We Are in 'Worse Situation' Than in 2008: Roubini

[Rocker]

The world’s developed economies are trapped at the “stall speed” of low growth and need to have greater fiscal stimulus and less austerity to kick-start growth, leading economist Nouriel Roubini told CNBC Friday.

Speaking at the Ambrosetti Forum on the shores of Lake Como, near Milan, Roubini said in an interview: “We are in a worse situation than we were in 2008. This time around we have fiscal austerity and banks that are being cautious.”

Roubini, known for his bearish views on the world economy, thinks that there is a 60 percent chance of a second recession imminently. Economic data of recent weeks presents a mixed picture.

On Thursday, the US government announced that jobless claims dropped by 11,000 to 409,000 last week. Friday's employment report in the US is expected to show a gain of only 75,000 nonfarm jobs during August, with the unemployment rate steady at 9.1 percent.


Greek Deficit Balloons Amid Battle Over 'Credibility' ECB's Coene: Crisis Heading to 2008-09 LevelMain European Markets
Recent surveys point to slumping business and consumer confidence across the developed world.

Asked if there was still a chance the developed economies could avoid recession, Roubini said: "That’s very optimistic if you look at the data."

"The hard economic data (which has come out recently) is all relevant to July while the soft data which has come out is for the future and that’s all moving in the wrong direction," he added.

He also believes that a third round of quantitative easing in the US may not have the desired long-term effects, and that further fiscal stimulus across Europe and the US will be needed.


"The market may rally but unless the real economic data moves with asset prices, then eventually asset prices are going to go," he said. "Last year the economic data was already improving when QE2 was introduced."

Europe has come into increasing focus in recent weeks, with some even questioning whether the single currency can survive this crisis.

Roubini believes there will eventually be an enlargement of the European Financial Stability Facility (EFSF) or a common euro zone bond.

He thinks that the euro zone governments should try to weaken the value of the euro. The strength of the currency is worrying some economists because of the potential effect on exports from the euro region.

"Unless there is economic growth there will be this problem again,” said Roubini. “Fiscal austerity is negative for growth… (Governments) should work on denominated GDP not just on austerity."

He was pessimistic about the UK’s immediate economic future, and believes the British economy is "on the verge of a double dip."

http://www.cnbc.com/id/44368995

© 2011 CNBC.com

[poon151]

I would like tp share my opinion kab.

I think we (the world ) is in the far better position than the crisisn in 2008. Eventhough, in case that, the crisis does really happen, it wont be a hardlanding like in 2008. This is simply because everyone is expecting for that. Most of the company is preparing for the slow growth economic environment, can see from the company cut cost and hold cash. Unlike in 2008, everything is so unexpected, outlook was turned upside down, no cushion, and thus resulted in the worst recession in many decades. Indeed, there are some ugly figure that really cpncern me whixh is the unemployment rate of the us economy. Everyone know that us economy is accounted abt 70% from the consumer spending. And the consumer wont spend as much if they dont have a stable income. Anyway, i think this could be partially offset by the growing spending power from the emerging countries.

So, the worst case is mild recession and expected to be a short one kab.

[Rocker]

ผมก็คิดเช่นนั้นครับ เพราะ Crisis มักจะมาตอนที่ไม่มีการตั้งรับ ถ้ามีการตั้งรับแล้วระดับความรุนแรงก็ย่อมน้อยกว่าแน่นนอนครับ สถาณะการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ดีกว่าปี 2008 ครับ เพียงแต่นําบทความมุมมองของ Roubini มา Share กันครับเผื่อพี่ๆเพื่อนๆมี idea ได้ Share กันครับ

[syj]

