ความสำเร็จในการลงทุน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 1
ถ้าเราพบว่าบริษัทแห่งหนึ่ง น่าจะมีอนาคตที่เติบโต ราคาก็ยังไม่แพงมากถ้าเทียบกับอัตราการเติบโตในอนาคต
เราก็เข้าซื้อลงทุนทันที
หลังจากนั้นไม่นาน บทวิเคราะห์จากที่ต่างๆเริ่มที่จะสนใจเชียร์ ราคาหุ้นก็เริ่มที่จะเดินหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
เราซึ่งมีกำไรมากมายก็เลยขายทิ้งซะ
วันเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของบริษัทดังกล่าวไม่สดใสดังที่เราและผู้อื่นคิด ราคาหุ้นก็เลยตกลงมา
การลงทุนครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ครับ
----------------------------------------------------------------------------
กับอีกกรณีหนึ่ง คล้ายกับกรณีแรก
เพียงแต่ว่าไม่มีผู้คนสนใจ ราคาก็เลยไม่เดินหน้า
เมื่อวันเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานออกมาดีตามที่เราคาด
แต่ราคาหุ้นก็ยังไม่ขยับซักเท่าไร เราจึงมี Capital Gain ไม่มาก
การลงทุนครั้งนี้ ถือว่าน่าผิดหวังหรือไม่ครับ
-------------------------------------------------------------------------------
เราก็เข้าซื้อลงทุนทันที
หลังจากนั้นไม่นาน บทวิเคราะห์จากที่ต่างๆเริ่มที่จะสนใจเชียร์ ราคาหุ้นก็เริ่มที่จะเดินหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
เราซึ่งมีกำไรมากมายก็เลยขายทิ้งซะ
วันเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของบริษัทดังกล่าวไม่สดใสดังที่เราและผู้อื่นคิด ราคาหุ้นก็เลยตกลงมา
การลงทุนครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ครับ
----------------------------------------------------------------------------
กับอีกกรณีหนึ่ง คล้ายกับกรณีแรก
เพียงแต่ว่าไม่มีผู้คนสนใจ ราคาก็เลยไม่เดินหน้า
เมื่อวันเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานออกมาดีตามที่เราคาด
แต่ราคาหุ้นก็ยังไม่ขยับซักเท่าไร เราจึงมี Capital Gain ไม่มาก
การลงทุนครั้งนี้ ถือว่าน่าผิดหวังหรือไม่ครับ
-------------------------------------------------------------------------------
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 2
อืมม .. ผมว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้องถามว่า Key Performance Indicators มีอะไรมั่งครับ แล้ว ผิดหวังหรือไม่ ต้องถามว่าหวังอะไรไว้ อย่างไร
ถ้าความเห็นส่วนตัวผม ...กรณีแรก ประสบความสำเร็จหรือไม่ ... สำหรับผมคิดว่าไม่ครับ ... กรณีที่สอง ผิดหวังหรือไม่ ...สำหรับผม น่าผิดหวังครับ .. เพราะสิ่งที่ผมหวังคือความมั่งคั่งร่ำรวย .. ถ้าลงทุนแล้วไม่รวย ผมผิดหวังครับ
ถ้าความเห็นส่วนตัวผม ...กรณีแรก ประสบความสำเร็จหรือไม่ ... สำหรับผมคิดว่าไม่ครับ ... กรณีที่สอง ผิดหวังหรือไม่ ...สำหรับผม น่าผิดหวังครับ .. เพราะสิ่งที่ผมหวังคือความมั่งคั่งร่ำรวย .. ถ้าลงทุนแล้วไม่รวย ผมผิดหวังครับ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 4
คำถามคุณ chatchai น่าคิดมากเลยครับ
ในความคิดของผมคิดว่าคงขึ้นอยู่กับนิยามของคำว่า "สำเร็จในการลงทุน" และเป้าหมายในการลงทุนแต่ละท่าน
หากคิดว่า การที่ได้กำไรจาก capital gain ในการลงทุน ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวคือความสำเร็จ ก็น่าจะเป็นกรณีแรก
แต่หากคิดว่า พอใจกับผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ราคา capital gain ไม่สูงมากนัก ก็น่าจะเป็นกรณีที่สอง
การที่มีคนเราสามารถค้นหาหุ้นที่ under value มากๆ ด้วยตนเอง
แล้ววิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเมื่อเวลาผ่านไป
หุ้นดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่ตนเองพอใจ
ผมว่า นักลงทุนท่านนั้นประสบผลสำเร็จในการเป็นนักลงทุนครับ
ในความคิดของผมคิดว่าคงขึ้นอยู่กับนิยามของคำว่า "สำเร็จในการลงทุน" และเป้าหมายในการลงทุนแต่ละท่าน
หากคิดว่า การที่ได้กำไรจาก capital gain ในการลงทุน ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวคือความสำเร็จ ก็น่าจะเป็นกรณีแรก
แต่หากคิดว่า พอใจกับผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ราคา capital gain ไม่สูงมากนัก ก็น่าจะเป็นกรณีที่สอง
การที่มีคนเราสามารถค้นหาหุ้นที่ under value มากๆ ด้วยตนเอง
แล้ววิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเมื่อเวลาผ่านไป
หุ้นดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่ตนเองพอใจ
ผมว่า นักลงทุนท่านนั้นประสบผลสำเร็จในการเป็นนักลงทุนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 6
