"งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
"งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 1
จากการประกาศ "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW ล่าสุด
วันนี้ 23 ก.พ. 53 เวลา 18:57:29 น.
เมื่อ "ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ"...มันจบแล้วใช่ไหมครับ?
หรือผมเองเข้าใจอะไรผิดไป!!!
ว่าแต่...แล้วทำไมราคาวันนี้มันปรับเพิ่มหล่ะครับ...แปลกใจครับผม
ราคาล่าสุด 0.13
เปลี่ยนแปลง +0.02
เปอร์เซ็นต์เปลี่ยนแปลง +18.18 %
วันนี้ 23 ก.พ. 53 เวลา 18:57:29 น.
เมื่อ "ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ"...มันจบแล้วใช่ไหมครับ?
หรือผมเองเข้าใจอะไรผิดไป!!!
ว่าแต่...แล้วทำไมราคาวันนี้มันปรับเพิ่มหล่ะครับ...แปลกใจครับผม
ราคาล่าสุด 0.13
เปลี่ยนแปลง +0.02
เปอร์เซ็นต์เปลี่ยนแปลง +18.18 %
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 2
เราอาจมองวิกฤต คนอื่นอาจมองเป็นโอกาส ไม่เหมือนกัน
- mameepoko
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 3
คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าวิกฤตคือโอกาส หรือมองเห็นโอกาสซ่อนอยู่ในวิกฤตหรือครับo-bo-ja-ma เขียน:เราอาจมองวิกฤต คนอื่นอาจมองเป็นโอกาส ไม่เหมือนกัน
ขาดทุนขนาดนี้แต่เงินเดือนผู้บริหารเยอะสุดโหด ยังไม่วิกฤตพอเหรอครับ
"ปีนผาฝ่าน้ำตกที่สูงชันยากฉันใด ลงทุนสวนเทรนด์แล้วกำไร..ก็ยากฉันนั้น"
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 4
ผมไม่ได้บอกว่าวิกฤตกับใคร นักเก็งกำไรก็อาจมองว่าเป็นโอกาสก้อได้นี่ครับ เหมือน npark เมื่อก่อน 0.01 ขึ้น100 ลง 50 ฤ ผมผิดตรงไหน ตลท ยังเปิดให้ซื้อขายอยู่เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 5
จขกท. ขอแจมอีกรอบนะขอรับmameepoko เขียน:คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าวิกฤตคือโอกาส หรือมองเห็นโอกาสซ่อนอยู่ในวิกฤตหรือครับo-bo-ja-ma เขียน:เราอาจมองวิกฤต คนอื่นอาจมองเป็นโอกาส ไม่เหมือนกัน
ขาดทุนขนาดนี้แต่เงินเดือนผู้บริหารเยอะสุดโหด ยังไม่วิกฤตพอเหรอครับ
ทุกครั้งที่ผมตั้งกระทู้ในเว็บ THAIVI โดยเฉพาะในห้องนี้
ผมจะมี "มุมคิด" หรือ "แง่มุมเพื่อพิจารณา" แฝงเอาไว้เสมอครับ
กระทู้นี้ก็เช่นกันครับ...
แม้ว่าส่วนทุนจะติดลบ และเข้าข่ายถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์
และอาจจะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ในที่สุด
แต่หลังจากนั้น...
มันก็จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
ที่ต้องพิจารณาร่วมกันระหว่าง เจ้าของ และเจ้าหนี้
ผมเองเคยมีประสบการณ์กับ CNT
หลังออกจากแผนฟื้นฟู วันแรกที่กลับเข้ามาเทรดในตลาด ผมสามารถขายหุ้นได้สูงถึง 22 บาท!!!
เข้าใจทุกมุมมองครับ...
ไม่ว่าจะในมุมของผู้ถือหุ้น ที่ย่อมต้องโกรธผู้บริหารเป็นธรรมดา กับการบริหารงานที่ล้มเหลว
รวมทั้งในมุมของคนที่เห็นโอกาส ยังเห็นคุณค่าใน Brand "CALIFORNIA WOW"
ที่ http://www.californiawowx.com/Home/AN_10YEARS.php
รวมทั้งสาขาที่ตั้งอยู่ใน Location ที่มีศักยภาพ เช่นใน Major Cineplex
เราไม่รู้หรอกครับว่า อนาคตจะเป็นเช่นไร?
แผนฟื้นฟูจะได้รับการอนุมัติหรือไม่? ผู้ถือหุ้นใหญ่ Major จะเดินเกมส์อย่างไร?
เจ้าของเดิมจะทำเช่นไร?
สิ่งเหล่านี้...
มิใช่กรณีศึกษาที่น่าติดตามหรอกหรือครับ?
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 6
+1 ครับ คุณ PAK ให้แง่คิดเสมอครับ
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 7
ผม กำลัง คิดถึงตัวตนคุณ pak
อยู่นะเนี่ย ว่า ระดับ สติ ปัญญาขนาดนี้(มากมายจริงๆ เทพ มาก)
รูป ลักษณ์ ตัวตนจะเป็นยังงัย
จากประสบการ อัน ชำ่ชอง ของผม ตอนนี้ ฟัน ธงเลย
ว่า คุณ pak
เป็น ผู้ชาย
อยู่นะเนี่ย ว่า ระดับ สติ ปัญญาขนาดนี้(มากมายจริงๆ เทพ มาก)
รูป ลักษณ์ ตัวตนจะเป็นยังงัย
จากประสบการ อัน ชำ่ชอง ของผม ตอนนี้ ฟัน ธงเลย
ว่า คุณ pak
เป็น ผู้ชาย
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 8
มีสาขาที่พัทยาด้วย แต่ไม่มีคนเลย เคยไปเดินน่ากลัวมาก
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 9
ผมมีรูปแอบถ่ายคุณ pak มาด้วยนะ! อย่าเอ็ดไปcanuseeme เขียน:ผม กำลัง คิดถึงตัวตนคุณ pak
อยู่นะเนี่ย ว่า ระดับ สติ ปัญญาขนาดนี้(มากมายจริงๆ เทพ มาก)
รูป ลักษณ์ ตัวตนจะเป็นยังงัย
http://www.pramool.com/auctpic10/cloth_ ... 856942.jpg
เมื่อก่อน ผมไม่ค่อยสนใจหุ้น Turnaround มากนัก เพราะความกลัว ไม่เก่งพอ ความรู้ทางการเงินยังเด็กเตาะแตะ โดยเฉพาะตอนเห็น PE มันแล้วยากจะคาดเดา forward PE แต่หลังจากอ่านเรื่องหุ้นวัฏจักรของพี่หมอสามัญชน และหุ้น turnaround ของคุณ pak (turnaround <> cyclical ไม่เหมือน แต่คล้าย ทำให้ไก่งวงบินได้) เลยรู้ว่าถ้าเรารู้จักมัน ความเสี่ยงก็จะน้อยลง
ตอนนี้ มี turnaround อยูใน port 2 ตัว ล่าสุดคือ TRC ....เห็นผลแล้ว แต่เป็นการทดลอง เพราะแค่ 1% ของ port จึงกล้าพูดและไม่น่าเข้าข่ายเชียร์ เพราะส่วนได้ส่วนเสียแค่แค่ยาหยอดตา
ผมชักจะหลงใหลเสน่ห์หุ้น turnaround ซะแล้ว พอๆ กะัหลงใหลบทความคุณ Bata (Again-With-Love)
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 10
ผมว่า การมอง turnaround โดยไม่มองไปยังโครงสร้างธุรกิจจริงๆ
คือการ bet ที่เสี่ยงมากๆนะครับ
บ. มีความสามารถในการขาดทุนติดต่อกันหลายไตรมาส แถมยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
ผมไปดู ค่าจ้าง ผบห. ก็ยังไม่ได้ลดลงเช่นกัน
ผมว่า รอให้เห็นภาพชัดๆแล้วค่อย bet ก็ยังดีนะครับ
ส่วนการที่หุ้น บวกเยอะๆ โดยการใช้เงินแค่หลักแสน คงไม่น่าสนใจมากนักนะครับ
คือการ bet ที่เสี่ยงมากๆนะครับ
บ. มีความสามารถในการขาดทุนติดต่อกันหลายไตรมาส แถมยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
ผมไปดู ค่าจ้าง ผบห. ก็ยังไม่ได้ลดลงเช่นกัน
ผมว่า รอให้เห็นภาพชัดๆแล้วค่อย bet ก็ยังดีนะครับ
ส่วนการที่หุ้น บวกเยอะๆ โดยการใช้เงินแค่หลักแสน คงไม่น่าสนใจมากนักนะครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 12
ผมไม่ได้เจาะงบการเงินของบริษัทนี้นะครับ แต่ดูแค่คร่าวๆ รู้สึกว่า บริษัทมีสินทรัพย์ พันกว่าล้านบาท แต่มาจากหนี้สินทั้งนั้นเลย ส่วนของผู้ถือหุ้นแทบจะไม่เหลือแล้ว