แต่ผมเห็นด้วยกับ Roubini ครับ
ตอน 2008 นั้น Crisis เกิดขึ้นจริง มันไม่ได้ Hard Landing อะไร
หรอกครับ เพียงแต่คาดการณ์ว่าจะแย่มาก แล้ว ตลาดหุ้น
Over-react ไปเท่านั้นเอง แต่ที่มันไม่แย่ตามคาด ก็เพราะว่า
ทุกประเทศ ใส่เงิน ลงมาในระบบจำนวนมหาศาล อีกทั้งออก
นโยบายต่างๆ เพื่อให้เกิดการบริโภค จะเกิดภาวะ "ผลิตไม่ทัน"
ขึ้นในเวลาต่อมา แต่ปรากฎว่า ประเทศผู้ผลิต "ได้" ประเทศผู้บริโภค
"เสีย" ครับ เพราะงานก็ไม่ได้เพิ่มอยู่ดี คนตกงานก็เหมือนเดิม
ปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้แก้ แก้แต่ภาคการเงิน แต่ตอนนี้ หลายๆ
ประเทศ ก็หมดหน้าตักเหมือนกัน (ยกเว้นอเมริกา ที่หมดหน้าตัก
ไปนานแล้ว แต่พิมพ์แบงค์ได้เอง) ถ้าเกิดอะไรขึ้นในสเกลที่
ใหญ่พอสมควรเช่นประเทศสเปน เศรษฐกิจพัง อย่างนี้เป็นต้น
(กรีกเล็กเกินไป ล้มก็ไม่เป็นไร) จะเอากันไม่อยู่

แต่นี้ "โรค" ยังไม่หาย แค่กินยา ประคองไปเรื่อยๆ ก่อน ยังคิด
"ยา" ไม่ออก

[Rocker]

ดี ครับ หลากหมายมุมมองดี เพื่อนๆท่านอื่นคิดอย่างไร ก็ Share ได้เลยนะครับ ถ้าShare ทางออกCrisis เมกา ยุโรป มีทาออกกี่ทาง อะไรบ้าง และทางไหนน่าจะเป็นที่สุด ด้วยจะดีมากครับ

เมกาตอนนี้คล้าย ไทยสมัยปี2540 การบริโภคในประเทศสะดุดแต่บ้านเราแก้โดย ลดค่าเงิน กระตุ้นส่งออก เหมือนลดราคาสินค้า ให้ต่างชาติ แต่เมกาไม่น่าจะทําแบบเราได้ สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็น หนัง เพลง เกมส์ program ลิขสิทธิ์ทั้งนั้น ก็โดนละเมิดซะส่วนใหญ่

[poon151]

ผมว่าสุดท่ายแล้วทุกอย่างคงกลับมาหาจุดสมดุล เมกาพึ่งพิงการบริโภคมากเกินไป อีกหน่อยคงส่งออกมากขึ้น manufacturing index ก็ยังแข็งแรง แต่บริษัทใหญ่ๆ อย่างเช่นพวกอิเล็กโทรนิกส์ ก็เป็นบริษัทที่จ้างงานน้อยมาก

การแก้ปัญหาตรงจุดสุดยังไงก็ต้องเป็นเรื่องของการจ้างงาน ซึ่งก็ต้องกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้คนเยอะ และส่งผลกระทบในวงกว้าง ส่วนจะแก้ยังไงดี พูดจริงๆครับนึกไม่ออก เพราะดอกเบี้ยก็ต่ำจนไม่รู้จะต่ำยังไงแล้ว ราคาก็ยังตกลงทุกวัน แต่สุดท้ายต้องมีมาตรการอะไรออกมา มาตรการที่ไม่น่าเคยมีมาก่อน น่าติดตามตอนต่อไปจริงๆ (เห็นแว่วๆว่าจะสร้างทางด่วน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดผลกระทบไรมาก น่าจะได้เรื่องจิตวิทยามากกว่า)

แต่ขอเดาว่าไม่ใช่ QE3 แน่นอน!!

ส่วนยุโรปนั้นอ่อนแอจริง แต่แกนกลางคือเยอรมันซึ่งยังแข็งแกร่งมาก ถึงจะไม่อยากช่วยแต่ก็คงทำไม่ได้ เพราะลงเรือลำเดียวกันแล้ว แม้ทางข้างหน้าจะไม่มีแสงสว่างแต่ก็ยังดีกว่าถ้าโดดออกจากเรือแล้วว่ายกลับคนเดียว เพราะคงตายหมู่แน่นอน

ยิ่งเขียนก็ดูยิ่งน่ากลัว (สงสัยต้องขายหุ้น5555+)

[prakarnb]