สำหรับผมแล้ว ถือว่า ประสบความสำเร็จทั้งสองกรณีครับ เพราะ ผมรวยขึ้นทั้งตัวเงินและแม่นในหลักการ
ผมคิดว่า พี่ฉัตรชัย ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า "ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการเสมอ"
ในข้อแรก เราได้เงินจาก Capital Gain และได้เงิน(น่าจะเร็วกว่า) ถ้าเราทำสำเร็จบ่อยๆ เรา "เดา" เหตุการณ์ออก เราทำตามกฎ อย่าขาดทุนได้ ทำให้พอร์ตเราโตขึ้นเร็ว
ในข้อสอง ในระยะยาวแล้ว ผมก็เชื่อเหมือนพี่ฉัตรชัยครับว่า ราคาจะตามผลประกอบการ
พี่ฉัตรชัยกำลังเตือนหรือเปล่าครับ ว่า "ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว ต้องมั่นคงในหลักการของตัวเอง ไม่ว่อกแว่กไปตามกระแส ที่อาจจะแค่ "ฟลุ๊ก" ประเดี๋ยวประด๋าว"
ขอบคุณพี่ฉัตรชัยครับ
ปล. แต่ในใจผม ก็อยากรวยเร็วๆ ครับ ถ้ามีโอกาส ผมทำตามข้อ1 ได้ตลอด ผมขอเลือกข้อ 1 ครับ (เฉพาะในความคิดนะครับ ในความเป็นจริง ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ตลอดครับ)
ผมคิดว่า พี่ฉัตรชัย ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า "ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการเสมอ"
ในข้อแรก เราได้เงินจาก Capital Gain และได้เงิน(น่าจะเร็วกว่า) ถ้าเราทำสำเร็จบ่อยๆ เรา "เดา" เหตุการณ์ออก เราทำตามกฎ อย่าขาดทุนได้ ทำให้พอร์ตเราโตขึ้นเร็ว
ในข้อสอง ในระยะยาวแล้ว ผมก็เชื่อเหมือนพี่ฉัตรชัยครับว่า ราคาจะตามผลประกอบการ
พี่ฉัตรชัยกำลังเตือนหรือเปล่าครับ ว่า "ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว ต้องมั่นคงในหลักการของตัวเอง ไม่ว่อกแว่กไปตามกระแส ที่อาจจะแค่ "ฟลุ๊ก" ประเดี๋ยวประด๋าว"
ขอบคุณพี่ฉัตรชัยครับ
ปล. แต่ในใจผม ก็อยากรวยเร็วๆ ครับ ถ้ามีโอกาส ผมทำตามข้อ1 ได้ตลอด ผมขอเลือกข้อ 1 ครับ (เฉพาะในความคิดนะครับ ในความเป็นจริง ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ตลอดครับ)
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 7
กรณีนี้เราโชคดีมากกว่าครับ คือเราวิเคราะห์ผิด แต่ขายถูกchatchai เขียน:ถ้าเราพบว่าบริษัทแห่งหนึ่ง น่าจะมีอนาคตที่เติบโต ราคาก็ยังไม่แพงมากถ้าเทียบกับอัตราการเติบโตในอนาคต
เราก็เข้าซื้อลงทุนทันที
หลังจากนั้นไม่นาน บทวิเคราะห์จากที่ต่างๆเริ่มที่จะสนใจเชียร์ ราคาหุ้นก็เริ่มที่จะเดินหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
เราซึ่งมีกำไรมากมายก็เลยขายทิ้งซะ
วันเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของบริษัทดังกล่าวไม่สดใสดังที่เราและผู้อื่นคิด ราคาหุ้นก็เลยตกลงมา
การลงทุนครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ครับ
----------------------------------------------------------------------------
อย่างนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่หากเกิดขึ้นบ่อยๆ แสดงว่าเราประสบความสำเร็จคืออ่านจิตวิทยาตลาดออก และหาประโยชน์จากมัน
กรณีนี้น่าจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในการลงทุน คือผลการดำเนินงานเป็นไปตามความคาดหมาย และในระยะยาวราคาหุ้นก็ควรจะสะท้อนผลการดำเนินงาน แต่หากราคาหุ้นไม่สูงขึ้น ก็ต้องแสดงว่ามีความผิดพลาด เช่นอาจจะซื้อหุ้นดี ที่ราคาแพง หรือกิจการมีข้อด้อยร้ายแรงอื่นๆ ที่บ่นทอนราคาหุ้น หรือภาวะตลาดอาจจะอยู่ในภาวะซบเซาchatchai เขียน:
กับอีกกรณีหนึ่ง คล้ายกับกรณีแรก
เพียงแต่ว่าไม่มีผู้คนสนใจ ราคาก็เลยไม่เดินหน้า
เมื่อวันเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานออกมาดีตามที่เราคาด
แต่ราคาหุ้นก็ยังไม่ขยับซักเท่าไร เราจึงมี Capital Gain ไม่มาก
การลงทุนครั้งนี้ ถือว่าน่าผิดหวังหรือไม่ครับ
-------------------------------------------------------------------------------
ถามผม ผมขอเลือกกรณีหลังแน่นอน เพราะในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะต้องสะท้อนผลประกอบการเสมอ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเข้าใจหุ้นที่เราลงทุน หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตไม่หวือหวา กิจการมีความมั่นคง มีกำไร-ปันผลที่สม่ำเสมอ เราคงหวังกำไรที่เกิดจากราคาหุ้นได้ไม่มากนัก ในทำนองเดียวกันหากเราเลือกลงทุนในกิจการที่คาดหมายกันว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตสูง แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง อย่างนี้โอกาสที่จะทำกำไรจากราคาหุ้นก็พอมีครับ
สรุปว่าเราต้องเข้าใจเป้าหมายของตัวเราเอง และเข้าใจธรรมชาติของหุ้นที่เราจะลงทุนครับ...
