พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 1
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
อย่าเพิ่งหมดหวัง กิมเอ็งฯ มองเดือน พ.ย.นี้ เป็นโอกาสดีที่ชีวิตนี้จะได้ซื้อหุ้นราคาถูก แต่อนาคตยังเผชิญอีกมากมายหลากหลายปัญหา คาดดัชนีหุ้นไทยจะซื้อขายในกรอบ 350 450 จุด ล่าสุดปรับเป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปีลงเหลือ 450 จุด ส่วนหุ้นแนะนำลงทุน คือ ADVANC, BANPU, BECL, CPF, CPN, DTAC, KBANK และ SPALI
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KELIVE ออกบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2551 ว่า น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตหนึ่งของนักลงทุน ที่จะได้ซื้อหุ้นราคาถูก ขณะที่ผู้บริหารบริษัทฯ ได้ตอกย้ำความมั่นใจให้นักลงทุน ในการทยอยเลือกซื้อหุ้นในระยะนี้ แต่ไม่เห็นด้วยกรณีที่รัฐบาลจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น โดยเห็นว่า ควรจะเน้นให้ความรู้ด้านความเสี่ยงในการลงทุนแก่นักลงทุนมากกว่า
* มุมมองตลาดประจำเดือนพฤศจิกายน
คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยในตอนนี้คือ แรงขายหุ้นที่เกิดขึ้นทั่วโลกขณะนี้เป็นโอกาสดีในช่วงหนึ่งของชีวิตที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นในอีกช่วงหนึ่งของชีวิตกันแน่ เราสามารถตอบได้อย่างรวดเร็วว่า คำตอบอันแรก ถูกต้อง ตอนนี้หุ้นไทยถูกมาก แต่นักลงทุนเองก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับข่าวร้ายจำนวนมากในอนาคตและเราจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวขึ้นไปยังราคาเป้าหมายเป็นเวลาหลายปี นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นราคาถูกในเวลานี้จะได้รับผลตอบแทนในที่สุด แต่หัวใจสำคัญคือต้องเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ผลกำไรยังมีเสถียรภาพและสามารถรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง
นับแต่รายงานกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนฉบับเดือนที่แล้ว ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวลงมา 233 จุด หรือ 37.55% ซื้อขายกันที่ระดับ 387.43 จุดในขณะนี้ คิดเป็นผลขาดทุนจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน 54.85% ถือเป็นความโชคร้ายที่ข้อเท็จจริงที่ปัญหาเศรษฐกิจบ้านเราไม่ได้เลวร้ายอย่างคนอื่นนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป เพราะราคาหุ้นไทยไม่ได้ถูกกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบท่ามกลางการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลก อันที่จริงแล้ว ตลาดหุ้นย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย,มาเลเซีย และสิงคโปร์ต่างปรับตัวลงโดยเฉลี่ย 51.05% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นฮ่องกงขาดทุน 59.75% และตลาดหุ้นญี่ปุ่นขาดทุน 53.21%
เราไม่ได้เห็นตลาดหุ้นไทยถูกมากขนาดนี้มากว่า 20 ปีแล้ว แม้ดัชนีจะอยู่ในช่วงขาลง แต่ราคาก็ไม่เคยถูกอย่างนี้มาก่อนเลย โดยปัจจุบัน PER อยู่ที่ระดับ 5.22 เท่า, P/BV ที่ระดับ 1.26 เท่าและอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 8.37% เราไม่มีอะไรจะพูดอีก นอกจากกล่าวว่าเราได้เห็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดแล้วในตอนนี้และตลาดหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดแล้วและพร้อมที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง แต่เรามีทางเลือกไม่มากนอกจากคงมุมมองการลงทุนอย่างระมัดระวังในช่วงนี้ เราเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะซื้อขายในกรอบ 350 450 จุดในเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้เรายังได้ปรับเป้าหมายดัชนีตอนสิ้นปีลงเหลือ 450 จุดด้วย
* เหตุผลต่างๆ หลายข้อที่สนับสนุนมุมมองดังกล่าว
1) นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นต่อ : ตราบใดที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นต่อ โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นจะมีค่อนข้างจำกัด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 1.616 หมื่นล้านบาทในเดือนตุลาคม (จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม) และกว่า 1.4127 แสนล้านบาทในปีนี้ ท่ามกลางการปรับตัวลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลกคงไม่มีเหตุผลอันใดที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้าซื้อหุ้นไทยซึ่งมีขนาดเล็กมากโดยเปรียบเทียบในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนเช่นนี้