ผมคิดว่า ปัญหาของปี 2008 นั้น ไม่ได้ถูกแก้ไข แต่เป็นการเปลี่ยนผู้รับหน้าเสื่อจากภาคเอกชนเป็นรัฐบาล เหมือนกับประเทศไทยครับ แต่ตอนนั้นเราไม่มีดอลล่าร์ใช้หนี้ จึงต้องกู้ IMF และตามมาด้วยพันธะต่างๆ แต่เมกา พิมพ์แบงก์เอง ไม่ต้องกู้ใคร และเปลี่ยนหนี้เอกชนเป็นหนี้รัฐ ด้วย QE แต่พอ ศก.ไม่ฟื้น ดุลการคลังยังคงขาดดุลต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถลดหนี้ได้ แต่ยังไม่หนักเท่ายุโรป ที่ดันเอาคนขาดีมาผูกรวมกับคนขาเป๋ คือการใช้เงินสกุลเดียวกัน ทำให้ปัญหาดูเหมือนจะแก้ยากมากจริงๆ สรุปคือ ผมคิดว่ายุโรปหนักแน่นอน และวิกฤตก็จะเกิดจากสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิด เช่น การแยกตัวของบางประเทศ หรือมีธนาคารใหญ่ล้ม ครับ

[syj]

MARKET PULSE Archives
Sept. 4, 2011, 11:41 p.m. EDT
Hong Kong PMI points to contraction
Stories You Might Like

SHARE: MORE Email Print Comment 1 By Chris Oliver
HONG KONG (MarketWatch) -- Hong Kong's Purchasing Managers' Index eased to 47.8 in August compared to a 51.4 print for the headline reading in July. The result was below the 50 level which divides contraction from expansion, marking the first time Hong Kong's private-sector economy has deteriorated in more than two years. Employment conditions for the month showed the first contraction since Dec. 2010, while output declined at a moderate pace, and new orders also showed a contraction, reversing from a slight rise in June. The PMI marked the worst deterioration in overall operating conditions in Hong Kong for 26 months, according to HSBC. "Mainland demand for Hong Kong goods and services is still holding firm, but weakening Western demand is adversely weighing on business conditions and hiring activities," said Mark McCombe, chief executive of HSBC in Hong Kong.

[syj]

MARKET PULSE Archives
Sept. 4, 2011, 11:41 p.m. EDT
Hong Kong PMI points to contraction
Stories You Might Like

SHARE: MORE Email Print Comment 1 By Chris Oliver
HONG KONG (MarketWatch) -- Hong Kong's Purchasing Managers' Index eased to 47.8 in August compared to a 51.4 print for the headline reading in July. The result was below the 50 level which divides contraction from expansion, marking the first time Hong Kong's private-sector economy has deteriorated in more than two years. Employment conditions for the month showed the first contraction since Dec. 2010, while output declined at a moderate pace, and new orders also showed a contraction, reversing from a slight rise in June. The PMI marked the worst deterioration in overall operating conditions in Hong Kong for 26 months, according to HSBC. "Mainland demand for Hong Kong goods and services is still holding firm, but weakening Western demand is adversely weighing on business conditions and hiring activities," said Mark McCombe, chief executive of HSBC in Hong Kong.

[Rocker]

ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ

[วรันศ์ บัฟเฟต]

I BET you ..... roubini has an out-of-this-world massive short position

[arica]

ผมคิด ว่า เป็นผม ผมจะแก้โดนกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดย อนุญาตให้เข้าไปตั้งรกรากในอเมริกาโดยเสรี ไม่จำกัดกรีนการ์ด

[dome@perth]

ผมมองคล้ายๆกับ Roubini ครับ
ตอนปี 2008 ตลาดหุ้นรับรู้ วิกฤติ
ปี 2009 - ถึงปัจจุบัน real sectors โดน และ คงซึมต่อไป

ผมคุยลูกค้า ที่เป็นคนอเมริกัน คนหนึง เขามีธุรกิจที่นั่น แต่เขาอาศัยอยู่ที่นี่
เขาบอกว่า อเมริกา ไม่ได้ ดีขึ้น แต่ getting worse ครับ

ผมก็มองว่าธุรกิจ ฝั่งอเมริกา และ ยุโรป คงซึมไปอีกนาน พอๆกับบ้านเราปี 2540 ครับ

[maneeratyin]

พี่ โดม เพิร์ธ ครับ ตอนนี้ พี่ ตั้น เบทาโกร อุดรฯ คิดถึงพี่มาก มีเวลา ติดต่อแกหน่อยนะครับ...เอ๊ะ!!!เห็นแกเรียกพี่ว่า...ตึ๋งนะครับ...พี่เปลี่ยนชื่อหรือเปล่าครับ
จาก
น้องๆเบทาโกร อุดร