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 8
กรณีแรกนี่ ตอนนี้ผมมองเห็นแววเต็มกระดานเลยครับ
กรณีหลังนี่ อาจต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า สิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุน นอกจากผลการดำเนินงานที่ดีแล้วยังมีอย่างอื่นอีกไหม เช่น ความโปร่งใสของผู้บริหาร คุณภาพของการรายงานงบการเงิน กระแสเงินสดมีมั้ย ถ้ามีเยอะจ่ายปันผลบ้างรึเปล่า หรือดองเค็มมันอยู่ในบริษัทนั่นแหละ (ไม่รู้จะแอบเอาไว้ให้ใคร ไม่ยอมแบ่งให้เจ้าของที่แท้จริง)
กรณีหลังนี่ อาจต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า สิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุน นอกจากผลการดำเนินงานที่ดีแล้วยังมีอย่างอื่นอีกไหม เช่น ความโปร่งใสของผู้บริหาร คุณภาพของการรายงานงบการเงิน กระแสเงินสดมีมั้ย ถ้ามีเยอะจ่ายปันผลบ้างรึเปล่า หรือดองเค็มมันอยู่ในบริษัทนั่นแหละ (ไม่รู้จะแอบเอาไว้ให้ใคร ไม่ยอมแบ่งให้เจ้าของที่แท้จริง)
-
- Verified User
- โพสต์: 1260
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 9
1. ประสพความสำเร็จในการลงทุนพอสมควร (ซื้อถูกสุดขายแพงสุด ไม่มีใครทำได้)
แต่ไม่ประสพความสำเร็จในการวิเคราะห์
2. ไม่ประสพความสำเร็จในการลงทุน เพราะหาจังหวะการเข้าซื้อผิดเวลา (เงินไม่ควรค้างโดยที่ไม่มีดอกผล)
แต่ประสพความสำเร็จในการวิเคราะห์
แต่ไม่ประสพความสำเร็จในการวิเคราะห์
2. ไม่ประสพความสำเร็จในการลงทุน เพราะหาจังหวะการเข้าซื้อผิดเวลา (เงินไม่ควรค้างโดยที่ไม่มีดอกผล)
แต่ประสพความสำเร็จในการวิเคราะห์
- bigshow
- Verified User
- โพสต์: 730
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 10
เล่นหุ้นต้องมี Story
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------------------------------------------------------------------
ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้น ผมคิดว่าเราจะต้องคิดก่อนว่าเราซื้อเพราะอะไร เหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจซื้อหุ้นนี้ ปีเตอร์ ลินซ์ เรียกว่า Story ซึ่งเขาบอกว่าควรเป็นเรื่องหรือเหตุผลสั้น ๆ ที่สามารถอธิบายได้ภายใน 2 นาที
Story ที่จะใช้ในการซื้อหุ้นนั้นแน่นอนว่า ควรเป็นเรื่องที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตามที่เราคาด เรื่องราวของหุ้นที่ใช้กันเป็นประจำมีมากมายผมจะลองยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้นักลงทุนเอาไปสร้างเรื่องของตนเองดังต่อไปนี้บริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้น นี่เป็น Story ที่สำคัญที่สุดในการเลือกหุ้น แต่จะต้องอธิบายต่อว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนและเพราะอะไร
ปริมาณหน่วยการขายเพิ่ม เป็น Story ที่ใช้กันมาก เพราะในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีอุตสาหกรรมหรือบางธุรกิจที่เติบโตเร็วกว่าปกติ เช่น ธุรกิจมือถือ รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง ตั้งแต่ ปูน กระเบื้องปูพื้นและผนัง เหล็ก ไก่ อาหารทะเล การใช้บริการทางด่วน ฯลฯ โดยที่ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการไม่ได้เพิ่มเร็วเท่ากัน ดังนั้นบริษัทก็จะมียอดขายเพิ่มและเพราะฉะนั้นกำไรจึงเพิ่มขึ้น
ราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ใช้กันมากโดยเฉพาะกับธุรกิจโภคภัณฑ์ที่ราคาสินค้าขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นวัฎจักรตลอดเวลา หุ้นของบริษัทที่จะใช้ Story นี้มีมากมายตั้งแต่ ธุรกิจน้ำมัน ไก่ กุ้ง เหล็ก ซีเมนต์ รวมไปถึงการขนส่งทางเรือ ทางด่วน การโฆษณาทางทีวี ฯลฯ ในหลาย ๆ กรณี การปรับขึ้นของราคาสินค้าทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะต้นทุนมักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่ามาก
การขยายโรงงานหรือกำลังการผลิต โดยที่คาดว่าสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะสามารถขายออกไปได้มากหรือเกือบทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นเนื่องจากความต้องการมีมากกว่าผลผลิตมากก็เป็นอีกStory หนึ่งที่มีพลังรุนแรง เพราะถ้าเรื่องเป็นจริงก็จะหมายความว่า กำไรของบริษัทจะพุ่งขึ้น ในหลาย ๆ กรณีบริษัทมักจะเป็นผู้ส่งออกซึ่งมีความต้องการจากตลาดโลกที่สูงมากมารองรับการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด
การลดลงของต้นทุนนั้นเป็น Story ที่จะ เล่นได้เช่นเดียวกันแม้ว่าจะมีบริษัทที่เข้าข่ายไม่มากเท่าการเพิ่มของยอดขาย ส่วนใหญ่ของ Story นี้น่าจะมาจากการที่บริษัทใช้วัตถุดิบที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์เช่น ข้าวสาลี ตะกั่ว มาใช้ในการผลิตสินค้าที่ไม่ใช่โภคภัณฑ์ เพราะฉะนั้นเมื่อราคาวัตถุดิบลดลงในขณะที่ราคาขายสินค้ายังคงเดิม กำไรก็จะเพิ่มขึ้น