2) วิกฤตความเชื่อมั่นยังไม่ยุติลงในตอนนี้ : เราคาดว่าวิกฤตความเชื่อมั่นต่อสถาบันการเงินทั่วโลกได้คลายตัวลงแล้วหลังจากที่ประเทศต่างๆทั่วโลกประกาศมาตรการกอบกู้สถาบันการเงินในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือความเชื่อมั่นจะไม่ฟื้นคืนเต็มที่หากวิกฤตการเงินยังขยายตัวต่อ ซึ่งล่าสุดลุกลามไปยังธุรกิจประกันภัยแล้ว และดูเหมือนว่ามาตรการกอบกู้เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังไม่เพียงพอ
3) ตอนนี้ เราจะต้องเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย : ช่วงเวลาที่ยากลำบากกำลังรออยู่ข้างหน้า ตลาดของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด สหรัฐฯ, ยุโรป และ ญี่ปุ่น จะเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างหนัก นอกจากปัญหาฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์แล้ว สหรัฐฯ ยังมีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่จะต้องแก้ไขด้วย
4) หากตลาดส่งออกของไทยชะลอตัวลง เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร : ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสินค้าภาคอุตสาหกรรมกว่า 50% อยู่ในภาคส่งออกและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเราเองต้องเตรียมรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคตด้วยเช่นกัน
5) การเมืองเงียบสงบก่อนเกิดความวุ่นวายอีกหน? : การเมืองในประเทศเป็นปัจจัยลบสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งสำหรับตลาดหุ้นไทย เราอาจเห็นการเมืองเงียบสงบในช่วงงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพี่นางฯ ในวันที่ 14 ถึง 19 พฤศจิกายนและเลยไปจนถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันที่ 5 ธันวาคม หลังจากนั้นเราอาจจะเห็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอีกครั้ง ซึ่งความกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวจะกดดันตลาดหุ้นไทยต่อไป
6) คุณจะไม่มีโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาถูกเช่นนี้อีก นอกจากตอนนี้ : เรายังคงเชื่อว่านักลงทุนไทยจะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าจากการซื้อหุ้น ณ ระดับราคาถูกสุดเท่าที่เคยเห็นมาในรอบกว่า 20 ปี บริษัทจดทะเบียนของไทยมีพื้นฐานแข็งแกร่งโดยเปรียบเทียบ รวมถึงมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและมีหนี้ต่ำมาก แม้ผลกำไรของบริษัทจะเติบโตไม่สูงนัก แต่เงินปันผลตอบแทนยังอยู่ในระดับที่น่าประทับใจเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำมาก ระดับ P/BV ที่ต่ำมากก็เป็นเครื่องบ่งชี้อีกอันว่าความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับตัวลงต่อมีค่อนข้างจำกัดมาก
7) เคลื่อนไหวตามดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า (DJIA futures) : ไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะตกลงมามากเพียงไรและมีราคาถูกมากเพียงไรก็ตามโดยเปรียบเทียบ ดัชนีจะยังคงเคลื่อนไหวตามภาวะการลงทุนทั่วโลก โดยดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวตามดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าเป็นหลัก
* ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
จากรายงานของ IMF อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะปรับตัวลงจากระดับ 5% ในปี 2550 เหลือ 3.9% ในปีนี้ และ 3% ในปี 2552 ซึ่งถือว่าเลวร้ายที่สุดนับแต่ทศวรรษ 1930 ตลาดส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะหดตัวลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงจากระดับ 20-23% ในปีนี้เหลือ 7-10% ในปี 2552 ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นแหล่งสร้างรายได้ในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯที่ใหญ่ที่สุดจะได้รับผลกระทบเช่นกัน รวมถึง
การลงทุนของภาคเอกชนด้วย
เราคาดว่าการบริโภคในประเทศจะยังชะลอตัวต่อ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนักใน GDP คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้น โดยโครงการต่างๆคาดว่าจะล่าช้าหรือเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากการเมืองในประเทศยังมีความไม่แน่นอนอยู่หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลง เราเองได้ปรับลดประมาณการลงเช่นกัน โดยคาดจะเห็นอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 และ 2552 ที่ 4.5% และ 3.5% ตามลำดับ
เราเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 3 ธันวาคมและอีก 0.50% ในปี 2552 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 3% ในปลายปีหน้า เพื่อพยุงการเจริญเติบโต โดยเราหวังว่าจะเห็นธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศอย่างทันท่วงที