สุดท้าย ถ้าบริษัทขาดทุนเรื่อยๆ ก็ต้องถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง บริษัทเข้าไปสู่แผนฟื้นฟูกิจการจริงๆ หากเราซื้อหุ้นก่อนที่มันจะถูกห้ามซื้อขายในราคาที่ดูเหมือนว่าถูกมาก เพื่อรอว่าซักวันหนึ่ง หรือ สี่หรือห้าปี มันจะสามารถกลับมา Trade ได้เหมือนเดิมในราคาที่สูงขึ้นมากๆ กว่าที่ตอนที่เราซื้อ
แต่เราก็ต้องระมัดระวังด้วยนะครับว่า การเข้าแผนฟื้นฟูนั้น มักมีการเพิ่มทุนอัดฉีดเงินก้อนใหม่มามากๆ จากนักลงทุนที่สนใจจะมาลงทุนฟื้นฟูกิจการ จนทำให้สัดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมถูกไดลูทลงหลายๆ เท่า พอมาขายในตลาดใหม่เข้าใจว่าคนที่จะกำไรเป็นกอบเป็นกำ น่าจะเป็นนักลงทุนที่มาลงทุนใหม่ มากกว่านะครับ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้ด้วยมั้งว่า เราซื้อราคาเท่าไหร่ แล้วมันจะไดลูทเหลือเท่าไหร่ สุดท้ายน่าจะกลับมาTrade ที่เท่าไหร่ แล้วต้องรอแค่ไหน ประมาณนั้นมั้งครับ
สุดท้าย ถ้าบริษัทขาดทุนเรื่อยๆ ก็ต้องถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง บริษัทเข้าไปสู่แผนฟื้นฟูกิจการจริงๆ หากเราซื้อหุ้นก่อนที่มันจะถูกห้ามซื้อขายในราคาที่ดูเหมือนว่าถูกมาก เพื่อรอว่าซักวันหนึ่ง หรือ สี่หรือห้าปี มันจะสามารถกลับมา Trade ได้เหมือนเดิมในราคาที่สูงขึ้นมากๆ กว่าที่ตอนที่เราซื้อ
แต่เราก็ต้องระมัดระวังด้วยนะครับว่า การเข้าแผนฟื้นฟูนั้น มักมีการเพิ่มทุนอัดฉีดเงินก้อนใหม่มามากๆ จากนักลงทุนที่สนใจจะมาลงทุนฟื้นฟูกิจการ จนทำให้สัดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมถูกไดลูทลงหลายๆ เท่า พอมาขายในตลาดใหม่เข้าใจว่าคนที่จะกำไรเป็นกอบเป็นกำ น่าจะเป็นนักลงทุนที่มาลงทุนใหม่ มากกว่านะครับ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้ด้วยมั้งว่า เราซื้อราคาเท่าไหร่ แล้วมันจะไดลูทเหลือเท่าไหร่ สุดท้ายน่าจะกลับมาTrade ที่เท่าไหร่ แล้วต้องรอแค่ไหน ประมาณนั้นมั้งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 13
ผมไม่ได้เจาะงบการเงินของบริษัทนี้นะครับ แต่ดูแค่คร่าวๆ รู้สึกว่า บริษัทมีสินทรัพย์ พันกว่าล้านบาท แต่มาจากหนี้สินทั้งนั้นเลย ส่วนของผู้ถือหุ้นแทบจะไม่เหลือแล้ว
สุดท้าย ถ้าบริษัทขาดทุนเรื่อยๆ ก็ต้องถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง บริษัทเข้าไปสู่แผนฟื้นฟูกิจการจริงๆ หากเราซื้อหุ้นก่อนที่มันจะถูกห้ามซื้อขายในราคาที่ดูเหมือนว่าถูกมาก เพื่อรอว่าซักวันหนึ่ง หรือ สี่หรือห้าปี มันจะสามารถกลับมา Trade ได้เหมือนเดิมในราคาที่สูงขึ้นมากๆ กว่าที่ตอนที่เราซื้อ
แต่เราก็ต้องระมัดระวังด้วยนะครับว่า การเข้าแผนฟื้นฟูนั้น มักมีการเพิ่มทุนอัดฉีดเงินก้อนใหม่มามากๆ จากนักลงทุนที่สนใจจะมาลงทุนฟื้นฟูกิจการ จนทำให้สัดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมถูกไดลูทลงหลายๆ เท่า พอมาขายในตลาดใหม่เข้าใจว่าคนที่จะกำไรเป็นกอบเป็นกำ น่าจะเป็นนักลงทุนที่มาลงทุนใหม่ มากกว่านะครับ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้ด้วยมั้งว่า เราซื้อราคาเท่าไหร่ แล้วมันจะไดลูทเหลือเท่าไหร่ สุดท้ายน่าจะกลับมาTrade ที่เท่าไหร่ แล้วต้องรอแค่ไหน ประมาณนั้นมั้งครับ
สุดท้าย ถ้าบริษัทขาดทุนเรื่อยๆ ก็ต้องถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง บริษัทเข้าไปสู่แผนฟื้นฟูกิจการจริงๆ หากเราซื้อหุ้นก่อนที่มันจะถูกห้ามซื้อขายในราคาที่ดูเหมือนว่าถูกมาก เพื่อรอว่าซักวันหนึ่ง หรือ สี่หรือห้าปี มันจะสามารถกลับมา Trade ได้เหมือนเดิมในราคาที่สูงขึ้นมากๆ กว่าที่ตอนที่เราซื้อ
แต่เราก็ต้องระมัดระวังด้วยนะครับว่า การเข้าแผนฟื้นฟูนั้น มักมีการเพิ่มทุนอัดฉีดเงินก้อนใหม่มามากๆ จากนักลงทุนที่สนใจจะมาลงทุนฟื้นฟูกิจการ จนทำให้สัดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมถูกไดลูทลงหลายๆ เท่า พอมาขายในตลาดใหม่เข้าใจว่าคนที่จะกำไรเป็นกอบเป็นกำ น่าจะเป็นนักลงทุนที่มาลงทุนใหม่ มากกว่านะครับ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้ด้วยมั้งว่า เราซื้อราคาเท่าไหร่ แล้วมันจะไดลูทเหลือเท่าไหร่ สุดท้ายน่าจะกลับมาTrade ที่เท่าไหร่ แล้วต้องรอแค่ไหน ประมาณนั้นมั้งครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 14
เห็นด้วยครับ... หุ้น Turn Around ผมว่าเป็นหุ้นที่จัดได้ว่ายากที่สุดในบรรดาหุ้นทั้งหมดcrazyrisk เขียน:ผมว่า การมอง turnaround โดยไม่มองไปยังโครงสร้างธุรกิจจริงๆ
คือการ bet ที่เสี่ยงมากๆนะครับ
บ. มีความสามารถในการขาดทุนติดต่อกันหลายไตรมาส แถมยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
ผมไปดู ค่าจ้าง ผบห. ก็ยังไม่ได้ลดลงเช่นกัน
ผมว่า รอให้เห็นภาพชัดๆแล้วค่อย bet ก็ยังดีนะครับ
ส่วนการที่หุ้น บวกเยอะๆ โดยการใช้เงินแค่หลักแสน คงไม่น่าสนใจมากนักนะครับ
โดยส่วนตัวรู้สึกว่าหุ้น Turn Around นี่ยากซะยิ่งกว่าหุ้น Commodity ซะอีก เพราะ...
1. ปกติหุ้นมันจะมีให้ Turn Around ได้ แสดงว่า กิจการมันต้องแย่มากๆ ถึงมากๆ ที่สุด โอกาสที่จะหลุดมาแบบ เคส BH ที่โดนหนี้ท่วมหัวเข้า Rehab หรือว่ากรณี Amex ที่ไปลงทุนน้ำสลัดนี่ ผมว่าน้อยมาก ดังนั้นหุ้น Turn Around ผมมักจะฟันเอาไว้ก่อนเลยว่า คุณภาพกิจการไม่ดี หรือมีอะไรสักอย่างที่ไม่ดีอย่างร้ายกาจ
2. โครงสร้างเงินทุน หรือ โครงสร้างธุรกิจใหม่ นี่เป็นอะไรที่ต้องรู้ลึกกันพอสมควร จะมี New Management ใหม่เข้ามาแบบกรณี SVI ได้นี่ เราก็ไม่รู้ ถึงรู้ กว่า New Management จะแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ก็ใช้เวลาหลังจากที่เข้ามากุมบังเหียนอยู่หลายปี เราไปรอตอนที่ภาพมันเริ่มชัดน่าจะง่ายกว่ามั้งครับ
3. โดยส่วนใหญ่ ผมว่า เจ้าของเดิม ผู้บริหารเดิม ที่เป็นตัวปัญหาของกิจการ ยังมีกำลังภายในอยู่ กว่าทีมผู้บริหารใหม่จะคุมอะไรได้เบ็ดเสร็จ ผมว่าลำบาก... แผนธุรกิจใหม่ ก็ใช่ว่าจะสำเร็จชัวร์
อันนี้แค่คิดเล่นๆ คร่าวๆ ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปแตะต้องหุ้น Turn Around แล้ว... แม้กระทั่งหุ้น Turn Around ที่กำลังมี Big Change ในแง่พื้นฐานกิจการ ที่กำลังเป็นที่ฮ็อตฮิตของเว็บเราตอนนี้ ผมยังไม่กล้าเข้าไปแหยมเลยครับ... วันดีคืนดี โดนฟ้อง ปรับด้อยค่า Bottom Line ขาดทุนเฉย... หมายเหตุประกอบงบการเงินก็อ่านไม่รู้เรื่องสักกะตัว...