ที่พูดมานี้ก็คือ Story ที่บริษัทจะมีกำไรเพิ่มซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แต่ Story ว่าธุรกิจจะมีกำไรดีเหมือนเดิม บางทีก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะถ้ากำไรของเดิมหรือกำไรไตรมาศล่าสุดนั้นค่อนข้างดี แต่ราคาหุ้นยังต่ำมากเพราะนักลงทุนอาจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่ากำไรที่เห็นจะดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่ บางกรณี Storyที่บอกว่ากำไรจะยังเท่าเดิมนั้นอาจจะดีกว่ากำไรเพิ่มด้วยซ้ำ เพราะความเสี่ยงที่ Story จะไม่เป็นจริงนั้นต่ำกว่า
นอกจาก Story กำไรเพิ่มแล้ว การจ่ายปันผลก็เป็น Story ที่ใช้กันมากโดยเฉพาะในด้านของนโยบายการจ่ายปันผลเช่น บริษัทเคยจ่ายปันผลในอัตราที่ต่ำด้วยเหตุผลว่าต้องการเก็บเงินไว้ขยายงาน จ่ายคืนหนี้ หรือเพื่อความมั่นคงของกิจการ แต่ด้วยฐานะการเงินที่ดีขึ้น หรือความต้องการเงินเพื่อการลงทุนลดลง บริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้น หรือบริษัทอาจจะประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล หรือเปลี่ยนนโยบายเป็นจ่ายปันผลปีละหลายครั้ง เหล่านี้มักมีส่วนที่จะขับดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นได้
นอกจาก Story ที่เป็นเรื่องพื้นฐานหลัก ๆ ของกิจการแล้ว Story อื่น ๆที่มักมีส่วนในการขับเคลื่อนราคาหุ้น และนักลงทุนในตลาดไทยชอบใช้ในการพิจารณาลงทุนยังมีอีกหลายเรื่องดังต่อไปนี้
การปรับลดค่าพาร์หรือมูลค่าจดทะเบียนของหุ้นเช่นจากหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาท ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นที่สูงเป็นหลักร้อยบาทเหลือเป็นหลักสิบบาท ก็มีส่วนในการกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวได้เร็วขึ้น Storyนี้มักจะเป็นส่วนประกอบที่นักลงทุนใช้อยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะกับหุ้นที่มีราคาสูงและดูแล้วเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่น่าจะยอมปรับ Parลงมาตามกระแสและความต้องการของตลาดหลักทรัพย์ที่จะทำให้หุ้นมีสภาพคล่องดีขึ้น
การแจก Warrant ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมเคยเป็น Story ที่เฟื่องฟูมาในช่วงหนึ่ง แต่ในระยะหลังนี้บริษัทที่อยากจะแจก Warrant คงจะเหลือน้อยลง แต่ผมคิดว่า Story เรื่องนี้ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปตราบที่ผลของมันยังทรงพลังโดยเฉพาะกับหุ้นที่เป็นที่นิยมของนักเก็งกำไรทั้งหลาย
Story ที่ประยุกต์ได้กับหุ้นเพียงไม่กี่บริษัท แต่น่าจะมีผลต่อราคาหุ้นก็คือการย้ายจากตลาดใหม่ (MAI) ไปอยู่บนกระดานหลัก ซึ่งว่าที่จริงไม่ได้มีผลอะไรในเชิงเศรษฐกิจเลย แต่นักลงทุนก็มักจะมองว่าหุ้นในตลาดใหม่มักจะให้ผลตอบแทนไม่ดีนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกระดานหลัก เพราะฉะนั้นจึงไม่ใคร่สนใจที่จะลงทุน ดังนั้นการย้ายกระดานน่าจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
การถูก Take Over เป็น Story ที่มีผลต่อราคาหุ้นสูงมาก แต่ Storyเรื่องนี้มักจะมาจาก ข่าววงใน ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่หรือไม่แน่นอน ดังนั้นการใช้ Story นี้มาซื้อหุ้นจึงอาจจะค่อนข้างเสี่ยงมากยกเว้นว่าคุณจะมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้จริง ๆ
เช่นเดียวกัน ข่าวที่รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐจะมาช่วย อุ้ม บริษัทก็เป็น Story ที่มีพลังสูงในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงพอสมควรและขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือได้ของแหล่งข่าว
การปรับโครงสร้างกับเจ้าหนี้สำเร็จ เป็น Story สุดท้ายที่ผมจะพูดถึง และน่าจะเป็น Story ที่โดดเด่นพอสมควรเนื่องจากราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นมาก เพราะนักลงทุนจะมองว่าเป็นหุ้นที่จะ Turn Around แต่ก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ Story ที่มีความเสี่ยงสูง โอกาสขาดทุนก็มักมีมากโดยเฉพาะถ้าคุณเข้าไปซื้อหลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปสูงแล้วจากการเข้าไปซื้อของคนที่อยู่ วงใน จริง ๆ
wg ขาด story ดูพวกรับเหมาก่อสร้างหรือกลุ่มยานยนต์สิครับมี story ให้เล่นตลอด
หุ้นจะขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีใครอยากได้
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------------------------------------------------------------------
ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้น ผมคิดว่าเราจะต้องคิดก่อนว่าเราซื้อเพราะอะไร เหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจซื้อหุ้นนี้ ปีเตอร์ ลินซ์ เรียกว่า Story ซึ่งเขาบอกว่าควรเป็นเรื่องหรือเหตุผลสั้น ๆ ที่สามารถอธิบายได้ภายใน 2 นาที
Story ที่จะใช้ในการซื้อหุ้นนั้นแน่นอนว่า ควรเป็นเรื่องที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตามที่เราคาด เรื่องราวของหุ้นที่ใช้กันเป็นประจำมีมากมายผมจะลองยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้นักลงทุนเอาไปสร้างเรื่องของตนเองดังต่อไปนี้บริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้น นี่เป็น Story ที่สำคัญที่สุดในการเลือกหุ้น แต่จะต้องอธิบายต่อว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนและเพราะอะไร
ปริมาณหน่วยการขายเพิ่ม เป็น Story ที่ใช้กันมาก เพราะในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีอุตสาหกรรมหรือบางธุรกิจที่เติบโตเร็วกว่าปกติ เช่น ธุรกิจมือถือ รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง ตั้งแต่ ปูน กระเบื้องปูพื้นและผนัง เหล็ก ไก่ อาหารทะเล การใช้บริการทางด่วน ฯลฯ โดยที่ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการไม่ได้เพิ่มเร็วเท่ากัน ดังนั้นบริษัทก็จะมียอดขายเพิ่มและเพราะฉะนั้นกำไรจึงเพิ่มขึ้น
ราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ใช้กันมากโดยเฉพาะกับธุรกิจโภคภัณฑ์ที่ราคาสินค้าขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นวัฎจักรตลอดเวลา หุ้นของบริษัทที่จะใช้ Story นี้มีมากมายตั้งแต่ ธุรกิจน้ำมัน ไก่ กุ้ง เหล็ก ซีเมนต์ รวมไปถึงการขนส่งทางเรือ ทางด่วน การโฆษณาทางทีวี ฯลฯ ในหลาย ๆ กรณี การปรับขึ้นของราคาสินค้าทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะต้นทุนมักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่ามาก
การขยายโรงงานหรือกำลังการผลิต โดยที่คาดว่าสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะสามารถขายออกไปได้มากหรือเกือบทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นเนื่องจากความต้องการมีมากกว่าผลผลิตมากก็เป็นอีกStory หนึ่งที่มีพลังรุนแรง เพราะถ้าเรื่องเป็นจริงก็จะหมายความว่า กำไรของบริษัทจะพุ่งขึ้น ในหลาย ๆ กรณีบริษัทมักจะเป็นผู้ส่งออกซึ่งมีความต้องการจากตลาดโลกที่สูงมากมารองรับการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด
การลดลงของต้นทุนนั้นเป็น Story ที่จะ เล่นได้เช่นเดียวกันแม้ว่าจะมีบริษัทที่เข้าข่ายไม่มากเท่าการเพิ่มของยอดขาย ส่วนใหญ่ของ Story นี้น่าจะมาจากการที่บริษัทใช้วัตถุดิบที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์เช่น ข้าวสาลี ตะกั่ว มาใช้ในการผลิตสินค้าที่ไม่ใช่โภคภัณฑ์ เพราะฉะนั้นเมื่อราคาวัตถุดิบลดลงในขณะที่ราคาขายสินค้ายังคงเดิม กำไรก็จะเพิ่มขึ้น
ที่พูดมานี้ก็คือ Story ที่บริษัทจะมีกำไรเพิ่มซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แต่ Story ว่าธุรกิจจะมีกำไรดีเหมือนเดิม บางทีก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะถ้ากำไรของเดิมหรือกำไรไตรมาศล่าสุดนั้นค่อนข้างดี แต่ราคาหุ้นยังต่ำมากเพราะนักลงทุนอาจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่ากำไรที่เห็นจะดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่ บางกรณี Storyที่บอกว่ากำไรจะยังเท่าเดิมนั้นอาจจะดีกว่ากำไรเพิ่มด้วยซ้ำ เพราะความเสี่ยงที่ Story จะไม่เป็นจริงนั้นต่ำกว่า
นอกจาก Story กำไรเพิ่มแล้ว การจ่ายปันผลก็เป็น Story ที่ใช้กันมากโดยเฉพาะในด้านของนโยบายการจ่ายปันผลเช่น บริษัทเคยจ่ายปันผลในอัตราที่ต่ำด้วยเหตุผลว่าต้องการเก็บเงินไว้ขยายงาน จ่ายคืนหนี้ หรือเพื่อความมั่นคงของกิจการ แต่ด้วยฐานะการเงินที่ดีขึ้น หรือความต้องการเงินเพื่อการลงทุนลดลง บริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้น หรือบริษัทอาจจะประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล หรือเปลี่ยนนโยบายเป็นจ่ายปันผลปีละหลายครั้ง เหล่านี้มักมีส่วนที่จะขับดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นได้
นอกจาก Story ที่เป็นเรื่องพื้นฐานหลัก ๆ ของกิจการแล้ว Story อื่น ๆที่มักมีส่วนในการขับเคลื่อนราคาหุ้น และนักลงทุนในตลาดไทยชอบใช้ในการพิจารณาลงทุนยังมีอีกหลายเรื่องดังต่อไปนี้
การปรับลดค่าพาร์หรือมูลค่าจดทะเบียนของหุ้นเช่นจากหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาท ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นที่สูงเป็นหลักร้อยบาทเหลือเป็นหลักสิบบาท ก็มีส่วนในการกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวได้เร็วขึ้น Storyนี้มักจะเป็นส่วนประกอบที่นักลงทุนใช้อยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะกับหุ้นที่มีราคาสูงและดูแล้วเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่น่าจะยอมปรับ Parลงมาตามกระแสและความต้องการของตลาดหลักทรัพย์ที่จะทำให้หุ้นมีสภาพคล่องดีขึ้น
การแจก Warrant ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมเคยเป็น Story ที่เฟื่องฟูมาในช่วงหนึ่ง แต่ในระยะหลังนี้บริษัทที่อยากจะแจก Warrant คงจะเหลือน้อยลง แต่ผมคิดว่า Story เรื่องนี้ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปตราบที่ผลของมันยังทรงพลังโดยเฉพาะกับหุ้นที่เป็นที่นิยมของนักเก็งกำไรทั้งหลาย
Story ที่ประยุกต์ได้กับหุ้นเพียงไม่กี่บริษัท แต่น่าจะมีผลต่อราคาหุ้นก็คือการย้ายจากตลาดใหม่ (MAI) ไปอยู่บนกระดานหลัก ซึ่งว่าที่จริงไม่ได้มีผลอะไรในเชิงเศรษฐกิจเลย แต่นักลงทุนก็มักจะมองว่าหุ้นในตลาดใหม่มักจะให้ผลตอบแทนไม่ดีนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกระดานหลัก เพราะฉะนั้นจึงไม่ใคร่สนใจที่จะลงทุน ดังนั้นการย้ายกระดานน่าจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
