จันทร์ ก.ย. 01, 2003 7:50 pm | 0 คอมเมนต์
จริงๆ แปลเสร็จนานแล้วนะครับ แต่ได้ข่าวว่าจะมีฉบับแปลออกมาขาย ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะแปลต่อครับ เดี๋ยวผิดลิขสิทธ์ครับ
เลยคิดว่าแปลแค่ 2 บทก็พอมั้งครับ ถ้าใครสนใจ ก็รออ่านฉบับของจริงดีกว่านะครับ
บทที่ 2 : วอเรนทำกำไรจาก บริษัทที่มีข่าวร้ายได้อย่างไร?
วอเรนได้ฝึกฝน กลยุทธ์ ที่เรียกว่า selective contrarian investment strategy หรือก็คือ กลยุทธ์ การลงทุนสวนตลาดแบบคัดสรร กลยุทธ์สวนตลาดแบบคัดสรร จะดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนด้วย ราคาที่ตกต่ำ
นักลงทุนแบบสวนนี้ จะลงทุนในส่วนที่นักลงทุนอื่นไม่สนใจ โดยมั่นใจว่า ราคาที่ต่ำนี้ หวังว่าวันหนึ่งจะทำกำไรอย่างมหาศาลในวันข้างหน้าเมื่อราคาหุ้นฟื้นขึ้นมา
วอเรนเชื่อว่า ราคาหุ้นที่ต่ำเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เหตุผลที่เพืยงพอที่ทำให้น่าเข้าไปลงทุน เขาสนใจบริษัทที่มี ลักษณะของธุรกิจพิเศษร่วมกับ ราคาที่สวนทางกัน
เขาพบว่าราคาที่น่าสนใจ ของบริษัทพิเศษเหล่านี้เป็นผลพวงมาจาก การมองการณ์สั้นและมองในแง่ร้ายของตลาด ปรํชญาการลงทุนแบบพื้นฐานของเขาคือการลงทุนแบบสวนร่วมกับการหาบริษัทที่มี ธุรกิจพิเศษ ที่เป็นเจ้าของสิ่งที่เขาเรียกว่า durable competitive advantage หรือก็คือ การได้เปรียบและมั้นคงในการแข่งขันทางธุรกิจ
การลงทุนสวนตลาดแบบคัดสรร VS การลงทุนสวนตลาดแบบดั้งเดิม
ในการลงทุนแบบสวน นักลงทุนจะซื้อหุ้นที่ตกลงมาและไม่เป็นทีสนใจของนักลงทุนอื่น กลยุทธ์แบบนี้อ้างอิงจาก งานวิจัยของ Eugene Fama และ Kenneth French ผู้ที่พบว่า บริษัทที่มีราคาหุ้นตกต่ำใน 2 ปีที่ผ่านมา มักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอีก 2 ปีถัดไป
การลงทุนสวนตลาดแบบดั้งเดิม นักลงทุน ไม่สามารถแยก ธุรกิจที่มี ลักษณะของการแข่งขั้นกันเรื่องราคา ( price competitive type ) ออกจาก บริษัทที่ได้เปรียบและมั่นคงเชิงการแข่งขัน ( durable competitive advantage ) ออกจากกันได้
การลงทุนสวนตลากแบบคัดสรร วอเรนแนะนำให้ซื้อเมื่อ บริษัทนั้น มีการได้เปรียบและมั้นคงในการแข่งขัน ร่วมกับ ราคาที่ต่ำลงจาก การมองการณ์สั้นของตลาด วิธีนี้จะต่างจาก แบบดั้งเดิมคือ จะต้องหาให้ได้ว่าบริษัทมีลักษณะ ได้เปรียบและมั่นคงในการแข่งขัน เมือเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ และขายในราคาที่ เจ้าของธุรกิจส่วนตัวนั้นสนใจ ( จะอธิบายต่อไป)
การมองการณ์สั้น กับ มองโลกในแง่ร้าย ร่วมกับ ข่าวร้ายที่มาถึง ทำให้ วอเรน บัฟเฟตต์ มีโอกาสเป็น เจ้าของ บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกได้ด้วยราคาที่ลดกระหน่ำ เช่นบริษัท H&R Block ในปี 2000 ด้วยราคา 28$ ต่อหุ้น หรือบริษัท Washington Post ด้วยราคา 6.14$ ตอนนี้ ราคาของ H&R Block อยู่ที่ 60 $ ส่วน Post อยู่ที่ 500$ กำไรก่อนภาษี เมือ 1 ปีผ่านไป ได้กำไรจาก H&R ประมาณ 41% เมื่อ 27 ปีผ่านไป ได้กำไรจาก Post ประมาณ 8,468 %
วอเรนพบว่า ไม่ว่าคนจะฉลาดแค่ไหน สัญชาติญาณก็จะควบคุมการตัดสินใจ ถ้าคุณได้คุยกับผู้จัดการกองทุนรวม คุณจะพบว่า เขาจะอยู่ภายใต้ความกดดันที่ต้องทำกำไรต่อปีให้ได้มากที่สุด เป็นสิ่งเดียวที่สาธารณะชน สนใจ
การมองการณ์สั้นของกองทุนรวม
