ขอทราบเคล็ดลับในการติดดอยหน่อยครับ?

[Tao Investor]

ขอทราบเคล็ดลับในการติดดอยหน่อยครับ?

คำถามคือ ทำอย่างไรถึงจะติดดอยที่สูงที่สุดได้ครับ

ปล. 1 ทำไมคนติดดอยถึงเป็นคนส่วนมาก
ปล. 2 คนส่วนมากที่ติดดอยนั้นก็มีความรู้+ประสบการณ์+ระวังตัวกันมากๆ แล้ว ทำไมยังติดดอยได้อีก
ปล. 3 คนเจ้งหุ้นคือคนติดดอยอย่างเดียวใช่ไหมครับ ถ้าไม่ใช่ มีเหตผลอะไรอีกที่จะเจ้งหุ้นได้ครับ
ปล. 4 พี่ๆเคยถือหุ้นตัวไหน แล้วบริษัทเจ้ง ไหมครับ

[ปรัชญา]

1.เพราะคนส่วนมากคิดเหมือนกัน
2.คนที่ไม่เคารพกติกาของตัวเอง หรือไม่มีกำหนดกฏเกณฑ์ในการทิ้งของ
3.ก้ไม่เชิง คนเจ๊งหุ้น เพราะความโลภ
ซื้อหุ้นหรือซื้อหุ้นโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เวลาตลาดขาลง
ไม่มีผลประกอบการ เงินปันผล
แบบตอนซื้อบริษัทยังดี แต่โชคไม่ดีอยู่กระดานธรรมดาไม่ถูกใจ
เลยเข้าไปอยู่ในกลุ่มรีแฮปโก้
4.โอ๊ย เยอะแยะจำไม่ถูกเลย สมัยนาย-ก บิ๊กจิ๋ว
จับนายทนงมาเป้นมือปืนรับจ้าง ลดค่าเงินบาท
มีใครบ้างในยุคนั้น ที่ไม่ได้ถือเศษกระดาษ บริษัทไฟแนนท์ที่ถูกสั่งปิด56แห่ง
และอนุญาติให้เปิดดำเนินการได้แค่2 ที่เหลือ เก็บใส่หลุม แบบวัยรุ่นเซ็ง

[Tao Investor]

ต่อนะครับ

หลังจากพี่ๆมาแนว vi กันแล้ว ผมเข้าใจว่าพี่ๆทุกท่าน ไม่เคยติดดอยอีกเลยใช่ไหมครับ หรือว่าเคยครับ

ปล.1 พี่ปรัชญาครับ เพราะคนส่วนมากคิดเหมือนกัน<<คนส่วนมากคิดว่าตัวเองจะไม่เหมือนคนส่วนมาก..เลยพยายามที่จะหลีกเลี่ยง+ระวังตัว..แต่ไปๆมาๆ กลับกลายเป็นคนส่วนมากอีก..(พูดเอง งง เอง)

ปล. หรือว่าเราคิดว่าเราเป็นคนส่วนน้อยครับ จึงทำให้เราเป็นคนส่วนมาก

[buglife]

ซื้อตามราคาเป้าของบทวิเคราะห์ครับ โอกาสติดดอยสูงดีครับ

[pa_chit]

ไอ้เรื่องติดดอยนี่นอกจากเป็นเพราะเรื่องของการไม่วิเคราะห์แล้ว

ยังเป็นเรื่องของจิตใจด้วยนะผมว่า

หลายครั้งคนส่วนใหญ่เห็นหุ้นชั้นดี ราคาลงเอาๆ ลงแบบน่ากลัวๆ แต่ไม่กล้าซื้อกลัวลงอีก กลัวขาดทุน ประมาณว่าอยากจะซื้อที่ต่ำสุด

แต่พอมันเด้งขึ้นมาหน่อย ก็บอกว่าถ้าเดี๋ยวลงไปที่เมื่อกี๊อีกจะซื้อ ทีนี้พอมันขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมลงไปที่เดิม ท้ายสุดกลัวตกรถก็โดดใส่ ก็เลยกลายเป็นที่สูง