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรใส่ใจอีกข้อคือ ประมาณการที่เราเพิ่งปรับใหม่นั้นดูจะราบเรียบกว่าหากเทียบกับประมาณการที่มองโลกในแง่ร้ายมากอย่างของสภาอุตสาหกรรมซึ่งออกมาเตือนว่าการส่งออกของไทยจะปรับตัวลงกว่า 30% และจะทำให้มีคนตกงานกว่า 1 ล้านคน
* โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้ซื้อของถูก
จากรายงานฉบับล่าสุดของ IMF พบว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าถูกที่สุดในบรรดาตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging markets) เราไม่ขอแย้งประเด็นดังกล่าว เนื่องจากตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับ PER เฉลี่ยปี 2551 ที่ 5.22 เท่า โดยมี P/BV ที่ระดับ 1.26 เท่าและอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 8.37% โดยอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ระดับประมาณ 3% มาก
เราสามารถสังเกตได้ง่ายมากว่าตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และมีส่วนต่างจากราคาเป้าหมายสูงมากกว่าที่เราเคยเห็นในช่วงก่อนหน้านี้ โดย PER และ P/BVปรับตัวลงหลุดแนวรับทุกแนวแล้ว
ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงตลาดเดียวในภูมิภาคหรือในโลกที่ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างหนัก เราแน่ใจว่าแรงซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นหลักอื่นๆด้วย
* หุ้นแนะนำในเดือนพฤศจิกายน
สำหรับหุ้นที่แนะนำในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ ADVANC ราคาเหมาะสม 98 บาท, BANPU ราคาเหมาะสม 318 บาท, BECL ราคาเหมาะสม 22.20 บาท, CPF ราคาเหมาะสม 5.10 บาท, CPN ราคาเหมาะสม 20 บาท, DTAC ราคาเหมาะสม 44.50 บาท, KBANK ราคาเหมาะสม 77 บาท และ SPALI ราคาเหมาะสม 3.42 บาท
* มีหุ้นปันผลที่น่าสนใจหลายตัว
นักลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนเพียง 3-4% จากการฝากเงินไว้ที่ธนาคารสามารถเพิ่มผลตอบแทนเป็น 2 เท่าได้อย่างง่ายดายในรูปเงินปันผลจากระดับดัชนีตลาดในขณะนี้ โดยบริษัทเหล่านี้มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและหลายรายก็มีเงินสดอยู่มาก รวมถึงสามารถรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงด้วย แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง หุ้นปันผลที่มีขนาดใหญ่สุด 10 ตัวแรกคิดเป็นสัดส่วน 47%ของตลาดหุ้นไทยให้เงินปันผลเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักประมาณ 7.28% นอกจากนักลงทุนจะได้รับเงินปันผลแล้ว ยังจะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคาด้วยหากตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว
* บิ๊ก KEST แนะฉวยจังหวะทยอยเก็บหุ้นช่วงดัชนีฯ ดิ่งแรง- ค้านรัฐตั้งกองทุนพยุงหุ้น
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เริ่มต้นมาจากปัญหาสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่ในช่วงวิกฤตการเงินลุกลามไปทั่วโลกนั้น ประเทศไทยเองยืดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงทำให้ได้รับผลกระทบน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดหลักทรัพย์ไทย มีความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ 2 ประเด็น คือ ปัญหาซับไพร์ม และปัญหาการเมือภายในประเทศ โดยต้องยอมรับว่ามีผลต่อทิศทางการลงทุนในตลาดฯ
สำหรับนักลงทุนที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการลงทุน น่าจะเป็นช่วงจังหวะที่ดี ในการเข้ามาซื้อหุ้นที่ราคาปัจจุบันปรับลดลงค่อนข้างแรง และต้องยอมรับว่าราคาหุ้นที่ต่ำมาก เป็นโอกาสในการทยอยเก็บ
ส่วนนักลงทุน ระยะยาว แนะนำหาจังหวะในการปรับสัดส่วนการลงทุน ซึ่งหากในช่วงที่บรรยากาศการลงทุนดี นักลงทุนอาจจะปรับเพิ่มสัดส่วนพอร์ตเป็นถือหุ้นมาก แต่หากบรรยกาศลงทุนในตลาดหุ้นไม่ค่อยดี นักลงทุนอาจจะถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าเงินสด
นอกจากนี้ ในส่วนของนักลงทุนรายย่อย ที่มีพฤติกรรมการซื้อขายแบบรวดเร็ว ก็อาจจะใช้จังหวะที่มีข่าวดีสลับกับข่าวร้ายเป็นจังหวะในการเข้าซื้อขายหุ้น แต่ทั้งนี้ คงต้องพิจารณาสัดส่วนเงินสดประกอบด้วย
นายมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ภาครัฐบาลเตรียมจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นว่า ลักษณะกองทุนที่เข้าไปช่วยพยุงหุ้นนั้น ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีในการเข้าไปช่วยในช่วงภาวะตลาดฯ ปรับลดลง โดยมองว่าควรให้ความรู้ และความเสี่ยง รวมถึงโอกาสในการลงทุนกับนักลงทุนมากกว่า
"ลักษณะกองทุนที่เข้าไปช่วยพยุง มันไม่น่าจะเป็นเหตุที่ต้องช่วย แต่มันน่าจะเป็นการเสนอ หรือให้ความรู้ และความเสี่ยง รวมถึงโอกาสในการลงทุน เพราะตอนนี้ก็มีกระแสว่าหากจะนำเงินเข้าไปลงทุนในกองทุน ก็มีหลายฝ่ายระบุว่าทำไมถึงต้องนำเงินภาษีเข้ามาใช้ในการนี้' นายมนตรี กล่าว
