|0 คอมเมนต์
ตอนสุดท้าย ขาดทุนพอเพียง
เวลาเราเลือกลงทุนกิจการ หรือ ซื้อหุ้น ที่เราพูดกันบ่อยๆต้องมี margin of safety , risk management , money management ปัญหาคือตอนไหนล่ะที่มี margin of safety หรือมีความเสี่ยงต่ำ บางครั้งเราพบว่าหลายครั้งเราเลือกกิจการที่ดีแต่เราได้ราคา premium ทำให้ระยะยาวทำกำไรได้ไม่มากอย่างที่เคยคิด หรือ อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ ตอนที่เราเลือกซื้อกิจการ เราอาศัยความรู้ ข้อมูลที่ได้มา และเราหวังว่าจะได้อย่างครบถ้วน แต่ความเป็นจริงแล้วข้อมูลไม่เคยครบถ้วนและนอกจากนั้นยังเกิดการ bias อยู่เสมอๆ
การจะมี margin of safety จึงต้องเก็บข้อมูลให้มากที่สุด และ ต้องรอจังหวะ แล้วจังหวะไหนล่ะ?
1. " หุ้นตก หรือ panic หรือ เกิดจากความไม่มีเหตุผล " โดยอารมณ์ของผู้ถือ หรือ เกิดการ force cell
2. แต่ถ้าไม่ได้จังหวะนั้นและรอไม่ไหว ยอมซื้อในราคา premium หรือ ราคาที่มีความนิยม ( หุ้นตลาด ) เราต้องคาดการณ์ให้ได้ว่ากิจการนั้นจะมีการเจริญเติบโตอย่างสมเหตุผล และ สม่ำเสมอ เป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ จนความนิยมนั้นติดตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแบบ macro ( micro ) trend follower เช่น ในอนาคตมีผู้สูงอายุมาก โอกาสป่วยเยอะ โรงพยาบาลน่าจะดี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะผิดพลาดอ้างอิงจากกฎไตรลักษณ์, ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยอารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์
ตามความเห็นของผม margin of safety ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ดังนั้นจึงต้องมีเทคนิกให้เกิดการขาดทุนพอเพียง ซึ่งหมายถึงการขาดทุนเป็นไป(และไม่เป็นไป)ตามที่วางแผนไว้ ในขั้นตอน PDCA เนื่องจากเราไม่สามารถที่จะทนขาดทุนครั้งละมากๆ หรือทนขาดทุนครั้งละน้อยๆแต่บ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เงินต้นน้อยเกินกว่าที่จะทำกำไรให้มาเท่าทุน หรือ ต้องใช้เวลานานจนเสียโอกาสไป
วิธีการมีมากมายซึ่งอ้างอิงมากจากหลายทฤษฎี แต่ที่แบ่งได้ตามกลยุทธ์คือ
1. กลยุทธ์หนี เช่น cut loss เป็นการออกจากตลาดมาเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่ เหมือนเราเล่นหมากรุกอยู่ก็จะมีbias แต่ถ้าออกมาเป็นผู้ชมก็จะมองเห็นได้ชัดมากขึ้น
2. กลยุทธ์โยนหินถามทาง(แนวรับ) เช่น kelly' method , matingale strategy , DSM ( Densri method or Descending selling method ), DCA ( dollar cost average ) ลองหาอ่านได้เพิ่มเติมนะครับ แต่กลยุทธ์เหล่านี้มีข้อจำกัดตรงที่ จะต้องมีความคาดหวังเป็นบวก หรือ กิจการต้องมีกำไรมากขึ้น มิเช่นนั้นจะขาดทุนในปริมาณที่มาก และนอกจากนี้ถ้าแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนน้อยเกินไป ถ้ากิจการมีการตกต่ำเป็นเวลานานก็จะไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม
3. กลยุทธ์โยนหินถามทาง(แนวบุก) จะแบ่งเงินเป็นสัดส่วนต่างกัน ทยอยลงทุนถ้ากิจการมีการเติบโต หรือ คิดถูกต้อง ซึ่งถ้าคิดผิดก็จะเสียหายจำนวนน้อย
4. กลยุทธ์นิ่ง เป็นการทำตัวอยู่เฉยๆ ค้นหาข้อมูลมากขึ้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ส่วนปริมาณเงินหรือเปอร์เซนต์สัดส่วนที่จะลงทุนในแต่ละกลยุทธ์ ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละคนซึ่งมีนิสัย ประสบการณ์ และ ความรู้ของแต่ละคน แต่เมื่อนำไปใช้ทุกคนก็จะมีรูปแบบของตัวเอง และ นอกจากนี้แนวคิดที่เขียนทั้ง 5 ตอนนี้ คนนำไปใช้ก็จะประยุกต์ทำให้ได้ results แตกต่างกัน
หวังว่าทุกท่านจะได้กำไรพอเพียง และ ขาดทุนพอเพียง ลงทุนอย่างมีความสุข
ปล. ขอขอบคุณ subprime ที่ทำให้ผมขาดทุน แต่ทำให้ได้กำไรประสบการณ์และความรู้
ขอขอบคุณ thaivi.org ที่ทำให้ผมคืนทุนและได้กำไร ลงทุนอย่างมีความสุข และได้แนวคิดเรื่องพอเพียง
จบสักที 55555+