ผมมีความรู้สึกนี้บ่อยมากเมื่อก่อน คือประมาณว่าพอราคาเริ่มวิ่งแรง กลัวตลาดจะไม่เปิดให้ซื้ออีก รีบตะครุบซะ สุดท้ายจ๋อย

แต่เดี๋ยวนี้นิ่งขึ้นเยอะครับ ต้องถือคติว่า เสียดายดีกว่าเสียตังค์ :lol:

[Jeng]

ติดลบในหุ้นตัวนั้นกี่เปอร์เซ็นต์ถึงเรียกว่าติดดอยครับ

ขอรู้เปอร์เซ็นต์ก่อนแล้วจะตอบ

[CK]

อยากติดดอย ง่ายนิดเดียวครับ

โลภเข้าไว้ ยิ่งโลภมาก ดอยยิ่งสูง คนที่โลภที่สุด จะติดดอยที่สูงที่สุด

แล้วอย่าศึกษาเรื่องการเล่นหุ้นนะครับ ไม่ว่าจะกราฟหรือพื้นฐาน
ให้ซื้อขายตามอารมณ์อย่างเดียว

[ต.หยวนเปียว]

ทำไมคนชอบติดดอย

เพราะบรรยากาศบนดอยมันดี

ใครๆก็ชอบ อยากไปเที่ยวชม

ใครยึดติดหลงไหล ถอนตัวไม่ขึ้น

โอ่เอ้ จนพาหนะที่จะพาลงดอยจากไป

เหลือ3ทาง

1 กระโดดลง ไม่ตายก็เจ๊บหนัก

2 อยู่บนนั้นตลอดไป 8)

3 รอ ร๊อ รอ พาหนะกลับมารับ บางทีพาไปดอยสูงกว่าเก่า

[ปรัชญา]

ต่อนะครับ

หลังจากพี่ๆมาแนว vi กันแล้ว ผมเข้าใจว่าพี่ๆทุกท่าน ไม่เคยติดดอยอีกเลยใช่ไหมครับ หรือว่าเคยครับ

ปล.1 พี่ปรัชญาครับ เพราะคนส่วนมากคิดเหมือนกัน<<คนส่วนมากคิดว่าตัวเองจะไม่เหมือนคนส่วนมาก..เลยพยายามที่จะหลีกเลี่ยง+ระวังตัว..แต่ไปๆมาๆ กลับกลายเป็นคนส่วนมากอีก..(พูดเอง งง เอง)

ปล. หรือว่าเราคิดว่าเราเป็นคนส่วนน้อยครับ จึงทำให้เราเป็นคนส่วนมาก

คือ คำว่าคนส่วนมาก ผมหมายความว่า...
อยากได้เยอะ และใช้เวลารวยง่ายๆและเร็วๆ

เวลาปลามันว่ายน้ำ ปลาเล็กจะว่ายเป็นฝูง
ปลาใหญ่ก็เลยไล่จับกินง่าย
อย่าไงดี แบบซื้อหุ้นแล้วขึ้น ส่วนใหญ่จะรีบขาย
โดยไม่ได้ดูว่า ราคาเหมาะสมหรือยัง ขอกำไรกันแค่2-3สเต็บก็พอ
ถ้าเป็นวิ ก็หวังผลตอบแทนในรูปเงินปันผล แต่ควรอยู่สูงกว่า5%
ถ้าต่ำกว่า5% ความน่าสนใจลดลงครับ

เรื่องติดดอย วิ เข้าผิดตัวก็ติดดอยครับ
แบบผลตอบแทนส่วนต่างราคาแทบไม่ได้เลย
อย่างผมติด FE TIC ราคาก็ไม่ไปไหนกับเขาสักที
จะขายก็เสียดาย เวลามองหุ้นที่มีอนาคตกว่า วิ่งเอาๆ
เสียโอกาสทำเงินให้งอกเงย
ดีที่ว่าไม่ได้ถือหุ้นแค่ตัวเดียวเลยไปมองหุ้นตัวอื่นที่วิ่งแทน พอมีความสุขทางใจ

[Banchap]

