LHBANK, KBS, UIC กำลังอยู่ในการพิจารณาเข้าซื้อใน set

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
dollarcostaverage
Verified User
โพสต์: 68
ผู้ติดตาม: 0

LHBANK, KBS, UIC กำลังอยู่ในการพิจารณาเข้าซื้อใน set

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เพื่อนๆว่าแต่ละตัวน่าสนใจยังไงบ้างครับ
If a business does well, the stock eventually follows.

dollarcostaverage
Verified User
โพสต์: 68
ผู้ติดตาม: 0

Re: LHBANK, KBS, UIC กำลังอยู่ในการพิจารณาเข้าซื้อใน set

โพสต์ที่ 2

โพสต์

KBS: บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน)

ประเ้ภทธุรกิจ ผู้ผลิตน้ำตาลที่มีประวัติและสั่งสมประสบการณ์ทำงานมากกว่า 40 ปี

LHFG: บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัทประกอบธุรกิจเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตนเอง (Non-operating Holding Company) มีวัตถุประสงค์การจัดตั้งเพื่อลงทุนในกิจการอื่น ปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจการเงิน และเป็นผู้ถือหุ้นในธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 99.99 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

UIC : บริษัท ยูเนี่ยน อินทราโก้ จำกัด (มหาชน)

นำเข้า พัฒนา และจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในกลุ่มแอลกอฮอล์และสารทำละลายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม
If a business does well, the stock eventually follows.

dollarcostaverage
Verified User
โพสต์: 68
ผู้ติดตาม: 0

Re: LHBANK, KBS, UIC กำลังอยู่ในการพิจารณาเข้าซื้อใน set

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นกระทิง นอกจากหุ้นในตลาดจำนวนมากจะมีราคาปรับตัวขึ้นไปอย่างหวือหวาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายแล้ว ยังมีหุ้นเข้าจดทะเบียนใหม่ที่เรียกว่าหุ้น IPO (Initial Public Offering) เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หุ้น IPO เหล่านั้น หลาย ๆ ตัว ในวันแรกหรือช่วงแรก ๆ ที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น มีราคาปรับขึ้นจากราคาขายหุ้นครั้งแรกสูงมากพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่มโหฬาร หุ้น IPO นั้น น่าสนใจหรือไม่สำหรับ Value Investor เรามาดูกัน

ข้อแรก มองในแง่แรงจูงใจของเจ้าของบริษัทที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งที่เจ้าของต้องการนั้น นอกจากการระดมเงินเพื่อขยายธุรกิจและการที่ต้องการลดความเสี่ยงโดยการขายกิจการบางส่วนออกไปเพื่อเอาเงินไปใช้หรือลงทุนอย่างอื่นแล้ว เขาก็ต้องการเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเอง และการที่จะเพิ่มความมั่งคั่งได้ก็คือ ต้องการขายหุ้นให้ได้ราคาสูงสุดที่คนจะยอมซื้อได้ การที่จะทำอย่างนั้นได้ เขาก็ต้องทำให้บริษัท “ดู” น่าสนใจและมีอนาคตสดใสมากที่สุด วิธีการทำก็คือ ทำให้เห็นว่าบริษัทมีกำไรดีและ “จะ” เติบโตไปได้อีกมาก เพราะนั่นคือสิ่งที่นักลงทุนต้องการจากการซื้อหุ้น นักลงทุนยินดีที่จะจ่ายเงินสูงเพื่อซื้อ “ผลประกอบการ” และ Growth หรือ “การเจริญเติบโต” ของบริษัท

ประเด็นก็คือ การทำให้บริษัทมีกำไรดีนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนักโดยเฉพาะถ้าจะทำเพียง 1-2 ปีก่อนเข้าตลาดหุ้น ระบบบัญชีโดยเฉพาะในเมืองไทยนั้นผมเชื่อว่าสามารถ “เนรมิต” เรื่องนี้ได้ ส่วนในเรื่องของ Growth หรือการเจริญเติบโตของกำไรของบริษัทนั้น ผมก็คิดว่าถ้าจะทำให้เกิดขึ้นหรือทำให้น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นภายในระยะ 1-2 ปี ก็น่าจะทำได้ง่ายไม่แพ้กันโดยเฉพาะในยามที่คนเล่นหุ้นพร้อมและอยากจะเชื่ออยู่แล้วในยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูม ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าหุ้น IPO จะถูกกำหนดราคาขายที่สูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงในยามที่จองหุ้น และเมื่อหุ้นเข้าตลาดแล้วราคาก็อาจจะแพงขึ้นไปอีกทวีคูณเนื่องจากผลของการวางแผนหรือ “แต่งตัว” ให้บริษัท “ดู” มีกำไรดีและมี “อนาคต” ที่ดียิ่งขึ้นไปอีก

ประเด็นที่สอง ในกรณีที่ไม่ได้มีการ “แต่งตัว” มากมายจนผิดเพี้ยนไปจากตัวตนที่แท้จริงของบริษัท สิ่งที่ผมก็ยังกังวลเกี่ยวกับหุ้น IPO ก็คือ Track Record หรือผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา จริงอยู่ หลายบริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมายาวนาน แต่ส่วนมากแล้ว ผลประกอบการที่ดีของบริษัทมักจะปรากฏสั้นมากอย่างมากเพียง 2-3 ปีก่อนเข้าตลาดหุ้น ดังนั้น ความสม่ำเสมอของผลประกอบการจึงไม่มีและทำให้ผมไม่แน่ใจว่าบริษัทมีความแข็งแกร่งจริงหรือไม่

