ขอคำแนะนำ port เล๊กการขยาย ทำได้ช้ามากครับ

[gnomeller]

ตั้งแต่ลงทุนในหุ้นมา จนตอนนี้น่าจะอยู่ที่ 5ปียังไม่เคยขาดทุนครับ ปีนี้กำไร 40% โดยประมาณ แต่คิดเวลารวม 5ปีมานี้ พอร์ทมันขยายตัวได้ช้ามาก ผมไม่ได้คิดเป้นเลขที่แน่ชัดแต่เดาว่าประมาณ 20% หล่ะมั้งครับจากเวลา 5ปีมานี่ รายได้จากกำไรจากการลงทุนยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้ เพราะว่าก้อนเล๊ก ผมลงทุนแค่ไม่กี่หมื่นบาท ซื้อขายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ 5ปีมานี้ ผมคงถือมาไม่เกิน 10 ตัวเท่านั้น ยิ่ง 3ปีหลัง ผมถืออยู่ไปๆมาๆ 3ตัวเท่านั้น จนตอนนี้มีอยู่เหลือตัวเดียว จ่ายเอื่อยๆจ่ายไปเรื่อยๆ set ขึ้น เราไม่ขึ้น set ลง เราลงด้วย แต่ยังไงซะราคาเราไม่สน เราจ่ายปันผลไปเรื่อยๆ ตอนนี้มีเหลือตัวเดียวล้วนๆ คือ "เจ้าตลาดไฟรถยนต์" เท่านั้น

ช่วงก่อนนี้ กำไรมากอยู่แต่ล่าสุด เคราห์ซ้ำกรรมซัด เจอแผ่นดินไหวเข้าไป สงสัยจะหยุดชะงักแน่ๆ นี่ขายออกไปแล้วหนึ่งไม้ตอนที่ราคาสูงสุด และล่าสุดตอนนี้ ราคาลงมาจากจุดสูงสุดประมาณ 20% แล้ว ยังไม่แน่ใจว่าจะเอายังไงกับมันดี จะรอจังหวะเก็บสวนอีกก็คิดว่ามันทำให้พอร์ทโตช้า เลยอยากจะลองปรับเปลี่ยนวิธีบ้างครับ

อยากจะขอคำแนะนำว่า การที่จะให้พอร์ทโตไวกว่านี้ ควรเลือกหุ้น growth แทนหุ้นจ่ายปั่นผลใช่หรือไม่ และการดูอัตราการเติบโตอย่างไวแบบหวังผลเนี่ย มีหลักการดูยังไงบ้างครับ ผมถนัดแต่แนวหุ้น เซฟๆซื้อแล้วใจไม่สั้น รอดูผลงาน 1-2 ปี จากประสบการณ์ ผมมักจะขาดทุนจากการซื้อขายระยะสั้นกว่า 3เดือน

[support]

port ไม่โตก็จริงแต่ 20 % ต่อปีแบบทบต้นผมก็อิจฉาแล้วครับ

ทำต่อไปอย่างนี้ให้ได้ต่อเนื่องอีกสัก 7-8 ปี สิผมว่า port โตแน่ ๆ

อย่าใจร้อนครับ เงินเดือน เงินเก็บก็เอามาลงเพิ่มนะครับ

[Sumotin]

สวัสดีครับ อ่านแล้วยังงงอยู่ตรงที่บอกว่า ปีนี้กำไร 40% ลงทุนมา 5 ปี ยังไม่เคยขาดทุน แต่ port โตแค่ 20%

ส่วนเรื่องโตช้านี้ผมว่าช่วงแรกก็ต้องโตด้วย active income ก่อนแหละครับ เก็บหอมรอมริบเอามาลงทุนเรื่อยๆ เพราะการเพิ่ม Wealth ของ คุณ gnomeller ก็มองยอดที่เป็นจำนวนเงินอยู่ดีไม่ได้ดูแค่ % return จากการลงทุนอย่างเดียวนี่ครับ

"การที่จะให้พอร์ทโตไวกว่านี้ ควรเลือกหุ้น growth แทนหุ้นจ่ายปั่นผลใช่หรือไม่" การเลือกหุ้น growth สร้างผลตอบแทนได้ดีแน่นอนที่ระดับความผลตอบแทนนะตอนนั้นพอๆกัน key อยู่ที่ถ้าเรามองขาดแล้วเจอก่อนคนอื่นนะครับส่วนนี้ต้องอาศัยการทำการบ้านและการคาดเดาอนาคตที่ยังไม่แน่นอน เยอะกว่าหุ้นที่ growth ต่ำแต่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ (แต่หุ้นที่โตแล้วจ่ายสม่ำเสมอก็มีนะครับ) เพราะหุ้นที่คาดการณ์ได้ง่ายก็ถือว่า risk ต่ำและ return ก็จะต่ำกว่าไปด้วยครับ แต่บางสถานการณ์อย่างช่วงวิกฤตหรือมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อบริษัทในระยะสั้นการซื้อบริษัทที่มั่นคงในราคาที่ discount ก็ได้ผลตอบแทนที่สูงได้ครับ Key: Timing