วิธีติดดอยที่สูงที่สุดต้องใช้ความมานะพยายามมากนะครับ
เริ่มด้วยการซื้อที่ราคาตอนนี้เลย ต่อไปถ้าราคาลงก็อย่าขาย ให้เก็บไว้ ถ้าราคาขึ้นก็ให้ขาย แล้วรอด้วยความกระวนกระวายที่จะซื้อกลับในราคาที่สูงกว่า แค่นี้ก็ดอยแล้วและจะดอยสูงขึ้นเรื่อย ๆด้วยครับ

ปล1 เพราะคนส่วนมากมักจะแห่ซื้อตามกันตอนหุ้นขึ้น แต่ตอนลงตัดใจขายไม่ได้

ปล2 กิเลสบดบังความรู้ความสามารถเสมอ ๆ หรืออาจจะเป็นการวิเคราะห์ผิดพลาด

ปล3 ผมว่าเงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินที่ไม่เย็นพอนะครับ เช่นกู้มา หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในครอบครัว เมื่อวานนี้อ่านข่าวพบว่าหนี้บัตรเครดิตสูงขึ้นอีก เพราะส่วนหนึ่งนำมาเล่นหุ้น

[tt]

เห็นด้วยกับพี่ปรัชญาครับ
ผมติด FE กับ PHA ตั้งนาน เวลาผลประกอบการดี
มันขึ้นนิดเดียวแต่พอผลประกอบการห่วยมันลงเลย
แล้วก็ขายโครตยาก เลยหนีมันไปซะก่อน เดี๊ยวนี้ไปดู
มันยังอยู่ที่เดิมเลย

[Tao Investor]

ติดลบในหุ้นตัวนั้นกี่เปอร์เซ็นต์ถึงเรียกว่าติดดอยครับ

ขอรู้เปอร์เซ็นต์ก่อนแล้วจะตอบ

-50% ครับพี่เจ๋ง ผมว่าสูงแล้วนะครับพี่

ปล.ผมยังไม่มีพอร์ทเป็นของตัวเองเลยครับ เลยอยากมีประสบการณ์(แบบไม่ต้องลองเอง)

ไว้มีประสบการณ์+ความรู้+ทุน แล้วค่อยลงสนามครับ

[JoJotaro]

คนที่ปกติ ติดดอย เพราะว่าต้องการซื้อช่วงที่ราคาติดดอย

ดังนั้นถ้าคนติดดอยบ่อยๆ จะต้องขายในเวลาที่ตัวเองอยากซื้อ และซื้อเมื่อตัวเองอยากขาย

[ปรัชญา]

เห็นด้วยกับพี่ปรัชญาครับ
ผมติด FE กับ PHA ตั้งนาน เวลาผลประกอบการดี
มันขึ้นนิดเดียวแต่พอผลประกอบการห่วยมันลงเลย
แล้วก็ขายโครตยาก เลยหนีมันไปซะก่อน เดี๊ยวนี้ไปดู
มันยังอยู่ที่เดิมเลย

ผมเคยกระทบกระเทียบเปรียบเปรยตัวเอง

หุ้นพื้นฐานดี

มันเลยไม่ไปไหนอยู่กับพื้นกับฐานอยู่นั่น

ตอนหลังผมเรียกหุ้นขี้ดื้อ

คือดัชนีขึ้นไปร้อยจุดแล้ว หุ้นเราก็อยู่ที่เดิม
พอดัชนีลงไปร้อยจุดแล้ว หุ้นเจ้ากรรมมันยังยืนเฉยวันไหนบรรยากาศมาคุ
พวกลงเฉยเลย จะซื้อเพิ่มก็กลัวติดมากกว่าเก่า จะขายก็รักหุ้นเสียดายของ
ปลอบใจตัวเองเรื่อยมา ถือมาได้2-3ปี ถืออีกปีจะเป็นไร เชอะๆเจ็บใจ
ทนได้ทนไป กัดฟันพูดเลย

[Zionism]

ติดดอย...คำนี้ผมว่าทุกคนคงได้เจอกับตัวเองสักครั้งแน่นอน

ติดดอยต้องดูด้วยว่าติดส่วนไหนของดอย

เคล็ดลับในการติดดอย ทำตามง่ายๆดังนี้
1.ซึ้อไปเลย ตัวไหนก็ได้
2.หุ้นลง ก็ซื้อเฉลี่ยอีก
3.หุ้นขึ้น ก็ซื้อเพิ่มอีก
4.ห้ามขายหุ้นเด็ดขาด

