แผน 3 ! เจเอสแอล รีแบรนด์ ชูคอนเทนท์ ป้อนโลก
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ขยัก 3 ของเจเอสแอลปีนี้ "จำนรรค์" ประกาศรีแบรนดิ้ง โดยใช้คุณภาพ "คอนเทนท์" ตัวนำ ถ่ายเลือดให้ "ทายาท" บริหารเข้มข้นขึ้น หลังปรับบทบาทซีอีโอคนนอกเป็นที่ปรึกษา
เวลาเดียวกันนี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเจเอสแอล ได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ ถึงขั้นยอมเปลี่ยนชื่อบริษัทที่ใช้มานานหลายสิบปี เป็น เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย เพราะต้องการตอบโจทย์ชัดเจนกับการนำธุรกิจของเจเอสแอล ก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการรุกสู่ธุรกิจ "นิวมีเดีย" ที่สามารถสื่อสารได้ทุกรูปแบบ และการมุ่งส่งออกคอนเทนท์บุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย
การเปลี่ยนชื่อบริษัท จึงเป็นการเปลี่ยนการรับรู้แบรนด์ต่อบุคคลภายนอก และต่อภารกิจของพนักงานในองค์กร ที่สะท้อนถึงไดเร็คชั่น (ทิศทาง) ขององค์กรได้เป็นดีที่สุดแล้ว พร้อมไปกับการประกาศปรับโครงสร้างผู้บริหาร
ด้วยการผลักดันทายาทในเจเนอเรชั่นที่ 2 (ลูกของลาวัลย์ กันชาติ ประธานบริษัท และลูกของจำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี) แบบแพ็ค 4 (รติวัลคุ์ อัษฎามงคล,จิติณัฐ อัษฎามงคล,กรินทร์ ชูพินิจ และกฤษฏิ์ ชูพินิจ) เปิดตัวพร้อมกัน ทำให้คอร์เปอเรทแบรนด์ของเจเอสแอล ดูสดใส อ่อนเยาว์ กว่าอายุจริงในขวบปีที่ 30 ในขณะนั้น (เปิดตัวผู้บริหารรุ่นใหม่เมื่อปี 2552)
ถัดจากนั้นในเดือนมิ.ย.ปีเดียวกัน เจเอสแอลฯ ยังดึงมืออาชีพ ระดับนักแม่นปืน มาเป็น "พี่เลี้ยง" เหล่าทายาท อย่างกฤษณัน งามผาติพงศ์ มานั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) แทนจำนรรค์ ที่นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริหาร
ในแวดวงการตลาดถือว่ากฤษณัน คือนักการตลาดโปรไฟล์ดี ที่สร้างชื่อให้กับสินค้ามาแล้วหลากหลาย โดยเฉพาะธุรกิจโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ "โนเกีย" จนสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ในขณะนั้น โดยเขาเคยร่วมงานกับเอไอเอส และเคยนั่งเก้าอี้รองประธานกรรมการบริหารบริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จํากัด (มหาชน) ก่อนจะตัดสินใจร่วมงานกับเจเอสแอลในเก้าอี้ซีอีโอ
จำนรรค์ เคยบอกว่า ด้วยความรู้ความสามารถของกฤษณัน โดยเฉพาะในเรื่องของนิวมีเดีย เชื่อว่า จะช่วยต่อยอดให้เจเอสแอล มีของลูกเล่นทางการตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการหมายปั้นที่จะผลิตรายการทีวี อินเตอร์แอคทีฟ หรือรายการทีวีสื่อสารสองทางกับผู้ชมรายการแรกของโลก ในราวกลางปี 2553 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายการในลักษณะนี้ผลิตออกมา
ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปี 2554 เจเอสแอล ได้ปรับโครงสร้างผู้บริหารใหม่อีกรอบ โดยจำนรรค์ กลับมานั่งในตำแหน่งซีอีโอ แทนกฤษณัน ที่ปรับบทบาทไปเป็น "ที่ปรึกษาบริษัท" ตามมาด้วยข้อสงสัยต่างๆ นานา ถึงการปรับตำแหน่งครั้งนี้ ซึ่งเพิ่งเปิดแถลงข่าวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
โดยจำนรรค์ให้เหตุผลของการปรับตำแหน่งว่ากฤษณัน ได้เข้ามาวางโครงสร้างบริษัทด้านบริหารและการตลาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะส่งไม้ต่อการทำงานให้กับบรรดาทายาทที่ถูกวางตำแหน่งแห่งที่ไว้ให้บริหาร 9 บริษัทในกลุ่ม
"ประเด็นนี้พี่เองก็งง ที่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าทางพี่และเจเอสแอล มีความขัดแย้งหรือตำหนิว่าคุณกฤษณันว่า Hopeless (สิ้นหวัง) อะไรอย่างนี้ ที่จริงการปรับเขาไปนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษา เพราะเขาได้วางโครงสร้างบริษัทด้านบริหารและการตลาดเรียบร้อยแล้ว คุยกันเข้าใจแล้ว และเขาก็เข้าใจว่างานต่อไปเป็นงานของเจเนอเรชั่นที่ 2" จำนรรค์ อธิบายก่อนจะตามมาด้วยประโยคที่สะท้อนความแตกต่างระหว่าง "ทายาท" กับ "มือปืนรับจ้าง" แม้จะยิ่งแม่นปืนขนาดไหน ก็เถอะ
"การบริหารเริ่มยากขึ้นนะ คนข้างนอกมาแป๊บๆ แล้วก็ไป เราก็ต้องพยายามใช้ลูกใช้หลานมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็เลยพยายามคุมรุ่นที่สองที่ขึ้นมา อย่างแพร (รติวัลคุ์) ก็จะดูเรื่องของคอร์ปอเรท และการบริหารทั้งหมด อย่าง กรินทร์ ชูพินิจ (ลูกชายลาวัลย์ กันชาติ) ดูแลด้านทีวีดาวเทียม ที่เราจะรุกกันมากขึ้น"
ความเคลื่อนไหวหวือหวาในการปรับโครงสร้างองค์กรของเจเอสแอลในรอบ 2 ปี แบ่งเป็น "3-4 ขยัก" สำคัญ พลิกซ้ายพลิกขวาหลายรอบ ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อบริษัท ดึงทายาทรุ่นใหม่มาเสริมทัพ ดึงมืออาชีพมาเป็นซีอีโอ จนมาถึงปรับไปเป็นที่ปรึกษาบริษัท แล้วให้ซีอีโอคนเดิมมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม ย่อมเป็นนัยความมุ่งมั่นของเจเอสแอล ที่จะขยับองค์กรแห่งนี้ไปสู่เป้าหมายการเป็นโกลบอล มีเดีย แบบเข้าที่เข้าทาง ให้ได้สักที !
โดยในปี 2554 จำนรรค์ ผู้เทคแอคชั่น ซีอีโอ ควบ ประธานกรรมการบริหาร บอกว่า ในแง่เป้าหมายของรายได้ ดัชนีที่เป็นบ่งบอกการเติบโตขององค์กรได้ดีที่สุด ตั้งเป้าว่า เจเอสแอลจะมีรายได้ราว 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท จากปี 2553 ที่มีรายได้รวมเกือบ 1,300 ล้านบาท
เธอบอกว่า ทีวียังเป็นกลุ่มหลักที่เติบโตและทำรายได้ให้เจเอสแอล แต่จะมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เข้ามาเสริม โดยเฉพาะช่องทางดิจิทัล มีเดีย รับกับทิศทางของความเป็น Content Provider (ผู้ผลิตคอนเทนท์) ชั้นนำในระดับเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางที่จะไปถึงจุดนั้น เธอมองถึงการนำเจเอสแอล เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนและสร้างภาพลักษณ์ด้านธรรมาภิบาลให้องค์กร โดยเฉพาะหากต้องการจะบุกตลาดต่างประเทศ
วงในแว่วมาว่าน่าจะเกิดขึ้นใน "ปีนี้" !
การปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ต่างจากการแต่งหน้าทาปาก เพื่อตอบรับกับเป้าหมายการนำเจเอสแอล เข้าตลาดในปีนี้ ก่อนจะเดินบน "พรมแดง" ปูสู่การเป็นโกลบอล มีเดีย ของเจเอสแอล
ทว่าในเรื่องเงื่อนเวลา ไม่ได้รับการ "คอนเฟิร์ม" จากจำนรรค์ แม้เธอจะยอมรับว่า เจเอสแอล มีแนวคิดจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
....ซึ่งจะต้องทำไปพร้อมกับการ "Re-Branding" (เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย) ซึ่งเป็นแผนหลักในปีนี้ "ปีที่แล้วทำน้อยเกินไป" เธอว่า
โดยจะใช้ "คุณภาพของเนื้อหา" เป็นตัวนำ ผลิตรายการดีๆ เพื่อให้คนถามหาว่า "ใครเป็นคนโปรดักชั่น" ตามเป้าหมายการเป็น Content Provider
"เจเอสแอล เรามีมา 32 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ถูกจัดระเบียบในเรื่องของการสื่อสารแบรนด์ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทกำลังมีจะคอนเทนท์เพิ่มขึ้นในช่องทางใหม่ๆ ผลงานที่ผลิตออกมาในอนาคต
เราอยากให้คนดูรู้เลยว่า โปรดักชั่นชิ้นนี้เป็นของเจเอสแอล ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา คนยังไม่ค่อยรู้จักว่าเจเอสแอลเป็นผู้ผลิต อย่างรายการกบนอกกะลา บางคนไม่รู้ว่า เป็นบริษัทลูกของเจเอสแอล"
จำนรรค์ยังบอกว่า ในปีนี้ เจเอสแอลจะมีทีวีดาวเทียม 1 ช่อง (JSL Channel) โดยมีกรินทร์ ชูพินิจ เป็นผู้คนดูแล "นี่ก็เป็นลูกหลานของพวกเรา" โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่างเจเอสแอลถือหุ้น 75% และแกรมมี่ 25% เพื่อดำเนินธุรกิจทีวีดาวเทียม ในรูปแบบช่องวาไรตี้
"เราเลยต้องทำแบรนด์เราให้ชัดเจนมากขึ้นว่า เจเอสแอลคือใคร ต้องสื่อสารออกไปทางด้านโปรดักชั่น เพื่อให้เห็นว่า Core Value ของเจเอสแอล คืออะไร"
หนึ่งในแผนรีแบรนดิ้ง ซีอีโอเจเอสแอล ยังบอกว่า ในปีนี้จะได้เห็นการ "ปรับใหญ่" ในแง่ของรายการต่างๆ เช่น รายการสุริวิภา จะปรับอีกครั้งในต้นเดือนเมษายน เพื่อทำให้รายการของเจเอสแอล สร้างสรรค์ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนได้ พร้อมเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีโอกาสในสังคมได้เข้ามามีโอกาสใช้พื้นที่พูดคุย"
การเกิดขึ้นของ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ซึ่งจะเกิดขึ้นในปีนี้ (เปิดให้ยื่นใบสมัครเป็นกรรมการในต้นเดือนมี.ค. และจะต้องสรรหากรรมการให้เสร็จภายใน 180 วัน) ยังเป็นเครื่องมือในการควบคุมคุณภาพการผลิตคอนเทนท์ ซึ่งเจเอสแอลจะต้องเตรียมความพร้อม เพราะหมายถึงรายได้ในอนาคต "จำนรรค์" บอก
"การเกิดขึ้นของ กสทช.ทำให้เราต้องปรับและทบทวนคุณภาพสื่อ เราถึงต้องหาทางออกไว้ด้วย และก็เป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมเราถึงต้องการดูเรื่อง Branding การปรับระบบภายในองค์กร ปรับเรื่องของคุณภาพของรายการที่ผลิต ทำให้เรามีรายได้ที่มากขึ้นสำหรับบริษัทที่พร้อม
แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทโลภมากนะ อยากให้มองว่าทำอย่างไรให้คนดูรายการ หรือผลงานเจเอสแอลแล้วสามารถนำกลับมาดูซ้ำอีกหลายๆ ครั้งโดยไม่เบื่อ (ดูซ้ำผ่านช่อง JSL Channel)"
หากคอนเทนท์รายการใดได้รับการตอบรับจากผู้ชมสูงมาก ก็อาจจะปรับคอนเทนท์ให้อยู่ในรูปแบบของ Application ในมือถือ เช่น รายการ คริส เดลิเวอรี่ ที่จะทำเป็นรายการแรก โดยผู้ชมสามารถเข้ามาชมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ทุกเวลา นี่คือ "เจเอสแอลยุคใหม่" เธอบอก
การรีแบรนดิ้ง นอกเหนือจากเรื่องคอนเทนท์แล้ว ในแง่ของการทำการตลาด เธอบอกว่า จะป้อนคอนเทนท์ใหม่ๆ ไปยังช่องทางต่างๆ ให้ครบวงจรมากขึ้น โดยจะไม่ป้อนคอนเทนท์เพื่อรายการโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะธุรกิจ "โชว์บิซ"