"การดูอัตราการเติบโตอย่างไวแบบหวังผลเนี่ย มีหลักการดูยังไง" ผมว่าไม่มีอะไรที่ไวหรอกครับ นอกจากลอกการบ้าน เพราะถ้า growth มันชัดเจนให้คนอื่นๆในตลาดเห็นราคามันก็จะสะท้อนไปก่อนแล้วผลตอบแทนที่คาดหวังก็ลดลงไปอยู่ดี Key: "ทำการบ้านครับ"

สำหรับผมว่าหลักๆก็ timing กับการทำการบ้านเนี่ยแหละครับ + โชคอีกหน่อย จะเป็นตัวเร่งได้ครับ

[ซุนเซ็ก]

"กำไร 40% โดยประมาณ"
ไม่เรียกว่าช้าแล้วครับ

[gnomeller]

กำไร 40% นี่เฉพาะ ปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ครับ แต่ปีก่อนหน้านั้นผมกำไร 3% ครับ จ๋อยมากๆ
เพราะก่อนหน้านั้น ถ้าจะนับเอา ขาดทุนทางบัญชี ตอนวิกฤติ subprime ผมก็ขาดทุนไป 60% ครับ แต่ผมไม่ขายออกครับ ใช้เวลาปีกว่าก็รอดตายครับ ขาดทุนทางบัญชีหน่ะเคยครับ แต่ถ้าเงินลงทุนโดนกินไปนี่ยังไม่เคยครับ

พอดีปีที่ผ่านมา งานที่ทำอยู่เป็นหลักมันเบียดมาก จนไม่ได้มีเวลามาดูตลาด และศึกษาเท่าไหร่นัก จึงถือเอาไว้เฉพาะที่มันใจมากๆเท่านั้น ตัวที่ดูเสียงๆผมขายออกไปปีที่แล้วหมด เพราะรู้ตัวเองว่าไม่มีเวลา วันนี้ผมเข้ามาดูมันวิ่งไป 95% ฮะ แซ็บใหมหล่ะครับ

ตอนนี้กำลังคิดโมเดลการลงทุนใหม่อย่างขมักเขม้น รายการมันนี่ทอลค์บอกว่าพอร์ดเล๊กๆหน่ะวิ่งทำกำไร 50-200% ได้ ให้รีบติดสปีดในช่วงต้น อยู่ๆผมก็นึกๆขึ้นมา เลยมาเขียนปรึกษาพี่ๆอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ ว่าตอนที่พอร์ทคุณๆยังเล๊กๆจิ๋วอยู่ คุณมีวิธีอย่างไรในการ บูสท์ให้มันบิ๊กได้ไวๆ

[ซุนเซ็ก]

อ่อ ข้ามปีแล้วก็นับแยกซิครับ
จริงๆแล้วพอร์ตเล็กพอร์ตใหญ่(ไม่เกิน100ล้าน)มันก็ไม่ต่างกันมาก ในแง่ %การเติบโต
จะต่างก็ตรงจำนวนเงินเท่านั้น ตอนพอร์ตหลักหมื่นผมถือตัวเดียวเป็นประจำเพื่อจะได้โตเร็ว

คุณ gnomeller ลองเล่าประสบการณ์ลงทุนให้เพื่อนๆฟังซิครับ จะได้รู้ว่าผิดพลาดและน่าปรับปรุงตรงไหน
แต่หลักๆก็คงต้องแก้ไขของผิดพลาดตัวเองก่อนล่ะครับ ว่าทำไมถึงได้กำไรน้อยกว่าตลาด
ส่วนหุ้นที่ไม่ได้ซื้อแล้วมันขึ้นไม่ควรใส่ใจ ควรมานั่งทบทวนว่าเรามองอะไรพลาดไป
มากกว่าจะมาบ่นเสียดาย "รู้งี้" ไม่เกิดประโยชน์อะไร

[ส.สลึง]

การลงทุนสำหรับผมก็เหมือนการเดินทางครับ
คิดง่ายๆ แค่ขับรถยนต์บนเส้นทางเดียวกัน
คนยังขับรถด้วยความเร็วไม่เท่ากันเลย
นั่นเพราะอะไรล่ะ

ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ว่าพอร์ตจะหลักไหน
หลักหมื่น หลักแสน หรือว่าหลักล้าน
ก็น่าจะลงทุนเหมือนเดิมครับ
ยังไงซะหลักการก็คือหลักการเสมอ

เหมือนขับรถ...
เราคงไม่เปลี่ยนหลักการของเรา
เพียงเพราะว่าเราเห็นคนอื่นขับรถแซงเราไป

ผมสังเกตว่าพี่เคยถือหุ้นบางตัว
ที่ราคาขึ้นไปเยอะหลังจากที่ขายออกไป
แสดงว่าอาจจะใช้เวลาทำการบ้านน้อยเกินไป
ต่อจากนี้อาจจะต้องลงทุนเรื่องเวลามากขึ้นครับ
จะได้หาตัวที่มั่นใจๆ ได้มากขึ้น
และได้ผลตอบแทนที่ดี ดูน่าสนใจครับ

ส่วนตัวผมก็ทำงานกินเงินเดือนอยู่ครับ
เวลาในการหาหุ้นก็ส่วนใหญ่
จะเป้นหลังเลิกงาน ยาวไปจนถึงเที่ยงคืน
แล้วก็ช่วงวันหยุด

วอร์เรนบัฟเฟตเคยบอกว่า...
ซื้อหุ้นทางไปรษณีย์ก็ยังทัน
ผมเห็นด้วยอย่างแรงครับ

หุ้นบางตัว อาจจะหาข้อมูลเป็นเดือน
สุดท้ายไม่ได้ซื้อเพราะด้วยหลายสาเหตุก็มีบ่อยครับ
แต่ทำไปเรื่อยๆ เราจะเจอว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจ
ตัวไหนไม่น่าสนใจ ตัวไหนแพงเกินไป ตัวไหนถูกเกินไป

จะมีช่วงขี้เกียจบ้าง ขยันบ้าง เป็นพักๆครับ
แต่การสละเวลาที่ให้ไป return กลับมา
ผมว่าคุ้มครับ

[Murphy.Bkk]

ผมคิดว่าต้องลงทุนดูอีกสักระยะจนแน่ใจว่าเราสามารถทำกำไรได้พอสมควร ถ้าแน่ใจว่าวิธีการลงทุนเราถูกวิธีได้ 20% ต่อปีโดยเฉลี่ยแน่ๆแล้ว

เราก็ยืมเงิน กู้เงิน หรือ margin มาลงทุนเพิ่มครับ
ผมใช้วิธีนี้อยู่ตอนนี้ได้แบ่งเงินลงทุนในหุ้นมาประมาณ 25 เซนนี ยืม+กู้มาอีก 70 เซนนี ตั้งแต่ต้นปีมานี้กำไรได้มา 40 เซนนี ถ้านับเป็น ROE ก็ 160% (หักดอกเบี้ยกู้ยืมคืนผู้ให้กู้แล้ว) อย่างไรก็ดีการลงทุนมีความเสี่ยง ในตลาดขาขึ้นแบบนี้กำไรจากการใช้กู้ยืมก็มาก แต่ตลาดขาลงต้องระมัดระวังอย่างยิ่งครับ และถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องระวังและเตรียมใจกับผลตอบแทนที่อาจไม่เป็นตามคาดด้วยครับ

[gnomeller]

ตอนนี้สิ่งเดียวที่จะทำให้พอร์ทขยายได้เร็วคือ ผมจะลงทุนในกิจการ 1-2 ตัวในพอรทเท่านั้นครับ เพราะถ้ามันขึ้น ผมคิดว่ามันจะได้เยอะกว่าการไปเฉลียกับตัวอื่น

ขอเล่าเรื่องสนุกๆแบบตลกร้ายของผมแบบยาวๆซักหน่อยครับ
ถ้าจะให้เล่าถึงข้อเสียของผมในการลงทุน จากที่พิจารณาตัวเอง ผมมักพลาด"ของที่กำลังจะดี"

เกรินไว้ก่อนว่า ผมเองนั้นอ่านงบการเงินได้ไม่แตกฉาน เคยซื้อหนังสือการอ่านงบแบบคนไม่มีพื่้นฐานเล่มเล๊กๆของคุณสุมาอี้ มาอ่าน พยายามทำความเข้าใจได้แค่คร่าวๆครับ ถ้าจะบอกว่าผมเป้นคนที่ สอบตกวิชาคณิตศาสตร "ตั้งแต่จำความได้" เพราะผมสอบได้เกรด 0 มาตั้งแต่ จำความได้ จนถึงมหาวิทยาลัย ก็คงจะเข้านะครับใจว่า สมองทางด้านคิดคำนวณผมมันแทบจะไม่มีเลย