เมื่อหลายปีก่อน นักเขียนเล่มนี้ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้จัดการกองทุนรวมคนหนึ่ง ที่มีเงินบริหารอยู่ 10,000 ล้าน $ เขาพาพร้อมกับหนังสือเล่มโต เป็นหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราห์บริษัทต่างๆกว่า 20,000 บริษัท เมื่อผมสนใจขอดูหนังสือแล้วพยายามหาบริษัทที่ เรารู้ว่า วอเรน ซื้ออยู่ นั่นก็คือ Capital Cities เป็นบริษัทโฆษณาทางวิทยุและโทรทัศน์ บริหารงานโดย Tom Murphy
วอเรนเคยพูดว่า ถ้าให้เขาไปอาศัยอยู่เกาะกลางทะเลทรายเป็นเวลา 10 ปี และให้เขาเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนกับบริษัทเดียว นั่นต้องเป็น Capital Cities
เมือเราถามผู้จัดการว่า ทำไมไม่มีหุ้นของ Capital Cities ในกองทุนของเขาเลย เขาตอบว่า เพราะเขาไม่มั่นใจว่า อีก 6 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นจะขยับขึ้นหรือเปล่า ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่า Capital Cites เป็นบริษัทที่วิเศษ แต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องทำผลงานในระยะสั้นให้ดีที่สุด มิฉะนั้น เขาจะสู้คู่แข่งคนอื่นไม่ได้ ลูกค้าก็จะย้ายเงินไปที่อื่น เขาก็จะตกงาน เสียรถ Porsche ขาดเงินส่งลูกไปเรียน Havard
ปรากฏการณ์ข่าวร้าย ทำให้เกิดการขายหุ้น ทำให้ราคาหุ้นต่ำลง ข่าวร้ายทำให้ตาของ วอเรน สว่างขึ้น ปรากฏการณ์ข่าวร้าย ร่วมกับ การมองการณ์สั้น เป็นของขวัญที่ยื่นให้กับ วอเรน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ก็เกิด โอกาสที่ทำให้ซื้อ ปีแต่ละปีผ่านไป 10 ปี 20 ปีผ่านไป ทำให้ เขามีความสุขกับ เงิน 30,000 ล้าน $
รู้จักกับนาย ตลาด ที่ทำให้ วอเรน ร่ำรวย
เบนจามิน แกรแฮม อาจารย์ของ วอเรน ได้สอนเรื่องการมองการณ์สั้นของตลาดให้ เขาให้วอเรน ลอง จินตนาการ ว่าได้เป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆที่มั้นคงอันหนึ่ง และมีหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า นายตลาด
นายตลาดนี้เอง มีลักษณะพิเศษคือ มีบุคคลิกภาพแปรปรวนง่าย วันไหนได้เห็นสิ่งสวยงามก็จะมองโลกทั้งโลกสวยงามไปหมดแต่ถ้าวันใด นายตลาดมองอะไรไม่เห็นนอกจากปัญหาในอนาคต เขาก็จะมองโลกทั้งโลกเลวร้ายไปหมด
นายตลาด เป็นคนผันผวน ทุกๆเช้า เขาจะพยายามเข้ามาขายหุ้นเขาให้แก่คุณ วันใดที่เขามองโลกแง่ดี เขาก็จะตั้งราคาขายไว้สูง วันใดที่เขามองโลกในแง่ร้าย เขาก็จะตั้งราคาขายไว้ต่ำ โดยหวังว่าคุณจะโง่พอที่ จะเอาบริษัทที่มีปัญหาไปจากเขา
อีกสิ่งหนึ่ง นายตลาดจะไม่สนใจเลย ว่าคุณจะสนใจเขาหรือไม่ เขามาเสนอให้คุณทุกวัน ไม่ว่าฝนตก แดดออก ด้วยความเต็มใจ ราคาก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา คุณอาจจะเฉยเมยก็ได้ เขาก็จะกลับมาในวันรุ่งขึ้น
เมื่อคุณมั่นใจว่าอนาคตข้างหน้า บริษัทจะต้องดีแล้วต้องการเป็นเจ้าของคนเดียว เมื่อไหร่ที่คุณควรจะรับข้อเสนอจาก นายตลาด แน่นอนที่สุดเมื่อเขาเกิดความรู้สึกมองโลกเลวร้าย เพราะนั้นจะทำให้คุณได้ราคาที่ดีที่สุด
แกรแฮมยังสอน วอเรน อีกว่า นายตลาดอยู่ที่นั้น เพื่อให้ไปเอากำไรจากเขา ไม่ใช่ไปเชื่อเขา คุณควรสนใจแต่ราคาที่นายตลาดเสนอมา ไม่ใช่สนใจความคิดของนายตลาด ถ้าทำอย่างนั้น ความคิดแบบนั้นจะทำลายคุณย่อยยับ โดยคุณอาจจะมองโลกแง่ดีเกินไปก็จะทำให้คุณเสียเงินมาก ถ้าคุณมองโลกแง่ร้ายเกินไป คุณก็จะพลาดโอกาสที่จะเอากำไรจากนายตลาด
วอเรนพูดว่า ทุกวันนี้ นายตลาดยังอยู่ ยังมองอะไรสั้นอยู่ และยังมีอารมณ์ ดีแบบบ้าคลั่งกับซึมเศร้าอยู่