สรุป... คิดจะเล่นหุ้น Turn Around เก่งอย่างเดียวไม่พอครับ... ต้องเก๋า และมีโชคประกอบด้วย... ซึ่งผมขอตัวไปเล่นหุ้นที่วิเคราะห์ง่ายๆ ก่อนดีกว่า...
สำหรับผมมีข้อยกเว้นอยู่ 2 อย่างครับ... หุ้น Turn Around ที่ผมอาจจะเล่น คือ 1) เกิดเหตุชั่วคราวแบบ BH หรือ AMEX และ 2) เก็งสถานการณ์พิเศษ เช่น เก็งว่าอาจจะมีการทำ Swap หุ้น Tender Offer ปันผลพิเศษ หรือ อะไรสักอย่างที่ Valuation ได้ไม่ยากนัก และสามารถคำนวณความน่าจะเป็นที่น่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 1049
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 15
เข้ามาร่วมด้วย ครับ
ดูไว้ตั้งแต่ 0.38 แต่ไม่กล้า จนไหลมาแถว 0.15 ก้อยังไม่กล้า
แต่ถ้าซื้อเอาแค่ ชื่อเสีย เอ้ย ชื่อเสียง แล้ว ไม่ขัดเลยครับ
ผมก้อลองถามไถ่ ลูกค้าที่เป็นสมาชิก แล้ว บอกว่า ไม่ค่อยอยากเข้าไปเล่น
ผมยังไม่เคยเข้าไปชม เลย ครับ จากปากลูกค้านะ ไม่ใช่ผม
ที่สาขา เมเจอร์ เคยมีทางเดินสบายๆ ก้อไปเอา สปามาลง ที่ทางแคบลงไป
เงินเดือน เซลล์ ระดับ 4-5 หมื่น บาท มันมากไปมั้ย กับ สถานการณ์ตอนนี้
พอเปลี่ยน กรรมการ คุณวิชา ออก ราคาก้อไหลมาอยู่ตรงนี้เลย
มันจะมีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ย ครับ เอามาถกกัน อาจจะเจอวิกฤติ อีก หรือ
อาจจะเจอโอกาส ก้อเป็นไปได้
แต่ตอนนี้ ผมถามทุกท่านว่าเฉพาะ แบรนด์ แคลิฟอเนีย ว้าว ให้ราคา กันเท่าไร
ตอนนี้ มาร์เก็ทแคป 71 ล้านบาท
ดูไว้ตั้งแต่ 0.38 แต่ไม่กล้า จนไหลมาแถว 0.15 ก้อยังไม่กล้า
แต่ถ้าซื้อเอาแค่ ชื่อเสีย เอ้ย ชื่อเสียง แล้ว ไม่ขัดเลยครับ
ผมก้อลองถามไถ่ ลูกค้าที่เป็นสมาชิก แล้ว บอกว่า ไม่ค่อยอยากเข้าไปเล่น
ผมยังไม่เคยเข้าไปชม เลย ครับ จากปากลูกค้านะ ไม่ใช่ผม
ที่สาขา เมเจอร์ เคยมีทางเดินสบายๆ ก้อไปเอา สปามาลง ที่ทางแคบลงไป
เงินเดือน เซลล์ ระดับ 4-5 หมื่น บาท มันมากไปมั้ย กับ สถานการณ์ตอนนี้
พอเปลี่ยน กรรมการ คุณวิชา ออก ราคาก้อไหลมาอยู่ตรงนี้เลย
มันจะมีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ย ครับ เอามาถกกัน อาจจะเจอวิกฤติ อีก หรือ
อาจจะเจอโอกาส ก้อเป็นไปได้
แต่ตอนนี้ ผมถามทุกท่านว่าเฉพาะ แบรนด์ แคลิฟอเนีย ว้าว ให้ราคา กันเท่าไร
ตอนนี้ มาร์เก็ทแคป 71 ล้านบาท
อย่าหลุดแนวที่ตัวเองถนัด สู้สู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 16
หลักทรัพย์ CAWOW
แหล่งข่าว SET
หัวข้อข่าว ตลท.ขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของ CAWOW ซึ่งอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอน และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของ CAWOW
วันที่/เวลา 24 ก.พ. 2554 08:54:15
การขึ้นเครื่องหมาย
เรื่อง : การขึ้นเครื่องหมาย SP
ชื่อย่อหลักทรัพย์
- บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) (CAWOW)
ขึ้นเครื่องหมาย : SP
วันที่ขึ้นเครื่องหมาย : 24 ก.พ. 2554
รอบ : เช้า
เหตุผล :
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างพิจารณาว่าบริษัทเข้าข่ายต้องปรับปรุงฐานะการเงินและการดำเนินงานหรือไม่
______________________________________________________________________
ตามที่บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) (CAWOW)
ได้นำส่งงบการเงินประจำปี
สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ฉบับที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์
โดยมีฐานะการเงินที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนกล่าวคือมีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทว่าจะเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหรือไ
ม่
ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ CAWOW
ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 จนกว่าตลาดหลักทรัพย์จะได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ไม่เกิน 7 วันทำการ หรือภายในวันที่ 4 มีนาคม 2554
นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว
เนื่องจากผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินฉบับดังกล่าวของบริษัท
ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ
ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์จึงแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทราบและพิจารณาความเห็นของผู้สอบบัญชีประกอบตัวเลข
ในงบการเงิน
และหมายเหตุประกอบงบการเงินอย่างระมัดระวัง
______________________________________________________________________
แหล่งข่าว SET
หัวข้อข่าว ตลท.ขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของ CAWOW ซึ่งอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอน และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของ CAWOW
วันที่/เวลา 24 ก.พ. 2554 08:54:15
การขึ้นเครื่องหมาย
เรื่อง : การขึ้นเครื่องหมาย SP
ชื่อย่อหลักทรัพย์
- บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) (CAWOW)
ขึ้นเครื่องหมาย : SP
วันที่ขึ้นเครื่องหมาย : 24 ก.พ. 2554
รอบ : เช้า
เหตุผล :
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างพิจารณาว่าบริษัทเข้าข่ายต้องปรับปรุงฐานะการเงินและการดำเนินงานหรือไม่
______________________________________________________________________
ตามที่บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) (CAWOW)
ได้นำส่งงบการเงินประจำปี
สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ฉบับที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์
โดยมีฐานะการเงินที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนกล่าวคือมีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทว่าจะเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหรือไ
ม่
ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ CAWOW
ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 จนกว่าตลาดหลักทรัพย์จะได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ไม่เกิน 7 วันทำการ หรือภายในวันที่ 4 มีนาคม 2554
นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว
เนื่องจากผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินฉบับดังกล่าวของบริษัท
ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ
ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์จึงแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทราบและพิจารณาความเห็นของผู้สอบบัญชีประกอบตัวเลข
ในงบการเงิน
และหมายเหตุประกอบงบการเงินอย่างระมัดระวัง
______________________________________________________________________
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 17
เห็นด้วยกับหลายๆท่านครับ
หุ้น CAWOW นั้น มี Criteria ที่จะเข้าข่ายหุ้น Turnaround น้อยมากๆๆๆๆ
และกระทู้นี้ มิได้มีจุดประสงค์ในการมองเรื่อง Turnaround แต่อย่างใดทั้งสิ้น!!!
แต่เป็นเพียงกระทู้ที่เป็น "กรณีศึกษาเท่านั้น"!!!
กรณีศึกษาเรื่อง ต่างๆ อาทิเช่น
- เมื่อส่วนทุนติดลบ ,
- เมื่อบริษัทฯอาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟู
- เมื่อ "เจ้าของ ,เจ้าหนี้ และผู้ถือหุ้น" อาจจะต้องทะเลาะกัน
- เมื่อบริษัทฯอาจต้องมีการลดทุน
- เมื่อบริษัทฯกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง คนซื้อก่อน SP เค้ากำไรหรือขาดทุน
เรื่องเหล่านี้ ผมชอบดูครับ
ย้ำว่า...ดูและศึกษาเฉยๆครับ (มิได้ตั้งใจจะลงทุนแต่อย่างใด)
เราเพียง "นั่งอยู่บนภู แล้วเฝ้าดูเกมส์" ก็เท่านั้นเอง
เกมส์แห่งผลประโยชน์
แต่อย่าลืมว่า...