แต่จากที่ผมมองกิจการแต่ละตัว ผมก็ใช้วิธีการมอง ความน่าจะเป้นในอนาตตก่อนว่ากิจการไหนน่าสนใจ และน่าจะดี หลังจากนั้น อันดับสอง ผมก็ดูด้วยวิธีง่ายๆคือ P/E กับ P/BV ผมดูได้จากตรงนั้นเท่านั้นเอง ถ้าใครจะแต่งบัญชีหลอกผมนี่ต้องยอมรับว่าผมคงโดนเข้าจังๆ และผมมักจะมองว่า กิจการนั้นมีหนี้สินแค่ไหน เทียบกับทรัพยสินทั้งหมด มันต่างกันขนาดไหน หรือมันไล่กินกันตลอด อันนี้คือหลักง่ายๆของผมครับ

ที่นี้สิ่งที่ผมมักจะพลาดคือ ผมมักจะชอบไปซื้อหุ้น Volume เบา แล้วมันจะนิ่งอยู่นานมาก เรียกว่าขนาด 2-3 เดือน ราคาอาจจะแทบไม่ขยับเลย ผมก็มักจะถือทนอยู่สักระยะ อย่างมาก็ได้ปันผลมาครั่งหนึง แล้วผมก็จะตระหนักว่า หุ้นอะไรฟระ 6เดือน 8เดือน ราคาก็ไม่ไป ปันผลก็ไม่ได้มากมาย สุดท้ายก็ขายไป แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 2ปี หุ้นพวกนั้น"ทุกตัว"ที่ผมเคยขายออกไป บวกไปอย่างน้อยสุด 15% ไปจนถึง 95% ครับ

เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่รู้ตัวว่า เราคงไม่มีเวลามาดูหุ้นแน่นอน ก็เลยทำการขายหุ้นที่ไม่ค่อยแน่ใจนักออกไป จนเหลือตัวเดียวจนทุกวันนี้ เงินที่ได้มาก็กะว่าจะเอาไปซื้อทองคำเก็บไว้เลย เพราะตอนนั้นคิดว่า ทองน่าจะขึ้นแน่ๆ (หลัง Sub Prime) สุดท้ายก็ไมได้ซื้อเพราะกำไรมันทำได้ไม่เยอะเท่าหุ้น ผมเลยหันไปมองหุ้นตลาดต่างประเทษ ผมก็ศึกษาอยู่ระยะหนึง จนติดต่อขอเอกสารจาก โบรคมาหาทางจดทะเบียนให้ได้ โดยที่ไม่ต้องการผ่านโบรคไทยที่ผมใช้อยู่ เพราะมักจะต้องมีขั้นต่ำเป้นหลายแสนบาท และค่าธรรมเนียมอะไรซึ่งโดนหัก หยุมหยิมไปซะทุกขั้นตอน ซึ่งผมเงินมีไม่ถึงที่จะ Afford ตรงนั้นได้ แต่โบรคที่ผมติดต่อคือ มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อได้

ระหว่างที่ติดต่อกับทางโบรคเกอร์ ผมก็ได้ไปเจอ ธุรกิจบางตัวใน USA และผมมองว่ามันน่าจะไปได้ไกล ระหว่างที่ติดต่อเปิดพอร์ท ใช้เวลาศึกษาหาข้อมูล ติดต่อกันไปมา จนผมสรุปได้ว่า Individual Investor ที่อาศัยอยู่ในประเทษไทย ไม่สามารถลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้โดยตรง นี่เป็นข้อจำกัดจากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ทำให้เราๆไม่สามารถจ่ายเชค หรือโอนเงินจากเรา ตรงเข้าไปหาโบรคได้ ก็ประมาณนี้แหล่ะครับ แล้วผมก็ล้มเลิกการซื้อหุ้นตลาดเมกาไป และแล้วหุ้นในตลาด Nasdaq สองตัวนั้นก็พุ่งขึ้นไปทำ new high ที่ 150% และ อีกตัวขึ้นไปที 75% ทันที และทั้งคู่ทำ New High ครับ มันน่าเจ๊บใจใหม ?
และเมื่อหันกลับมาดูราคาทองคำ ที่คิดจะซื้อเมื่อตอนนั้น มาวันนี้ก็อย่างที่เห้นหล่ะครับก็ New High อีกเช่นกัน

ผมคิดว่านี่คือเรื่องใหญ่ของผมในการลงทุนที่ทำพลาดบ่อยๆ คือ ผมมักพลาด"ของที่กำลังจะดี" เพราะผมขายทิ้งไปเสมอๆ ตอนนี้หันมาดูว่า ทำไมเรามองกิจการถูกมาตลอดว่าตัวไหนจะ ทำกำไร แต่เราไม่เคยได้กำไรมาจากหุ้นพวกนั้นเลย มันเลยทำให้พอร์ทผมมันขยับได้เล๊กกว่าที่ควรจะเป็นมาก


รู้อะไร ไม่สู้ รู้งี้ เนอะครับ !!!

