อังคาร มี.ค. 01, 2011 12:05 pm | 0 คอมเมนต์
ประเด็นน่าสนใจมากครับ
ผมชอบคำตอบของนริศกับลูกอิสานนะครับ
และถ้าทำได้ตามนั้นก็น่าจะเซฟตัวเองได้เยอะ
ประเด็น อินไซเดอร์นี้ จะเป็นข้อเสียเปรียบของรายย่อยไปอีกนานแสนนาน
แม้ในประเทศที่อ้างว่าพัฒนาแล้วก็ยังมีประเด็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ
ประเทศเราคงเป็นอย่างที่เห็น ตรั้นจะรอให้ใครมาแก้ให้ก็คงอีกนาน
เราพึ่งตัวเองไปพลางๆก่อน
ผมว่า ความสามารถในการประเมินมูลค่าน่าจะพอช่วยได้
ผมมีตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆคือ
๑ คนที่รู้งบก่อนว่าจะขาดทุน ก็เลยชิงขายก่อน พองบออก กลายเป็นราคาหุ้นขึ้นสวนแทน แบบนี้ก็มี
๒ คนที่รู้งบก่อนว่ากำไรจะโตมหาศาล เลยซื้อดักก่อน พองบออก กลายเป็นราคาร่วงเอาๆ เพราะ sale on fact ก็มี
๓ ลูกสาวของบริษัทแห่งหนึ่งรู้ว่าบริษัทกำลังจะได้งานชิ้นหนึ่ง เลยใช้นอมินีไปซื้อดักก่อน ภายหลังได้งาน
ตามนั้นจริงได้กำไรตามนั้นจริง แต่ราคาหุ้นก็ยังสาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ เขาก็งง งงหลายๆครั้ง ขาดทุนหลายๆครั้งตอนนี้เลิกเล่นหุ้นไปแล้วรอรับปันผลอย่างเดียว ผมเดาว่าเขาขาดความสามารถในการประเมินมูลค่าหุ้นแม้จะรู้กำไร
๔ md ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง มีลูกน้องเป็นนักวิเคราะห์มากมายจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลลึกๆได้ก่อนใคร เลยแอบใช้นอมินีซื้อหุ้น ปรากฏว่ากำไรบ้างขาดทุนบ้าง แต่ขาดทุนจะเยอะกว่า ตอนหลังเลยเลิกเล่นหุ้นไปแล้ว เป็นเอ็มดีอย่างเดียวดีกว่า สิ้นเดือนก็รับเงินเดือนชัวร์ๆ
๕ บริษัทแห่งหนึ่ง ผู้บริหารคร่ำหวอดในวงการมายาวนาน ก็ตัดสินใจขายสินค้าล่วงหน้าจำนวนมากเพราะเห็นราคาวิ่งขึ้นมาเยอะและมั่นใจอย่างสูงใครห้ามก็ไม่ฟัง อ้างว่าตนเองรู้ลึกรู้จริงกว่าใครๆ แต่กลายเป็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์เพราะราคาวิ่งขึ้นไปกว่าที่ล็อคราคาไว้เยอะ ในภายหลังผู้บริหารคนนี้ก็ถูกให้ออกโดยผู้ถือหุ้นใหญ่
๖ เมื่อหกปีก่อนเจ้าของบริษัทเดินเรือแห่งหนึ่ง ตัดสินใจขายหุ้นของตัวเองออกทั้งหมดที่ราคาเอ็กซ์. นักลงทุนก็พากันหนีตายไปด้วยเพราะเห็นว่าเจ้าของขายทิ้งทั้งหมด แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน ราคาหุ้นปรับตัวไปเป็นสองเอ็กซ์กว่าๆท่ามกลางความงวยงงของเจ้าของ
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่พอจะให้รายย่อยมีแรงสู้ขึ้นบ้าง
คนที่มองใกล้เกินไปภาพก็เบลอโดยธรรมชาติ
มองไกลนักก็เห็นแค่ลางๆไม่รู้อะไรเป็นอะไร
บางทีระยะการมองที่พอดีๆและมีเครื่องมือที่ดีน่าจะดี