"ในเกมส์นี้ มีคนพ่ายแพ้และต้องเสียน้ำตา ก็คือ รายย่อยที่ถือหุ้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่นเอง"
ก็ต้องขอแสดงความเสียใจ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ
อยากให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงในการตั้งกระทู้ครับผม
(^_^)
หุ้น CAWOW นั้น มี Criteria ที่จะเข้าข่ายหุ้น Turnaround น้อยมากๆๆๆๆ
และกระทู้นี้ มิได้มีจุดประสงค์ในการมองเรื่อง Turnaround แต่อย่างใดทั้งสิ้น!!!
แต่เป็นเพียงกระทู้ที่เป็น "กรณีศึกษาเท่านั้น"!!!
กรณีศึกษาเรื่อง ต่างๆ อาทิเช่น
- เมื่อส่วนทุนติดลบ ,
- เมื่อบริษัทฯอาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟู
- เมื่อ "เจ้าของ ,เจ้าหนี้ และผู้ถือหุ้น" อาจจะต้องทะเลาะกัน
- เมื่อบริษัทฯอาจต้องมีการลดทุน
- เมื่อบริษัทฯกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง คนซื้อก่อน SP เค้ากำไรหรือขาดทุน
เรื่องเหล่านี้ ผมชอบดูครับ
ย้ำว่า...ดูและศึกษาเฉยๆครับ (มิได้ตั้งใจจะลงทุนแต่อย่างใด)
เราเพียง "นั่งอยู่บนภู แล้วเฝ้าดูเกมส์" ก็เท่านั้นเอง
เกมส์แห่งผลประโยชน์
แต่อย่าลืมว่า...
"ในเกมส์นี้ มีคนพ่ายแพ้และต้องเสียน้ำตา ก็คือ รายย่อยที่ถือหุ้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่นเอง"
ก็ต้องขอแสดงความเสียใจ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ
อยากให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงในการตั้งกระทู้ครับผม
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 18
ผมว่าคงต้องใช้เวลามากๆๆๆ กว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นครับ หากส่วนขอผู้ถือหุ้นติดลบ ไปเรื่อยคงมาเข้า Rehab แน่นอน แล้วเข้าแผนฟื้นฟู หรือหากมีทรัพย์สินบ้างอาจใช้ Backdoor ท่เห็นมาส่วนใหญ่ ต้องดูที่ผู้บริหาร ถ้าเป็นตอนนี้ผมว่า เค้าคงปล่อยมันไปเรื่อยๆ จนเข้า rehab แน่
ถ้าจะเสี่ยงคงน่าจะเสี่ยงในราคาที่ถูกมากๆ ส่วนผมขอบายครับ ใจไม่ถึง อะ
ถ้าจะเสี่ยงคงน่าจะเสี่ยงในราคาที่ถูกมากๆ ส่วนผมขอบายครับ ใจไม่ถึง อะ
ถ้าไม่เคยผิดพลาด คงยังเรียกตัวเอง ว่านักลงทุนมืออาชีพ ไม่ได้
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 19
ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนิคับ คุณ pak เราต่างก็ใช้บอร์ดนี้เป็นที่เรียนรู้ด้วยกันครับpak เขียน:เห็นด้วยกับหลายๆท่านครับ
หุ้น CAWOW นั้น มี Criteria ที่จะเข้าข่ายหุ้น Turnaround น้อยมากๆๆๆๆ
และกระทู้นี้ มิได้มีจุดประสงค์ในการมองเรื่อง Turnaround แต่อย่างใดทั้งสิ้น!!!
แต่เป็นเพียงกระทู้ที่เป็น "กรณีศึกษาเท่านั้น"!!!
กรณีศึกษาเรื่อง ต่างๆ อาทิเช่น
- เมื่อส่วนทุนติดลบ ,
- เมื่อบริษัทฯอาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟู
- เมื่อ "เจ้าของ ,เจ้าหนี้ และผู้ถือหุ้น" อาจจะต้องทะเลาะกัน
- เมื่อบริษัทฯอาจต้องมีการลดทุน
- เมื่อบริษัทฯกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง คนซื้อก่อน SP เค้ากำไรหรือขาดทุน
เรื่องเหล่านี้ ผมชอบดูครับ
ย้ำว่า...ดูและศึกษาเฉยๆครับ (มิได้ตั้งใจจะลงทุนแต่อย่างใด)
เราเพียง "นั่งอยู่บนภู แล้วเฝ้าดูเกมส์" ก็เท่านั้นเอง
เกมส์แห่งผลประโยชน์
แต่อย่าลืมว่า...
"ในเกมส์นี้ มีคนพ่ายแพ้และต้องเสียน้ำตา ก็คือ รายย่อยที่ถือหุ้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่นเอง"
ก็ต้องขอแสดงความเสียใจ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ
อยากให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงในการตั้งกระทู้ครับผม
(^_^)
หวังว่างานเฮฮารอบนี้ ผมคงได้ไปเรียนวิชาจากคุณ pak นะครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 20
คุณ pak เป็นญาติกับ เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน รึเปล่าครับ?
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%A3.html
ธุรกิจ : CEO Blogs
วันที่ 25 มกราคม 2554 01:00
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
จำนวนคนอ่าน 5385 คน
เล่นหุ้นตามสูตร
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน ตำนานนักลงทุนเอกของโลก ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นหนุ่มและไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร
ได้เกิดความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้น ซึ่งตกต่ำมายาวนานถึงสิบปีแล้ว น่าจะถึงจุดต่ำสุดและทุกอย่างกำลังจะฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น “ซินเดอเรลลา” ซึ่งก็คือหุ้นที่ไม่มีใครเหลียวแลหรือคิดว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุน เพราะว่ามันอาจจะเป็นหุ้นที่ “เน่าสนิท” ดังนั้น ในวันหนึ่งเขาจึงโทรหาโบรกเกอร์และสั่งซื้อหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ โดยซื้อตัวละ 100 หุ้น เขาได้หุ้นมา 104 ตัวและใช้เงินไปประมาณ 10,000 เหรียญ สี่ปีต่อมา เขาขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง ได้เงินมาประมาณ 40,000 เหรียญ หรือถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 41 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
กลยุทธ์การลงทุนที่เทมเปิลตันทำนั้น เป็นการลงทุนที่มิได้วิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว แต่เลือกหุ้นโดยอาศัยกฎเกณฑ์ตายตัวชุดหนึ่ง ในกรณีของเขาก็คือ การเลือกหุ้นที่มีราคาตกต่ำมากจนเกือบไม่มีค่านั่นคือราคาหุ้นต่ำกว่า 1 เหรียญ ซึ่งในตลาดสหรัฐอเมริกาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำมากเปรียบเสมือนกับหุ้นราคาตัวละไม่เกิน 1 บาทในตลาดหุ้นไทย ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัวนั้น หุ้นที่มีราคาตกต่ำมากที่สุดจะมีการฟื้นตัวเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุด - โดยเฉลี่ย นั่นไม่ได้หมายความว่าหุ้นราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวจะต้องฟื้นตัว หุ้นหลายๆ ตัวอาจจะไม่ฟื้นเลยหรือบางตัวอาจจะตกต่ำลงและมีค่าเป็นศูนย์ แต่หุ้นอีกหลายตัวอาจจะปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าตัวซึ่งทำให้พอร์ตโดยรวมแล้วให้ผลตอบแทนสูงมาก และนี่ก็คือสิ่งที่เทมเปิลตันทำและก็ประสบความสำเร็จ หลักการเลือกหุ้นแบบนี้ ในทางวิชาการเรียกว่า Mechanical Rule ผมเองอยากจะเรียกว่า “ลงทุนหุ้นตามสูตร”
การเล่นหุ้นตามสูตรนั้น กฎข้อแรกก็คือ การมองหา “ภาพใหญ่” หรือทฤษฎีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลาหนึ่ง กฎข้อสองก็คือ หา “ตัวแทน” หรือข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นตามทฤษฎีนั้น พูดให้ง่ายก็คือการหา “สูตร” สำหรับเลือกหุ้นลงทุน กฎข้อสามก็คือ การเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือเป็นไปตามสูตรนั้น กฎข้อสี่ก็คือ ต้องเลือกซื้อหุ้นทุกตัวที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรไม่มีข้อยกเว้น อย่าใช้วิจารณญาณ กฎข้อที่ห้าก็คือ การติดตามดูผลตอบแทนของการลงทุนทุกช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่มักจะกำหนดเป็นปี ๆ เป็นเวลาหลายปี และกฎข้อสุดท้ายก็คือ การกำหนดเวลาเลิกลงทุนซึ่งก็คือการดูว่าเราควรเลิกและล้างพอร์ตเมื่อไร