[Juninho]

มีหลายกระทู้ที่ผมว่าช่วยท่านได้

1.กระทู้ของพี่ลูกอีสาน ผมอ่านหลายรอบมากๆ ตอนพอร์ตเล็กๆ
จนตอนนี้ พอร์ตโตกว่าเดิมมากๆ ว่างๆก็กลับไปอ่านซ้ำบ่อยๆ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=26058

2.กระทู้งานวิจัยของ ดร.ไพบูลย์ เกี่ยวกับหุ้นพันเท่า (หาลิงค์ไม่เจอ ลองหาเองดูนะครับ)
จะสังเกตได้ว่า งานวิจัยผลออกมาว่า ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว
ไม่ได้เกิดจากถือหุ้นที่ปันผลสูงที่สุดในตลาด
แต่เกิดจากการถือหุ้นพีอี่ต่ำและอาโออีสูงที่สุดในแต่ละปี

3.กระทู้หุ้นวัฎจักรของพี่หมอสามัญชน
โดยหุ้นวัฎจักรจะสามารถทำกำไรได้มากที่สุด ขึ้นได้แรงที่สุด
สามารถขึ้นได้เป็นสิบเท่าในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ถ้าเราเข้าได้ถูกจังหวะ (พูดง่ายแต่ทำยากนะ 555 )
แต่หากพลาดก็เจ็บตัวแรงที่สุดเช่นกัน

[ปรัชญา]

การถือหุ้น หากหวังปันผลอย่างเดียว เป็นการลงทุนเหมือนคนเกษียณต้องการเงินเดือนประจำ
คงไม่ได้เติบโตโดดเด่น เพียงแต่ความเสี่ยงน้อยลง
คนที่พอท์ตใหญ่ เขาจะถือไว้เผื่อตลาดขาลง

จะให้รวยเร็วก็ต้องเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นไป

ถามตัวเองก่อนว่าจะเอาแบบไหน
รวยช้าๆ

รวยเร็ว-จนเร็ว

มีความพร้อมบนเส้นทางสายไหน

[Green]

หา หุ้นที่เติบโตหรือกำลังจะเติบ ราคาไม่แพงจนเกินไป ครับ ( ไม่รู้ตอนนี้จะยังมีเหลือของดีราคาถูกหรือป่าวนะ )

แต่ต้องระวัง พวก กำไรโตประเดี๋ยวประด๋าว หรือ นึกว่าจะโตแต่ดันไม่โตจริง
พวกนี้ จะมี Upside สูง Downside มาก เช่นกัน

[Boyadvance]

เน้นถือน้อยตัวดีกว่าครับ เช่น1-2 หุ้นก็พอ
เพราะหากว่า เราเลือกถูกตัวไหนได้ กำไรเป็นเด้งๆ พอร์ตก็จะโตเร็วขึ้นแหละครับ

อาจจะแค่ยังไม่ถึงเวลาที่ทุกคนจะเห็นคุณค่ารึป่าวครับ อาจจะต้องรอต่อไป

[Hibernate]

ผมว่าต้องพยายามเพิ่มเงินลงทุน ทุกเดือนๆ ด้วยนะครับ
ผมก็ลงทุนมาใกล้ๆกับคุณ gnomeller นะครับ
ตอนปีแรกๆ ผมก็ถือหลายตัวแบบไม่มีความรู้เท่าไหร่ เงินปันผลก็แค่หลักร้อย
บางตัวก็ได้ 1 เด้งก็มี แต่จากที่เงินต้นมันน้อยทำให้ 1 เด้งที่ได้มามันไม่มีผลต่อพอร์ท
ซักเท่าไหร่
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ถือไม่เกิน 3-4 ตัว พอหุ้นขึ้นไป 1 เด้ง พอร์ทก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จนเงินที่เพิ่มเข้าไปแต่ละเดือนเทียบเป็น % ของพอร์ทดูน้อยไปเลย เงินปันผลก็เพิ่มมาเป็นหลักหมื่น ตามไปด้วยครับ