ในเมื่อไม่ขายก็ติดดอย (แต่ส่วนไหนของดอยก็ว่ากันไป)

^^

[Jeng]

- 50 % หรือ อืม เกิดมายังไม่เคยติดดอยเลยซักครั้งเดียว

อิอิ ถ้าใช้นิยามนี้

[JoJotaro]

ผมไม่เคยเหมือนกัน

แต่ผมว่าถ้าหุ้นพื้นฐานดีจริงๆ เราอย่าไปดูราคาหุ้น อย่าไปหวัง capital gain สิครับ
หวังจาก dividend แล้วเป็นเจ้าของถือไปเรื่อยๆ คิดว่ามูลค่าที่แฝงอยู่จะมีมูลค่ามหาศาลแน่นอน แล้ววันหนึ่งถ้าเกิดบริษัทไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ปันผลออกมาเยอะๆ ก็จะทำให้หุ้นวิ่งหลายร้อย % ก็ได้

[Tongue]

การติดดอยมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ

(แต่ส่วนไหนของดอยก็ว่ากันไป)

ดูเหมือนจะไม่มีใครติดเท่าไหร่เลยนะครับ แต่ผมเคย

คิดๆดูผมต้องมีความสามารถเรื่องนี้มากๆเลยครับ เพราะ

ผมติดสูงกว่าดอยที่มีจริง หมายความว่า ผมได้สร้างดอยของผมเอง อันสูงกว่า ดอยที่เกิดขึ้นจริง

ที่ระดับความสูง 420 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล
70 ฟุต เหนือ ยอดดอย สูงสุด
ประมาณ 300-350 ฟุต เหนือบริเวณที่มีหมู่บ้าน หรือเหมาะแก่สร้างที่อยู่อาศัย

มันเป็นดอยที่โดดเดี่ยว สงบ เย็นยะเยือก และเป็นของผมคนเดียว จริงๆครับ


วิธีการแสนง่ายครับ

เริ่มด้วย ซื้อเข้าไปก่อน หุ้นนี้ กำลังจะแรง
งบไม่ต้องดู ไม่มีหุ้นใครจะส่งงบมาให้ดู เก่งมากๆ
หุ้น Turnaround นี่แหละ ได้เงินสดไวดี
หุ้นพื้นฐานมีเยอะแล้ว

ซื้อปุ๊บ ยอดดอยพอดีเป๊ะ เลยครับ

จากนั้นราคาก็ไหลลง จน,,,,
มันไม่น่า จะลง อีกแล้ว
ใช่ มันไม่น่าจะลงได้อีกแล้ว

เอาน่า lot นี้เล่นสั้น ขึ้นขาย ลงก็ขาย
แต่.... มันไม่น่าลงแล้วล่ะ

ก็ เฉลี่ย ซะสิครับ
และแล้ว....มันก็ ลง

จากนั้น.....

จนกระทั่ง.... ไม่ไหวแล้วล่ะ ต้องขาย Lot ที่ว่าออกแล้ว เพราะ...
เราแพ้แล้วต้องยอมรับ และ ที่สำคัญกว่า...คือ..
มันไม่น่าจะขึ้นแล้วล่ะ

และแล้ว มันก็.... ขึ้น
แค่นี้ ผมก็มี ดอยเป็นของตัวเองแล้ว ครับ สุโข จริงๆ

ผมก็ตั้งใจว่า ที่เหลือก็ปล่อยๆไป เพราะมันไม่ได้มากมายอะไร (ไม่ถึง 10 % ของ port)
ได้รสชาติเล็กๆ กำลังดี มันก็ไกล้ Cycle มัน แล้วเหมือนกัน

แล้วมันก็ช่างบังเอิญ เสียจริงๆที่ ผมต้อง ย้ายพอร์ท มารวมกัน
ที่นั่น เหลืออยู่ 2 ตัว เลย เอ้า งั้น ขายๆ ไปก่อนละกัน ไม่ต้อง โอน เดี๋ยวซื้อใหม่

และแล้ว...... มันก็......