ในกรณีของเทมเปิลตันนั้น ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่เกิดสงครามขึ้น ค่าของเงินมักจะเสื่อมลง เงินอาจจะเสื่อมค่าลงมากเนื่องจากอาจจะมีการพิมพ์เงินขึ้นมาเพื่อใช้ในการสงคราม เงินเฟ้อจะสูงขึ้นมาก ตรงกันข้าม สิ่งของต่างๆ จะมีค่ามากขึ้น และสิ่งของนั้นรวมถึงสิ่งของที่มีหุ้นเป็นตัวแทน เช่น สินค้า โรงงาน วัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมาก เฉพาะที่ไม่ถูกกระทบโดยผลของสงครามอย่างในอเมริกา ดังนั้น ความเชื่อของเขาก็คือ หุ้นจะฟื้นตัว และในหุ้นที่ฟื้นตัวนั้น หุ้นที่ตกต่ำที่สุดจะฟื้นตัวได้มากที่สุด และตัวแทนของหุ้นที่ตกต่ำลงมากที่สุดสำหรับเขาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำที่สุดซึ่งเขาใช้สูตรหรือเกณฑ์ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ การซื้อหุ้นของเขานั้นจะไม่มีการใช้วิจารณญาณ ไม่ต้องดูว่าหุ้นตัวไหนอาจจะไปไม่รอด เพราะเขาไม่รู้จริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวก็มีโอกาสล้มละลายทั้งนั้น การเลือกอาจจะทำให้เขาพลาดหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งหรือกำไร 10 เท่าตัวก็ได้ หลังจากซื้อหุ้นแล้ว เขาคงติดตามดูผลตอบแทนไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 4 ปี และเขาได้กำไรมามากแล้ว เขาก็อาจพิจารณาว่า การฟื้นตัวนั้นสิ้นสุดลงแล้ว การถือลงทุนต่อไปก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีอีกต่อไป เขาจึงขายหุ้นทั้งหมดทิ้งและเป็นการ “ปิดเกม” การเล่นหุ้นตามสูตรนี้
การเล่นหุ้นตามสูตรที่มีการศึกษาโดยนักวิชาการนั้นมีมากมาย สูตรที่มีการทดลองหรือทดสอบโดยข้อมูลย้อนหลังที่โดดเด่นมากนั้น เป็นสูตรการเล่นหุ้นแบบ Value Investment นั่นก็คือ ทฤษฎีมีอยู่ว่าการลงทุนแบบ VI นั้น เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนตามดัชนีตลาด-โดยเฉลี่ย นี่คือทฤษฎีตามกฎข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองที่จะต้องทำก็คือ หา “ตัวแทน” หุ้นที่เรียกว่าหุ้น VI วิธีหาก็มีหลายวิธีแล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนคิด แต่ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนอยู่ที่ว่าต้องเป็นหุ้นถูกซึ่งหุ้นถูกที่ว่านี้ก็มักจะวัดกันที่ค่า PE และค่า PB ที่ว่าจะต้องมีค่าต่ำหรือต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาด และอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น หรือ Dividend Yield ว่าควรจะต้องสูงหรือต้องมีพอสมควร หลังจากนั้นก็ตั้งเป็นสูตรเพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุน จากนั้นก็ติดตามผลตอบแทนของพอร์ตที่ลงทุนตามสูตรว่าเป็นอย่างไรในแต่ละปี ทำเช่นนี้ไปหลายๆ ปีก็จะทำให้สามารถเห็นได้ว่าการลงทุนตามสูตรของ VI นั้น โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนตามดัชนีตลาด
ผมเคยทำการศึกษาเรื่องของการลงทุนตามสูตรแบบ VI ครอบคลุมช่วงเวลา 9 ปีจากปี 2543 ถึง 2551 พบว่าผลออกมานั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การลงทุนโดยใช้สูตรแบบ VI ให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงถึง 34% ต่อปีในขณะที่ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4.8% และเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นำโดย ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เองก็ได้ทำการศึกษาในแนวการลงทุนแบบใช้สูตร VI ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2010 โดยใช้ข้อมูลค่า PE PB ปันผล และ ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ได้ผลในแนวเดียวกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้ยิ่งสูงกว่ามาก พอร์ตการลงทุนบางแบบให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นสูงถึงปีละ 63% เงินลงทุน 1 ล้านในช่วงต้นกลายเป็นเงินถึง 1,600 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดการลงทุน ในขณะที่ตลาดโดยรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1.2% เท่านั้น
ในชีวิตจริง ผมเองไม่เคยลงทุนหุ้นตามสูตรและก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเรายังใช้สูตรเดิมที่เคยให้ผลตอบแทนดีมากจะยังสามารถทำให้เราได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับของเดิมในอดีตหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใด อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหุ้นราคาถูกในแนว VI นั้นโดยเฉลี่ยก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดอยู่ ข้อมูลจากต่างประเทศที่ได้มีการศึกษามานานและศึกษาซ้ำก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น ในการเลือกหุ้นลงทุน ผมจึงยึดแนวทางแบบ VI อยู่อย่างมั่นคงแม้ว่าจะไม่ได้ซื้อตามสูตรตายตัว สำหรับคนที่อยากลอง ผมคิดว่าการลงทุนตามสูตรก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอาจให้ผลตอบแทนที่มหัศจรรย์ได้
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%A3.html
ธุรกิจ : CEO Blogs
วันที่ 25 มกราคม 2554 01:00
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
จำนวนคนอ่าน 5385 คน
เล่นหุ้นตามสูตร
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน ตำนานนักลงทุนเอกของโลก ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นหนุ่มและไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร
ได้เกิดความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้น ซึ่งตกต่ำมายาวนานถึงสิบปีแล้ว น่าจะถึงจุดต่ำสุดและทุกอย่างกำลังจะฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น “ซินเดอเรลลา” ซึ่งก็คือหุ้นที่ไม่มีใครเหลียวแลหรือคิดว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุน เพราะว่ามันอาจจะเป็นหุ้นที่ “เน่าสนิท” ดังนั้น ในวันหนึ่งเขาจึงโทรหาโบรกเกอร์และสั่งซื้อหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ โดยซื้อตัวละ 100 หุ้น เขาได้หุ้นมา 104 ตัวและใช้เงินไปประมาณ 10,000 เหรียญ สี่ปีต่อมา เขาขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง ได้เงินมาประมาณ 40,000 เหรียญ หรือถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 41 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
กลยุทธ์การลงทุนที่เทมเปิลตันทำนั้น เป็นการลงทุนที่มิได้วิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว แต่เลือกหุ้นโดยอาศัยกฎเกณฑ์ตายตัวชุดหนึ่ง ในกรณีของเขาก็คือ การเลือกหุ้นที่มีราคาตกต่ำมากจนเกือบไม่มีค่านั่นคือราคาหุ้นต่ำกว่า 1 เหรียญ ซึ่งในตลาดสหรัฐอเมริกาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำมากเปรียบเสมือนกับหุ้นราคาตัวละไม่เกิน 1 บาทในตลาดหุ้นไทย ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัวนั้น หุ้นที่มีราคาตกต่ำมากที่สุดจะมีการฟื้นตัวเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุด - โดยเฉลี่ย นั่นไม่ได้หมายความว่าหุ้นราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวจะต้องฟื้นตัว หุ้นหลายๆ ตัวอาจจะไม่ฟื้นเลยหรือบางตัวอาจจะตกต่ำลงและมีค่าเป็นศูนย์ แต่หุ้นอีกหลายตัวอาจจะปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าตัวซึ่งทำให้พอร์ตโดยรวมแล้วให้ผลตอบแทนสูงมาก และนี่ก็คือสิ่งที่เทมเปิลตันทำและก็ประสบความสำเร็จ หลักการเลือกหุ้นแบบนี้ ในทางวิชาการเรียกว่า Mechanical Rule ผมเองอยากจะเรียกว่า “ลงทุนหุ้นตามสูตร”
การเล่นหุ้นตามสูตรนั้น กฎข้อแรกก็คือ การมองหา “ภาพใหญ่” หรือทฤษฎีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลาหนึ่ง กฎข้อสองก็คือ หา “ตัวแทน” หรือข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นตามทฤษฎีนั้น พูดให้ง่ายก็คือการหา “สูตร” สำหรับเลือกหุ้นลงทุน กฎข้อสามก็คือ การเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือเป็นไปตามสูตรนั้น กฎข้อสี่ก็คือ ต้องเลือกซื้อหุ้นทุกตัวที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรไม่มีข้อยกเว้น อย่าใช้วิจารณญาณ กฎข้อที่ห้าก็คือ การติดตามดูผลตอบแทนของการลงทุนทุกช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่มักจะกำหนดเป็นปี ๆ เป็นเวลาหลายปี และกฎข้อสุดท้ายก็คือ การกำหนดเวลาเลิกลงทุนซึ่งก็คือการดูว่าเราควรเลิกและล้างพอร์ตเมื่อไร