ข้อสาม หุ้นเข้าใหม่จำนวนมากมักเป็นหุ้นที่ผลิตและ/หรือขายสินค้าที่เป็นหรือมีคุณสมบัติแบบ Commodity หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่หาความแน่นอนของผลประกอบการยากแต่มักมี “จังหวะหรือโอกาสทอง” ในช่วงสั้น ๆ ที่วงจรธุรกิจกำลังเป็นขาขึ้น ดังนั้น หุ้นเหล่านี้จึงมักฉวยโอกาสเข้าจดทะเบียนขายหุ้นในยามที่ตลาดเอื้ออำนวย ซึ่งจะทำให้สามารถขายหุ้นได้ราคาและราคาหุ้นสูงขึ้นไปอีกอย่างน้อยในระยะหนึ่งหลังการเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

ข้อสี่ หุ้น IPO ส่วนใหญ่นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็กและจำนวนหุ้นที่เริ่มเข้ามาซื้อขายหมุนเวียนในตลาดในวันแรกก็มีน้อยมาก บางบริษัทอาจจะมีเพียง 200-300 ล้านบาท หรือในกรณีของบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI นั้นอาจจะมีเพียง 100-200 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับพอร์ตหรือเม็ดเงินลงทุนของนักเล่นหุ้นโดยเฉพาะที่เป็น “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นที่ว่ากันว่ามีพอร์ตเป็นพัน ๆ ล้านบาทนั้น ก็ถือว่าหุ้น IPO นั้นสามารถที่จะถูก “ปั่น” ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด นั่นก็คือ ถ้ามีรายใหญ่ดังกล่าวแม้เพียงรายเดียวต้องการ เขาอาจจะสามารถซื้อหุ้นทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ซึ่งจะทำให้เขาสามารถ “กำหนด” ราคาหุ้นได้ว่าจะให้หุ้นมีราคาซื้อขายในวันที่เข้าตลาดที่ราคากี่บาทต่อหุ้น ดังนั้น “พื้นฐาน”ของบริษัท จึงแทบจะไม่มีความหมายหรือความสัมพันธ์กับราคาหุ้น

จากประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น สำหรับผมแล้ว หุ้น IPO นั้น มักเป็นหุ้นที่ผมจะหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะถ้าจะถือเพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว ราคาขายหุ้นจองนั้น ถ้าไม่ใช่หุ้นรัฐวิสาหกิจผมเชื่อว่าน้อยครั้งที่จะถูกกว่าพื้นฐานตามที่ที่ปรึกษาและผู้รับประกันการจำหน่ายหุ้นอ้าง ผมเชื่อตามคำพูดส่อเสียดที่ว่า IPO แปลว่า It Probably Overpriced หรือ “มันน่าจะมีราคาสูงเกินไป” อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้น IPO บางตัวก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น การที่จะดูว่า IPO ตัวไหนอาจจะเป็นข้อยกเว้นนั้น คงต้องดูในแต่ละประเด็นที่ผมพูดถึง ถ้าดูแล้ว มี “อาการ” หลาย ๆ อย่างที่เข้าข่ายน่าสงสัยว่าจะเป็น “มะนาว” นั่นคือ เป็นหุ้นที่ซื้อแล้วมีโอกาสขาดทุนเพราะเป็นหุ้นที่มีการแต่งตัวมาขายอย่างน่าเกลียดเราก็ควรจะหลีกเลี่ยง ที่ยิ่งต้องระวังมากกว่านั้นก็คือ อย่าเข้าไปเล่นหลังจากที่ราคาหุ้นสูงขึ้นไปมากจากราคา IPO หลังจากที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดแล้ว

ทั้งหมดที่พูดนั้นก็คือเป็นกรณี “โดยทั่วไป” แต่ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิงเปลี่ยวแล้วเราคิดว่าคนกำลัง “เล่น” หุ้น IPO อยู่ และเราเชื่อว่า “ตลาดยังไม่วาย” การจองซื้อหุ้น IPO ก็อาจจะมีโอกาสทำกำไรได้ดี ผมเองก็จองถ้าได้รับ “จัดสรร” มา อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่เข้าไปซื้อในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายแน่นอนและคงไม่ซื้อในราคาสูงกว่าราคาจอง ตรงกันข้าม มีโอกาสที่ผมจะขายค่อนข้างเร็ว บางทีอาจจะเป็นวันแรกที่หุ้นเข้าตลาด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมคำนึงถึงเสมอก็คือ การซื้อหุ้น IPO เป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ล้วนๆ


เอามาเตือนก่อนเดี๋ยวหาว่าผมแนะนำ - -''
If a business does well, the stock eventually follows.

pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: LHBANK, KBS, UIC กำลังอยู่ในการพิจารณาเข้าซื้อใน set

โพสต์ที่ 4

โพสต์

หุ้นipoต้องศึกษาให้รอบคอบ เพราะจากเพชรอาจกลายเป็นกรวดก็ได้ เเถมทำให้เราเจ็บใจ ถ้าไม่ม่ันใจก็อย่าเพ่ิงซื้อ รอดูราคา ผลการดำเนินงาน performance ก่อนดีกว่าครับ แม้จะซื้อเเพงกว่าตอน ipo เเต่ราคาก็จะไปเร่ือยๆและมีความย่ังยืนกว่าครับ
โพสต์โพสต์