****************
ตารางแสดงหุ้นที่จ่ายปันผลดีที่สุดในบรรดาหุ้นที่ KELIVE ทำการวิจัย
27/10/2008 Fair Dividend Yield
Stock Recommendation Price (Bt) Value 2008F 2009F
PSL HOLD 8.15 14.50 30.67% 21.47%
TTA HOLD 9.80 16.00 29.08% 8.67%
CSL LONG-TERM BUY 1.69 2.81 26.04% 21.30%
TVO BUY 9.05 29.00 22.10% 20.99%
SC ACCUMULATE 4.54 18.10 22.03% 23.57%
UVAN BUY 55.00 77.60 21.82% 14.55%
CCET LONG-TERM BUY 1.93 4.90 20.73% 20.73%
AIT BUY 10.60 20.00 19.81% 15.09%
TCAP BUY ON WEAKNESS 5.10 11.30 19.61% 21.57%
UMS BUY 11.50 28.00 19.57% 21.74%
LPN BUY ON WEAKNESS 2.14 3.62 19.16% 20.56%
TOP HOLD 21.40 36.00 18.69% 14.02%
SPALI ACCUMULATE 1.70 3.42 17.65% 17.65%
MCS BUY 2.00 5.00 17.50% 18.00%
DCC BUY 7.90 18.50 17.47% 18.48%
DELTA BUY 10.60 22.75 16.98% 18.87%
TPC HOLD 10.70 14.80 16.82% 13.08%
ROJANA BUY 5.95 17.70 13.28% 16.97%
SCCC BUY 106.00 220.00 13.21% 14.15%
HANA ACCUMULATE 10.40 21.90 12.98% 13.46%
AMATA HOLD 3.86 6.50 12.95% 13.47%
*KTB HOLD 3.52 7.40 12.78% 14.20%
AH BUY 3.70 13.50 12.43% 12.97%
LH BUY ON WEAKNESS 2.70 4.52 12.22% 12.22%
SCIB LONG-TERM BUY 5.15 10.40 11.65% 13.59%
MAJOR BUY ON WEAKNESS 5.40 15.20 11.30% 10.74%
SAT BUY 6.70 18.00 11.19% 11.94%
QH BUY ON WEAKNESS 0.72 1.42 11.11% 12.50%
TISCO BUY ON WEAKNESS 9.00 15.20 11.11% 11.11%
*SCC HOLD 100.00 150.00 11.00% 9.00%
MCOT ACCUMULATE 12.20 26.00 10.98% 12.21%
GMMM BUY 10.60 14.40 10.19% 12.08%
BANPU BUY 140.00 318.00 10.00% 10.00%
TSC BUY 5.10 8.00 9.80% 9.80%
AOT ACCUMULATE 15.80 38.50 9.49% 7.59%
*ADVANC BUY 69.00 98.00 9.13% 9.13%
PS BUY ON WEAKNESS 4.04 7.75 8.42% 10.15%
HEMRAJ BUY 0.72 1.95 8.33% 11.11%
BECL BUY ON WEAKNESS 12.10 22.20 8.26% 9.92%
*PTT LONG-TERM BUY 141.00 350.00 8.16% 8.16%
BEC BUY 15.10 28.50 7.75% 8.61%
OISHI BUY 36.75 40.00 7.35% 7.89%
HMPRO ACCUMULATE 3.06 5.40 6.54% 7.52%
CPALL ACCUMULATE 8.85 12.80 5.54% 6.78%
CPF ACCUMULATE 3.08 5.10 5.52% 6.82%
*BAY BUY ON WEAKNESS 8.40 17.40 5.36% 7.14%
*PTTEP SPECULATIVE BUY 75.00 155.00 5.33% 6.03%
BBL BUY ON WEAKNESS 59.00 105.00 5.08% 6.36%
*SCB SWITCH 45.50 72.00 4.95% 5.49%
BIGC BUY 36.00 53.00 4.86% 5.44%
CPN BUY 7.60 20.00 4.74% 5.66%
*DTAC BUY 25.00 44.50 4.40% 4.40%
*KBANK BUY 45.50 77.00 4.40% 4.95%
ที่มา : KELIVE estimates
* หมายถึงหุ้นปันผลที่มีขนาดใหญ่สุด 10 ลำดับแรก
http://www.efinancethai.com/index.aspx
อย่าเพิ่งหมดหวัง กิมเอ็งฯ มองเดือน พ.ย.นี้ เป็นโอกาสดีที่ชีวิตนี้จะได้ซื้อหุ้นราคาถูก แต่อนาคตยังเผชิญอีกมากมายหลากหลายปัญหา คาดดัชนีหุ้นไทยจะซื้อขายในกรอบ 350 450 จุด ล่าสุดปรับเป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปีลงเหลือ 450 จุด ส่วนหุ้นแนะนำลงทุน คือ ADVANC, BANPU, BECL, CPF, CPN, DTAC, KBANK และ SPALI
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KELIVE ออกบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2551 ว่า น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตหนึ่งของนักลงทุน ที่จะได้ซื้อหุ้นราคาถูก ขณะที่ผู้บริหารบริษัทฯ ได้ตอกย้ำความมั่นใจให้นักลงทุน ในการทยอยเลือกซื้อหุ้นในระยะนี้ แต่ไม่เห็นด้วยกรณีที่รัฐบาลจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น โดยเห็นว่า ควรจะเน้นให้ความรู้ด้านความเสี่ยงในการลงทุนแก่นักลงทุนมากกว่า
* มุมมองตลาดประจำเดือนพฤศจิกายน
คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยในตอนนี้คือ แรงขายหุ้นที่เกิดขึ้นทั่วโลกขณะนี้เป็นโอกาสดีในช่วงหนึ่งของชีวิตที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นในอีกช่วงหนึ่งของชีวิตกันแน่ เราสามารถตอบได้อย่างรวดเร็วว่า คำตอบอันแรก ถูกต้อง ตอนนี้หุ้นไทยถูกมาก แต่นักลงทุนเองก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับข่าวร้ายจำนวนมากในอนาคตและเราจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวขึ้นไปยังราคาเป้าหมายเป็นเวลาหลายปี นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นราคาถูกในเวลานี้จะได้รับผลตอบแทนในที่สุด แต่หัวใจสำคัญคือต้องเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ผลกำไรยังมีเสถียรภาพและสามารถรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง
นับแต่รายงานกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนฉบับเดือนที่แล้ว ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวลงมา 233 จุด หรือ 37.55% ซื้อขายกันที่ระดับ 387.43 จุดในขณะนี้ คิดเป็นผลขาดทุนจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน 54.85% ถือเป็นความโชคร้ายที่ข้อเท็จจริงที่ปัญหาเศรษฐกิจบ้านเราไม่ได้เลวร้ายอย่างคนอื่นนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป เพราะราคาหุ้นไทยไม่ได้ถูกกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบท่ามกลางการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลก อันที่จริงแล้ว ตลาดหุ้นย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย,มาเลเซีย และสิงคโปร์ต่างปรับตัวลงโดยเฉลี่ย 51.05% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นฮ่องกงขาดทุน 59.75% และตลาดหุ้นญี่ปุ่นขาดทุน 53.21%
เราไม่ได้เห็นตลาดหุ้นไทยถูกมากขนาดนี้มากว่า 20 ปีแล้ว แม้ดัชนีจะอยู่ในช่วงขาลง แต่ราคาก็ไม่เคยถูกอย่างนี้มาก่อนเลย โดยปัจจุบัน PER อยู่ที่ระดับ 5.22 เท่า, P/BV ที่ระดับ 1.26 เท่าและอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 8.37% เราไม่มีอะไรจะพูดอีก นอกจากกล่าวว่าเราได้เห็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดแล้วในตอนนี้และตลาดหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดแล้วและพร้อมที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง แต่เรามีทางเลือกไม่มากนอกจากคงมุมมองการลงทุนอย่างระมัดระวังในช่วงนี้ เราเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะซื้อขายในกรอบ 350 450 จุดในเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้เรายังได้ปรับเป้าหมายดัชนีตอนสิ้นปีลงเหลือ 450 จุดด้วย
* เหตุผลต่างๆ หลายข้อที่สนับสนุนมุมมองดังกล่าว
1) นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นต่อ : ตราบใดที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นต่อ โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นจะมีค่อนข้างจำกัด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 1.616 หมื่นล้านบาทในเดือนตุลาคม (จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม) และกว่า 1.4127 แสนล้านบาทในปีนี้ ท่ามกลางการปรับตัวลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลกคงไม่มีเหตุผลอันใดที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้าซื้อหุ้นไทยซึ่งมีขนาดเล็กมากโดยเปรียบเทียบในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนเช่นนี้
2) วิกฤตความเชื่อมั่นยังไม่ยุติลงในตอนนี้ : เราคาดว่าวิกฤตความเชื่อมั่นต่อสถาบันการเงินทั่วโลกได้คลายตัวลงแล้วหลังจากที่ประเทศต่างๆทั่วโลกประกาศมาตรการกอบกู้สถาบันการเงินในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือความเชื่อมั่นจะไม่ฟื้นคืนเต็มที่หากวิกฤตการเงินยังขยายตัวต่อ ซึ่งล่าสุดลุกลามไปยังธุรกิจประกันภัยแล้ว และดูเหมือนว่ามาตรการกอบกู้เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังไม่เพียงพอ
3) ตอนนี้ เราจะต้องเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย : ช่วงเวลาที่ยากลำบากกำลังรออยู่ข้างหน้า ตลาดของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด สหรัฐฯ, ยุโรป และ ญี่ปุ่น จะเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างหนัก นอกจากปัญหาฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์แล้ว สหรัฐฯ ยังมีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่จะต้องแก้ไขด้วย
4) หากตลาดส่งออกของไทยชะลอตัวลง เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร : ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสินค้าภาคอุตสาหกรรมกว่า 50% อยู่ในภาคส่งออกและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเราเองต้องเตรียมรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคตด้วยเช่นกัน
5) การเมืองเงียบสงบก่อนเกิดความวุ่นวายอีกหน? : การเมืองในประเทศเป็นปัจจัยลบสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งสำหรับตลาดหุ้นไทย เราอาจเห็นการเมืองเงียบสงบในช่วงงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพี่นางฯ ในวันที่ 14 ถึง 19 พฤศจิกายนและเลยไปจนถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันที่ 5 ธันวาคม หลังจากนั้นเราอาจจะเห็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอีกครั้ง ซึ่งความกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวจะกดดันตลาดหุ้นไทยต่อไป