ในกรณีของเทมเปิลตันนั้น ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่เกิดสงครามขึ้น ค่าของเงินมักจะเสื่อมลง เงินอาจจะเสื่อมค่าลงมากเนื่องจากอาจจะมีการพิมพ์เงินขึ้นมาเพื่อใช้ในการสงคราม เงินเฟ้อจะสูงขึ้นมาก ตรงกันข้าม สิ่งของต่างๆ จะมีค่ามากขึ้น และสิ่งของนั้นรวมถึงสิ่งของที่มีหุ้นเป็นตัวแทน เช่น สินค้า โรงงาน วัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมาก เฉพาะที่ไม่ถูกกระทบโดยผลของสงครามอย่างในอเมริกา ดังนั้น ความเชื่อของเขาก็คือ หุ้นจะฟื้นตัว และในหุ้นที่ฟื้นตัวนั้น หุ้นที่ตกต่ำที่สุดจะฟื้นตัวได้มากที่สุด และตัวแทนของหุ้นที่ตกต่ำลงมากที่สุดสำหรับเขาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำที่สุดซึ่งเขาใช้สูตรหรือเกณฑ์ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ การซื้อหุ้นของเขานั้นจะไม่มีการใช้วิจารณญาณ ไม่ต้องดูว่าหุ้นตัวไหนอาจจะไปไม่รอด เพราะเขาไม่รู้จริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวก็มีโอกาสล้มละลายทั้งนั้น การเลือกอาจจะทำให้เขาพลาดหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งหรือกำไร 10 เท่าตัวก็ได้ หลังจากซื้อหุ้นแล้ว เขาคงติดตามดูผลตอบแทนไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 4 ปี และเขาได้กำไรมามากแล้ว เขาก็อาจพิจารณาว่า การฟื้นตัวนั้นสิ้นสุดลงแล้ว การถือลงทุนต่อไปก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีอีกต่อไป เขาจึงขายหุ้นทั้งหมดทิ้งและเป็นการ “ปิดเกม” การเล่นหุ้นตามสูตรนี้
การเล่นหุ้นตามสูตรที่มีการศึกษาโดยนักวิชาการนั้นมีมากมาย สูตรที่มีการทดลองหรือทดสอบโดยข้อมูลย้อนหลังที่โดดเด่นมากนั้น เป็นสูตรการเล่นหุ้นแบบ Value Investment นั่นก็คือ ทฤษฎีมีอยู่ว่าการลงทุนแบบ VI นั้น เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนตามดัชนีตลาด-โดยเฉลี่ย นี่คือทฤษฎีตามกฎข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองที่จะต้องทำก็คือ หา “ตัวแทน” หุ้นที่เรียกว่าหุ้น VI วิธีหาก็มีหลายวิธีแล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนคิด แต่ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนอยู่ที่ว่าต้องเป็นหุ้นถูกซึ่งหุ้นถูกที่ว่านี้ก็มักจะวัดกันที่ค่า PE และค่า PB ที่ว่าจะต้องมีค่าต่ำหรือต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาด และอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น หรือ Dividend Yield ว่าควรจะต้องสูงหรือต้องมีพอสมควร หลังจากนั้นก็ตั้งเป็นสูตรเพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุน จากนั้นก็ติดตามผลตอบแทนของพอร์ตที่ลงทุนตามสูตรว่าเป็นอย่างไรในแต่ละปี ทำเช่นนี้ไปหลายๆ ปีก็จะทำให้สามารถเห็นได้ว่าการลงทุนตามสูตรของ VI นั้น โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนตามดัชนีตลาด
ผมเคยทำการศึกษาเรื่องของการลงทุนตามสูตรแบบ VI ครอบคลุมช่วงเวลา 9 ปีจากปี 2543 ถึง 2551 พบว่าผลออกมานั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การลงทุนโดยใช้สูตรแบบ VI ให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงถึง 34% ต่อปีในขณะที่ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4.8% และเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นำโดย ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เองก็ได้ทำการศึกษาในแนวการลงทุนแบบใช้สูตร VI ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2010 โดยใช้ข้อมูลค่า PE PB ปันผล และ ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ได้ผลในแนวเดียวกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้ยิ่งสูงกว่ามาก พอร์ตการลงทุนบางแบบให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นสูงถึงปีละ 63% เงินลงทุน 1 ล้านในช่วงต้นกลายเป็นเงินถึง 1,600 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดการลงทุน ในขณะที่ตลาดโดยรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1.2% เท่านั้น
ในชีวิตจริง ผมเองไม่เคยลงทุนหุ้นตามสูตรและก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเรายังใช้สูตรเดิมที่เคยให้ผลตอบแทนดีมากจะยังสามารถทำให้เราได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับของเดิมในอดีตหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใด อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหุ้นราคาถูกในแนว VI นั้นโดยเฉลี่ยก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดอยู่ ข้อมูลจากต่างประเทศที่ได้มีการศึกษามานานและศึกษาซ้ำก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น ในการเลือกหุ้นลงทุน ผมจึงยึดแนวทางแบบ VI อยู่อย่างมั่นคงแม้ว่าจะไม่ได้ซื้อตามสูตรตายตัว สำหรับคนที่อยากลอง ผมคิดว่าการลงทุนตามสูตรก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอาจให้ผลตอบแทนที่มหัศจรรย์ได้
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 22
ชอบมุมมอง และ วิธีคิดของคุณ pak จริงๆ
ผมตามอ่านหลายกระทู้ ได้อะไรเยอะมาก
กระทู้นี้ก็เช่นกัน....เยี่ยมครับ
ผมตามอ่านหลายกระทู้ ได้อะไรเยอะมาก
กระทู้นี้ก็เช่นกัน....เยี่ยมครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Juninho
- Verified User
- โพสต์: 1050
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 24
บริษัท ที่เอาเปรียบลูกค้าทุกด้าน เล่ห์เหลี่ยมเยอะ หมกเม็ดเยอะ
มีคดีกับลูกค้าเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของ สคบ.
มันจะไปรอดในระยะยาวได้ยังไง ผลก็ต้องจบลงเช่นนี้แล
คิดว่าลูกค้าจะยอมให้โดนหลอกไปเรื่อยๆ หรือครับ
มีคดีกับลูกค้าเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของ สคบ.
มันจะไปรอดในระยะยาวได้ยังไง ผลก็ต้องจบลงเช่นนี้แล
คิดว่าลูกค้าจะยอมให้โดนหลอกไปเรื่อยๆ หรือครับ
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
But you must try, try and try
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 25
ATT : K.crazyrisk
ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดนะครับ
แท้จริงแล้ว ผมแค่กลัวครับ!!!
กลัว..คนอื่นจะคิดว่า ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อเชียร์หรือบอกเป็นนัยๆว่า...หุ้นตัวนี้จะ Turnaround
ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ใช่เลย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาจริงๆครับผม
ปัจจุบัน โลกเปลี่ยนแปลง เครื่องมือทางการเงินก็เปลี่ยนไป
"การลดทุน เพิ่มทุน การแปลงหนี้เป็นทุน"...วุ่นวายกันไปหมด
เดี๋ยวแตกพาร์ เดี๋ยวรวมพาร์...พากันให้เรามึน!!!
ดังนั้น ผมจึงชอบนั่งมองและศึกษากรณีเหล่านี้อยู่ห่างๆครับผม
ยังไงก็ต้องขอบคุณ คุณ crazyrisk มากๆนะครับ ที่ช่วยกันแชร์มุมมอง
"มุมมองที่หลากหลาย"...ก่อให้เกิดประโยชน์เสมอในการขบคิด
=========================================
ATT : คุณ dome@perth
ขอบคุณมากๆครับ
ผมเป็นคนชอบคิด ชอบเขียนอ่ะนะครับ
ตลาดหุ้นทุกวันนี้...ดูยากครับ
เพราะมันมี "ภาพซ้อน" เกิดขึ้น
ระหว่าง "ภาพของปัจจัยพื้นฐาน" และ "ภาพของการเก็งกำไร"
จนทำให้เราแยกความแตกต่างระหว่าง...
"ภาพแห่งความจริง" กับ "ภาพลวงตา" ได้ลำบากยิ่งนัก!!!
