใส่ผม ผมก็งงๆว่าคำถามผมมันผิดอะไร แล้วพอผมจะถามน้ามันต่อ น้ามันก็ไม่คุยกับผมบอกว่ามีธุระ แล้วเพื่อนผมก็ถามน้ามันว่าขอ บทวิเคราะห์อาทิตย์นี้ให้ฮงหน่อยได้ไหม น้ามันก็บอกว่าหมดแล้ว (หน้าบอกบุญไม่รับ) ผมก็งงๆ นึกว่าตัวเองเป็นคนขอทานกลับชาติมาเกิดก็เลยออกจากห้องค้าแบบหงุดหงิดแล้วก็คิดว่าไม่เป็นไรไปถามคนอื่นก็ได้ ว่าแล้วผมก็ไปถามคนอื่นในโบรกเดียวกันนี้แต่เป็นที่สาขาอื่นที่อยู่แถวบ้านผม ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ แทบไม่มีใครอยากคุยกับผม ผมเคยถามมาร์คนนึงว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง แล้วมันก็ตอบอย่างมั่นใจว่า “ขึ้น” ผมก็คิดว่าเออ ดีว่ะเราอยากมีความรู้แบบมาร์คนนี้บ้างจัง ปรากฏวันรุ่งขึ้นหุ้นแม่มลง ผมก็คิดในใจ อ้าว มั่วนี้หว้า เอี้ยนี้ ไม่รู้แล้วยังตอบกูมาอีก
.
จนถึงจุดนึงผมเริ่มรู้สึกว่าไม่เห็นมีมาร์คนไหนให้ความรู้อะไรผมได้เลย พวกนี้ไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมด้วยซ้ำแล้วแถมถามว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงก็บอกผิดเป็นส่วนใหญ่ ผมก็เลยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องค้าเขาก็บอกว่ามีอบรมเรื่องกราฟ สอนโดยไอ้ฝรั่งคนหนึ่ง ผมก็รีบโทรไปจองมันก็บอกว่าให้ไปตอนบ่ายโมง bla bla bla ผมก็ไป ตอนไปนั่งฟังครั้งแรกไงมาก เพราะไอ้ฝรั่งพูดว่า วอยุ่ม วอยุ่ม ผมก็งงว่าอะไรว่ะ สรุปผมฟังแทบไม่รู้เรื่องเลยซักกะนิดเดียว แต่วันนั้นฟังเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าวันหลังมาฟังใหม่ดีกว่า
.
แล้วผมก็พยายามจะตามฟังของไอ้ฝรั่งคนนั้นอีกแต่มันก็ไม่ค่อยสอนเท่าไหร่ ผมก็เลยหาของที่อื่นฟังจำได้เคยโทรไปของที่นึงเขาบอกไปฟังวันเดียว 8000 บาท ผมถึงกับตกใจมาก เพราะตอนนั้นพอร์ตลงทุนผมมีแค่ 1 แสนเอง ผมจ่ายตังค์ 8 พันไม่ไหวหรอก ผมอยากฟังฟรีๆอะ ของฟรีมีมะ แล้วในที่สุดของดีที่ฟรีก็มาถึงจนได้ งาน set in the city ที่มีการจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ 4 วันติด ลักษณะงานจะเป็นตั้งแต่วัน พฤษหัสจนถึงวันอาทิตย์ ผมจำได้ว่าผมตื่นเต้นมาากๆๆ ผมพยายามจัดเวลาว่าผมจะไปฟังของห้องไหนบ้าง