เช่น คอนเทนท์ออนกราวด์ (On Ground Content) คอนเทนท์สำหรับงานอีเวนท์ (Event) สำหรับงานโรดโชว์ (Road Show) ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนคอนเทนท์ออนแอร์ (On Air Content) ก็จะมีทั้งโทรทัศน์ ทีวีดาวเทียม เคเบิลท้องถิ่น เป็นต้น
"ตั้งเป้ารุกธุรกิจโชว์บิซเต็มรูปแบบ หลังจากชิมลางจัดโชว์บิซทั้งคอนเสิร์ตและละครเวทีในปี 2553 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับดีเกินคาด พี่มองว่าธุรกิจไลน์นี้ยังมีช่องว่างทางการตลาดให้ทำได้อีกหลากหลายรูปแบบ คาดว่าในปี 2554 ธุรกิจโชว์บิซน่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 20 %"
ในปีนี้เจเอสแอล ยังจะสร้าง 2 สตูดิโอแห่งใหม่ในกลางปี 2554 พร้อมเครื่องมือทันสมัยครบวงจรเทียบเท่ากับสตูดิโอในต่างประเทศ เพื่อรองรับดิจิทัลเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตรายการโทรทัศน์ รองรับงานด้านการผลิตรายการของบริษัท และเปิดให้บริการกับลูกค้าภายนอกอย่างเต็มรูปแบบ การก่อสร้างจะแล้วเสร็จใน 2 ปีจากนี้ "จำนรรค์" เล่า
2 ออปชั่น ปั้น "ผู้บริหาร"
สำหรับเป้าหมายการเป็น Content Provider ชั้นนำในเอเซีย จำนรรค์บอกว่า คอนเทนท์จะมีคุณภาพได้นั้น จำเป็นต้องเกิดจากคนที่มีคุณภาพทั้งในระดับผู้บริหารรุ่นใหม่ พนักงานองค์กร ร่วมกับการมีระบบการบริหารจัดการที่ดี
"คนรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามารับหน้าที่ต่อจะต้องทำงานได้ทันที หรืออย่างน้อยๆ ระบบที่ดีจะเป็นเครื่องช่วยนำทางให้บริษัทยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าอาจจะมีคนในเจเนอเรชั่นต่อๆ ไป ที่ไม่เก่งกาจในเรื่องการบริหารงาน"
จำนรรค์บอกว่า หากมองด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในขณะนี้ เจเอสแอลมี 2 ออปชั่น คือ การดันกลุ่มผู้บริหารเลือดใหม่ (Young Bloods) ในครอบครัวขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบงานต่างๆ มากขึ้น
อีกทางเลือกหนึ่งคือ การดึงคนดีมีฝีมือดีจากภายนอกเข้ามาบริหารงานในตำแหน่งที่คิดว่ามีความเหมาะสม ซึ่งบอสใหญ่ยืนยันว่าจะใช้ทั้งสองทางเลือกนี้เข้ามาช่วยในเรื่องการบริหารงานของเจเอสแอลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"ที่ผ่านมาเจเอสแอล ไม่ได้มองการสร้าง Successor CEO (ไม้ต่อซีอีโอ) พี่เลยไม่ได้มองข้าม การสร้าง Successor จากคนข้างนอกเข้ามาช่วยงานเราด้วย ร่วมกับการสร้างลูกหลานขึ้นมา ส่วนใหญ่ผู้บริหารมืออาชีพที่มาอยู่ที่นี่จะมีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจมีมุมมองใหม่ๆ บางครั้งอาจจะมากกว่าเรา พี่เลยพยายามมองคนข้างนอกเพิ่มขึ้น และอนาคตจากนี้ไปเราต้องดูแลด้านการบริหาร และทรัพยากรบุคคลมากขึ้นด้วย"
นับว่าเป็นการให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และคนของเจเอสแอลมากขึ้น ด้วยความเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาผลงานทางด้านโปรดักชั่นให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
ยิ่งมีคนคุณภาพ ผลงานยิ่งออกมาดี เธอเชื่อเช่นนั้น
"หัวใจของการผลิตรายการของเราอยู่ที่โปรดักชั่นที่ต้องเจ๋งจริงๆ อย่างบางคนที่ทำงานกับเจเอสแอลมานานเช่น วัชระ แวววุฒินันท์ (ขณะนี้เป็นกรรมการผู้จัดการ) ที่เก่งและมีความชำนาญทางโปรดักชั่น แต่ทางบริษัทดึงเขามาดูทาง HR Management มากเกินไป เลยทำให้งานด้านโปรดักชั่นออกมาไม่ได้อย่างที่เราคิด
ดังนั้นทางบริษัทก็เริ่มให้เขากลับไปในสิ่งที่เขาถนัดมากขึ้น หรืออย่างลูกๆ หลานๆ ก็โตกันมากขึ้นแล้ว ก็ควรจะเข้ามาช่วยงานช่วยดูแลมากขึ้นและการถ่ายทอดงานต่อไปในอนาคต"
JSL Global Media ในยุคนิวมีเดียและเข้าตลาดหุ้นอีกครั้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1