ถ้าอะไรที่ดีกับเรา...เราก็ชอบอุปโลกว่า เป็น "ภาพจริง"
แต่ถ้าอะไรไม่ดีกับเรา...เราก็ชอบอนุมานว่าเป็น "ภาพลวงตา" เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง
และเมื่อเรามองเกมส์ไม่ขาด เราก็จะตกอยู่ในอันตรายครับ
"การวิเคราะห์ที่ดี และจุดยืนที่เหมาะสม" เท่านั้น ที่จะทำให้เรายืนอยู่กลางสมรภูมินี้ได้
และที่สำคัญ...
ผมชอบหมั่นศึกษาพฤติกรรมของรายใหญ่อ่ะนะครับ
กรณีศึกษาเช่นนี้ น่าสนใจจริงๆครับผม
รวมทั้งขอบคุณ ทุกๆความคิดเห็นที่ร่วมกันแชร์มุมมมองนะครับ
(^_^)
ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดนะครับ
แท้จริงแล้ว ผมแค่กลัวครับ!!!
กลัว..คนอื่นจะคิดว่า ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อเชียร์หรือบอกเป็นนัยๆว่า...หุ้นตัวนี้จะ Turnaround
ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ใช่เลย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาจริงๆครับผม
ปัจจุบัน โลกเปลี่ยนแปลง เครื่องมือทางการเงินก็เปลี่ยนไป
"การลดทุน เพิ่มทุน การแปลงหนี้เป็นทุน"...วุ่นวายกันไปหมด
เดี๋ยวแตกพาร์ เดี๋ยวรวมพาร์...พากันให้เรามึน!!!
ดังนั้น ผมจึงชอบนั่งมองและศึกษากรณีเหล่านี้อยู่ห่างๆครับผม
ยังไงก็ต้องขอบคุณ คุณ crazyrisk มากๆนะครับ ที่ช่วยกันแชร์มุมมอง
"มุมมองที่หลากหลาย"...ก่อให้เกิดประโยชน์เสมอในการขบคิด
=========================================
ATT : คุณ dome@perth
ขอบคุณมากๆครับ
ผมเป็นคนชอบคิด ชอบเขียนอ่ะนะครับ
ตลาดหุ้นทุกวันนี้...ดูยากครับ
เพราะมันมี "ภาพซ้อน" เกิดขึ้น
ระหว่าง "ภาพของปัจจัยพื้นฐาน" และ "ภาพของการเก็งกำไร"
จนทำให้เราแยกความแตกต่างระหว่าง...
"ภาพแห่งความจริง" กับ "ภาพลวงตา" ได้ลำบากยิ่งนัก!!!
ถ้าอะไรที่ดีกับเรา...เราก็ชอบอุปโลกว่า เป็น "ภาพจริง"
แต่ถ้าอะไรไม่ดีกับเรา...เราก็ชอบอนุมานว่าเป็น "ภาพลวงตา" เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง
และเมื่อเรามองเกมส์ไม่ขาด เราก็จะตกอยู่ในอันตรายครับ
"การวิเคราะห์ที่ดี และจุดยืนที่เหมาะสม" เท่านั้น ที่จะทำให้เรายืนอยู่กลางสมรภูมินี้ได้
และที่สำคัญ...
ผมชอบหมั่นศึกษาพฤติกรรมของรายใหญ่อ่ะนะครับ
กรณีศึกษาเช่นนี้ น่าสนใจจริงๆครับผม
รวมทั้งขอบคุณ ทุกๆความคิดเห็นที่ร่วมกันแชร์มุมมมองนะครับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 26
แคลิฟอร์เนีย wow นี่ได้ยินกิตติศัพท์ในทางลบ เรื่องเกี่ยวกับการเอาเปรียบสมาชิกและด้านการบริการ มาพอสมควรเลยครับ
จริงๆหลายๆสาขาก็อยู่ในทำเลที่ดี แต่ทำไม การบริหารจัดการถึงได้เละแบบนี้
ธุรกิจฟิตเนตในตัวเมืองใหญ่นี่ หากเจาะลูกค้าระดับ Premium
ปัจจุบันอาจโดนสกัดเพราะโครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโดเดี๋ยวนี้ก็มีฟิตเนต หรือ sport คลับ ในตัวแล้ว
จริงๆหลายๆสาขาก็อยู่ในทำเลที่ดี แต่ทำไม การบริหารจัดการถึงได้เละแบบนี้
ธุรกิจฟิตเนตในตัวเมืองใหญ่นี่ หากเจาะลูกค้าระดับ Premium
ปัจจุบันอาจโดนสกัดเพราะโครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโดเดี๋ยวนี้ก็มีฟิตเนต หรือ sport คลับ ในตัวแล้ว
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 28
ขอวิเคราะห์แบบชาวบ้านเลยกับ CAWOW เนี่ยในฐานะลูกค้าเก่าเลย
1 ทำไมลูกค้าหดหาย เพราะพนักงานแกบริการ แย่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยได้พบ คนจะยกน้ำหนัก ไอ้คุณพนักงานก็ขายคอร์สอยู่นั่นละขนาดเป็นสมาชิกละ "เอาเทรนเนอร์มั้ยครับ สนใจ...ตามอยู่นั้น" คนยกน้ำหนัก ออกกำลังมันก็ใช้แรงเยอะอยู่ละ ยังมาตามจิก สุดท้ายผมก็ยกเลิกบริการ ไอ้ตอนยกเลิกเนี่ยยากที่สุดกว่าจะยกเลิกจากบัตรเครดิตได้ยังมาแอบชาทผมอีกเดือน สุดท้ายถามจริงๆคนที่ทำงานเหนื่อยๆแล้วคิดจะไปออกกำลังเนี่ยจะมีสักกี่คน พอทำลายความเป็นส่วนตัวในการออกกำลังในการขายยิ่งกว่าบ้าคลั่งเนี่ย คุณก็เลยไม่มี loyal customer สักคนไงหล่ะ
2 substitute product มันเยอะครับฟิตเนส เดี๋ยวนี้จะเล่น cawow ทำไมผมไปสมัคร fitness first ก็ได้ fitness แบบ no brand เยอะแยะ แต่ก่อนต้องง้อมันไอ้แบรนนี้ เดี๋ยวนี้เพื่อนผมทุกคน ยกเลิกบริการหมด ห่วยแตกมาก
3 บริัษัทขาด จริยธรรมในการบริหาร moral ethical business ไม่มีทั้งนั้นสำหรับบริษัทนี้ เอาเปรียบผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จับเซ็นสัญญาขูดรีด ให้ได้มากที่สุด
4 ไม่มี fixed price ทุกคนจ่ายต่างกัน สุดท้ายคนเล่นฟิตเนสมันคุยกันอยู่แล้ว อ้าวทำไมผมจ่ายแพงกว่า ทั้งๆที่ทุกอย่างเหมือนกัน เขาก็รู้สึกโดนเอาเปรียบ เลิกบริการ
5 ไม่มีการปรับปรุง มีแต่ถดถอย แต่ก่อนแจกผ้าเช็ดตัว เดี๋ยวผ่านไปแป๊ปๆ ต้องเอาไปเอง
locker เต็มตลอดจะไปเล่น ทีรอต่อคิวเข้าเครื่องอย่างกะขึ้นรถเมล์ สุดท้ายเจ๊งไม่เป็นท่า
ลองอ่านดูครับลูกค้าแต่ละคนรู้สึกยังไง
http://topicstock.pantip.com/lumpini/to ... 50671.html
http://talk.mthai.com/topic/97808
http://hilight.kapook.com/view/13158
http://www.cmprice.com/forum/?&Page=3&P ... c_id=38104
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilig ... 70139.html
http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=119227.0
1 ทำไมลูกค้าหดหาย เพราะพนักงานแกบริการ แย่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยได้พบ คนจะยกน้ำหนัก ไอ้คุณพนักงานก็ขายคอร์สอยู่นั่นละขนาดเป็นสมาชิกละ "เอาเทรนเนอร์มั้ยครับ สนใจ...ตามอยู่นั้น" คนยกน้ำหนัก ออกกำลังมันก็ใช้แรงเยอะอยู่ละ ยังมาตามจิก สุดท้ายผมก็ยกเลิกบริการ ไอ้ตอนยกเลิกเนี่ยยากที่สุดกว่าจะยกเลิกจากบัตรเครดิตได้ยังมาแอบชาทผมอีกเดือน สุดท้ายถามจริงๆคนที่ทำงานเหนื่อยๆแล้วคิดจะไปออกกำลังเนี่ยจะมีสักกี่คน พอทำลายความเป็นส่วนตัวในการออกกำลังในการขายยิ่งกว่าบ้าคลั่งเนี่ย คุณก็เลยไม่มี loyal customer สักคนไงหล่ะ
2 substitute product มันเยอะครับฟิตเนส เดี๋ยวนี้จะเล่น cawow ทำไมผมไปสมัคร fitness first ก็ได้ fitness แบบ no brand เยอะแยะ แต่ก่อนต้องง้อมันไอ้แบรนนี้ เดี๋ยวนี้เพื่อนผมทุกคน ยกเลิกบริการหมด ห่วยแตกมาก
3 บริัษัทขาด จริยธรรมในการบริหาร moral ethical business ไม่มีทั้งนั้นสำหรับบริษัทนี้ เอาเปรียบผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จับเซ็นสัญญาขูดรีด ให้ได้มากที่สุด
4 ไม่มี fixed price ทุกคนจ่ายต่างกัน สุดท้ายคนเล่นฟิตเนสมันคุยกันอยู่แล้ว อ้าวทำไมผมจ่ายแพงกว่า ทั้งๆที่ทุกอย่างเหมือนกัน เขาก็รู้สึกโดนเอาเปรียบ เลิกบริการ
5 ไม่มีการปรับปรุง มีแต่ถดถอย แต่ก่อนแจกผ้าเช็ดตัว เดี๋ยวผ่านไปแป๊ปๆ ต้องเอาไปเอง
locker เต็มตลอดจะไปเล่น ทีรอต่อคิวเข้าเครื่องอย่างกะขึ้นรถเมล์ สุดท้ายเจ๊งไม่เป็นท่า
ลองอ่านดูครับลูกค้าแต่ละคนรู้สึกยังไง
http://topicstock.pantip.com/lumpini/to ... 50671.html
http://talk.mthai.com/topic/97808
http://hilight.kapook.com/view/13158
http://www.cmprice.com/forum/?&Page=3&P ... c_id=38104
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilig ... 70139.html
http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=119227.0
If a business does well, the stock eventually follows.