6) คุณจะไม่มีโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาถูกเช่นนี้อีก นอกจากตอนนี้ : เรายังคงเชื่อว่านักลงทุนไทยจะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าจากการซื้อหุ้น ณ ระดับราคาถูกสุดเท่าที่เคยเห็นมาในรอบกว่า 20 ปี บริษัทจดทะเบียนของไทยมีพื้นฐานแข็งแกร่งโดยเปรียบเทียบ รวมถึงมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและมีหนี้ต่ำมาก แม้ผลกำไรของบริษัทจะเติบโตไม่สูงนัก แต่เงินปันผลตอบแทนยังอยู่ในระดับที่น่าประทับใจเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำมาก ระดับ P/BV ที่ต่ำมากก็เป็นเครื่องบ่งชี้อีกอันว่าความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับตัวลงต่อมีค่อนข้างจำกัดมาก
7) เคลื่อนไหวตามดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า (DJIA futures) : ไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะตกลงมามากเพียงไรและมีราคาถูกมากเพียงไรก็ตามโดยเปรียบเทียบ ดัชนีจะยังคงเคลื่อนไหวตามภาวะการลงทุนทั่วโลก โดยดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวตามดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าเป็นหลัก
* ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
จากรายงานของ IMF อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะปรับตัวลงจากระดับ 5% ในปี 2550 เหลือ 3.9% ในปีนี้ และ 3% ในปี 2552 ซึ่งถือว่าเลวร้ายที่สุดนับแต่ทศวรรษ 1930 ตลาดส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะหดตัวลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงจากระดับ 20-23% ในปีนี้เหลือ 7-10% ในปี 2552 ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นแหล่งสร้างรายได้ในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯที่ใหญ่ที่สุดจะได้รับผลกระทบเช่นกัน รวมถึง
การลงทุนของภาคเอกชนด้วย
เราคาดว่าการบริโภคในประเทศจะยังชะลอตัวต่อ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนักใน GDP คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้น โดยโครงการต่างๆคาดว่าจะล่าช้าหรือเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากการเมืองในประเทศยังมีความไม่แน่นอนอยู่หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลง เราเองได้ปรับลดประมาณการลงเช่นกัน โดยคาดจะเห็นอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 และ 2552 ที่ 4.5% และ 3.5% ตามลำดับ
เราเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 3 ธันวาคมและอีก 0.50% ในปี 2552 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 3% ในปลายปีหน้า เพื่อพยุงการเจริญเติบโต โดยเราหวังว่าจะเห็นธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศอย่างทันท่วงที
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรใส่ใจอีกข้อคือ ประมาณการที่เราเพิ่งปรับใหม่นั้นดูจะราบเรียบกว่าหากเทียบกับประมาณการที่มองโลกในแง่ร้ายมากอย่างของสภาอุตสาหกรรมซึ่งออกมาเตือนว่าการส่งออกของไทยจะปรับตัวลงกว่า 30% และจะทำให้มีคนตกงานกว่า 1 ล้านคน
* โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้ซื้อของถูก
จากรายงานฉบับล่าสุดของ IMF พบว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าถูกที่สุดในบรรดาตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging markets) เราไม่ขอแย้งประเด็นดังกล่าว เนื่องจากตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับ PER เฉลี่ยปี 2551 ที่ 5.22 เท่า โดยมี P/BV ที่ระดับ 1.26 เท่าและอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 8.37% โดยอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ระดับประมาณ 3% มาก
เราสามารถสังเกตได้ง่ายมากว่าตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และมีส่วนต่างจากราคาเป้าหมายสูงมากกว่าที่เราเคยเห็นในช่วงก่อนหน้านี้ โดย PER และ P/BVปรับตัวลงหลุดแนวรับทุกแนวแล้ว
ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงตลาดเดียวในภูมิภาคหรือในโลกที่ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างหนัก เราแน่ใจว่าแรงซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นหลักอื่นๆด้วย
* หุ้นแนะนำในเดือนพฤศจิกายน
สำหรับหุ้นที่แนะนำในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ ADVANC ราคาเหมาะสม 98 บาท, BANPU ราคาเหมาะสม 318 บาท, BECL ราคาเหมาะสม 22.20 บาท, CPF ราคาเหมาะสม 5.10 บาท, CPN ราคาเหมาะสม 20 บาท, DTAC ราคาเหมาะสม 44.50 บาท, KBANK ราคาเหมาะสม 77 บาท และ SPALI ราคาเหมาะสม 3.42 บาท
* มีหุ้นปันผลที่น่าสนใจหลายตัว
นักลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนเพียง 3-4% จากการฝากเงินไว้ที่ธนาคารสามารถเพิ่มผลตอบแทนเป็น 2 เท่าได้อย่างง่ายดายในรูปเงินปันผลจากระดับดัชนีตลาดในขณะนี้ โดยบริษัทเหล่านี้มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและหลายรายก็มีเงินสดอยู่มาก รวมถึงสามารถรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงด้วย แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง หุ้นปันผลที่มีขนาดใหญ่สุด 10 ตัวแรกคิดเป็นสัดส่วน 47%ของตลาดหุ้นไทยให้เงินปันผลเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักประมาณ 7.28% นอกจากนักลงทุนจะได้รับเงินปันผลแล้ว ยังจะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคาด้วยหากตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว
* บิ๊ก KEST แนะฉวยจังหวะทยอยเก็บหุ้นช่วงดัชนีฯ ดิ่งแรง- ค้านรัฐตั้งกองทุนพยุงหุ้น
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เริ่มต้นมาจากปัญหาสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่ในช่วงวิกฤตการเงินลุกลามไปทั่วโลกนั้น ประเทศไทยเองยืดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงทำให้ได้รับผลกระทบน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดหลักทรัพย์ไทย มีความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ 2 ประเด็น คือ ปัญหาซับไพร์ม และปัญหาการเมือภายในประเทศ โดยต้องยอมรับว่ามีผลต่อทิศทางการลงทุนในตลาดฯ
สำหรับนักลงทุนที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการลงทุน น่าจะเป็นช่วงจังหวะที่ดี ในการเข้ามาซื้อหุ้นที่ราคาปัจจุบันปรับลดลงค่อนข้างแรง และต้องยอมรับว่าราคาหุ้นที่ต่ำมาก เป็นโอกาสในการทยอยเก็บ
ส่วนนักลงทุน ระยะยาว แนะนำหาจังหวะในการปรับสัดส่วนการลงทุน ซึ่งหากในช่วงที่บรรยากาศการลงทุนดี นักลงทุนอาจจะปรับเพิ่มสัดส่วนพอร์ตเป็นถือหุ้นมาก แต่หากบรรยกาศลงทุนในตลาดหุ้นไม่ค่อยดี นักลงทุนอาจจะถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าเงินสด
นอกจากนี้ ในส่วนของนักลงทุนรายย่อย ที่มีพฤติกรรมการซื้อขายแบบรวดเร็ว ก็อาจจะใช้จังหวะที่มีข่าวดีสลับกับข่าวร้ายเป็นจังหวะในการเข้าซื้อขายหุ้น แต่ทั้งนี้ คงต้องพิจารณาสัดส่วนเงินสดประกอบด้วย
นายมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ภาครัฐบาลเตรียมจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นว่า ลักษณะกองทุนที่เข้าไปช่วยพยุงหุ้นนั้น ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีในการเข้าไปช่วยในช่วงภาวะตลาดฯ ปรับลดลง โดยมองว่าควรให้ความรู้ และความเสี่ยง รวมถึงโอกาสในการลงทุนกับนักลงทุนมากกว่า
"ลักษณะกองทุนที่เข้าไปช่วยพยุง มันไม่น่าจะเป็นเหตุที่ต้องช่วย แต่มันน่าจะเป็นการเสนอ หรือให้ความรู้ และความเสี่ยง รวมถึงโอกาสในการลงทุน เพราะตอนนี้ก็มีกระแสว่าหากจะนำเงินเข้าไปลงทุนในกองทุน ก็มีหลายฝ่ายระบุว่าทำไมถึงต้องนำเงินภาษีเข้ามาใช้ในการนี้' นายมนตรี กล่าว
****************
ตารางแสดงหุ้นที่จ่ายปันผลดีที่สุดในบรรดาหุ้นที่ KELIVE ทำการวิจัย
27/10/2008 Fair Dividend Yield
Stock Recommendation Price (Bt) Value 2008F 2009F
PSL HOLD 8.15 14.50 30.67% 21.47%
TTA HOLD 9.80 16.00 29.08% 8.67%
CSL LONG-TERM BUY 1.69 2.81 26.04% 21.30%
TVO BUY 9.05 29.00 22.10% 20.99%
SC ACCUMULATE 4.54 18.10 22.03% 23.57%
UVAN BUY 55.00 77.60 21.82% 14.55%
CCET LONG-TERM BUY 1.93 4.90 20.73% 20.73%
AIT BUY 10.60 20.00 19.81% 15.09%
TCAP BUY ON WEAKNESS 5.10 11.30 19.61% 21.57%
UMS BUY 11.50 28.00 19.57% 21.74%
LPN BUY ON WEAKNESS 2.14 3.62 19.16% 20.56%
TOP HOLD 21.40 36.00 18.69% 14.02%
SPALI ACCUMULATE 1.70 3.42 17.65% 17.65%
MCS BUY 2.00 5.00 17.50% 18.00%
DCC BUY 7.90 18.50 17.47% 18.48%
DELTA BUY 10.60 22.75 16.98% 18.87%
TPC HOLD 10.70 14.80 16.82% 13.08%
ROJANA BUY 5.95 17.70 13.28% 16.97%
SCCC BUY 106.00 220.00 13.21% 14.15%
HANA ACCUMULATE 10.40 21.90 12.98% 13.46%
AMATA HOLD 3.86 6.50 12.95% 13.47%
*KTB HOLD 3.52 7.40 12.78% 14.20%
AH BUY 3.70 13.50 12.43% 12.97%
LH BUY ON WEAKNESS 2.70 4.52 12.22% 12.22%
SCIB LONG-TERM BUY 5.15 10.40 11.65% 13.59%
MAJOR BUY ON WEAKNESS 5.40 15.20 11.30% 10.74%
SAT BUY 6.70 18.00 11.19% 11.94%
QH BUY ON WEAKNESS 0.72 1.42 11.11% 12.50%
TISCO BUY ON WEAKNESS 9.00 15.20 11.11% 11.11%
*SCC HOLD 100.00 150.00 11.00% 9.00%
MCOT ACCUMULATE 12.20 26.00 10.98% 12.21%
GMMM BUY 10.60 14.40 10.19% 12.08%
BANPU BUY 140.00 318.00 10.00% 10.00%
TSC BUY 5.10 8.00 9.80% 9.80%
AOT ACCUMULATE 15.80 38.50 9.49% 7.59%
*ADVANC BUY 69.00 98.00 9.13% 9.13%
PS BUY ON WEAKNESS 4.04 7.75 8.42% 10.15%
HEMRAJ BUY 0.72 1.95 8.33% 11.11%
BECL BUY ON WEAKNESS 12.10 22.20 8.26% 9.92%