[J.Livermore]

ถ้าปล่อยตามกลไกตลาด ไม่มีธนาคารกลางคอยอุ้มชู(พิมพ์เงิน) ตลาดคงพังไปนานแล้วครับ ไม่ใช่ลงแค่ 1/2 -1 ปี ก็ขึ้นต่อ เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ระบบทุนนิยมทุกวันนี้ เป็น Asset based economy ซึ่งการล่มสลายของราคาสินทรัพย์จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้น หนึ่งในเป้าหมายของธนาคารกลาง (โดยเฉพาะ FED) คือ การรักษาเสถียรภาพราคาสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ประเด็นนี้ หนังสือของ Greenspan ก็มีการพูดถึงบ่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นปรับลงมาก FED จะประชุมเร่งด่วนเพื่อหามาตรการรองรับ ซึ่งในความเป็นจริงหน้าที่ของ FED คือการรักษาเสถียรภาพของราคาที่เกี่ยวกับการบริโภค พวก Inflation Target ทั้งหลาย แต่ทุกวันนี้ ทำเกินหน้าที่ โดยการรักษาเสถียรภาพราคาสินทรัพย์ด้วย ซึ่งตามหลัก แล้วควรปล่อยไปตามกลไกตลาดมากกว่า

กลับมาที่บทความ โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายของประเทศพัฒนาแล้ว (มันควรจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะปัญหาไม่เคยได้รับการแก้และพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดปรับตัวเข้าสู่ภาวะหมีในระยะยาว ตราบใดที่ธนาคารกลาง มีอำนาจและไร้ข้อจำกัด ในการพิมพ์เงิน ตลาดก็จะเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ คือ Greed is Good & Loser don't pay การลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนมากที่สุดในระยะยาว คือ ถือหุ้น 100% แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ธนาคารกลางหมดอาวุธ มีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายมากขึ้น วันนั้นแหละ ความโหดร้านของระบบทุนนิยมจะประจักษ์ต่อทุกคน แต่คำถามคือ เมื่อไหร่ล่ะครับ คน US ที่คิดว่าหุ้นแพงมาตั้งแต่ปลายปี 90 เสียโอกาสทางการลงทุนมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีเหตุการณ์มากมายที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยเป็นเวลานาน ทั้ง ฟองสบู่อินเตอร์เน็ท , 9-11 , Subprime สุดท้าย คนที่ถือหุ้นไว้(ยกเว้นหุ้นขยะ) ก็กลายล่างจาก Loser กลายเป็น Winner ในท้ายที่สุด

[poon151]

ผมสนับสนุนความคิดเห็น ของ Nicholas Nassim Taleb ครับในเรื่องของการแก้ไขปัญหาระยะยาวว่าbanking system ของโลกรวมทั้งในไทยควรที่จะหันมาแก้ agency problem

เพราะระบบทุกวันนี้ของทุกประเทศ ให้ผลตอบแทนผู้บริหารตามผลกำไร กำไรเยอะได้โบนัสเยอะ แต่พอมีปัญหาใครรับผิดชอบ? ก็พวกเราทุกคนที่เป็นคนจ่ายภาษีนี่แหละครับ เพราะธนาคารมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจมาก ขนาดเมกาที่เป็นต้นแบบ free market สุดท้ายเกิดปัญหาจริงๆก็ต้องเข้าไปอุ้ม

ถ้่าธนาคารยังเป็นระบบตอบแทนผู้บริหารโดยใช้กำไรเป็นตัววัด สุดท้ายวิกฤติก็ต้องกลับมาอีกเพราะธนาคารก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะในช่วงเวลาที่ดีอะไรก็ดูไม่เสี่ยงไปหมด วิกฤติที่ผ่านมาแต่ละบริษัทที่ล้มนี่ก็ AAA rating. กันทั้งนั้น ผมชอบที่ดร.นิเวศน์ พูดว่า ธนาคารเป็นธุรกิจที่ดีจนกระทั่งถึงวันที่เจ๊ง

สำหรับผมธนาคารต้องถูกควบคุมเหมือนบริษัท utility อื่นๆ ถึงจะมีประสิทธิผลต่ำลง แต่ก็ลดโอกาส blow upครับ