-
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 29
บริษัทที่ขาดจริยธรรม อย่างงี้อยู่ไม่รอดแน่นอน เอาเปรียบลูกค้าขนาดหนัก
อยากจะหัวเราะ ไำิอ้ที่คนเยอะๆอยู่ เพราะเขาสมัคร member life time ไป แล้วคุณไม่มีลูกค้าใหม่เลยจะทำยังไงหล่ะ
อยากจะหัวเราะ ไำิอ้ที่คนเยอะๆอยู่ เพราะเขาสมัคร member life time ไป แล้วคุณไม่มีลูกค้าใหม่เลยจะทำยังไงหล่ะ
If a business does well, the stock eventually follows.
-
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "งบการเงินรายปี 2553" ของ CAWOW (ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ)
โพสต์ที่ 30
ผมชอบกระทู้นี้มากเลย เพราะCawow เนี่ยเป็นกรณีศึกษาได้อย่างดีเลย อยากให้ทุกมหาลัยเอาไปสอน Human resource management ให้เด็กทุกคนเลย แล้วให้ทำตรงข้ามกับบริษัทนี้ให้หมด
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ผมไม่รู้ว่าบริษัทนี้จะทำยังไงเลย เพราะมันเน่าใน ทั้งระบบ ผมว่าหุ้นที่จะ turn around ได้เนี่ย ต้องมีอย่างนึงแน่ๆคือ เจ้าของบริษัทต้องรักบริษัทและมีความต้องการจะฟื้นฟูบริษัทจริงๆ
ถ้าบริษัทนี้จะ turn around จะทำยังไงดีผมให้อย่างเดียวเลย
Re-engineering
ยิ่งพิมพ์ยิ่งตลกเกี่ยวกับ Cawow ตอนแรก Cawow เข้ามาในไทยในฐานะ Brand ระดับโลก สรุปว่าไม่ต้องมานั่งสร้าง brand แถมตอนแรก competitor ก็แสนจะน้อยพูดง่ายๆว่า แต่ก่อนถ้าอยากจะเล่นฟิตเนสแล้วบ้านไม่รวยนี่ก็ต้องไปฟิตเนส เล็กๆซึ่งมีราคาแพงแถมไม่สะอาด แต่พอ Cawow เข้ามามันทำให้ ภาพรวมของธุรกิจ Fitness เปลี่ยนไป โอเค Fitness มันควรจะมี ลุคที่ สบาย ชิว อบอุ่น friendly พูดง่ายๆเหมือนที่แหล่งที่สามสำหรับผมที่่ผมจะไป hang out นอกจากบ้านกับที่ทำงาน แค่การตกแต่งภายในผมว่าก็ผิดละ ถึงBrand cawow จะเป็น brand ที่โฉบเฉี่ยว วัยรุ่น แต่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบความสงบ แต่ใน Cawow นี่อย่างกะผับ เปิดเพลงเสียงดัง คนเยอะวุ่นวาย
ผมว่า Location มันผิดพลาดเลย
1 เลือก Major และห้าง เป็น Location เพราะมองว่าสะดวก แต่ในความเป็นจริง Major ส่วนใหญ่ยังไม่ติดรถไฟฟ้า อย่างเช่นปิ่้นเกล้า อาจจะมองว่าสะดวก ใจกลางเมือง แต่เอาเข้าจริง มันอยู่ที่เดียวกับโรงหนัง ทำให้เวลาจะไปเล่นที กว่าจะหาที่จอดรถก็แทบเหนื่อยตายแล้ว ผมว่าถ้าจะworkคือต้อง แยกออกมาแบบ Health land ไปเลย มีที่จอดรถสำหรับ Cawow เท่านั้น นั่นหล่ะ จะ work มาก คนส่วนใหญ่จะไปเล่นฟิตเนสคือเวลาว่าง ศุกร์ เสาร อาทิตย์ คนส่วนใหญ่จะไปดูหนังคือเวลาว่าง คือ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เอ้าตรงกันพอดี รถเยอะมากถึงมากที่สุด ในขณะ competitor (fitness first) เลือก เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ถ้าคนอยู่แถวนี้จะรู้ดีเลยครับว่า เซ็นทรัล กับ major ที่ไหนวนรถ หาที่จอดรถง่ายกว่ากัน
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ผมไม่รู้ว่าบริษัทนี้จะทำยังไงเลย เพราะมันเน่าใน ทั้งระบบ ผมว่าหุ้นที่จะ turn around ได้เนี่ย ต้องมีอย่างนึงแน่ๆคือ เจ้าของบริษัทต้องรักบริษัทและมีความต้องการจะฟื้นฟูบริษัทจริงๆ
ถ้าบริษัทนี้จะ turn around จะทำยังไงดีผมให้อย่างเดียวเลย
Re-engineering
ยิ่งพิมพ์ยิ่งตลกเกี่ยวกับ Cawow ตอนแรก Cawow เข้ามาในไทยในฐานะ Brand ระดับโลก สรุปว่าไม่ต้องมานั่งสร้าง brand แถมตอนแรก competitor ก็แสนจะน้อยพูดง่ายๆว่า แต่ก่อนถ้าอยากจะเล่นฟิตเนสแล้วบ้านไม่รวยนี่ก็ต้องไปฟิตเนส เล็กๆซึ่งมีราคาแพงแถมไม่สะอาด แต่พอ Cawow เข้ามามันทำให้ ภาพรวมของธุรกิจ Fitness เปลี่ยนไป โอเค Fitness มันควรจะมี ลุคที่ สบาย ชิว อบอุ่น friendly พูดง่ายๆเหมือนที่แหล่งที่สามสำหรับผมที่่ผมจะไป hang out นอกจากบ้านกับที่ทำงาน แค่การตกแต่งภายในผมว่าก็ผิดละ ถึงBrand cawow จะเป็น brand ที่โฉบเฉี่ยว วัยรุ่น แต่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบความสงบ แต่ใน Cawow นี่อย่างกะผับ เปิดเพลงเสียงดัง คนเยอะวุ่นวาย
ผมว่า Location มันผิดพลาดเลย
1 เลือก Major และห้าง เป็น Location เพราะมองว่าสะดวก แต่ในความเป็นจริง Major ส่วนใหญ่ยังไม่ติดรถไฟฟ้า อย่างเช่นปิ่้นเกล้า อาจจะมองว่าสะดวก ใจกลางเมือง แต่เอาเข้าจริง มันอยู่ที่เดียวกับโรงหนัง ทำให้เวลาจะไปเล่นที กว่าจะหาที่จอดรถก็แทบเหนื่อยตายแล้ว ผมว่าถ้าจะworkคือต้อง แยกออกมาแบบ Health land ไปเลย มีที่จอดรถสำหรับ Cawow เท่านั้น นั่นหล่ะ จะ work มาก คนส่วนใหญ่จะไปเล่นฟิตเนสคือเวลาว่าง ศุกร์ เสาร อาทิตย์ คนส่วนใหญ่จะไปดูหนังคือเวลาว่าง คือ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เอ้าตรงกันพอดี รถเยอะมากถึงมากที่สุด ในขณะ competitor (fitness first) เลือก เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ถ้าคนอยู่แถวนี้จะรู้ดีเลยครับว่า เซ็นทรัล กับ major ที่ไหนวนรถ หาที่จอดรถง่ายกว่ากัน
If a business does well, the stock eventually follows.