*PTT LONG-TERM BUY 141.00 350.00 8.16% 8.16%
BEC BUY 15.10 28.50 7.75% 8.61%
OISHI BUY 36.75 40.00 7.35% 7.89%
HMPRO ACCUMULATE 3.06 5.40 6.54% 7.52%
CPALL ACCUMULATE 8.85 12.80 5.54% 6.78%
CPF ACCUMULATE 3.08 5.10 5.52% 6.82%
*BAY BUY ON WEAKNESS 8.40 17.40 5.36% 7.14%
*PTTEP SPECULATIVE BUY 75.00 155.00 5.33% 6.03%
BBL BUY ON WEAKNESS 59.00 105.00 5.08% 6.36%
*SCB SWITCH 45.50 72.00 4.95% 5.49%
BIGC BUY 36.00 53.00 4.86% 5.44%
CPN BUY 7.60 20.00 4.74% 5.66%
*DTAC BUY 25.00 44.50 4.40% 4.40%
*KBANK BUY 45.50 77.00 4.40% 4.95%
ที่มา : KELIVE estimates
* หมายถึงหุ้นปันผลที่มีขนาดใหญ่สุด 10 ลำดับแรก
http://www.efinancethai.com/index.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 251
- ผู้ติดตาม: 0
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 2
กิมเอ็ง ก็ ทำไปด้ายยยย สงสัย volume น้อยทำใจลำบาก
มันถูกมานานแล้วจะถูกกว่านี้ก็หมดตังค์แล้วครับ
ว่าแต่ว่า เดือนธันวาจะไม่มี sale ใหญ่หรือครับ
ช่วง X'mas sale นะครับ หุหุ
มันถูกมานานแล้วจะถูกกว่านี้ก็หมดตังค์แล้วครับ
ว่าแต่ว่า เดือนธันวาจะไม่มี sale ใหญ่หรือครับ
ช่วง X'mas sale นะครับ หุหุ
Life is a lot like Jazz, it's best when you improvise
-
- Verified User
- โพสต์: 251
- ผู้ติดตาม: 0
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 5
คห. ส่วนตัว
ผมก็เชื่อว่าตกรถครับ แต่ผมยังไม่ขึ้นรถคันนั้นครับ
ขับมาหมื่นโล แล้วยังไม่ได้เช็คเครือ่งเลยครับ เดี๋ยวไปดับกลางทาง ต้องหารถไปลากเข้าศุนย์ซ่อมอีก
แต่ผมก็เต็มพอร์ทมาตั้งนานแล้วแหล๊ะ
เพียงแต่ยังไม่ได้คิดที่จะลงทุนเพิ่มครับ
ผมก็เชื่อว่าตกรถครับ แต่ผมยังไม่ขึ้นรถคันนั้นครับ
ขับมาหมื่นโล แล้วยังไม่ได้เช็คเครือ่งเลยครับ เดี๋ยวไปดับกลางทาง ต้องหารถไปลากเข้าศุนย์ซ่อมอีก
แต่ผมก็เต็มพอร์ทมาตั้งนานแล้วแหล๊ะ
เพียงแต่ยังไม่ได้คิดที่จะลงทุนเพิ่มครับ
Life is a lot like Jazz, it's best when you improvise
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 8
ประโยคอมตะ
จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ
และจงโลภ เมื่อคนอื่นกลัว
ผมขอแถมด้วยว่า
จงควบคุมความโลภให้พอเพียงกับความรู้ครับ
จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ
และจงโลภ เมื่อคนอื่นกลัว
ผมขอแถมด้วยว่า
จงควบคุมความโลภให้พอเพียงกับความรู้ครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 9
ผมก็เชื่อว่าตกรถไฟครับ..
แต่ ผมก็เชื่อว่ารถไฟน่าจะมีหลายคัน
หนทางข้างหน้า น่าจะมีกับระเบิดอยู่พอสมควร
คันหลังๆน่าจะปลอดภัยกว่ามั้งครับ
แต่ ผมก็เชื่อว่ารถไฟน่าจะมีหลายคัน
หนทางข้างหน้า น่าจะมีกับระเบิดอยู่พอสมควร
คันหลังๆน่าจะปลอดภัยกว่ามั้งครับ
ปลวกน้อยคอยวันเติบใหญ่
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 11
ประโยคนี้สำคัญมาก ไม่ใช่ว่าซื้อแต่หุ้นที่ตกลงจากจุดสูงสุดมาก โดยไม่ได้พิจารณ์เลยว่ามันตกเพราะอะไร โลภก็ต้องดูตาม้าตาเรือด้วย :roll:noooon010 เขียน:จงควบคุมความโลภให้พอเพียงกับความรู้ครับ
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 12
เวลาได้ตัดสินแล้วว่า ใครซื้อตอนนั้นตัดสินใจได้ถูกต้อง
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 13
ตอนปี 2008 ยังไม่รู้จักเวปไซต์นี้เลย แล้วก็ไม่มีเวลามาดูหุ้นด้วย ทำแต่งาน เสียดายเวลาช่วงนั้นมากมาย ไม่งั้นป่านนี้อาจจะได้ออกหนังสือเกี่ยวกับหุ้นก็ได้
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พ.ย.นี้โอกาสดีของชีวิตที่จะได้ซื้อหุ้นถูก!!
โพสต์ที่ 14
ลองมองย้อนกลับไปจะเข้าใจถึงคำว่า "วัฏจักร"
ทั้งเกิด ทั้งดับ
ทั้งสุข ทั้งทุกข์
ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ถาวร...
Value Investing
เป็นการลงทุนโดยยึดหลักของเหตุและผล
พยายามกำจัดอคติ ให้น้อยที่สุด จัดการอารมณ์ในนิ่งอย่างมี "สติ"
น่าจะเป็นหลักการที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์
ไม่ว่าอารมณ์ของนายตลาดจะเป็นไปในทิศทางใด
สิ่งที่ควรทำคือ เลือกลงทุนใน
บริษัทที่ดีมีการเติบโต
ผู้บริหารมีธรรมภิบาล เชื่อฝีมือได้
ซื้อในราคาที่เหมาะสม
ทั้งเกิด ทั้งดับ
ทั้งสุข ทั้งทุกข์
ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ถาวร...
Value Investing
เป็นการลงทุนโดยยึดหลักของเหตุและผล
พยายามกำจัดอคติ ให้น้อยที่สุด จัดการอารมณ์ในนิ่งอย่างมี "สติ"
น่าจะเป็นหลักการที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์
ไม่ว่าอารมณ์ของนายตลาดจะเป็นไปในทิศทางใด
สิ่งที่ควรทำคือ เลือกลงทุนใน
บริษัทที่ดีมีการเติบโต
ผู้บริหารมีธรรมภิบาล เชื่อฝีมือได้
ซื้อในราคาที่เหมาะสม
ลงทุนเพื่อชีวิต