การถูก Take Over เป็น Story ที่มีผลต่อราคาหุ้นสูงมาก แต่ Storyเรื่องนี้มักจะมาจาก ข่าววงใน ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่หรือไม่แน่นอน ดังนั้นการใช้ Story นี้มาซื้อหุ้นจึงอาจจะค่อนข้างเสี่ยงมากยกเว้นว่าคุณจะมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้จริง ๆ
เช่นเดียวกัน ข่าวที่รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐจะมาช่วย อุ้ม บริษัทก็เป็น Story ที่มีพลังสูงในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงพอสมควรและขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือได้ของแหล่งข่าว
การปรับโครงสร้างกับเจ้าหนี้สำเร็จ เป็น Story สุดท้ายที่ผมจะพูดถึง และน่าจะเป็น Story ที่โดดเด่นพอสมควรเนื่องจากราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นมาก เพราะนักลงทุนจะมองว่าเป็นหุ้นที่จะ Turn Around แต่ก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ Story ที่มีความเสี่ยงสูง โอกาสขาดทุนก็มักมีมากโดยเฉพาะถ้าคุณเข้าไปซื้อหลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปสูงแล้วจากการเข้าไปซื้อของคนที่อยู่ วงใน จริง ๆ
wg ขาด story ดูพวกรับเหมาก่อสร้างหรือกลุ่มยานยนต์สิครับมี story ให้เล่นตลอด
หุ้นจะขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีใครอยากได้
เป็นคนเลว ในสายตาคนอื่น ดีกว่าโกหกตัวเอง ให้เทิดทูนบูชา ติดกับมายาคติ ที่กะลาครอบ
- edd
- Verified User
- โพสต์: 325
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 11
ในความเห็นผม กรณีหลังย่อมเป็นสิ่งที่ดีแน่ในแง่ของผลการวิเคราะห์ และความมั่นคงของ Port ในระยะยาว
แต่ผมก็คงยังต้องการประสพความสำเร็จอย่างกรณีแรกเหมือนกัน
เนื่องจาก PORT ยังเล็กอยู่มาก ถ้าลงทุนแล้วเป็นแบบหลังอย่างเดียว Port คงไม่ไปไหน
ผมเชื่อว่าก่อนที่ Port ของพี่ฉัตรชัยโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ พี่ฉัตรชัยก็คงผ่านกรณีแรกมาไม่มากก็น้อยครับ
แต่ผมก็คงยังต้องการประสพความสำเร็จอย่างกรณีแรกเหมือนกัน
เนื่องจาก PORT ยังเล็กอยู่มาก ถ้าลงทุนแล้วเป็นแบบหลังอย่างเดียว Port คงไม่ไปไหน
ผมเชื่อว่าก่อนที่ Port ของพี่ฉัตรชัยโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ พี่ฉัตรชัยก็คงผ่านกรณีแรกมาไม่มากก็น้อยครับ
- มือเก่าหัดขับ
- Verified User
- โพสต์: 1112
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 12
อย่างที่ ดร.นิเวศน์ บอกแหละครับ
ถ้าจะเก็งกำไร หรือเล่นหุ้น ต้องมี Story
พวกข่าวต่างๆ ที่ออกมาทำให้หุ้นพุ่งขึ้น พารายย่อยติดยอดดอย ก็เป็นกับหุ้นพวกนี้นั่นแหละ
ข่าวบางอย่าง มาจาก Story ยาววว เฟื้อยยย ก็มีครับ :lol:
ความเห็นส่วนตัว ก็ว่าน่าจะสำเร็จทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ซื้อนั้นตั้งใจให้มีผลอะไร
เหมือนกับการถ่ายภาพนั่นแหละ เราตั้งใจถ่ายให้ออกมาอย่างนี้ แล้วได้ภาพออกมาอย่างที่
ต้องการจริง อย่างนี้เรียกว่าสำเร็จ แม้ว่าคนอื่นอาจจะมองว่าไม่สวยก็ตาม (อาจจะต่างจากหุ้น
หน่อยหนึ่ง ที่ว่าใครก็อยากจะให้ซื้อแล้วได้กำไร )
ส่วนผม ผมเลือกแบบหุ้นที่บริษัทยืนยงคงกระพัน มีหนี้สินน้อย หรืออย่างน้อยต้องมีกำไรมากพอที่
จะ Cover ดอกเบี้ยได้หลายเท่า หักจากการลงทุนเพิ่มแล้วก็ยังจ่ายหนี้สินตั้งต้นได้อีกมาก
แบบนี้ผมชอบ ที่สำคัญคือต้องจ่ายปันผล อย่างน้อย 6-7% เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ผมถือว่า Capital
Gain นั้นเป็นของแถมครับ (แบบว่าทำตัวไม่โลภเข้าไว้ สบายใจดี ยามหุ้นขึ้น เราก็ดีใจ ว่าเออ
กิจการน่าจะโอเค เราคงวิเคราะห์ถูก - ไม่แน่เหมือนกันนะ บางกรณี - แต่หากหุ้นลง เราก็ถือว่า
เป็นโอกาสซื้อเพิ่ม ดังนั้น ผมจึงวิเคราะห์บริษัทอย่างถ้วนถี่ เอามากๆ แบบว่ากลัวเจ๊งน่ะ )
ถ้าจะนับไปแล้ว ผมกับพ่อ ก็ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจในระดับหนึ่งนะครับ
ถ้าจะเก็งกำไร หรือเล่นหุ้น ต้องมี Story
พวกข่าวต่างๆ ที่ออกมาทำให้หุ้นพุ่งขึ้น พารายย่อยติดยอดดอย ก็เป็นกับหุ้นพวกนี้นั่นแหละ
ข่าวบางอย่าง มาจาก Story ยาววว เฟื้อยยย ก็มีครับ :lol:
ความเห็นส่วนตัว ก็ว่าน่าจะสำเร็จทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ซื้อนั้นตั้งใจให้มีผลอะไร
เหมือนกับการถ่ายภาพนั่นแหละ เราตั้งใจถ่ายให้ออกมาอย่างนี้ แล้วได้ภาพออกมาอย่างที่
ต้องการจริง อย่างนี้เรียกว่าสำเร็จ แม้ว่าคนอื่นอาจจะมองว่าไม่สวยก็ตาม (อาจจะต่างจากหุ้น
หน่อยหนึ่ง ที่ว่าใครก็อยากจะให้ซื้อแล้วได้กำไร )
ส่วนผม ผมเลือกแบบหุ้นที่บริษัทยืนยงคงกระพัน มีหนี้สินน้อย หรืออย่างน้อยต้องมีกำไรมากพอที่
จะ Cover ดอกเบี้ยได้หลายเท่า หักจากการลงทุนเพิ่มแล้วก็ยังจ่ายหนี้สินตั้งต้นได้อีกมาก
แบบนี้ผมชอบ ที่สำคัญคือต้องจ่ายปันผล อย่างน้อย 6-7% เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ผมถือว่า Capital
Gain นั้นเป็นของแถมครับ (แบบว่าทำตัวไม่โลภเข้าไว้ สบายใจดี ยามหุ้นขึ้น เราก็ดีใจ ว่าเออ
กิจการน่าจะโอเค เราคงวิเคราะห์ถูก - ไม่แน่เหมือนกันนะ บางกรณี - แต่หากหุ้นลง เราก็ถือว่า