สมัยนั้นมีอบรมแบบ meeting room 3 ห้อง ผมก็ต้องดูตารางเวลาว่าหัวข้ออันไหนน่าสนใจที่สุดแล้วก็ซื้อเครื่องอัดเทปมาแล้วก็ไปนั่งฟังผมจำได้ว่าส่วนใหญ่ผมจะนั่งหน้าสุด แต่ละวันกลับมาบ้านผมก็เอาเสียงที่อัดมาลองคอมพิวเตอร์แล้วใส่ชื่อไฟล์ว่าไฟล์เสียงนี้เป็นเนื้อหาอะไร แล้วผมก็จะนั่งทอดเทปโดยการนั่งจดเกือบทุกคำพูดของไฟล์เสียงมาลงสมุดลงทุนของผม แล้วมีเวลาเมื่อผมเปิดคอมพิวเตอร์เล่น internet ผมจะเปิดไฟล์เสียงฟังตลอดเวลา ผมทำแบบนี้อยู่หลายปีมากๆ ผมฟังจนผมรู้เลยว่าถ้าคนบรรยายพูดประโยคนี้จบจะพูดประโยคไหนต่อ แล้วตอนฟังมีเสียงผมหัวเราะช่วงไหนบ้าง การไปงาน set in the city แล้วฟัง 4 วันแล้วถอดเทป ช่วยให้ผมเรียนรู้ไปได้เยอะมากในช่วงแรกๆ ช่วงนั้นเวลาผมเข้าไปที่ห้องค้าผมก็ไมค่อยคุยกับมาร์เท่าไหร่ เพราะตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่ากูขยันกว่ามึงอีก กูน่าจะรู้เยอะกว่ามึงแล้วนะตอนนี้อะ (ฮา)
.
จริงๆตอนที่ผมเด็กๆว่าผมไปถามใครผมจะโดนเมินบ่อยมาก ผู้บรรยายมักไม่ค่อยเห็นหัวผม เขาชอบคุยกับผู้ใหญ่ที่ดูท่าทางพอร์ตน่าจะใหญ่ ถามว่าผมโกรธไหม แรกๆก็โกรธและรู้สึกว่าไอ้พวกหน้าเงิน แต่ต่อมาผมก็เริ่มไม่โกรธเท่าไหร่ เพราะผมเริ่มเข้าใจว่าถ้าพวกผู้ใหญ่บางคนพอร์ตหลายสิบล้าน ถ้าเทียบกับพอร์ต 1 แสนของผมในตอนนั้นแล้ว ถ้าผมเป็นวิทยากรผมก็คงจะเลือกคุยกับคนที่ดูมีราศีกว่าเพราะนั้นหมายถึงวอลุ่มของบริษัทที่มากกว่า และผมก็เริ่มรู้สึกว่าคอยดูเถอะซักวันกูจะเก่งและรวยจนพวกมึงนั้นแหละต้องมาคุยกับกูก่อน และผมก็มุ่งหน้าศึกษาของผมต่อไป
.
ในช่วงอยู่มหาลัย ผมซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นทุกเล่มที่มีอยู่ที่ se-ed มาอ่านตอนแรกๆอ่านก็รู้สึกว่าทำไมทุกคนดูเทพ แต่อ่านไปจนถึงจุดนึงก็รู้สึกว่าบางคนแม่ม เขียนมั่วฉิบหายไม่มีหลักการเอี้ยอะไรเลยกูซื้อมาอ่านทำไมว่ะ แล้วผมก็เริ่มรู้ว่าผมรู้อะไรบ้างและผมไม่รู้อะไรบ้าง พออ่านหมด ผมก็ไปเป็นสมาชิกห้องสมุดมารวยแล้วก็ไปยืมหนังสือต่างประเทศที่มารวยมาอ่าน จำได้ว่าตอนนั้นยืมมาอ่านเยอะมาก จนถึงจุดนึงก็อิ่มตัวว่าไม่รุ้จะอ่านอะไรมากมายนักหนา
.