เป็นอันว่า... จบ เรื่องราว การเก็งกำไร( My Speculating) ของผม

สนใจเชิญ เอาไปใช้ ไม่ว่ากัน 55

[Stock Broker]

คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายครับ "โลภ" ครับ

อีกอย่าง บนดอยแม้จะหนาว แต่มีเพื่อนๆ อยู่ด้วยเพียบ แม้จะหนาวแต่ไม่เหงานะครับ

[วัวแดง]

ดอยของแต่ละคน คล้ายๆกัน แต่ไม่เหมือนกัน

ดูดอย ก็เหมือนดูกราฟ มีจุดสูง จุดต่ำ ถ้าคุณซื้อที่ยอดมันก็ดอย

แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ายอดนั้นเป็นดอยที่สูงที่สุด หรือต่ำที่สุดล่ะ ไม่รู้

ดังนั้นพวกเราเราล้วนติดดอยกันทุกคน คือดอยในช่วงเวลาหนึ่ง(ตอนที่ซื้อใหม่ๆ)

พอเวลาผ่านไปดอยเริ่มเปลื่ยนรูปร่าง(อาจเป็นดังภูกระดึงก็ได้)

แต่ผมเชื่อว่าชาว vi ทุกคนย่อมพอใจดอยของตัวเอง เหมือนผม

[มือเก่าหัดขับ]

ง่ายนิดเดียว
หุ้นตัวไหนขึ้น วิ่งเข้าใส่
ยิ่งขึ้น ยิ่งซื้อ เอาเงินที่มากขึ้น ซื้อๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ ใช้เงินให้มากกว่าตอนที่ราคาต่ำ
แหะๆ


(อย่าทำตามนะครับ ถ้าไม่อยากติดดอย แต่ถ้าอยาก ทำตามได้เลย... :lol: :lol: :lol: )

[Jeng]

อืม นึกออกแล้วครับ

ซื้อหุ้นที่ PE 100 ขึ้นไป ถ้า PE ยังไม่ถึง 100 ห้ามซื้อครับ

ติดดอยได้แบบซะใจดี

[house]

ง่า ไม่อยากรู้ครับ และรู้แล้วก็ไม่อยากทำ

คุณเจ๋ง พีอี 18 ผมก็นอนผวาแล้วนะ 14 ขึ้นนี่ก็ซื้อไม่ลงแล้ว
เพื่อนที่เล่นเก็งกำไร พีอี 20-30 กล้าซื้อ เฮ้อ เห็นแล้วหนาวแทน

[Jeng]

จริงๆนะคุณ house ผมว่าหลักสูตรวอเรน บัพเฟต ไม่น่าผิดพลาด แต่อาจจะไม่เร้าใจ

คือซื้อเมื่อ PE 4 - 6

ก็เท่านี้ครับ

ลองย้อนกลับไปทดลองซื้อหุ้นที่ PE 4 - 6 ในอดีต กี่ตัวก็ได้ แล้วถือมาถึงปัจจุบัน ก็กำไรทั้งนั้นครับ เป็นส่วนใหญ่ น่าจะเกิน 90 % ( ยกเว้นกรณี E มันหลอกเท่านั้นเอง )

[house]

4-6 นี่ดีจริง แต่หาตัวถูกใจราคานี้ไม่ได้ซิครับ

ทั่วไป ผมยอมให้ ถึง 11 - 12 ถ้าอยากได้จริง แล้วถ้า 7 - 8 นี่ผมถือว่าถูกมากโดดตะครุบแล้วครับ

จริงๆ ตอนใหม่ๆ พีอี สูงๆ ผมซื้อนะ หุ้นตกโครมเดียวเลิกเลย บริษัทกำไรขึ้น แต่ราคาตกได้แบบไม่มีพื้น นี่ไม่ไหวครับ แถมถ้ากำไรไม่โต ก็ไม่คุ้มกับการลงทุนอีก

หลังๆ เลยต้องกำไร ณ เวลาที่ซื้อ ไม่งั้นยอมให้น้ำลายหก

สบายใจกว่าซื้อ แล้วต้องมานั่งลุ้นเยอะเลย

[Hammock]

หัวข้อแปลกๆ แต่อ่านเนื้อหาข้างในและความเห็นต่างๆแล้ว เข้าท่าดีครับ ได้ประโยชน์ดี