เป็นโอกาสซื้อเพิ่ม ดังนั้น ผมจึงวิเคราะห์บริษัทอย่างถ้วนถี่ เอามากๆ แบบว่ากลัวเจ๊งน่ะ )
ถ้าจะนับไปแล้ว ผมกับพ่อ ก็ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจในระดับหนึ่งนะครับ
คนอื่นเขาสะสมอย่างอื่น เราขอสะสมความดี, ความรู้, ประสบการณ์, เงินทอง, กับหุ้นก็แล้วกัน
http://www.muegao.blogspot.com หุ้น การเงิน การลงทุน ธุรกิจ
http://www.muegao.blogspot.com หุ้น การเงิน การลงทุน ธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 13
คุณ มน บอกผมว่า ลงทุนมันต้องดูระยะยาวๆ
wg ของพี่ฉัตรชัย ผมซื้อตามไปที่ราคา 30 ลงไป 28.75 ใจไม่ดี ราคาคนอื่นเค้าไปถึงไหน ตอนนี้ 33.25 ได้ประมาณ 10เปอร์เซ้นต์แล้ว ปันผลอีก 1.8-2บาท ถือว่าน่าพอใจแล้วครับ
พี่ฉัตรชัยผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ผมว่า พี่คงอยากมาเตือนรุ่นน้องๆ ในตลาดมากกว่าเรื่อง WG นะครับ
พลางพี่ฉัตรชัยก็สอนน้องว่า "คนเรามันเชี่ยวผิดกันโว้ย ไอ้ศร" หุหุหุ
wg ของพี่ฉัตรชัย ผมซื้อตามไปที่ราคา 30 ลงไป 28.75 ใจไม่ดี ราคาคนอื่นเค้าไปถึงไหน ตอนนี้ 33.25 ได้ประมาณ 10เปอร์เซ้นต์แล้ว ปันผลอีก 1.8-2บาท ถือว่าน่าพอใจแล้วครับ
พี่ฉัตรชัยผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ผมว่า พี่คงอยากมาเตือนรุ่นน้องๆ ในตลาดมากกว่าเรื่อง WG นะครับ
พลางพี่ฉัตรชัยก็สอนน้องว่า "คนเรามันเชี่ยวผิดกันโว้ย ไอ้ศร" หุหุหุ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1336
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 14
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ
สำหรับผม แบบที่ 1 ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการไม่เชื่อมั่นในความคิดของตนเองจนสุดโต่ง จึงได้มีการขายเพื่อลดความเสี่ยง
การที่ผลประกอบการไม่สดใสดังที่คาด อาจเกิดจากปัจจัยที่เราไม่คาดคิดก็เป็นได้
แบบที่ 2 ถึงแม้ บ. มีผลประกอบการดังคาด กลับไม่สามารถทำให้นักลงทุนสนใจได้ ผมถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ผมมีความเขื่อว่า บ. ที่มีผลประกอบการที่ดีโดดเด่นต่อเนื่องเพียง 4 ไตรมาสติดต่อกัน จะไม่มีวันถูกมองข้ามได้เลยครับ
อย่างไรก็ตามผมเห็นว่า การวัดผล และวิธีการลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่พึงพอใจแตกต่างกัน
Buffet มักซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นที่เลือกแล้วราคาตกต่ำลง เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของกิจการ
แต่ Sorros จะขายทิ้งเมื่อเห็นว่าตลาดไม่ตอบสนองสมมติฐานที่ตั้งไว้
แต่ Lynch มี 3 ความเห็น
1. อย่าไปรับมีด
2. เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้นคือ เมื่อผลประกอลการมันดีขึ้น แต่ราคากลับลดต่ำลง
3. ถ้ากิจการดีจริง ต่อให้หุ้นขึ้นมาแล้วหลายเท่าตัว ก็ต้องซื้อ (ท่านเคยซื้อ บ. รถยนต์แห่งหนึ่งหลังจากราคาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว และขายได้กำไรหลายเท่าเช่นกัน)
ถ้าใครมีหุ้นที่ผลประกอบการดีโตติดต่อกัน 4 ไตรมาส แต่ราคาไม่ขึ้นช่วยแจ้งผมด้วยครับ
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ยังมีความเห็นแตกต่างกันเลยครับ
สำหรับผม แบบที่ 1 ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการไม่เชื่อมั่นในความคิดของตนเองจนสุดโต่ง จึงได้มีการขายเพื่อลดความเสี่ยง
การที่ผลประกอบการไม่สดใสดังที่คาด อาจเกิดจากปัจจัยที่เราไม่คาดคิดก็เป็นได้
แบบที่ 2 ถึงแม้ บ. มีผลประกอบการดังคาด กลับไม่สามารถทำให้นักลงทุนสนใจได้ ผมถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ผมมีความเขื่อว่า บ. ที่มีผลประกอบการที่ดีโดดเด่นต่อเนื่องเพียง 4 ไตรมาสติดต่อกัน จะไม่มีวันถูกมองข้ามได้เลยครับ
อย่างไรก็ตามผมเห็นว่า การวัดผล และวิธีการลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่พึงพอใจแตกต่างกัน
Buffet มักซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นที่เลือกแล้วราคาตกต่ำลง เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของกิจการ
แต่ Sorros จะขายทิ้งเมื่อเห็นว่าตลาดไม่ตอบสนองสมมติฐานที่ตั้งไว้
แต่ Lynch มี 3 ความเห็น
1. อย่าไปรับมีด
2. เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้นคือ เมื่อผลประกอลการมันดีขึ้น แต่ราคากลับลดต่ำลง
3. ถ้ากิจการดีจริง ต่อให้หุ้นขึ้นมาแล้วหลายเท่าตัว ก็ต้องซื้อ (ท่านเคยซื้อ บ. รถยนต์แห่งหนึ่งหลังจากราคาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว และขายได้กำไรหลายเท่าเช่นกัน)
ถ้าใครมีหุ้นที่ผลประกอบการดีโตติดต่อกัน 4 ไตรมาส แต่ราคาไม่ขึ้นช่วยแจ้งผมด้วยครับ
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ยังมีความเห็นแตกต่างกันเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 16
กรณีแรก
ผมนึกย้อนไป
หลายครั้งผมทำอย่างนั้นได้
แต่ไม่มีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการลงทุนสักเท่าไหร่
กรณีสอง
ไม่เคยเจอ
กำไรโตขึ้น แต่ราคาไม่ไป
ถ้าเจอ คงต้องถือต่อไป
แต่ถ้าราคากลับลงเรื่อยๆ แสดงว่าเราคงซื้อแพงไป
หรือมีบางอย่างที่เราไม่รู้