ผมก็เริ่มหันมาศึกษาพื้นฐานหุ้นรายตัวและลองคิดประเด็นต่างๆออกมา และเมื่อยิ่งศึกษาก็ยิ่งเกิดคำถามทำให้ผมไปโพสถามในเว็บกระทิงเขียว ซึ่งเป็นที่มาของคุณ ih ภาคต่างๆถึงกว่า 300 คำถาม ผมค้นพบว่าหลังจากที่เราอ่านหนังสือเข้าไปเยอะๆแล้วเราก็ต้องมาลงสนามจริงและเมื่อลงสนามจริงแล้วเรายังไม่เชี่ยวชาญเราก็จำเป็นต้องถามผู้เชี่ยวชาญ ระหว่างที่ถามไปเรื่อยๆ ผมเองก็เริ่มตกผลึกทางการลงทุนมากขึ้น
.
เมื่อถามจนเริ่มอิ่มตัวสิ่งที่ผมทำต่อมาคือ ผมก็เริ่มเรียนรู้จากการทำวิจัยของตัวเอง อย่างเรื่องหุ้นสิบเด้งที่ผมเคยเปิดสอนก็คล้ายๆกับการนำงานวิจัยของผมเองมาให้คนได้เปิดหูเปิดตา ตอนผมทำต้องยอมรับว่าหาข้อมูลยากมาก ว่าแต่ละเดือนข้อมูลเป็นไง ณ จุดที่เห็นงบรายไตรมาสนั้นๆหุ้นตัวนั้นน่าลงทุนหรือยัง เรียกว่าผมอาบเหงื่อต่างน้ำทีเดียวกว่าจะทำงานวิจัยของตัวเองออกมาได้ซักชิ้น ระหว่างที่ทำผมเคยรู้สึกว่าเรากำลังหลงทางหรือไม่ ใน ขณะที่คนอื่นๆนั่งหาหุ้นกันทำไมเราต้องมานั่งขุดอดีตที่มันผ่านไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องคนตัดฟืนกับขวานของเขา ผมคิดว่าการหาหุ้นใหม่ๆตลอดเวลาก็เปรียบเหมือนคนตัดไม้ที่เข้าป่าไปตัดไม้ทุกวัน แต่จริงๆแล้วขวานที่เขาเอาไปตัดไม้ถึงจุดนึงมันก็จะทื่อไม่คมเท่าไหร่ ดังนั้นการออกไปตัดไม้จึงต้องทำคู่กับการลับขวานให้คมตลอดเวลา การนั่งศึกษา case study ในอดีตเพื่อเข้าใจหลักการเลือกหุ้นในอนาคตก็เปรียบเหมือนการลับขวาน อย่างในตอนนี้ผมเองก็กำลังทำ project อันใหม่อยู่ ทำไปด้วยดูหุ้นไปด้วย ต้องยอมรับว่าเดี่ยวนี้เวลาค่อนข้างน้อยไม่ค่อยได้เล่นทวิตและไม่ได้เล่นเว็บบอร์เท่าไหร่ ถ้าพอมีเวลาก็จะมาเขียนบล็อกบ้าง
.
สรุปคือ ผมคิดว่าถ้าใครเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้นสิ่งที่คุณควรทำช่วงแรกๆคือ ไม่ต้องคิดเรื่องหาหุ้นเลย ให้คิดเรื่องศึกษาหาความรู้อย่างเดียว เปรียบเหมือนตอนนั้นขวานของคุณยังทื่อมากๆเรียกว่าไม่มีทางตัดไม้ได้เลย คุณต้องนั่งลับขวานของตัวเอง คุณอย่าไปเชื่อถ้ามีคนมาบอกว่า ขวานทื่อของคุณก็ตัดไม้ได้ ลองไปที่ป่า xxx สิ แบบนี้ก็เหมือนกับการไปยืมจมูกคนอื่นหายใจซึ่งไม่มีใครยอมให้คุณยืมจมูกเขาหายใจหรอก ก็เหมือนผมตอนพอร์ต 1 แสนเป็นเด็กปีหนึ่ง ไปที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ไปที่ไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ เมื่อคุณอ่านหนังสือเยอะมากพอแล้ว คุณก็เดินทางไปอบรมสัมนาต่างๆแล้วก็ค่อยหาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญถามแล้วก็ค่อยทำวิจัยเป็นของตัวเอง
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณ คุณ navapon ครับ ที่นำเรื่องราวของคุณฮงมาให้อ่าน
และขอบคุณ คุณ tidy ที่ตั้งกระทู้นี้ครับ
ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตา และมีแรงบันดาลใจมากขึ้น
และขอบคุณ คุณ tidy ที่ตั้งกระทู้นี้ครับ
ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตา และมีแรงบันดาลใจมากขึ้น
- Suysak
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 8
ตอนเล่นใหม่ๆก็ท้อนะ งง เอามากๆ ว่าเขาวิเคราะห์กันยังไง ทำไมรู้ก่อนเรา
เล่นไปเล่นมา เล่นมาเล่นไป ก็รู้ว่า เออ ไม่ยากนี่หว่า
เล่นไปเล่นมา เล่นมาเล่นไป ก็รู้ว่า เออ ไม่ยากนี่หว่า
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 9
ทุกคนที่ประสบความสำเร็จต้องเคยล้มเหลวมาก่อนทั้งนั้น ยิ่งสำเร็จมากยิ่งต้องเคยล้มเหลวมาก
เราชอบไปศึกษาว่าใครสำเร็จอะไรบ้าง ลองศึกษาด้านที่เค้าเคยล้มมาก่อน แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างยุติธรรมเสมอ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย
ตัวอย่างของ เซียนฮงข้างต้นก็เห็นแล้วว่าเค้าไม่ได้มาด้วยโชคช่วย พรแสวงทั้งนั้น ถ้าเรารู้ตัวว่าทำได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ของเค้า ผลตอบแทนของเราก็ควรจะน้อยกว่าเค้ามากๆ ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ
เราชอบไปศึกษาว่าใครสำเร็จอะไรบ้าง ลองศึกษาด้านที่เค้าเคยล้มมาก่อน แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างยุติธรรมเสมอ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย
ตัวอย่างของ เซียนฮงข้างต้นก็เห็นแล้วว่าเค้าไม่ได้มาด้วยโชคช่วย พรแสวงทั้งนั้น ถ้าเรารู้ตัวว่าทำได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ของเค้า ผลตอบแทนของเราก็ควรจะน้อยกว่าเค้ามากๆ ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 10
หลายคนไม่เคยมีพื้นความรู้
เรื่องธุรกิจ การเงิน การลงทุนเลย
เหมือนต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่ง
แต่คงไม่ยากกว่าการเรียน
ในห้องเรียนชั้นเรียนประถมหรือมัธยมหรอกครับ
เพราะทุกคนก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันมาก่อนทั้งนั้น
ท้อได้ แต่อย่าถอย
ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ
เรื่องธุรกิจ การเงิน การลงทุนเลย
เหมือนต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่ง
แต่คงไม่ยากกว่าการเรียน
ในห้องเรียนชั้นเรียนประถมหรือมัธยมหรอกครับ
เพราะทุกคนก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันมาก่อนทั้งนั้น
ท้อได้ แต่อย่าถอย
ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 11
หนทางยังอีกยาวไกล อ่านแล้วก็ได้กำลังใจ วันนึงเราก็ต้องเป็นให้ได้ครับ
Inner peace. Stay calm, Stay invest.
-
- Verified User
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ VI เคยท้อมั้ยครับ
โพสต์ที่ 12
ก็ต้องพยายามกันต่อไปครับ
ถึงจะเดินได้ช้ากว่าคนอื่น แต่ก็จะไม่ยอมหยุดเดินครับ
Keep walking
ถึงจะเดินได้ช้ากว่าคนอื่น แต่ก็จะไม่ยอมหยุดเดินครับ
Keep walking