กรณีนี้ผมก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน
กรณีที่ผมถือว่าประสบความสำเร็จในการลงทุนคือ
หุ้นที่ถือมานาน
กำไรก็โตไป capital gain ก็โตตาม
รับปันผลตลอดจนต้นทุนไม่มีแล้ว เป็นทรัพย์สินที่ดีไปอีกนาน
ส่งต่อให้ลูกหลานไป :lol:
ผมนึกย้อนไป
หลายครั้งผมทำอย่างนั้นได้
แต่ไม่มีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการลงทุนสักเท่าไหร่
กรณีสอง
ไม่เคยเจอ
กำไรโตขึ้น แต่ราคาไม่ไป
ถ้าเจอ คงต้องถือต่อไป
แต่ถ้าราคากลับลงเรื่อยๆ แสดงว่าเราคงซื้อแพงไป
หรือมีบางอย่างที่เราไม่รู้
กรณีนี้ผมก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน
กรณีที่ผมถือว่าประสบความสำเร็จในการลงทุนคือ
หุ้นที่ถือมานาน
กำไรก็โตไป capital gain ก็โตตาม
รับปันผลตลอดจนต้นทุนไม่มีแล้ว เป็นทรัพย์สินที่ดีไปอีกนาน
ส่งต่อให้ลูกหลานไป :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 18
:lol: :lol: :lol: :lol:
น้องพงศ์ว่า
เห็นด้วยครับ โดนใจจริงๆ
นี่ยิ่งเห็นด้วยเลยครับ และระหว่าง
สมมติฐานข้อที่ 1. ราคาไม่ขึ้นแล้วเราสรุปว่าคนไม่สนใจ กับ
ข้อ2. ราคาไม่ขึ้นเพราะอาจจะมีข้อเสียบางอย่าง
ผมเลือกข้อสองครับ
ถ้าเลือกข้อหนึ่งแปลว่าเรามั่นใจในตัวเองมากๆเลยนะครับ ซึ่งมีดีก็มีเสีย
ผมคิดว่า เส้นแบ่งระหว่างความมั่นใจสูงๆ กับ การปิดโอกาสสำหรับสิ่งใหม่ๆ บ่อยครั้งที่เส้นที่ว่ามันช่างเป็นเส้นที่บางเหลือเกิน
:lol: :lol: :lol: :lol:
น้องพงศ์ว่า
สำหรับผม แบบที่ 1 ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการไม่เชื่อมั่นในความคิดของตนเองจนสุดโต่ง จึงได้มีการขายเพื่อลดความเสี่ยง การที่ผลประกอบการไม่สดใสดังที่คาด อาจเกิดจากปัจจัยที่เราไม่คาดคิดก็เป็นได้
เห็นด้วยครับ โดนใจจริงๆ
แบบที่ 2 ถึงแม้ บ. มีผลประกอบการดังคาด กลับไม่สามารถทำให้นักลงทุนสนใจได้ ผมถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ผมมีความเขื่อว่า บ. ที่มีผลประกอบการที่ดีโดดเด่นต่อเนื่องเพียง 4 ไตรมาสติดต่อกัน จะไม่มีวันถูกมองข้ามได้เลยครับ
นี่ยิ่งเห็นด้วยเลยครับ และระหว่าง
สมมติฐานข้อที่ 1. ราคาไม่ขึ้นแล้วเราสรุปว่าคนไม่สนใจ กับ
ข้อ2. ราคาไม่ขึ้นเพราะอาจจะมีข้อเสียบางอย่าง
ผมเลือกข้อสองครับ
ถ้าเลือกข้อหนึ่งแปลว่าเรามั่นใจในตัวเองมากๆเลยนะครับ ซึ่งมีดีก็มีเสีย
ผมคิดว่า เส้นแบ่งระหว่างความมั่นใจสูงๆ กับ การปิดโอกาสสำหรับสิ่งใหม่ๆ บ่อยครั้งที่เส้นที่ว่ามันช่างเป็นเส้นที่บางเหลือเกิน
:lol: :lol: :lol: :lol:
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1336
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 19
ผมคิดว่ากลยุทธในการลงทุน จะสำเร็จได้ ต้องมีการวางแผน .....
การวางแผนที่ดี ต้องมีการปรับปรุง ....
การปรับปรุง จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการวัดผล
....
ดังนั้นวิธีการวัดผลจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
....
หากเราใช้นายตลาดผู้มีอารมณ์ แปรปรวน มาเป็นผู้วัดผล เราอาจได้รับคำเยินยอเมื่อกำลังยืนอยู่บนปากเหว หรือได้รับคำดูถูกเมื่อคิดเห็นแตกต่างจากคนทั่วไป
ผมอ่านข้อเขียนของพี่ Chatchai มานาน ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
.......
พี่สามัญชนครับ ขอแสดงความยินดีกับผลตอบแทนที่ได้รับครับ
.......
เพื่อนๆ วัดผลตัวเองกันอย่างไรบ้างครับ ....
ขอให้เป็นการวัดผลทีส่งเสริม สติ ปัญญานะครับ
การวางแผนที่ดี ต้องมีการปรับปรุง ....
การปรับปรุง จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการวัดผล
....
ดังนั้นวิธีการวัดผลจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
....
หากเราใช้นายตลาดผู้มีอารมณ์ แปรปรวน มาเป็นผู้วัดผล เราอาจได้รับคำเยินยอเมื่อกำลังยืนอยู่บนปากเหว หรือได้รับคำดูถูกเมื่อคิดเห็นแตกต่างจากคนทั่วไป
ผมอ่านข้อเขียนของพี่ Chatchai มานาน ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
.......
พี่สามัญชนครับ ขอแสดงความยินดีกับผลตอบแทนที่ได้รับครับ
.......
เพื่อนๆ วัดผลตัวเองกันอย่างไรบ้างครับ ....
ขอให้เป็นการวัดผลทีส่งเสริม สติ ปัญญานะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ความสำเร็จในการลงทุน
โพสต์ที่ 20
ได้อ่านความคิดเห็นของสมาชิก TVI แล้ว สมกับเป็น VI ครับ
จริงๆแล้ว กระทู้นี้คงไม่ใช่บ่น WG หรอกนะครับ
เพราะถึงแม้ WG จะไม่มี story อะไรเลย แต่ผมก็ได้ Capital Gain มากเพียงพอครับ
การเล่นหุ้นที่มี story นั่น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง story นั่น และบ่อยครั้งที่เวลา story นั่นเป็นจริง ราคาจะตกลงเพราะราคาหุ้นขึ้นมารับข่าวไปแล้ว หรือว่ายังคงสามารถขึ้นต่อไปได้
จริงๆแล้ว กระทู้นี้คงไม่ใช่บ่น WG หรอกนะครับ
เพราะถึงแม้ WG จะไม่มี story อะไรเลย แต่ผมก็ได้ Capital Gain มากเพียงพอครับ
การเล่นหุ้นที่มี story นั่น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง story นั่น และบ่อยครั้งที่เวลา story นั่นเป็นจริง ราคาจะตกลงเพราะราคาหุ้นขึ้นมารับข่าวไปแล้ว หรือว่ายังคงสามารถขึ้นต่อไปได้
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี