ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
-
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 1
ผมเข้าไปอ่านที่ Settrade.com พบหลายคนอ่านบทความของ อ.นิเวศน์แล้วเห็นขัดแย้งกัน จึงนำมาให้พวกเราได้อ่านกันบ้าง
หมายเหตุ: นี่เป็นความเห็นแย้งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยนะครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 14:59:22
ไม่เห็นด้วย ที่ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นธุรกิจที่ โตพรวดและไม่ยั่งยืน โปรดพิจารณา
- starbuck ( ร้านกาแฟ ) ตลาด ที่อเมริกาให้ p/e เกือบ 30 และโตต่อเนื่องมาหลายปีมากแล้ว เป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจน ไม่เห็นมีใครแข่งแล้วชนะเลย
- home builder ในอเมริกาเช่น kb home , toll brother และอีกมาก โตต่อเนื่องมาแล้วตั้งแต่ 1991 หลายบริษัทโตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 เท่าทั้งยอดขายและกำไร มี brand ที่ชัดเจน
- เป็ปซี่ ประเสริฐกว่าชาเขียวอย่างไร ในช่วงแรกๆ ก็มี cola หลายเจ้าเช่นกัน
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:09:44
ผมไม่เห็นด้วยกับ ดร. นิเวศน์เรื่อง supply ของ บ้านตอนนี้ เริ่มเท่ากับความต้องการแล้ว ให้พิจารณา ธุรกิจ รถยนต์ ซึ่งเป็น big ticket item เช่นกัน ในช่วงที่ยอดขายตกลงมากๆ เนื่องงจาก เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี จะมีสิ่งที่เรียกว่า pend up demand เกิดขึ้น หลังจากเศรษฐกิจฟื้น ความต้องการ จะสูงกว่า ความต้องการปกติ ช่วงเวลาหนึ่ง (อาจจะหลายปี) ก่อนที่ pend up demand จะหมดไป (ดูตัวเลขที่ chrysler ทำ ในช่วง 80-90)
ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า supply ของบ้านตอนนี้เท่ากับความต้องการแล้ว ดูจาก บริษัทที่มีชื่อเสียงดี มี brand ชัดเจน เปิดกี่โครงการก็หมดในเวลาอันสั้น บริษัทที่กะตีหัวแล้วหนี ก็ขายไม่ออกเป็นเรื่องธรรมดา ตัวเลข สภาพัฒน์ก็บอก 80000 หลัง ตอนนี้ยังไม่ถึง 40000 เลย
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:20:34
ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นโดยดู p/bv ธุรกิจที่มี roe สูงๆ จะมีกำไรมากกว่า ธุรกิจที่มี roe ต่ำๆ เมื่อมี bv เท่ากัน เช่น มีแม่ไก่สองตัว ตัวหนึ่ง ไข่เป็นทอง อีกตัว ไข่ธรรมดา ถ้า เอาแม่ไก่นี้ไป ฆ่าขายเนื้อ ได้ราคาเท่ากัน ( bv เท่ากัน ) ดร. จะให้ราคาแม่ไก่สองตัวนี้เท่ากันไหม
ถ้า ดร. มีเวลาอยากให้ไปอ่าน annual report ของ berkshire hathaway ที่ warren buffet เขียน ตอนที่ซื้อ sea candy
โดยคุณ คนโง่
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:27:13
เรื่องเงินปันผลก็เช่นกัน เชียร์เหลือเกินให้จ่ายปันผลเยอะๆ ถ้าเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวไม่มีทางขยายก็เห็นด้วย แต่ถ้าธุรกิจ กำลังโต roe เกิน 10 % ผู้บริหารมีความสามารถในการรักษา roe จ่ายปันผลหมด แล้วจะโตได้อย่างไร รู้ไหมตอนนี้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากเดือดร้อนมากเลย อยากขยาย ก็มีคนมาเซ้าซี้เรื่อง ปันผล
warren buffett 's Berkshire Hathaway ไม่เคยจ่ายปันผลเลย
อยากให้อ่านเรื่อง buffetology จะได้เข้าใจ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:36:33
ธุรกิจ รถยนต์ cyclical มากกว่า home builder เสียอีก ให้ไปดู งบ GE , chrysler , ford เทียบกับ toll brother , kb home
home builder โตประมาณ 20-30 % ทั้ง top และ bottom line มาสม่ำเสมอ ตลอด ตั้งแต่ 91 ไม่เห็นชื่อ อาจจะคิดว่าเป็น coke ก็ได้นะ
โดยคุณ Tik1234
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 17:10:56
I think we cannot compare P/E of new born market like Thailand(PE7) and China and other markets in Asia (exclude Japan) with P/E in Nikkei and DOWs.
P/E of Food Sector in SET can not be 30 likes Star Bucks
โดยคุณ คนผ่านมาอ่าน
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 23:09:49
ดร.ท่านก้อเพ้อเจ้อไปตามอารมณ์น่ะครับ เอาตลาดไทย ไปเทียบกับ ตลาดสหรัฐ
ทัศนคติ ของประชาชนต่อตลาดหลักทรัพย์มันต่างกันเห็นอยู่ชัดๆ ท่านเป็นคนพูดเรื่อง
ธรรมาภิบาล กับ value investor ในฝันของท่านที่จะให้เกิดในประเทศไทย ผมอ่านแล้ว
เฝือครับ ก้อท่านเองเป็นคนเขียนบอกเองว่า ธรรมาภิบาลของบริษัทฯ จดทะเบียนบ้านเรา
ได้เกรดอย่างมากก้อแค่ C อ่านแล้วขัดแย้งกันดีจัง ตามประสา ดร. คงกำลังหาทางไปสู่
นิพพานอยู่ ผมว่านะ เห็นจบ ด็อกเตอร์กันมาเกลื่อนเมือง ไม่เห็นมีใครนิพพานได้สักคน ยิ่งสูง
อีโก้ก้อสูงตามดีกรีที่ได้น่ะครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย1
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:39:03
กระทู้นี้ดูร้อนแรงดีนะครับ กับการเสนอความคิดเห็นเชิงขัดแย้ง
คุณปืด คุณสมควร คุณทุย คุณคนโง่ คุณสมชาย ลักษณะการพูดและความต่อเนื่องนี่
เหมือนเป็นคน คนเดียวกันพูดเลย แต่เอาเหอะครับ แย้งกันด้วยเหตุและผลก็ว่ากันไป
เหรียญเดียวยังมีสองด้านเลย
ในส่วนความเห็นของผม
ดร.นิเวศน์ แกเป็น Value Investor ชั้นนำของเมืองไทยอยู่แล้วคงไม่มีใครกล้า
ปฏิเสธความสำเร็จของแกได้นะครับ ดังนั้นเวลาแกมองก็มองกันไกลๆ มองกันหลายปี
5 ปี 10 ปี ก็ว่าไป ซึ่ง ถ้าพิจารณาจากบทความแล้ว ผมเห็นว่า
บ้าน - ธุรกิจ Real Estate คงจะบูมสุดก็คือ 2 ปีนี้เท่านั้นแหละครับ สังเกตุหลายๆ
โครงการเลยทีเดียว นำโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ตกแต่งกันใหม่ กำลังซื้อจริง ๆ ก็ไม่ได้
มากมายอย่างที่คิด หลายโครงการลงโฆษณากันเป็นปี ก็ยังขายเพื่อปิดโครงการยังไม่ได้
สักที โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ราคาก็ 2 ล้านขึ้นไป (โดยรวมเฉลี่ย 3 ล้านบาท) ราคาที่สูง
ขนาดนี้ต้องมีรายได้สูงพอสมควรที่จะตอบสนองตรงนี้ได้ และคนจำพวกนี้ต่างก็มีบ้าน
เป็นของตัวเองกันแล้วทั้งนั้น ยิ่งปีหน้ามาตราการลดหย่อนภาษีของรัฐหายไป ยิ่งแย่ครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย2
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:48:01
กาแฟ - ธุรกิจที่ฟันกำไรกันสูงมาก ลงทุนไม่เยอะนัก ผลตอบแทน การคืนทุน ในระยะเวลาสั้น
แต่คู่แข่งเยอะมาก จะเห็นได้ว่าเปิดกันดาษดื่น ที่สำคัญกาแฟไทยบางเจ้า ดันตั้งราคาขายซะ
ขาดแค่ 5 บาทก็เท่ากาแฟ STARBUCK ซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ค่าสร้าง
แบรนด์เหมือนของนอกสักหน่อย จากปัจจัยรอบ ๆ ด้าน ธุรกิจนี้ในความเห็นผม ถ้าไม่โดดเด่น
จริง ๆ ละก็ รอดยากครับ
ชาเขียว - อันนี้ตามสมัยนิยมนะครับ จะเห็นว่าเมืองไทยจะบ้าอะไรเป็นพัก ๆ ช่วงนี้ฮิตเรื่อง
สุขภาพ ชาเขียวเลยกลายมาเป็นตัวชูโรงของหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์กันทีเดียว การทำกำไรระยะสั้น
คงเป็นไปได้ด้วยดีครับ เพราะมีความนิยมจากผู้บริโภคอยู่ แต่ระยะยาวคงไม่ดีสักเท่าไหร่
ก็ถ้ามองกันสั้น ๆ บ้าน - กาแฟ - ชาเขียว คงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ถ้ามองกันยาว ๆ
ผมว่าต้องพิจารณากันดี ๆ แล้วล่ะครับ
ขอเป็นอีกหนึ่งความเห็นนะครับ
โดยคุณ มดง่าม
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 10:19:04
-ทุกความเห็นคือความเห็นส่วนตัวครับ ส่วนตัวมองว่าไม่ควรเป็นเหมือนการโต้วาที หาเหตุผลมาแย้งกัน ผมว่ารับทุกความเห็นและก็มีความเห็นเป็นส่วนตัวต่างหากไว้
-ถ้าความเห็นเหมือนกันหมดไม่มีการซื้อขายหุ้นหรอกครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:26:59
ผมไม่เห็นด้วย ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยวเป็นอะไรที่สั้นๆ
- starbuck โตมาเป็น 10 ปีแล้ว
- ชาเขียวในญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมมาเป็น ร้อยปีแล้ว ส่วนตัวผมเองรู้จักชาเขียวมาเกือบสิบปี ก็ยังไม่เสื่อมความนิยม
- home builder ในอเมริกาโตมาเป็นสิบปีแล้ว อย่างต่อเนื่อง
คุยกันด้วยตัวเลขดีกว่าครับ ใช้ความรู้สึกคงไม่เหมาะนัก
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:30:11
เคยมีคนทำสำรวจ ถามคนอเมริกาว่า คุณคิดว่าคุณสามารถทำ sandwich ได้อร่อยกว่า mcdonald ไหม เกิน 50 %บอกว่า เขาสามารถทำได้อร่อยกว่า แล้วทำไม mc donald โตมานับ สามสิบสี่สิบปีครับ เข้าใจว่าแรกๆ ที่เกิด ก็คงมีคนคิดแบบ dr. นิเวศน์เต็มไปหมด ว่าเป็นคงไม่นานหรอก แล้วเป็นไง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:33:22
-เรื่องของร้านหนังสือ ที่ ดร. คิดว่าเป็นอะไรสั้นๆ ขอให้ไปอ่าน annual report ปี ล่าสุด ที่ warren buffet เขียน เกี่ยวกับ amazon และ buffet ซื้อ หุ้นกู้ของ amazon
- ล่าสุด warren buffet ซื้อ home builder ที่ชื่อ clayton home ที่ p/e 15 ครับ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:38:49
ใครรู้บ้างว่า มาม่า ที่เชียร์กันนักหนา กำลังเผชิญปัญหาหนัก
1. ต้นทุนการผลิต ผันผวนตามราคา ข้าวสาลี และ น้ำมันพืช ดูจาก gross margin ย้อนหลัง หลายๆ ปี ผันผวนมาก
2. การขึ้นราคา ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ลองขึ้นตอนนี้ดูสิ เสียส่วนแบ่งการตลาดแน่นอน
3. asset turnover ตกมาตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:43:19
ผมเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป โดยไม่สนว่าจะเป็น มาม่า ไวไว หรือ ยำยำ อะไรก็ได้รสชาติ เหมือนๆ กัน
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 16:15:30
ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป
และต้องเป็น มาม่า หมูสับเท่านั้น
อย่างอื่นลองมาหมดแล้ว ไม่ถูกคอผมเลยครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:02:17
เขาพูดถึงมาม่า มาตั้งนานแล้ว และก็รวยกันหมดแล้ว
คุณทุย ทุยสมชื่อจริงๆ
ไม่เชื่อเขาก็ไม่ต้องเชื่อ ผลตอบแทนจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:59:29
แล้วจะคอยดู เห็น งบไตรมาสหนึ่งแล้วยัง กำไรโตสมใจไหม และราคาน้ำมันพืชก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลง ราคาข้าวก็เพิ่มเอาเพิ่มเอา ไตรมาสต่อไปก็คงกำไรดีอีกแน่ ยอดขายก็คงโตมโหฬารในระดับ 0 % ต่อไปเป็นปีที่ห้า gross margin ปีนี้ก็คงต่ำกว่า 20 % ขอให้ถือให้มั่นคงนะครับ จะได้รวยสมใจ
ใช่ผมมันไม่ฉลาด เขาให้เชื่อก็ไม่เชื่อ ถึงแม้เพื่อนจะกินหญ้าก็ตาม กลัวว่าจะรวยเกินหน้าเกินตา คุณถึก
อยากฉลาดแบบคุณถึกจัง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:01:44
ข้าวแกงข้างบ้านอร่อยกว่าตั้งเยอะ มีประโยชน์ด้วย ( โทษทีเล่นหุ้นแล้วมีกำไรเลยมีเงินซื้อข้าวแกงกิน ไม่ต้องกินมาม่า )
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:20:04
ผมเชื่อว่า TF , HTC , SSC , WACOAL จะทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าหุ้นชั้นนำกลุ่มอสังหา อย่าง LH , AP , supali หรือ หุ้นในกลุ่มอาหาร อย่าง s&p (มีกาแฟ blue cup) หรือ ชาเขียวอย่าง TIPCO , MALEE ในปีต่อๆ ไปนี้ แล้วจะได้รู้กันว่า กาแฟ( เสียดาย nescafe ยังไม่เข้าตลาด ) , ชาเขียว , บ้านเดี่ยว ไม่ใช่ อะไรที่มาไวไปไวอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:32:18
ผมมีความเข้าใจเกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างหนึ่งไม่รู้ถูกหรือเปล่า คนที่กิน มักจะไม่ค่อยมีตังค์กินข้าว เช่นนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ และ ทางบ้านค่อนข้างยากจน หรือไม่ก็คนที่รายได้น้อย ทีนี้ถ้าเศรษฐกิจฟื้นแบบ ทั่วถึง คือ พืชผลทางการเกษตรราคาดี การค้าการขายคล่อง คน ก็จะมีเงินมากินอะไรที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องกิน บะหมี่เพื่อพอให้อิ่มไปวันๆ ก็จะหมดไป ยอดขาย มาม่าในปีที่แล้วจึงตกลง รวมถึง ไตรมาสแรกที่ผ่านมา และ อนาคตก็จะตก ลง ด้วย ตลาดที่จะมีศักยภาพ ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะเป็นพวก ประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่าง พม่า ลาว เขมร อะไรทำนองเนี้ย
โดยคุณ นักศึกษาแดนใต้
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:54:07
พูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว ผมจะกินก็ตอนหาอะไรกินไม่ได้จริง ๆ หรือไม่ก็ไม่มีตังค์จริง
หรือไม่ก็น้ำท่วมครับ
ถ้าไม่ขาดแคลนจริงๆก็ไม่กินหรอกครับ
โดยคุณ genie
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 20:36:36
ในความคิดส่วนตัวของผม ผมคิดว่าการที่คุณปืดยกตัวอย่างเช่นstarbuckกับสิ่งที่อ. เอ่ยถึงมันค่อนข้างคนละประเด็นอยู่ซักหน่อย เพราะประเด็นที่คุณปืดพูดถึงเป็นมุมมองเชิงจุลภาคคือเรายกโมเดลที่ประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่ผมอ่านบทความของอ. ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่อ. พูดถึงคือเรื่องเชิงมหภาค ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ตอนที่aramazonบูม หรือyahooบูม ณ ช่วงเวลานั้นต่างมี webที่ขายหนังสือ หรือsearch engineตามมามากมาย แต่สุดท้ายที่คงเหลือก็คือผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่ราย อีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวขึ้นอีกนิด "ชาไข่มุก" ถ้าคุณๆจำกันได้ก่อนหน้านี้มีสารพัดเจ้า แล้วปัจจุบันเหลือกี่เจ้าครับ แม้แต่สาโท ที่รัฐสนับสนุนจากหลายร้อยเจ้าปัจจุบันก็จะเหลือเพียง2-3เจ้าเท่านั้น ซึ่งผมว่าสิ่งนี้แหละครับที่อ. กำลังบอก มันคือวัฐจักรและธรรมชาติของธุรกิจครับ
โดยคุณ pooh
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 00:37:58
แต่ชาเขียวอร่อยดีนะ บะหมี่สำเร็จรูปก็อร่อย แม้ว่าผมจะมีปัญญาซื้อไวน์แพงๆ และกินภัตตาคารทุกมื้อได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ผมก็ยังชอบกินนะครับ พูดแล้วหิวไปกินดีก่า
โดยคุณ มดง่าม
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 07:51:10
ขอเสริมคุณgenieอีกนิดครับ ผมอ่านบทความของดร.นิเวศน์แล้ว เป็นการมองภาพรวมของธุรกิจ เมื่อผลตอบแทนสูงก็มีคนเข้ามามาก ส่วนกระทู้ก็แย้งโดยอ้างชื่อยี่ห้อเป็นเหตุการณืที่จะตามมา เมื่อมีผุ้เข้ามาเล่นมาก ผู้ที่สร้างชื่อยี่ห้อ แล้วลูกค้าจงรักภักดีนั่นคือผู้ที่อยู่รอดภายหลัง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:32:31
ผมขอเสนออีกภาพ ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับ ดร.
ธุรกิจ อสังหา บ้านเรา ผ่าน consolidation มาแล้ว อย่างหนักเสียด้วย ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ผู้ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็นพวกที่ มีศักยภาพ และมี brand จึงไม่ถูกนัก ถ้าจะเหมารวมว่า ในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่มาไวไปไว แน่นอนจะเกิดฟองสบู่ได้อีก ถ้า นายแบงค์ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ มากู้ไปสร้างโครงการโดยไม่คำนึงถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ
สถานะการ อสังหาบ้านเราตอนนี้ไม่ต่างจาก สหรัฐ หลัง consolidation ปี 1991 คือเหลือรายใหญ่ที่มีศักยภาพไม่กี่ราย (oligopoly) และมี niche รายย่อย อีกมาก บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ก็จะโตได้อย่างต่อเนื่อง เป็น ธุรกิจที่ mature มี barrier to entry
ธุรกิจทุกธุรกิจ ในช่วงเริ่มต้น การแข่งขันรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา ช่วง ต้น 1900 มีบริษัทรถยนต์ เป็น พัน บริษัท ตอนนี้ เหลือ ไม่กี่บริษัท ดังนั้นการที่จะ ระบุว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง และ ธุรกิจเหล่านี้ ก็ไม่ได้อยู่ในภาวะเริ่มต้นอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:38:02
ธุรกิจ บ้านเดี่ยวตอนนี้เป็น oligopoly ครับ บ้านไม่มีคุณภาพไม่มี brand คนซื้อ เขาไม่กล้าซื้อแล้วครับ
ธุรกิจ กาแฟบ้านเรา ก็ไม่ได้ fragmented มีรายใหญ่ครองตลาด อาจจะหลายเจ้าหน่อย
ชาเขียวค่อนข้างจะเริ่มต้น แต่ก็เริ่มมีรายใหญ่ปรากฎขึ้น ผมเชื่อว่าไม่ใช่ fad แน่นอน
สงสัยจัง ดร. มีอคติอะไรกับ ธุรกิจนี้หรือเปล่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:41:26
การ consolidation ในธุรกิจบ้าน ที่ผ่านมา ผมกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้รายใหญ่ยิ่งใหญ่และมั่นคงขึ้น (สังเกตุได้จาก ส่วนแบ่งการตลาด land and house เพิ่มจากไม่ถึง 10 % ก่อน วิกฤต เป็น กว่า 30 % ) นี่เป็นโอกาสในกาสซื้อธุรกิจที่ดีในราคาถูก ต่างหาก
พวกรายเล็กรายน้อยที่ไม่มีความสามารถ กะตีหัวแล้วหนี ไม่มีใครกล้าซื้อแล้วครับ และจะเกิดยากมาก
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:43:01
land and house ควรได้ p/e ไม่ต่ำกว่า 20 ไม่ใช่ ไม่ถึง 10 อย่างที่ ดร. กำลังพยายามชี้นำ
โดยคุณ genie
genie_agy
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 11:07:36
เรียนคุณปืด ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ปฏิเสธความคิดเห็นของคุณ แต่ในมุมมองของผมบทความของ อ. เป็นเสมือนสัญญาณเตือนก็เท่านั้น เพราะภายใต้การเติบโตที่รุนแรง panicก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นการเลือกลงทุนก็ควรที่จะให้ความใส่ใจเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนอีกหลายท่านที่คิดในเชิงเหมารวม ฉะนั้นหากไม่มีสิ่งที่มาเบรคหรือกระตุ้นให้หยุดคิดน่าจะเป็นสิ่งที่แย่กว่านะครับ
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 13:26:25
ขอชูจักกะแร้ เชียร์ คุณ genie สักหนึ่งเสียง ครับ
โดยคุณ ไม่ลงชื่อกลัวโดนด่า
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 17:56:44
เหม็นเต่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:22:27
ถ้ามีเจตนา บริสุทธิ์ก็ เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ยังสงสัยในการพยายามชี้นำว่า VI ไม่ควรลงทุนใน หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:32:58
อยากให้ ดร. เตือน หุ้นอย่าง wacoal ด้วยว่า แพงไป แล้ว ขึ้นอย่างไร้เหตุผล p/e ตั้ง 11 กำไรไม่โตมา ห้าปีแล้ว ธุรกิจบริษัทแม่ที่ list อเมริกายิ่งแย่หนัก แทบไม่มีกำไร ราคาก็ตกเอาตกเอา จนถูกถอดจาก russell 2000 แล้ว
หมายเหตุ: นี่เป็นความเห็นแย้งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยนะครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 14:59:22
ไม่เห็นด้วย ที่ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นธุรกิจที่ โตพรวดและไม่ยั่งยืน โปรดพิจารณา
- starbuck ( ร้านกาแฟ ) ตลาด ที่อเมริกาให้ p/e เกือบ 30 และโตต่อเนื่องมาหลายปีมากแล้ว เป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจน ไม่เห็นมีใครแข่งแล้วชนะเลย
- home builder ในอเมริกาเช่น kb home , toll brother และอีกมาก โตต่อเนื่องมาแล้วตั้งแต่ 1991 หลายบริษัทโตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 เท่าทั้งยอดขายและกำไร มี brand ที่ชัดเจน
- เป็ปซี่ ประเสริฐกว่าชาเขียวอย่างไร ในช่วงแรกๆ ก็มี cola หลายเจ้าเช่นกัน
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:09:44
ผมไม่เห็นด้วยกับ ดร. นิเวศน์เรื่อง supply ของ บ้านตอนนี้ เริ่มเท่ากับความต้องการแล้ว ให้พิจารณา ธุรกิจ รถยนต์ ซึ่งเป็น big ticket item เช่นกัน ในช่วงที่ยอดขายตกลงมากๆ เนื่องงจาก เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี จะมีสิ่งที่เรียกว่า pend up demand เกิดขึ้น หลังจากเศรษฐกิจฟื้น ความต้องการ จะสูงกว่า ความต้องการปกติ ช่วงเวลาหนึ่ง (อาจจะหลายปี) ก่อนที่ pend up demand จะหมดไป (ดูตัวเลขที่ chrysler ทำ ในช่วง 80-90)
ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า supply ของบ้านตอนนี้เท่ากับความต้องการแล้ว ดูจาก บริษัทที่มีชื่อเสียงดี มี brand ชัดเจน เปิดกี่โครงการก็หมดในเวลาอันสั้น บริษัทที่กะตีหัวแล้วหนี ก็ขายไม่ออกเป็นเรื่องธรรมดา ตัวเลข สภาพัฒน์ก็บอก 80000 หลัง ตอนนี้ยังไม่ถึง 40000 เลย
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:20:34
ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นโดยดู p/bv ธุรกิจที่มี roe สูงๆ จะมีกำไรมากกว่า ธุรกิจที่มี roe ต่ำๆ เมื่อมี bv เท่ากัน เช่น มีแม่ไก่สองตัว ตัวหนึ่ง ไข่เป็นทอง อีกตัว ไข่ธรรมดา ถ้า เอาแม่ไก่นี้ไป ฆ่าขายเนื้อ ได้ราคาเท่ากัน ( bv เท่ากัน ) ดร. จะให้ราคาแม่ไก่สองตัวนี้เท่ากันไหม
ถ้า ดร. มีเวลาอยากให้ไปอ่าน annual report ของ berkshire hathaway ที่ warren buffet เขียน ตอนที่ซื้อ sea candy
โดยคุณ คนโง่
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:27:13
เรื่องเงินปันผลก็เช่นกัน เชียร์เหลือเกินให้จ่ายปันผลเยอะๆ ถ้าเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวไม่มีทางขยายก็เห็นด้วย แต่ถ้าธุรกิจ กำลังโต roe เกิน 10 % ผู้บริหารมีความสามารถในการรักษา roe จ่ายปันผลหมด แล้วจะโตได้อย่างไร รู้ไหมตอนนี้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากเดือดร้อนมากเลย อยากขยาย ก็มีคนมาเซ้าซี้เรื่อง ปันผล
warren buffett 's Berkshire Hathaway ไม่เคยจ่ายปันผลเลย
อยากให้อ่านเรื่อง buffetology จะได้เข้าใจ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:36:33
ธุรกิจ รถยนต์ cyclical มากกว่า home builder เสียอีก ให้ไปดู งบ GE , chrysler , ford เทียบกับ toll brother , kb home
home builder โตประมาณ 20-30 % ทั้ง top และ bottom line มาสม่ำเสมอ ตลอด ตั้งแต่ 91 ไม่เห็นชื่อ อาจจะคิดว่าเป็น coke ก็ได้นะ
โดยคุณ Tik1234
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 17:10:56
I think we cannot compare P/E of new born market like Thailand(PE7) and China and other markets in Asia (exclude Japan) with P/E in Nikkei and DOWs.
P/E of Food Sector in SET can not be 30 likes Star Bucks
โดยคุณ คนผ่านมาอ่าน
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 23:09:49
ดร.ท่านก้อเพ้อเจ้อไปตามอารมณ์น่ะครับ เอาตลาดไทย ไปเทียบกับ ตลาดสหรัฐ
ทัศนคติ ของประชาชนต่อตลาดหลักทรัพย์มันต่างกันเห็นอยู่ชัดๆ ท่านเป็นคนพูดเรื่อง
ธรรมาภิบาล กับ value investor ในฝันของท่านที่จะให้เกิดในประเทศไทย ผมอ่านแล้ว
เฝือครับ ก้อท่านเองเป็นคนเขียนบอกเองว่า ธรรมาภิบาลของบริษัทฯ จดทะเบียนบ้านเรา
ได้เกรดอย่างมากก้อแค่ C อ่านแล้วขัดแย้งกันดีจัง ตามประสา ดร. คงกำลังหาทางไปสู่
นิพพานอยู่ ผมว่านะ เห็นจบ ด็อกเตอร์กันมาเกลื่อนเมือง ไม่เห็นมีใครนิพพานได้สักคน ยิ่งสูง
อีโก้ก้อสูงตามดีกรีที่ได้น่ะครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย1
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:39:03
กระทู้นี้ดูร้อนแรงดีนะครับ กับการเสนอความคิดเห็นเชิงขัดแย้ง
คุณปืด คุณสมควร คุณทุย คุณคนโง่ คุณสมชาย ลักษณะการพูดและความต่อเนื่องนี่
เหมือนเป็นคน คนเดียวกันพูดเลย แต่เอาเหอะครับ แย้งกันด้วยเหตุและผลก็ว่ากันไป
เหรียญเดียวยังมีสองด้านเลย
ในส่วนความเห็นของผม
ดร.นิเวศน์ แกเป็น Value Investor ชั้นนำของเมืองไทยอยู่แล้วคงไม่มีใครกล้า
ปฏิเสธความสำเร็จของแกได้นะครับ ดังนั้นเวลาแกมองก็มองกันไกลๆ มองกันหลายปี
5 ปี 10 ปี ก็ว่าไป ซึ่ง ถ้าพิจารณาจากบทความแล้ว ผมเห็นว่า
บ้าน - ธุรกิจ Real Estate คงจะบูมสุดก็คือ 2 ปีนี้เท่านั้นแหละครับ สังเกตุหลายๆ
โครงการเลยทีเดียว นำโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ตกแต่งกันใหม่ กำลังซื้อจริง ๆ ก็ไม่ได้
มากมายอย่างที่คิด หลายโครงการลงโฆษณากันเป็นปี ก็ยังขายเพื่อปิดโครงการยังไม่ได้
สักที โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ราคาก็ 2 ล้านขึ้นไป (โดยรวมเฉลี่ย 3 ล้านบาท) ราคาที่สูง
ขนาดนี้ต้องมีรายได้สูงพอสมควรที่จะตอบสนองตรงนี้ได้ และคนจำพวกนี้ต่างก็มีบ้าน
เป็นของตัวเองกันแล้วทั้งนั้น ยิ่งปีหน้ามาตราการลดหย่อนภาษีของรัฐหายไป ยิ่งแย่ครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย2
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:48:01
กาแฟ - ธุรกิจที่ฟันกำไรกันสูงมาก ลงทุนไม่เยอะนัก ผลตอบแทน การคืนทุน ในระยะเวลาสั้น
แต่คู่แข่งเยอะมาก จะเห็นได้ว่าเปิดกันดาษดื่น ที่สำคัญกาแฟไทยบางเจ้า ดันตั้งราคาขายซะ
ขาดแค่ 5 บาทก็เท่ากาแฟ STARBUCK ซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ค่าสร้าง
แบรนด์เหมือนของนอกสักหน่อย จากปัจจัยรอบ ๆ ด้าน ธุรกิจนี้ในความเห็นผม ถ้าไม่โดดเด่น
จริง ๆ ละก็ รอดยากครับ
ชาเขียว - อันนี้ตามสมัยนิยมนะครับ จะเห็นว่าเมืองไทยจะบ้าอะไรเป็นพัก ๆ ช่วงนี้ฮิตเรื่อง
สุขภาพ ชาเขียวเลยกลายมาเป็นตัวชูโรงของหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์กันทีเดียว การทำกำไรระยะสั้น
คงเป็นไปได้ด้วยดีครับ เพราะมีความนิยมจากผู้บริโภคอยู่ แต่ระยะยาวคงไม่ดีสักเท่าไหร่
ก็ถ้ามองกันสั้น ๆ บ้าน - กาแฟ - ชาเขียว คงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ถ้ามองกันยาว ๆ
ผมว่าต้องพิจารณากันดี ๆ แล้วล่ะครับ
ขอเป็นอีกหนึ่งความเห็นนะครับ
โดยคุณ มดง่าม
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 10:19:04
-ทุกความเห็นคือความเห็นส่วนตัวครับ ส่วนตัวมองว่าไม่ควรเป็นเหมือนการโต้วาที หาเหตุผลมาแย้งกัน ผมว่ารับทุกความเห็นและก็มีความเห็นเป็นส่วนตัวต่างหากไว้
-ถ้าความเห็นเหมือนกันหมดไม่มีการซื้อขายหุ้นหรอกครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:26:59
ผมไม่เห็นด้วย ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยวเป็นอะไรที่สั้นๆ
- starbuck โตมาเป็น 10 ปีแล้ว
- ชาเขียวในญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมมาเป็น ร้อยปีแล้ว ส่วนตัวผมเองรู้จักชาเขียวมาเกือบสิบปี ก็ยังไม่เสื่อมความนิยม
- home builder ในอเมริกาโตมาเป็นสิบปีแล้ว อย่างต่อเนื่อง
คุยกันด้วยตัวเลขดีกว่าครับ ใช้ความรู้สึกคงไม่เหมาะนัก
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:30:11
เคยมีคนทำสำรวจ ถามคนอเมริกาว่า คุณคิดว่าคุณสามารถทำ sandwich ได้อร่อยกว่า mcdonald ไหม เกิน 50 %บอกว่า เขาสามารถทำได้อร่อยกว่า แล้วทำไม mc donald โตมานับ สามสิบสี่สิบปีครับ เข้าใจว่าแรกๆ ที่เกิด ก็คงมีคนคิดแบบ dr. นิเวศน์เต็มไปหมด ว่าเป็นคงไม่นานหรอก แล้วเป็นไง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:33:22
-เรื่องของร้านหนังสือ ที่ ดร. คิดว่าเป็นอะไรสั้นๆ ขอให้ไปอ่าน annual report ปี ล่าสุด ที่ warren buffet เขียน เกี่ยวกับ amazon และ buffet ซื้อ หุ้นกู้ของ amazon
- ล่าสุด warren buffet ซื้อ home builder ที่ชื่อ clayton home ที่ p/e 15 ครับ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:38:49
ใครรู้บ้างว่า มาม่า ที่เชียร์กันนักหนา กำลังเผชิญปัญหาหนัก
1. ต้นทุนการผลิต ผันผวนตามราคา ข้าวสาลี และ น้ำมันพืช ดูจาก gross margin ย้อนหลัง หลายๆ ปี ผันผวนมาก
2. การขึ้นราคา ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ลองขึ้นตอนนี้ดูสิ เสียส่วนแบ่งการตลาดแน่นอน
3. asset turnover ตกมาตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:43:19
ผมเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป โดยไม่สนว่าจะเป็น มาม่า ไวไว หรือ ยำยำ อะไรก็ได้รสชาติ เหมือนๆ กัน
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 16:15:30
ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป
และต้องเป็น มาม่า หมูสับเท่านั้น
อย่างอื่นลองมาหมดแล้ว ไม่ถูกคอผมเลยครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:02:17
เขาพูดถึงมาม่า มาตั้งนานแล้ว และก็รวยกันหมดแล้ว
คุณทุย ทุยสมชื่อจริงๆ
ไม่เชื่อเขาก็ไม่ต้องเชื่อ ผลตอบแทนจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:59:29
แล้วจะคอยดู เห็น งบไตรมาสหนึ่งแล้วยัง กำไรโตสมใจไหม และราคาน้ำมันพืชก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลง ราคาข้าวก็เพิ่มเอาเพิ่มเอา ไตรมาสต่อไปก็คงกำไรดีอีกแน่ ยอดขายก็คงโตมโหฬารในระดับ 0 % ต่อไปเป็นปีที่ห้า gross margin ปีนี้ก็คงต่ำกว่า 20 % ขอให้ถือให้มั่นคงนะครับ จะได้รวยสมใจ
ใช่ผมมันไม่ฉลาด เขาให้เชื่อก็ไม่เชื่อ ถึงแม้เพื่อนจะกินหญ้าก็ตาม กลัวว่าจะรวยเกินหน้าเกินตา คุณถึก
อยากฉลาดแบบคุณถึกจัง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:01:44
ข้าวแกงข้างบ้านอร่อยกว่าตั้งเยอะ มีประโยชน์ด้วย ( โทษทีเล่นหุ้นแล้วมีกำไรเลยมีเงินซื้อข้าวแกงกิน ไม่ต้องกินมาม่า )
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:20:04
ผมเชื่อว่า TF , HTC , SSC , WACOAL จะทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าหุ้นชั้นนำกลุ่มอสังหา อย่าง LH , AP , supali หรือ หุ้นในกลุ่มอาหาร อย่าง s&p (มีกาแฟ blue cup) หรือ ชาเขียวอย่าง TIPCO , MALEE ในปีต่อๆ ไปนี้ แล้วจะได้รู้กันว่า กาแฟ( เสียดาย nescafe ยังไม่เข้าตลาด ) , ชาเขียว , บ้านเดี่ยว ไม่ใช่ อะไรที่มาไวไปไวอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:32:18
ผมมีความเข้าใจเกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างหนึ่งไม่รู้ถูกหรือเปล่า คนที่กิน มักจะไม่ค่อยมีตังค์กินข้าว เช่นนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ และ ทางบ้านค่อนข้างยากจน หรือไม่ก็คนที่รายได้น้อย ทีนี้ถ้าเศรษฐกิจฟื้นแบบ ทั่วถึง คือ พืชผลทางการเกษตรราคาดี การค้าการขายคล่อง คน ก็จะมีเงินมากินอะไรที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องกิน บะหมี่เพื่อพอให้อิ่มไปวันๆ ก็จะหมดไป ยอดขาย มาม่าในปีที่แล้วจึงตกลง รวมถึง ไตรมาสแรกที่ผ่านมา และ อนาคตก็จะตก ลง ด้วย ตลาดที่จะมีศักยภาพ ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะเป็นพวก ประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่าง พม่า ลาว เขมร อะไรทำนองเนี้ย
โดยคุณ นักศึกษาแดนใต้
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:54:07
พูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว ผมจะกินก็ตอนหาอะไรกินไม่ได้จริง ๆ หรือไม่ก็ไม่มีตังค์จริง
หรือไม่ก็น้ำท่วมครับ
ถ้าไม่ขาดแคลนจริงๆก็ไม่กินหรอกครับ
โดยคุณ genie
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 20:36:36
ในความคิดส่วนตัวของผม ผมคิดว่าการที่คุณปืดยกตัวอย่างเช่นstarbuckกับสิ่งที่อ. เอ่ยถึงมันค่อนข้างคนละประเด็นอยู่ซักหน่อย เพราะประเด็นที่คุณปืดพูดถึงเป็นมุมมองเชิงจุลภาคคือเรายกโมเดลที่ประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่ผมอ่านบทความของอ. ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่อ. พูดถึงคือเรื่องเชิงมหภาค ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ตอนที่aramazonบูม หรือyahooบูม ณ ช่วงเวลานั้นต่างมี webที่ขายหนังสือ หรือsearch engineตามมามากมาย แต่สุดท้ายที่คงเหลือก็คือผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่ราย อีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวขึ้นอีกนิด "ชาไข่มุก" ถ้าคุณๆจำกันได้ก่อนหน้านี้มีสารพัดเจ้า แล้วปัจจุบันเหลือกี่เจ้าครับ แม้แต่สาโท ที่รัฐสนับสนุนจากหลายร้อยเจ้าปัจจุบันก็จะเหลือเพียง2-3เจ้าเท่านั้น ซึ่งผมว่าสิ่งนี้แหละครับที่อ. กำลังบอก มันคือวัฐจักรและธรรมชาติของธุรกิจครับ
โดยคุณ pooh
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 00:37:58
แต่ชาเขียวอร่อยดีนะ บะหมี่สำเร็จรูปก็อร่อย แม้ว่าผมจะมีปัญญาซื้อไวน์แพงๆ และกินภัตตาคารทุกมื้อได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ผมก็ยังชอบกินนะครับ พูดแล้วหิวไปกินดีก่า
โดยคุณ มดง่าม
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 07:51:10
ขอเสริมคุณgenieอีกนิดครับ ผมอ่านบทความของดร.นิเวศน์แล้ว เป็นการมองภาพรวมของธุรกิจ เมื่อผลตอบแทนสูงก็มีคนเข้ามามาก ส่วนกระทู้ก็แย้งโดยอ้างชื่อยี่ห้อเป็นเหตุการณืที่จะตามมา เมื่อมีผุ้เข้ามาเล่นมาก ผู้ที่สร้างชื่อยี่ห้อ แล้วลูกค้าจงรักภักดีนั่นคือผู้ที่อยู่รอดภายหลัง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:32:31
ผมขอเสนออีกภาพ ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับ ดร.
ธุรกิจ อสังหา บ้านเรา ผ่าน consolidation มาแล้ว อย่างหนักเสียด้วย ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ผู้ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็นพวกที่ มีศักยภาพ และมี brand จึงไม่ถูกนัก ถ้าจะเหมารวมว่า ในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่มาไวไปไว แน่นอนจะเกิดฟองสบู่ได้อีก ถ้า นายแบงค์ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ มากู้ไปสร้างโครงการโดยไม่คำนึงถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ
สถานะการ อสังหาบ้านเราตอนนี้ไม่ต่างจาก สหรัฐ หลัง consolidation ปี 1991 คือเหลือรายใหญ่ที่มีศักยภาพไม่กี่ราย (oligopoly) และมี niche รายย่อย อีกมาก บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ก็จะโตได้อย่างต่อเนื่อง เป็น ธุรกิจที่ mature มี barrier to entry
ธุรกิจทุกธุรกิจ ในช่วงเริ่มต้น การแข่งขันรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา ช่วง ต้น 1900 มีบริษัทรถยนต์ เป็น พัน บริษัท ตอนนี้ เหลือ ไม่กี่บริษัท ดังนั้นการที่จะ ระบุว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง และ ธุรกิจเหล่านี้ ก็ไม่ได้อยู่ในภาวะเริ่มต้นอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:38:02
ธุรกิจ บ้านเดี่ยวตอนนี้เป็น oligopoly ครับ บ้านไม่มีคุณภาพไม่มี brand คนซื้อ เขาไม่กล้าซื้อแล้วครับ
ธุรกิจ กาแฟบ้านเรา ก็ไม่ได้ fragmented มีรายใหญ่ครองตลาด อาจจะหลายเจ้าหน่อย
ชาเขียวค่อนข้างจะเริ่มต้น แต่ก็เริ่มมีรายใหญ่ปรากฎขึ้น ผมเชื่อว่าไม่ใช่ fad แน่นอน
สงสัยจัง ดร. มีอคติอะไรกับ ธุรกิจนี้หรือเปล่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:41:26
การ consolidation ในธุรกิจบ้าน ที่ผ่านมา ผมกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้รายใหญ่ยิ่งใหญ่และมั่นคงขึ้น (สังเกตุได้จาก ส่วนแบ่งการตลาด land and house เพิ่มจากไม่ถึง 10 % ก่อน วิกฤต เป็น กว่า 30 % ) นี่เป็นโอกาสในกาสซื้อธุรกิจที่ดีในราคาถูก ต่างหาก
พวกรายเล็กรายน้อยที่ไม่มีความสามารถ กะตีหัวแล้วหนี ไม่มีใครกล้าซื้อแล้วครับ และจะเกิดยากมาก
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:43:01
land and house ควรได้ p/e ไม่ต่ำกว่า 20 ไม่ใช่ ไม่ถึง 10 อย่างที่ ดร. กำลังพยายามชี้นำ
โดยคุณ genie
genie_agy
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 11:07:36
เรียนคุณปืด ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ปฏิเสธความคิดเห็นของคุณ แต่ในมุมมองของผมบทความของ อ. เป็นเสมือนสัญญาณเตือนก็เท่านั้น เพราะภายใต้การเติบโตที่รุนแรง panicก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นการเลือกลงทุนก็ควรที่จะให้ความใส่ใจเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนอีกหลายท่านที่คิดในเชิงเหมารวม ฉะนั้นหากไม่มีสิ่งที่มาเบรคหรือกระตุ้นให้หยุดคิดน่าจะเป็นสิ่งที่แย่กว่านะครับ
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 13:26:25
ขอชูจักกะแร้ เชียร์ คุณ genie สักหนึ่งเสียง ครับ
โดยคุณ ไม่ลงชื่อกลัวโดนด่า
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 17:56:44
เหม็นเต่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:22:27
ถ้ามีเจตนา บริสุทธิ์ก็ เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ยังสงสัยในการพยายามชี้นำว่า VI ไม่ควรลงทุนใน หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:32:58
อยากให้ ดร. เตือน หุ้นอย่าง wacoal ด้วยว่า แพงไป แล้ว ขึ้นอย่างไร้เหตุผล p/e ตั้ง 11 กำไรไม่โตมา ห้าปีแล้ว ธุรกิจบริษัทแม่ที่ list อเมริกายิ่งแย่หนัก แทบไม่มีกำไร ราคาก็ตกเอาตกเอา จนถูกถอดจาก russell 2000 แล้ว
-
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 2
นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งครับ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:40:06
warren buffet ที่ใครๆ หลายคน นับถือ ว่าเป็น อาจารย์ใหญ่ของ value investor (ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็แย้งเสมอมา) มักลงทุนในหุ้นที่ มีปัจจัยพื้นฐานดีหวังผลกันในระยะยาว เข้าซื้อ หุ้น อสังหา ที่สร้างบ้านเดี่ยว clayton home ที่ p/e 15 เมื่อ สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง
ทั้งๆ ที่หลายคนกำลังกลัวว่าอสังหา ในอเมริการ้อนแรงเกินไปแล้ว และกำลังจะ ตกต่ำ
เลยสงสัยว่าที่มี คนบางคนในระดับ ดร. ออกมาเขียนว่า VI ไม่ลงทุนในหุ้นอสังหา และ p/e ไม่ควร เกินสิบ เป็นเพราะ ไม่รู้จริงๆ หรือมี นอกมีใน ถ้าไม่รู้ควรกลับไปศึกษามาใหม่นะครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 10:27:40
คุณทุยพยายามเน้นด้านอสังหาฯ ดีจังนะครับ และสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนี่ผมว่า
มีสถานะการณ์ที่ไกลตัวไปหน่อยหรือเปล่าครับ โดยส่วนตัวถ้าผมจะลงทุนผมคง
มองที่ปัจจัยต่าง ๆ ภายในประเทศก่อน แนวโน้มควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ Warren
Buffet ลงทุนด้านไหนแล้วผมจะไปลงทุนตามนะครับ เค๊ากับผมอยู่กันคนละประเทศกัน
แต่ถ้าเอาหลักแนวคิดของ Warren Buffet มาปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์บ้านเรา
อย่างนี้ผมว่าน่าจะดีกว่านะครับ
อีกอย่างคนระดับ ดร. ออกมาเขียนบทความ เราก็รับฟังเค๊าไว้สิครับ ในมุมมองของเขา
ที่มีภายในประเทศ ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องนึง เพราะคุณเองควรจะเป็นคน
หาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนครั้งสุดท้ายไม่ใช่เหรอครับ
อีกอย่างส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าทำกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มอสังหาฯก็น่าสนใจอยู่ แต่หากจะถือ
ยาว ๆ ผมว่ามีน้อยตัวมากที่จะเลือกได้ในหุ้นกลุ่มนี้
อ้อ p/e เมืองนอก กับ เมืองไทย อย่าเอามาเทียบกันเลยครับ ดูมูลค่าตลาดแล้วของเรา
มันแค่เศษเสี้ยวของเขา อย่าพยายามเอาตัวเลขบ่งชี้ต่าง ๆ ของเมืองนอกมาเป็นบรรทัดฐาน
เทียบกับตัวเลขภายในประเทศเลยครับ คนละเรื่องเดียวกัน
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:08:38
ผมเพียงอยากให้มองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับ ธุรกิจอสังหา ดร. นิเวศน์ บอกว่าไม่ดี ผมว่าเหตุผลไม่ค่อยเข้าท่า ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและตัวเลขที่เป็นทางการ ผมก็นำความคิด คนที่เก่งกว่า ดร. นิเวศน์ มานำเสนอ
คนระดับ ดร. ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือมีเหตุผลกว่า คนจบ ป4 ไม่อย่างนั้น คนจบ ป4 บางคน ทำไมมี ลูกน้อง จบ ดร. เต็มเลย หรือหวังเงินอย่างเดียว
ผมฟัง แต่ผมไม่จำเป็นต้อง เชื่อฟัง ผมไม่กินหญ้าครับ หรือคุณถึก กิน
ขนาดของตลาด กับ p/e มันเกี่ยวกันยังไงครับ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้โง่กว่าฝรั่งนะครับ ยกเว้นบางคน ที่ บอกว่า ดร. ออกมาพูดแล้วต้องเชื่อ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:08:44
ผมเพียงอยากให้มองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับ ธุรกิจอสังหา ดร. นิเวศน์ บอกว่าไม่ดี ผมว่าเหตุผลไม่ค่อยเข้าท่า ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและตัวเลขที่เป็นทางการ ผมก็นำความคิด คนที่เก่งกว่า ดร. นิเวศน์ มานำเสนอ
คนระดับ ดร. ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือมีเหตุผลกว่า คนจบ ป4 ไม่อย่างนั้น คนจบ ป4 บางคน ทำไมมี ลูกน้อง จบ ดร. เต็มเลย หรือหวังเงินอย่างเดียว
ผมฟัง แต่ผมไม่จำเป็นต้อง เชื่อฟัง ผมไม่กินหญ้าครับ หรือคุณถึก กิน
ขนาดของตลาด กับ p/e มันเกี่ยวกันยังไงครับ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้โง่กว่าฝรั่งนะครับ ยกเว้นบางคน ที่ บอกว่า ดร. ออกมาพูดแล้วต้องเชื่อ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:11:01
ผมเข้าใจว่า อย่างคุณถึก เนี่ย คงถือ htc , ssc หรือ wacoal แน่เลย ถือยาวๆ เลยนะครับ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:40:06
warren buffet ที่ใครๆ หลายคน นับถือ ว่าเป็น อาจารย์ใหญ่ของ value investor (ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็แย้งเสมอมา) มักลงทุนในหุ้นที่ มีปัจจัยพื้นฐานดีหวังผลกันในระยะยาว เข้าซื้อ หุ้น อสังหา ที่สร้างบ้านเดี่ยว clayton home ที่ p/e 15 เมื่อ สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง
ทั้งๆ ที่หลายคนกำลังกลัวว่าอสังหา ในอเมริการ้อนแรงเกินไปแล้ว และกำลังจะ ตกต่ำ
เลยสงสัยว่าที่มี คนบางคนในระดับ ดร. ออกมาเขียนว่า VI ไม่ลงทุนในหุ้นอสังหา และ p/e ไม่ควร เกินสิบ เป็นเพราะ ไม่รู้จริงๆ หรือมี นอกมีใน ถ้าไม่รู้ควรกลับไปศึกษามาใหม่นะครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 10:27:40
คุณทุยพยายามเน้นด้านอสังหาฯ ดีจังนะครับ และสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนี่ผมว่า
มีสถานะการณ์ที่ไกลตัวไปหน่อยหรือเปล่าครับ โดยส่วนตัวถ้าผมจะลงทุนผมคง
มองที่ปัจจัยต่าง ๆ ภายในประเทศก่อน แนวโน้มควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ Warren
Buffet ลงทุนด้านไหนแล้วผมจะไปลงทุนตามนะครับ เค๊ากับผมอยู่กันคนละประเทศกัน
แต่ถ้าเอาหลักแนวคิดของ Warren Buffet มาปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์บ้านเรา
อย่างนี้ผมว่าน่าจะดีกว่านะครับ
อีกอย่างคนระดับ ดร. ออกมาเขียนบทความ เราก็รับฟังเค๊าไว้สิครับ ในมุมมองของเขา
ที่มีภายในประเทศ ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องนึง เพราะคุณเองควรจะเป็นคน
หาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนครั้งสุดท้ายไม่ใช่เหรอครับ
อีกอย่างส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าทำกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มอสังหาฯก็น่าสนใจอยู่ แต่หากจะถือ
ยาว ๆ ผมว่ามีน้อยตัวมากที่จะเลือกได้ในหุ้นกลุ่มนี้
อ้อ p/e เมืองนอก กับ เมืองไทย อย่าเอามาเทียบกันเลยครับ ดูมูลค่าตลาดแล้วของเรา
มันแค่เศษเสี้ยวของเขา อย่าพยายามเอาตัวเลขบ่งชี้ต่าง ๆ ของเมืองนอกมาเป็นบรรทัดฐาน
เทียบกับตัวเลขภายในประเทศเลยครับ คนละเรื่องเดียวกัน
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:08:38
ผมเพียงอยากให้มองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับ ธุรกิจอสังหา ดร. นิเวศน์ บอกว่าไม่ดี ผมว่าเหตุผลไม่ค่อยเข้าท่า ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและตัวเลขที่เป็นทางการ ผมก็นำความคิด คนที่เก่งกว่า ดร. นิเวศน์ มานำเสนอ
คนระดับ ดร. ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือมีเหตุผลกว่า คนจบ ป4 ไม่อย่างนั้น คนจบ ป4 บางคน ทำไมมี ลูกน้อง จบ ดร. เต็มเลย หรือหวังเงินอย่างเดียว
ผมฟัง แต่ผมไม่จำเป็นต้อง เชื่อฟัง ผมไม่กินหญ้าครับ หรือคุณถึก กิน
ขนาดของตลาด กับ p/e มันเกี่ยวกันยังไงครับ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้โง่กว่าฝรั่งนะครับ ยกเว้นบางคน ที่ บอกว่า ดร. ออกมาพูดแล้วต้องเชื่อ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:08:44
ผมเพียงอยากให้มองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับ ธุรกิจอสังหา ดร. นิเวศน์ บอกว่าไม่ดี ผมว่าเหตุผลไม่ค่อยเข้าท่า ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและตัวเลขที่เป็นทางการ ผมก็นำความคิด คนที่เก่งกว่า ดร. นิเวศน์ มานำเสนอ
คนระดับ ดร. ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือมีเหตุผลกว่า คนจบ ป4 ไม่อย่างนั้น คนจบ ป4 บางคน ทำไมมี ลูกน้อง จบ ดร. เต็มเลย หรือหวังเงินอย่างเดียว
ผมฟัง แต่ผมไม่จำเป็นต้อง เชื่อฟัง ผมไม่กินหญ้าครับ หรือคุณถึก กิน
ขนาดของตลาด กับ p/e มันเกี่ยวกันยังไงครับ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้โง่กว่าฝรั่งนะครับ ยกเว้นบางคน ที่ บอกว่า ดร. ออกมาพูดแล้วต้องเชื่อ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:11:01
ผมเข้าใจว่า อย่างคุณถึก เนี่ย คงถือ htc , ssc หรือ wacoal แน่เลย ถือยาวๆ เลยนะครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 3
ผมมองว่าการที่พวกเราวิจารณ์อจ.นิเวศน์ส่วนนึงก็เพราะอจ.ประกาศตัวเองออกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นvi พันธ์แท้ เป็นจ่าฝูงของกลุ่ม อยู่ที่ยอดเขา คนที่อยู่เชิงเขาก็ปาได้ปาเอากะจะสอยลงมาโดยจับเป็นจุดๆมาตี (ภาษากำลังภายในเค้าว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว)
ผมว่าถ้ามองดีๆจะเห็นว่าอจ.เน้นๆๆๆๆๆๆอันดับหนึ่งคือความปลอดภัยของเงินลงทุนของคุณในระยะยาวๆๆๆๆๆๆตามสูตรของwarren buffett(มีแบรนด์แกร่ง อยู่มานานๆๆๆผ่านร้อนหนาวมามาก เช่นโค้กอยู่มาเป็นร้อยปี มูลค่าของแบรนด์เค้าประเมินค่ามิได้)และถ้าคุณเทียบผลกำไรของผู้ถือหุ้นนี้ตั้งแต่ยุคแรกๆมาจนบัดนี้ก็มหาศาล จึงเน้นการถือยาวๆๆๆๆๆๆๆ นี่คือหุ้นvalueที่สุด แต่ถ้าคุณลองเทียบดูกับบริษัทคอม.หรือ อินเทอเนต เปิดเป็นร้อยบริษัท แต่ที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันมีแค่จิ๊บจ๊อย ล้มหายตายจากกันไปมาก ผมไม่เถียงว่าถ้าคุณมองช่วงสั้นๆ5-10ปีผลตอบแทนอาจดูมากแต่ถ้าดูกันนานๆๆๆจะเทียบกันไม่ติดกับหุ้นvalue
ผมยกตัวอย่าง2-3ปีที่ผ่านมา เครปญี่ปุ่น หรือ ชาไข่มุกหรือ ถ่ายรูปสติกเก้อ แถวบ้านผมรอคิวยาวเหยียด หลังจากที่ร้านแรกมีกำไรไปแล้วคนเปิดตามมาอีกเป็นทิวแถว ตอนนี้ที่แถวบ้านผมเหลืออยู่แค่2ร้านและราคาลดเหลือครึ่งเดียว
ผมว่าถ้ามองดีๆจะเห็นว่าอจ.เน้นๆๆๆๆๆๆอันดับหนึ่งคือความปลอดภัยของเงินลงทุนของคุณในระยะยาวๆๆๆๆๆๆตามสูตรของwarren buffett(มีแบรนด์แกร่ง อยู่มานานๆๆๆผ่านร้อนหนาวมามาก เช่นโค้กอยู่มาเป็นร้อยปี มูลค่าของแบรนด์เค้าประเมินค่ามิได้)และถ้าคุณเทียบผลกำไรของผู้ถือหุ้นนี้ตั้งแต่ยุคแรกๆมาจนบัดนี้ก็มหาศาล จึงเน้นการถือยาวๆๆๆๆๆๆๆ นี่คือหุ้นvalueที่สุด แต่ถ้าคุณลองเทียบดูกับบริษัทคอม.หรือ อินเทอเนต เปิดเป็นร้อยบริษัท แต่ที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันมีแค่จิ๊บจ๊อย ล้มหายตายจากกันไปมาก ผมไม่เถียงว่าถ้าคุณมองช่วงสั้นๆ5-10ปีผลตอบแทนอาจดูมากแต่ถ้าดูกันนานๆๆๆจะเทียบกันไม่ติดกับหุ้นvalue
ผมยกตัวอย่าง2-3ปีที่ผ่านมา เครปญี่ปุ่น หรือ ชาไข่มุกหรือ ถ่ายรูปสติกเก้อ แถวบ้านผมรอคิวยาวเหยียด หลังจากที่ร้านแรกมีกำไรไปแล้วคนเปิดตามมาอีกเป็นทิวแถว ตอนนี้ที่แถวบ้านผมเหลืออยู่แค่2ร้านและราคาลดเหลือครึ่งเดียว
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 4
ผมไม่ได้ขัดคุณประจวบนะครับ ผมก็รักท่าน ดร.นิเวศน์
แต่เราจะตกเป็นคนรับของท่านฯหรือเปล่าผมคิดหนักครับ
วันก่อนผมไปเปิดดูหุ้นวาโก้ ท่านดร.ของพวกเราขายออกมาเหลือไม่ถึง0.5%แล้วครับ ทั้งที่ปีก่อนมี7หมื่นแตกพาร์ก็ต้องเป็น7แสนนะครับ
แต่วันนี้ชื่อภรรยาท่านหายไป หรือว่าทางตลาดไม่ลงให้
PR ท่าน ดร.ก็ขายเหลือ1แสนจากเมื่อก่อนมีมากกว่านี้ครับ(เก่า2แสนครับ)
ไม่เชื่อผมไปเปิดดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ครับ
แต่เราจะตกเป็นคนรับของท่านฯหรือเปล่าผมคิดหนักครับ
วันก่อนผมไปเปิดดูหุ้นวาโก้ ท่านดร.ของพวกเราขายออกมาเหลือไม่ถึง0.5%แล้วครับ ทั้งที่ปีก่อนมี7หมื่นแตกพาร์ก็ต้องเป็น7แสนนะครับ
แต่วันนี้ชื่อภรรยาท่านหายไป หรือว่าทางตลาดไม่ลงให้
PR ท่าน ดร.ก็ขายเหลือ1แสนจากเมื่อก่อนมีมากกว่านี้ครับ(เก่า2แสนครับ)
ไม่เชื่อผมไปเปิดดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 5
ถ้าหากเราวิเคราะห์การลงทุนของwarren buffettกันจริงๆแล้ว เขาวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งมากกว่าที่เรารับรู้กันมามาก ผมไม่แปลกใจถ้าหากBuffettจะซื้อหุ้นที่หลายคนมองว่ามันไม่น่าจะเป็น Value Stock เขาบอกเสมอว่า เขาจะลงทุนในกิจการที่อยู่ในขอบเขตความสามารถของเขาที่จะเข้าใจมัน และเข้าถึงมูลค่าที่แท้จริงได้ ทั้งหมดนี้เราไม่รู้ว่าเขาเข้าใจอะไรบ้างเท่านั้นเองแต่เราเอาการวัดประสิทธิภาพของหุ้นมาปนกับการวัดประสิทธิภาพของกิจการนั่นเองมันเลยยุ่งไปกันใหญ่ จริงๆแล้วผมเข้าไปอ่านกระทู้นี้มานานแล้วละครับ แต่ไม่ได้ไปออกความเห็นเท่านั้นเอง
ในความเห็นผม การที่ อ.นิเวศน์กล่าวถึงหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มักจะกล่าวเพื่อเป็นการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ แต่ก็มีบางคนถือเป็นการใบ้หวย เอาที่ท่านเขียนไปใช้เลยโดยไม่ได้ไปศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจและสภาพทางการเงินใช้ดีเสียก่อน
นี่ไงครับเจ้าGenieมันถึงได้เน้นนักเน้นหนาว่า ต้องมีเหตุผลประกอบ และนอกจากได้หุ้นไปแล้วต้องได้ไปพร้อมความรู้ที่นำไปทำความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เก็บไปและลุยเลย
ในความเห็นผม การที่ อ.นิเวศน์กล่าวถึงหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มักจะกล่าวเพื่อเป็นการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ แต่ก็มีบางคนถือเป็นการใบ้หวย เอาที่ท่านเขียนไปใช้เลยโดยไม่ได้ไปศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจและสภาพทางการเงินใช้ดีเสียก่อน
นี่ไงครับเจ้าGenieมันถึงได้เน้นนักเน้นหนาว่า ต้องมีเหตุผลประกอบ และนอกจากได้หุ้นไปแล้วต้องได้ไปพร้อมความรู้ที่นำไปทำความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เก็บไปและลุยเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 6
ชอบข้อมูลแบบนี้ครับพี่ปรัชญา มีอีกก็ขออีกนะครับ เอาไว้ระวังตัวได้ครับ
ปรัชญา เขียน:ผมไม่ได้ขัดคุณประจวบนะครับ ผมก็รักท่าน ดร.นิเวศน์
แต่เราจะตกเป็นคนรับของท่านฯหรือเปล่าผมคิดหนักครับ
วันก่อนผมไปเปิดดูหุ้นวาโก้ ท่านดร.ของพวกเราขายออกมาเหลือไม่ถึง0.5%แล้วครับ ทั้งที่ปีก่อนมี7หมื่นแตกพาร์ก็ต้องเป็น7แสนนะครับ
แต่วันนี้ชื่อภรรยาท่านหายไป หรือว่าทางตลาดไม่ลงให้
PR ท่าน ดร.ก็ขายเหลือ1แสนจากเมื่อก่อนมีมากกว่านี้ครับ(เก่า2แสนครับ)
ไม่เชื่อผมไปเปิดดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 7
ผมเองนับถือคุณปรัชญาเป็นการส่วนตัวมากจากการที่ได้อ่านกระทู้ในwebมาตลอด รู้สึกว่าจะทราบข้อมูลค่อนข้างมากและนำมาเปิดเผยให้เพื่อนๆได้อ่านกันอย่างไม่หวงข้อมูลเลย แต่ผมอยากให้เพื่อนๆวิเคราะห์ดูแบบvi นะครับไม่อยากให้มองว่าเราซื้อหุ้นตัวนั้น หรือตัวนี้ตาม"ใบ้หุ้น"ของอจ.นิเวศน์ อจ.ซื้อเราซื้อ อจ.ขายเราขายตาม ผมว่าเหตุผลในการซื้อขายหุ้นของแต่ละท่านมี108-1009 สำคัญว่าเรารู้หรือเปล่าว่าเราถือหุ้นตัวนี้เพราะอะไร พื้นฐานของตัวบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า หรือเราเจอหุ้นที่valueกว่าตัวเดิมจึงทิ้งไปซื้อตัวอื่น(ช่วงขาดเงิน) ผมไม่ทราบเหตุผลในการขายwacoalของอจ.นิเวศน์ครับเพราะพอร์ตอจ.เคยอยู่1ใน10ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่(ใช้ชื่อภรรยา) ผมเองก็เพิ่งเข้าซื้อก่อนปันผลคล้ายๆของพี่ครรชิต(180บาท) ยังไม่ได้ขายออกไปเลย เพราะมองว่าเค้ายังเป็นผู้นำกลุ่มเครื่องชั้นในสตรีของไทย ผมว่าถ้าอจ.ลดพอร์ตลงก็คงจะเสียดายเหมือนกันเพราะวิ่งปรู๊ดๆๆในระยะหลัง หลังจากที่ซึมๆมาพักใหญ่
-
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 8
ผมเองเห็นด้วยกับคุณสมชายเกี่ยวกับเรื่องเงินปันผลนะครับ ของมันอยู่ที่ว่าจ่ายคืนหรือลงทุนแล้วมีประโยชน์มากกว่ากัน ไม่ใช่ว่าต้องจ่ายเยอะ ๆ เพียงอย่างเดียว ผมเองก็เป็นคนที่อ่านตีแตกของอ. เหมือนกัน แต่หลังจากที่ได้ศึกษาเพิ่ม ทำให้ผมรู้ว่าอ. กำลังเขียนอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ value investor แต่กลับบอกว่าท่านเป็น value investor ทำให้ผมไม่เคยสนใจจะอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่ท่านเขียนออกมาอีก บอกตรง ๆ ว่าพอครับ เปลืองเงินเปล่า ๆ ถ้าอยากจะเป็น value investor ดีใจครับที่เห็นกระทู้ที่มีความเห็นคล้าย ๆ กับผม value investor ที่ดี ในความคิดเห็นของผมควรมองทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ถ้ามองไปแค่ในอนาคตว่าผลประกอบการจะดีหรือไม่ ผมว่าเรียกว่า speculator น่าจะเหมาะสมกว่านะครับ
VI เขียน: ผมเข้าไปอ่านที่ Settrade.com พบหลายคนอ่านบทความของ อ.นิเวศน์แล้วเห็นขัดแย้งกัน จึงนำมาให้พวกเราได้อ่านกันบ้าง
หมายเหตุ: นี่เป็นความเห็นแย้งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยนะครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 14:59:22
ไม่เห็นด้วย ที่ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นธุรกิจที่ โตพรวดและไม่ยั่งยืน โปรดพิจารณา
- starbuck ( ร้านกาแฟ ) ตลาด ที่อเมริกาให้ p/e เกือบ 30 และโตต่อเนื่องมาหลายปีมากแล้ว เป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจน ไม่เห็นมีใครแข่งแล้วชนะเลย
- home builder ในอเมริกาเช่น kb home , toll brother และอีกมาก โตต่อเนื่องมาแล้วตั้งแต่ 1991 หลายบริษัทโตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 เท่าทั้งยอดขายและกำไร มี brand ที่ชัดเจน
- เป็ปซี่ ประเสริฐกว่าชาเขียวอย่างไร ในช่วงแรกๆ ก็มี cola หลายเจ้าเช่นกัน
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:09:44
ผมไม่เห็นด้วยกับ ดร. นิเวศน์เรื่อง supply ของ บ้านตอนนี้ เริ่มเท่ากับความต้องการแล้ว ให้พิจารณา ธุรกิจ รถยนต์ ซึ่งเป็น big ticket item เช่นกัน ในช่วงที่ยอดขายตกลงมากๆ เนื่องงจาก เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี จะมีสิ่งที่เรียกว่า pend up demand เกิดขึ้น หลังจากเศรษฐกิจฟื้น ความต้องการ จะสูงกว่า ความต้องการปกติ ช่วงเวลาหนึ่ง (อาจจะหลายปี) ก่อนที่ pend up demand จะหมดไป (ดูตัวเลขที่ chrysler ทำ ในช่วง 80-90)
ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า supply ของบ้านตอนนี้เท่ากับความต้องการแล้ว ดูจาก บริษัทที่มีชื่อเสียงดี มี brand ชัดเจน เปิดกี่โครงการก็หมดในเวลาอันสั้น บริษัทที่กะตีหัวแล้วหนี ก็ขายไม่ออกเป็นเรื่องธรรมดา ตัวเลข สภาพัฒน์ก็บอก 80000 หลัง ตอนนี้ยังไม่ถึง 40000 เลย
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:20:34
ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นโดยดู p/bv ธุรกิจที่มี roe สูงๆ จะมีกำไรมากกว่า ธุรกิจที่มี roe ต่ำๆ เมื่อมี bv เท่ากัน เช่น มีแม่ไก่สองตัว ตัวหนึ่ง ไข่เป็นทอง อีกตัว ไข่ธรรมดา ถ้า เอาแม่ไก่นี้ไป ฆ่าขายเนื้อ ได้ราคาเท่ากัน ( bv เท่ากัน ) ดร. จะให้ราคาแม่ไก่สองตัวนี้เท่ากันไหม
ถ้า ดร. มีเวลาอยากให้ไปอ่าน annual report ของ berkshire hathaway ที่ warren buffet เขียน ตอนที่ซื้อ sea candy
โดยคุณ คนโง่
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:27:13
เรื่องเงินปันผลก็เช่นกัน เชียร์เหลือเกินให้จ่ายปันผลเยอะๆ ถ้าเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวไม่มีทางขยายก็เห็นด้วย แต่ถ้าธุรกิจ กำลังโต roe เกิน 10 % ผู้บริหารมีความสามารถในการรักษา roe จ่ายปันผลหมด แล้วจะโตได้อย่างไร รู้ไหมตอนนี้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากเดือดร้อนมากเลย อยากขยาย ก็มีคนมาเซ้าซี้เรื่อง ปันผล
warren buffett 's Berkshire Hathaway ไม่เคยจ่ายปันผลเลย
อยากให้อ่านเรื่อง buffetology จะได้เข้าใจ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:36:33
ธุรกิจ รถยนต์ cyclical มากกว่า home builder เสียอีก ให้ไปดู งบ GE , chrysler , ford เทียบกับ toll brother , kb home
home builder โตประมาณ 20-30 % ทั้ง top และ bottom line มาสม่ำเสมอ ตลอด ตั้งแต่ 91 ไม่เห็นชื่อ อาจจะคิดว่าเป็น coke ก็ได้นะ
โดยคุณ Tik1234
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 17:10:56
I think we cannot compare P/E of new born market like Thailand(PE7) and China and other markets in Asia (exclude Japan) with P/E in Nikkei and DOWs.
P/E of Food Sector in SET can not be 30 likes Star Bucks
โดยคุณ คนผ่านมาอ่าน
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 23:09:49
ดร.ท่านก้อเพ้อเจ้อไปตามอารมณ์น่ะครับ เอาตลาดไทย ไปเทียบกับ ตลาดสหรัฐ
ทัศนคติ ของประชาชนต่อตลาดหลักทรัพย์มันต่างกันเห็นอยู่ชัดๆ ท่านเป็นคนพูดเรื่อง
ธรรมาภิบาล กับ value investor ในฝันของท่านที่จะให้เกิดในประเทศไทย ผมอ่านแล้ว
เฝือครับ ก้อท่านเองเป็นคนเขียนบอกเองว่า ธรรมาภิบาลของบริษัทฯ จดทะเบียนบ้านเรา
ได้เกรดอย่างมากก้อแค่ C อ่านแล้วขัดแย้งกันดีจัง ตามประสา ดร. คงกำลังหาทางไปสู่
นิพพานอยู่ ผมว่านะ เห็นจบ ด็อกเตอร์กันมาเกลื่อนเมือง ไม่เห็นมีใครนิพพานได้สักคน ยิ่งสูง
อีโก้ก้อสูงตามดีกรีที่ได้น่ะครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย1
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:39:03
กระทู้นี้ดูร้อนแรงดีนะครับ กับการเสนอความคิดเห็นเชิงขัดแย้ง
คุณปืด คุณสมควร คุณทุย คุณคนโง่ คุณสมชาย ลักษณะการพูดและความต่อเนื่องนี่
เหมือนเป็นคน คนเดียวกันพูดเลย แต่เอาเหอะครับ แย้งกันด้วยเหตุและผลก็ว่ากันไป
เหรียญเดียวยังมีสองด้านเลย
ในส่วนความเห็นของผม
ดร.นิเวศน์ แกเป็น Value Investor ชั้นนำของเมืองไทยอยู่แล้วคงไม่มีใครกล้า
ปฏิเสธความสำเร็จของแกได้นะครับ ดังนั้นเวลาแกมองก็มองกันไกลๆ มองกันหลายปี
5 ปี 10 ปี ก็ว่าไป ซึ่ง ถ้าพิจารณาจากบทความแล้ว ผมเห็นว่า
บ้าน - ธุรกิจ Real Estate คงจะบูมสุดก็คือ 2 ปีนี้เท่านั้นแหละครับ สังเกตุหลายๆ
โครงการเลยทีเดียว นำโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ตกแต่งกันใหม่ กำลังซื้อจริง ๆ ก็ไม่ได้
มากมายอย่างที่คิด หลายโครงการลงโฆษณากันเป็นปี ก็ยังขายเพื่อปิดโครงการยังไม่ได้
สักที โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ราคาก็ 2 ล้านขึ้นไป (โดยรวมเฉลี่ย 3 ล้านบาท) ราคาที่สูง
ขนาดนี้ต้องมีรายได้สูงพอสมควรที่จะตอบสนองตรงนี้ได้ และคนจำพวกนี้ต่างก็มีบ้าน
เป็นของตัวเองกันแล้วทั้งนั้น ยิ่งปีหน้ามาตราการลดหย่อนภาษีของรัฐหายไป ยิ่งแย่ครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย2
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:48:01
กาแฟ - ธุรกิจที่ฟันกำไรกันสูงมาก ลงทุนไม่เยอะนัก ผลตอบแทน การคืนทุน ในระยะเวลาสั้น
แต่คู่แข่งเยอะมาก จะเห็นได้ว่าเปิดกันดาษดื่น ที่สำคัญกาแฟไทยบางเจ้า ดันตั้งราคาขายซะ
ขาดแค่ 5 บาทก็เท่ากาแฟ STARBUCK ซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ค่าสร้าง
แบรนด์เหมือนของนอกสักหน่อย จากปัจจัยรอบ ๆ ด้าน ธุรกิจนี้ในความเห็นผม ถ้าไม่โดดเด่น
จริง ๆ ละก็ รอดยากครับ
ชาเขียว - อันนี้ตามสมัยนิยมนะครับ จะเห็นว่าเมืองไทยจะบ้าอะไรเป็นพัก ๆ ช่วงนี้ฮิตเรื่อง
สุขภาพ ชาเขียวเลยกลายมาเป็นตัวชูโรงของหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์กันทีเดียว การทำกำไรระยะสั้น
คงเป็นไปได้ด้วยดีครับ เพราะมีความนิยมจากผู้บริโภคอยู่ แต่ระยะยาวคงไม่ดีสักเท่าไหร่
ก็ถ้ามองกันสั้น ๆ บ้าน - กาแฟ - ชาเขียว คงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ถ้ามองกันยาว ๆ
ผมว่าต้องพิจารณากันดี ๆ แล้วล่ะครับ
ขอเป็นอีกหนึ่งความเห็นนะครับ
โดยคุณ มดง่าม
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 10:19:04
-ทุกความเห็นคือความเห็นส่วนตัวครับ ส่วนตัวมองว่าไม่ควรเป็นเหมือนการโต้วาที หาเหตุผลมาแย้งกัน ผมว่ารับทุกความเห็นและก็มีความเห็นเป็นส่วนตัวต่างหากไว้
-ถ้าความเห็นเหมือนกันหมดไม่มีการซื้อขายหุ้นหรอกครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:26:59
ผมไม่เห็นด้วย ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยวเป็นอะไรที่สั้นๆ
- starbuck โตมาเป็น 10 ปีแล้ว
- ชาเขียวในญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมมาเป็น ร้อยปีแล้ว ส่วนตัวผมเองรู้จักชาเขียวมาเกือบสิบปี ก็ยังไม่เสื่อมความนิยม
- home builder ในอเมริกาโตมาเป็นสิบปีแล้ว อย่างต่อเนื่อง
คุยกันด้วยตัวเลขดีกว่าครับ ใช้ความรู้สึกคงไม่เหมาะนัก
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:30:11
เคยมีคนทำสำรวจ ถามคนอเมริกาว่า คุณคิดว่าคุณสามารถทำ sandwich ได้อร่อยกว่า mcdonald ไหม เกิน 50 %บอกว่า เขาสามารถทำได้อร่อยกว่า แล้วทำไม mc donald โตมานับ สามสิบสี่สิบปีครับ เข้าใจว่าแรกๆ ที่เกิด ก็คงมีคนคิดแบบ dr. นิเวศน์เต็มไปหมด ว่าเป็นคงไม่นานหรอก แล้วเป็นไง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:33:22
-เรื่องของร้านหนังสือ ที่ ดร. คิดว่าเป็นอะไรสั้นๆ ขอให้ไปอ่าน annual report ปี ล่าสุด ที่ warren buffet เขียน เกี่ยวกับ amazon และ buffet ซื้อ หุ้นกู้ของ amazon
- ล่าสุด warren buffet ซื้อ home builder ที่ชื่อ clayton home ที่ p/e 15 ครับ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:38:49
ใครรู้บ้างว่า มาม่า ที่เชียร์กันนักหนา กำลังเผชิญปัญหาหนัก
1. ต้นทุนการผลิต ผันผวนตามราคา ข้าวสาลี และ น้ำมันพืช ดูจาก gross margin ย้อนหลัง หลายๆ ปี ผันผวนมาก
2. การขึ้นราคา ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ลองขึ้นตอนนี้ดูสิ เสียส่วนแบ่งการตลาดแน่นอน
3. asset turnover ตกมาตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:43:19
ผมเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป โดยไม่สนว่าจะเป็น มาม่า ไวไว หรือ ยำยำ อะไรก็ได้รสชาติ เหมือนๆ กัน
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 16:15:30
ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป
และต้องเป็น มาม่า หมูสับเท่านั้น
อย่างอื่นลองมาหมดแล้ว ไม่ถูกคอผมเลยครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:02:17
เขาพูดถึงมาม่า มาตั้งนานแล้ว และก็รวยกันหมดแล้ว
คุณทุย ทุยสมชื่อจริงๆ
ไม่เชื่อเขาก็ไม่ต้องเชื่อ ผลตอบแทนจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:59:29
แล้วจะคอยดู เห็น งบไตรมาสหนึ่งแล้วยัง กำไรโตสมใจไหม และราคาน้ำมันพืชก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลง ราคาข้าวก็เพิ่มเอาเพิ่มเอา ไตรมาสต่อไปก็คงกำไรดีอีกแน่ ยอดขายก็คงโตมโหฬารในระดับ 0 % ต่อไปเป็นปีที่ห้า gross margin ปีนี้ก็คงต่ำกว่า 20 % ขอให้ถือให้มั่นคงนะครับ จะได้รวยสมใจ
ใช่ผมมันไม่ฉลาด เขาให้เชื่อก็ไม่เชื่อ ถึงแม้เพื่อนจะกินหญ้าก็ตาม กลัวว่าจะรวยเกินหน้าเกินตา คุณถึก
อยากฉลาดแบบคุณถึกจัง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:01:44
ข้าวแกงข้างบ้านอร่อยกว่าตั้งเยอะ มีประโยชน์ด้วย ( โทษทีเล่นหุ้นแล้วมีกำไรเลยมีเงินซื้อข้าวแกงกิน ไม่ต้องกินมาม่า )
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:20:04
ผมเชื่อว่า TF , HTC , SSC , WACOAL จะทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าหุ้นชั้นนำกลุ่มอสังหา อย่าง LH , AP , supali หรือ หุ้นในกลุ่มอาหาร อย่าง s&p (มีกาแฟ blue cup) หรือ ชาเขียวอย่าง TIPCO , MALEE ในปีต่อๆ ไปนี้ แล้วจะได้รู้กันว่า กาแฟ( เสียดาย nescafe ยังไม่เข้าตลาด ) , ชาเขียว , บ้านเดี่ยว ไม่ใช่ อะไรที่มาไวไปไวอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:32:18
ผมมีความเข้าใจเกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างหนึ่งไม่รู้ถูกหรือเปล่า คนที่กิน มักจะไม่ค่อยมีตังค์กินข้าว เช่นนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ และ ทางบ้านค่อนข้างยากจน หรือไม่ก็คนที่รายได้น้อย ทีนี้ถ้าเศรษฐกิจฟื้นแบบ ทั่วถึง คือ พืชผลทางการเกษตรราคาดี การค้าการขายคล่อง คน ก็จะมีเงินมากินอะไรที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องกิน บะหมี่เพื่อพอให้อิ่มไปวันๆ ก็จะหมดไป ยอดขาย มาม่าในปีที่แล้วจึงตกลง รวมถึง ไตรมาสแรกที่ผ่านมา และ อนาคตก็จะตก ลง ด้วย ตลาดที่จะมีศักยภาพ ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะเป็นพวก ประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่าง พม่า ลาว เขมร อะไรทำนองเนี้ย
โดยคุณ นักศึกษาแดนใต้
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:54:07
พูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว ผมจะกินก็ตอนหาอะไรกินไม่ได้จริง ๆ หรือไม่ก็ไม่มีตังค์จริง
หรือไม่ก็น้ำท่วมครับ
ถ้าไม่ขาดแคลนจริงๆก็ไม่กินหรอกครับ
โดยคุณ genie
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 20:36:36
ในความคิดส่วนตัวของผม ผมคิดว่าการที่คุณปืดยกตัวอย่างเช่นstarbuckกับสิ่งที่อ. เอ่ยถึงมันค่อนข้างคนละประเด็นอยู่ซักหน่อย เพราะประเด็นที่คุณปืดพูดถึงเป็นมุมมองเชิงจุลภาคคือเรายกโมเดลที่ประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่ผมอ่านบทความของอ. ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่อ. พูดถึงคือเรื่องเชิงมหภาค ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ตอนที่aramazonบูม หรือyahooบูม ณ ช่วงเวลานั้นต่างมี webที่ขายหนังสือ หรือsearch engineตามมามากมาย แต่สุดท้ายที่คงเหลือก็คือผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่ราย อีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวขึ้นอีกนิด "ชาไข่มุก" ถ้าคุณๆจำกันได้ก่อนหน้านี้มีสารพัดเจ้า แล้วปัจจุบันเหลือกี่เจ้าครับ แม้แต่สาโท ที่รัฐสนับสนุนจากหลายร้อยเจ้าปัจจุบันก็จะเหลือเพียง2-3เจ้าเท่านั้น ซึ่งผมว่าสิ่งนี้แหละครับที่อ. กำลังบอก มันคือวัฐจักรและธรรมชาติของธุรกิจครับ
โดยคุณ pooh
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 00:37:58
แต่ชาเขียวอร่อยดีนะ บะหมี่สำเร็จรูปก็อร่อย แม้ว่าผมจะมีปัญญาซื้อไวน์แพงๆ และกินภัตตาคารทุกมื้อได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ผมก็ยังชอบกินนะครับ พูดแล้วหิวไปกินดีก่า
โดยคุณ มดง่าม
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 07:51:10
ขอเสริมคุณgenieอีกนิดครับ ผมอ่านบทความของดร.นิเวศน์แล้ว เป็นการมองภาพรวมของธุรกิจ เมื่อผลตอบแทนสูงก็มีคนเข้ามามาก ส่วนกระทู้ก็แย้งโดยอ้างชื่อยี่ห้อเป็นเหตุการณืที่จะตามมา เมื่อมีผุ้เข้ามาเล่นมาก ผู้ที่สร้างชื่อยี่ห้อ แล้วลูกค้าจงรักภักดีนั่นคือผู้ที่อยู่รอดภายหลัง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:32:31
ผมขอเสนออีกภาพ ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับ ดร.
ธุรกิจ อสังหา บ้านเรา ผ่าน consolidation มาแล้ว อย่างหนักเสียด้วย ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ผู้ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็นพวกที่ มีศักยภาพ และมี brand จึงไม่ถูกนัก ถ้าจะเหมารวมว่า ในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่มาไวไปไว แน่นอนจะเกิดฟองสบู่ได้อีก ถ้า นายแบงค์ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ มากู้ไปสร้างโครงการโดยไม่คำนึงถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ
สถานะการ อสังหาบ้านเราตอนนี้ไม่ต่างจาก สหรัฐ หลัง consolidation ปี 1991 คือเหลือรายใหญ่ที่มีศักยภาพไม่กี่ราย (oligopoly) และมี niche รายย่อย อีกมาก บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ก็จะโตได้อย่างต่อเนื่อง เป็น ธุรกิจที่ mature มี barrier to entry
ธุรกิจทุกธุรกิจ ในช่วงเริ่มต้น การแข่งขันรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา ช่วง ต้น 1900 มีบริษัทรถยนต์ เป็น พัน บริษัท ตอนนี้ เหลือ ไม่กี่บริษัท ดังนั้นการที่จะ ระบุว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง และ ธุรกิจเหล่านี้ ก็ไม่ได้อยู่ในภาวะเริ่มต้นอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:38:02
ธุรกิจ บ้านเดี่ยวตอนนี้เป็น oligopoly ครับ บ้านไม่มีคุณภาพไม่มี brand คนซื้อ เขาไม่กล้าซื้อแล้วครับ
ธุรกิจ กาแฟบ้านเรา ก็ไม่ได้ fragmented มีรายใหญ่ครองตลาด อาจจะหลายเจ้าหน่อย
ชาเขียวค่อนข้างจะเริ่มต้น แต่ก็เริ่มมีรายใหญ่ปรากฎขึ้น ผมเชื่อว่าไม่ใช่ fad แน่นอน
สงสัยจัง ดร. มีอคติอะไรกับ ธุรกิจนี้หรือเปล่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:41:26
การ consolidation ในธุรกิจบ้าน ที่ผ่านมา ผมกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้รายใหญ่ยิ่งใหญ่และมั่นคงขึ้น (สังเกตุได้จาก ส่วนแบ่งการตลาด land and house เพิ่มจากไม่ถึง 10 % ก่อน วิกฤต เป็น กว่า 30 % ) นี่เป็นโอกาสในกาสซื้อธุรกิจที่ดีในราคาถูก ต่างหาก
พวกรายเล็กรายน้อยที่ไม่มีความสามารถ กะตีหัวแล้วหนี ไม่มีใครกล้าซื้อแล้วครับ และจะเกิดยากมาก
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:43:01
land and house ควรได้ p/e ไม่ต่ำกว่า 20 ไม่ใช่ ไม่ถึง 10 อย่างที่ ดร. กำลังพยายามชี้นำ
โดยคุณ genie
genie_agy
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 11:07:36
เรียนคุณปืด ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ปฏิเสธความคิดเห็นของคุณ แต่ในมุมมองของผมบทความของ อ. เป็นเสมือนสัญญาณเตือนก็เท่านั้น เพราะภายใต้การเติบโตที่รุนแรง panicก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นการเลือกลงทุนก็ควรที่จะให้ความใส่ใจเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนอีกหลายท่านที่คิดในเชิงเหมารวม ฉะนั้นหากไม่มีสิ่งที่มาเบรคหรือกระตุ้นให้หยุดคิดน่าจะเป็นสิ่งที่แย่กว่านะครับ
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 13:26:25
ขอชูจักกะแร้ เชียร์ คุณ genie สักหนึ่งเสียง ครับ
โดยคุณ ไม่ลงชื่อกลัวโดนด่า
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 17:56:44
เหม็นเต่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:22:27
ถ้ามีเจตนา บริสุทธิ์ก็ เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ยังสงสัยในการพยายามชี้นำว่า VI ไม่ควรลงทุนใน หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:32:58
อยากให้ ดร. เตือน หุ้นอย่าง wacoal ด้วยว่า แพงไป แล้ว ขึ้นอย่างไร้เหตุผล p/e ตั้ง 11 กำไรไม่โตมา ห้าปีแล้ว ธุรกิจบริษัทแม่ที่ list อเมริกายิ่งแย่หนัก แทบไม่มีกำไร ราคาก็ตกเอาตกเอา จนถูกถอดจาก russell 2000 แล้ว
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 9
เค้าด่ากันแรงจัง ผมกลัวเลยแฮะ เหมือนที่สินธรผมก็กลัวนะรู้สึกใครตอบผิดทีโดนถล่มราบพนาสูญ ที่ กระทิงเขียวด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 10
Webbroad ก็อย่างนี้แหละครับ ไม่เห็นตัวจริงก็เลยปากกล้าพูดอะไรก็ได้ บางคนก็พูดแรงๆเรียกร้องความสนใจ ทั้งๆทีก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองสูงขึ้นหรอกนา
ผมว่าที่ อ. เค้าเอาเรื่อง VI มาเผยแพร่ แล้วสอนพื้นฐานให้ก็เป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว
สัมภเวสี (สะกดไม่ถูกอ่ะ) ไม่ต้องไป สอน หรือ สนใจ ก็ไม่ได้ทำให้ ปอด ลดลงนิ
ผมว่าที่ อ. เค้าเอาเรื่อง VI มาเผยแพร่ แล้วสอนพื้นฐานให้ก็เป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว
สัมภเวสี (สะกดไม่ถูกอ่ะ) ไม่ต้องไป สอน หรือ สนใจ ก็ไม่ได้ทำให้ ปอด ลดลงนิ
I do not sleep. I dream.
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 11
ผมเป็นคนหนึ่งที่เคารพในตัว ดร.นิเวศน์ แต่ก็ไม่เคยคิดว่า ดร.จะผิดพลาด หรือ วิจารณ์หรือ แตะต้องไม่ได้นะครับ ขอพูดด้วยความเป็นกลางไม่ใช้อารมณ์นะครับ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ คือ
1. การเผยแพร่แนวคิด Value Investment ของ ดร. เท่าที่ผมอ่าน จะเน้นหลักการ มากกว่า การคำนวน และใบ้หุ้น
2. เหมือนที่คุณประจวบบอก ดร.ท่านเปิดตัวในวงกว้าง ย่อมมีทั้งคนรัก คนไม่ชอบ เป็นธรรมดา แต่ถ้ายังจำได้ ท่านบอกในหนังสือตีแตกว่า การลงทุนเหมือนการเดินทาง ที่มีความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นเดิมพัน ดังนั้น การตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ละตัว ต้องเรียนรู้ศึกษา รวบรวมข้อมูล และ ตัดสินใจเอง จะโทษคนอื่นเมื่อขาดทุน คงไม่สมควรนะครับ
3. ท่านเคยเขียนไปแล้ว เกี่ยวกับ นักลงทุนประเภท ข. คือ ขอชื่อหุ้นที่น่าสนจากท่าน แล้ว ไม่ศึกษากิจการอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้วิธีประเมินมูลค่า และเข้าซื้อที่ราคามี Margin of Safety พอติดดอย หรือ ราคาหุ้นวิ่งแล้วไม่ขาย จนขาดทุน ก็มาโทษ ดร. เอ ผมคิดว่าถ้าต้องให้ ดร.มาบอกเวลาซื้อเวลาขายของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับบทความทุกตัว ผมว่า คุณเป็นเป็นสมาชิกของ คุณ ณํฐวุฒิ รุ่งวงศ์ น่าจะตรงกับตัวคุณมากกว่านะครับ เพราะ ขี้เกียจศึกษา ต้องการสูตรสำเร็จรูป อยากรวยเร็วๆ มันคนละแนวกับ Value Investment
4. ที่คุณโป้งบอกว่า หลังๆ ท่านเขียนอะไรก็ไม่รู้เกี่ยวกับไม่ค่อยเกี่ยวกับ VI ผมก็เคยรู้สึกแบบนั้น แต่พอได้รับคำชี้แนะจากคุณมน คุณวิบูลย์ และท่านอื่นๆ ว่า
" หลักการสำคัญ กว่า สูตรสำเร็จ ,คุณภาพกิจการ สำคัญกว่า ตัวเลขเชิงปริมาณ"
แล้วผมกลับไปอ่าน บทความของ ดร. อีกครั้ง ความรู้สึกผมเปลี่ยนไป รู้สึกว่า ท่าน ดร. เขียนได้ดี จากประสบการณ์จริงๆ เป็นมุมมอง เกล็ดความรู้ ที่น่าสนใจ ผมก็เข้าใจตัวเอง ว่าเมื่อก่อน ก็ อยากรวยเร็วๆ อยากรู้สูตรสำเร็จประเมินมูลค่าหุ้นแบบเห็นเป็นตัวเลข จะจะ จะได้รู้ราคาน่าซื้อ ราคาเป้าหมายที่จะขาย ถึงขวนขวายหาสูตรสำเร็จ ทางลัด แต่ยิ่งหา ก็ยิ่งวุ่นวาย ล้มเหลว เพราะคำนวนเชิงปริมาณแต่ไม่มีเชิงคุณภาพรองรับ ก็ลงทุนไม่สำเร็จ
5. ผมคิดว่ามีหลายๆท่าน กำลังสงสัยว่า ท่าน ดร. เขียนชื่อหุ้นในบทความเพื่อเชียร์ซื้อหุ้นปล่อยของหรือเปล่า เช่น หุ้นช้าง ฯลฯ ขอให้ระยะเวลาพิสูจน์คนดีกว่าครับ
สรุปคือ
1. อ่านบทความหรือ หนังสือ ของ ดร. แล้ว ศึกษาแล้วเอามาประยุกต์ใช้กับการลงทุนแนว VI เอง ตัดสินใจเอง ขาดทุน หรือ กำไร ก็รับเอง อย่าไปโทษใคร
2. อ่านแล้ว อยู่ที่มุมมองของคนว่า จะรู้จักมองหาข้อดีของสิ่งที่อ่าน แล้วได้ความรู้หรือเปล่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน หรือ ไปหาแนวอื่นอ่านดีกว่า
3. ดร.ไม่จำเป็นต้องบอกหุ้น ราคาเข้าซื้อ ราคาขายเป้าหมาย โดนด่า เปลืองตัวเปล่าๆ ลงทุนเอง ก็มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว สบายๆ
4. อยากให้ลองลงทุนหลายๆ แบบดู เก็งกำไร เทคนิค VI จิตวิทยามวลชน ผมคิดว่าคุณก็จะได้รู้ว่า อันไหนลงทุนแล้วปลอดภัยและมีความสุขกว่ากัน
5. สำหรับท่านอื่นๆ ผมไม่รู้ แต่สำหรับตัวผมแล้ว บทความของ ดร. เปิดมุมมองของการลงทุน Value Investment ในด้านต่างๆ ดีมากครับ
6. การวิจารณ์ของให้วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ด้วยความคิดที่เป็นบวกดีกว่าครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนที่ตัดสินใจเอง รับเอง รู้เอง ชนะเอง แพ้เอง ถึงจะค่อยๆ เข้าใจครับ
1. การเผยแพร่แนวคิด Value Investment ของ ดร. เท่าที่ผมอ่าน จะเน้นหลักการ มากกว่า การคำนวน และใบ้หุ้น
2. เหมือนที่คุณประจวบบอก ดร.ท่านเปิดตัวในวงกว้าง ย่อมมีทั้งคนรัก คนไม่ชอบ เป็นธรรมดา แต่ถ้ายังจำได้ ท่านบอกในหนังสือตีแตกว่า การลงทุนเหมือนการเดินทาง ที่มีความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นเดิมพัน ดังนั้น การตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ละตัว ต้องเรียนรู้ศึกษา รวบรวมข้อมูล และ ตัดสินใจเอง จะโทษคนอื่นเมื่อขาดทุน คงไม่สมควรนะครับ
3. ท่านเคยเขียนไปแล้ว เกี่ยวกับ นักลงทุนประเภท ข. คือ ขอชื่อหุ้นที่น่าสนจากท่าน แล้ว ไม่ศึกษากิจการอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้วิธีประเมินมูลค่า และเข้าซื้อที่ราคามี Margin of Safety พอติดดอย หรือ ราคาหุ้นวิ่งแล้วไม่ขาย จนขาดทุน ก็มาโทษ ดร. เอ ผมคิดว่าถ้าต้องให้ ดร.มาบอกเวลาซื้อเวลาขายของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับบทความทุกตัว ผมว่า คุณเป็นเป็นสมาชิกของ คุณ ณํฐวุฒิ รุ่งวงศ์ น่าจะตรงกับตัวคุณมากกว่านะครับ เพราะ ขี้เกียจศึกษา ต้องการสูตรสำเร็จรูป อยากรวยเร็วๆ มันคนละแนวกับ Value Investment
4. ที่คุณโป้งบอกว่า หลังๆ ท่านเขียนอะไรก็ไม่รู้เกี่ยวกับไม่ค่อยเกี่ยวกับ VI ผมก็เคยรู้สึกแบบนั้น แต่พอได้รับคำชี้แนะจากคุณมน คุณวิบูลย์ และท่านอื่นๆ ว่า
" หลักการสำคัญ กว่า สูตรสำเร็จ ,คุณภาพกิจการ สำคัญกว่า ตัวเลขเชิงปริมาณ"
แล้วผมกลับไปอ่าน บทความของ ดร. อีกครั้ง ความรู้สึกผมเปลี่ยนไป รู้สึกว่า ท่าน ดร. เขียนได้ดี จากประสบการณ์จริงๆ เป็นมุมมอง เกล็ดความรู้ ที่น่าสนใจ ผมก็เข้าใจตัวเอง ว่าเมื่อก่อน ก็ อยากรวยเร็วๆ อยากรู้สูตรสำเร็จประเมินมูลค่าหุ้นแบบเห็นเป็นตัวเลข จะจะ จะได้รู้ราคาน่าซื้อ ราคาเป้าหมายที่จะขาย ถึงขวนขวายหาสูตรสำเร็จ ทางลัด แต่ยิ่งหา ก็ยิ่งวุ่นวาย ล้มเหลว เพราะคำนวนเชิงปริมาณแต่ไม่มีเชิงคุณภาพรองรับ ก็ลงทุนไม่สำเร็จ
5. ผมคิดว่ามีหลายๆท่าน กำลังสงสัยว่า ท่าน ดร. เขียนชื่อหุ้นในบทความเพื่อเชียร์ซื้อหุ้นปล่อยของหรือเปล่า เช่น หุ้นช้าง ฯลฯ ขอให้ระยะเวลาพิสูจน์คนดีกว่าครับ
สรุปคือ
1. อ่านบทความหรือ หนังสือ ของ ดร. แล้ว ศึกษาแล้วเอามาประยุกต์ใช้กับการลงทุนแนว VI เอง ตัดสินใจเอง ขาดทุน หรือ กำไร ก็รับเอง อย่าไปโทษใคร
2. อ่านแล้ว อยู่ที่มุมมองของคนว่า จะรู้จักมองหาข้อดีของสิ่งที่อ่าน แล้วได้ความรู้หรือเปล่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน หรือ ไปหาแนวอื่นอ่านดีกว่า
3. ดร.ไม่จำเป็นต้องบอกหุ้น ราคาเข้าซื้อ ราคาขายเป้าหมาย โดนด่า เปลืองตัวเปล่าๆ ลงทุนเอง ก็มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว สบายๆ
4. อยากให้ลองลงทุนหลายๆ แบบดู เก็งกำไร เทคนิค VI จิตวิทยามวลชน ผมคิดว่าคุณก็จะได้รู้ว่า อันไหนลงทุนแล้วปลอดภัยและมีความสุขกว่ากัน
5. สำหรับท่านอื่นๆ ผมไม่รู้ แต่สำหรับตัวผมแล้ว บทความของ ดร. เปิดมุมมองของการลงทุน Value Investment ในด้านต่างๆ ดีมากครับ
6. การวิจารณ์ของให้วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ด้วยความคิดที่เป็นบวกดีกว่าครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนที่ตัดสินใจเอง รับเอง รู้เอง ชนะเอง แพ้เอง ถึงจะค่อยๆ เข้าใจครับ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 12
ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็แค่มีคนไม่เห็นด้วยกับดร.นิเวศน์ อืม ตั้งหลายเรื่องผมก็เคยไม่เห็นด้วย แต่หลังๆ ชักจะเห็นด้วยแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องปันผล เพราะว่า ที่นี่ประเทศไทย กำไรที่เป็นตัวเลขให้ชื่นชม แต่เงินสดไม่เคยมาถึงกระเป่า สุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าธุรกิจนั้นแกร่งจริง แค่ไหน ส่วนเรื่องการขยายงาน ถ้าขยายงานได้จริง ก็ยังไม่ปันก็ได้ แต่ขยายได้จริงแค่ไหน
เรื่องอสังหาริมทรัพย์ ที่บอกว่าไปซื้อ clayton อะไรนั่น รู้สึกว่าเป็นบริษัทรับสร้างบ้านนี่ ดูๆแล้ว ถึงจะอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ความเสี่ยงก็ต่างกันมาก ถ้าจำไม่ผิด บริษัทนี้รับสร้างบ้านสำเร็จรูป
เรื่องอสังหาริมทรัพย์ ที่บอกว่าไปซื้อ clayton อะไรนั่น รู้สึกว่าเป็นบริษัทรับสร้างบ้านนี่ ดูๆแล้ว ถึงจะอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ความเสี่ยงก็ต่างกันมาก ถ้าจำไม่ผิด บริษัทนี้รับสร้างบ้านสำเร็จรูป
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 14
ผมเองมีท่ายเป็นหนึ่งในฮีโร่ประจำใจ
หนังสือเล่มแรกที่อ่าน "ตีแตก"
ทำให้ผมชอบที่จะลงทุนในหุ้น
แต่ผมไม่เคยซื้อหุ้นตามท่านเลย
หุ้นหลายตัวในพอร์ต เผอิญว่ามีเหมือนกัน
หลายๆตัวที่ผมมี และคิดว่าดี ก็ไม่รู้ว่าท่านมีในพอร์ตบ้างหรือไม่
หลายๆตัวที่ภรรยาท่านถือหุ้นใหญ่ ผมก็มีจุดที่ผมไม่ชอบพอที่จะซื้อ
เวลาท่านขายหุ้นออกมาก็สมควรแล้ว มิฉะนั้นจะได้ประโยชน์สูงจากการลงทุน
ได้ยังไง
ความเห็นผม ท่านมีบทเรียนที่ไม่ได้ขายSTANLY ออกมา ณ ราคาสูง
อาจมีผลทางจิตวิทยาให้ขายหุ้นWACOAL ออกมา
ผมเองมีหุ้นวาโก้ เป็นหุ้นที่ถือมา และยังไม่เคยขายเลยแม้แต่หุ้นเดียว
ทั้งๆที่ราคาปัจจุบัน ค่อนข้างสูงแล้ว
ผมว่าท่านก็นักลงทุนคนหนึ่งเหมือนเราๆท่านๆ
ยังไงท่านก็เป็นหนึ่งในฮีโร่ในใจผม
หนังสือเล่มแรกที่อ่าน "ตีแตก"
ทำให้ผมชอบที่จะลงทุนในหุ้น
แต่ผมไม่เคยซื้อหุ้นตามท่านเลย
หุ้นหลายตัวในพอร์ต เผอิญว่ามีเหมือนกัน
หลายๆตัวที่ผมมี และคิดว่าดี ก็ไม่รู้ว่าท่านมีในพอร์ตบ้างหรือไม่
หลายๆตัวที่ภรรยาท่านถือหุ้นใหญ่ ผมก็มีจุดที่ผมไม่ชอบพอที่จะซื้อ
เวลาท่านขายหุ้นออกมาก็สมควรแล้ว มิฉะนั้นจะได้ประโยชน์สูงจากการลงทุน
ได้ยังไง
ความเห็นผม ท่านมีบทเรียนที่ไม่ได้ขายSTANLY ออกมา ณ ราคาสูง
อาจมีผลทางจิตวิทยาให้ขายหุ้นWACOAL ออกมา
ผมเองมีหุ้นวาโก้ เป็นหุ้นที่ถือมา และยังไม่เคยขายเลยแม้แต่หุ้นเดียว
ทั้งๆที่ราคาปัจจุบัน ค่อนข้างสูงแล้ว
ผมว่าท่านก็นักลงทุนคนหนึ่งเหมือนเราๆท่านๆ
ยังไงท่านก็เป็นหนึ่งในฮีโร่ในใจผม
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
-
- Verified User
- โพสต์: 870
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 15
ผม ว่า หลายคนในไทยลอกแนวคิด vi มาใช้แต่แท้จริงยังไม่รู้จัก ประยุกใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของเรา ที่แตกต่างกันอย่างมาก ดูจากข้อความแรก ที่มีคนแสดงความคิดเห็น แค่เปรียบเทียบหุ้น กาแฟ ชา กับ ของเมกา แล้ว ก็คิดว่า คนคิดน่าจะยังไม่เข้าใจหลายๆเรื่อง แต่ผมว่า หุ้นในไทย หาแบบ แปปซี่ ไม่หรอก ตลาดแปปซี่เค้าขายทั่วโลก เมกา อิ่มตัว ก็ขยายตลาดไปแอฟริกา หุ้นในไทยก็ขายแต่ตลาดในประเทศ ส่วนใหญ่ก็หาที่ พอจะใกล้เคียงได้เท่านั้น
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 17
การเห็นแตกต่างกันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ว่ามีบางคนใช้คำค่อนข้างไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรท่านดร.นิเวศน์ ก็ถือว่าเป็นต้นแบบและเป็นคนแรกๆ ที่นำแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามาเผยแพร่ให้คนไทยได้รู้จัก ผมว่าการแสดงความเห็นอย่างน้อยควรสุภาพดัวย และจากที่อ่านบทความประจำ อย่างน้อยก็เห็นว่าท่านดร.นิเวศน์ก็วิเคราะห์ถูกมาก ผิดน้อย ที่จะให้ถูกเต็มร้อยคงไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้
ผมยอมรับว่าได้แนวคิดของท่านดร.นิเวศน์ มาปรับใช้กับการลงทุนของผมบางเรื่อง
ผมยอมรับว่าได้แนวคิดของท่านดร.นิเวศน์ มาปรับใช้กับการลงทุนของผมบางเรื่อง
-
- Verified User
- โพสต์: 24
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 20
ขออนุญาตินะครับ อันนี้ผมจำได้ขึ้นใจLOSO เขียน: อันนี้จากท่านพุทธทาส แต่เพี้ยนๆไปบ้าง เอาเท่าที่ผมจําได้ ...........
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน ที่ีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัว เที่ยวค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง !!!!!
จากท่านพุทธทาส
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 21
ผมว่ารอบนี้
กับภัยก่อการร้าย
และไข้หวัดนก-อุทกภัย
โรงแรมเดือดร้อน
กลุ่มสิ่งพิมพ์กับโฆษณาคงได้รอบ
หลังเหตุการสงบ วัสดุก่อสร้างก็ได้ขาย
เว้นไปสัก1ปี ประกันภัยจะขายดีเพราะคนจะเริ่มเห็นความจำเป็นกับการประกันทรัพย์สินมากขึ้น
ท่าน ดร.นอนยิ้มแล้ว
รอบนี้ท่านได้เงินปันผลมาเก็บของถูกอีกแล้ว
ปีหน้าท่าน ดร.ชนะตลาดแน่แท้เจียว
กับภัยก่อการร้าย
และไข้หวัดนก-อุทกภัย
โรงแรมเดือดร้อน
กลุ่มสิ่งพิมพ์กับโฆษณาคงได้รอบ
หลังเหตุการสงบ วัสดุก่อสร้างก็ได้ขาย
เว้นไปสัก1ปี ประกันภัยจะขายดีเพราะคนจะเริ่มเห็นความจำเป็นกับการประกันทรัพย์สินมากขึ้น
ท่าน ดร.นอนยิ้มแล้ว
รอบนี้ท่านได้เงินปันผลมาเก็บของถูกอีกแล้ว
ปีหน้าท่าน ดร.ชนะตลาดแน่แท้เจียว
-
- Verified User
- โพสต์: 258
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 22
ถ้าคนที่วิจารณ์ทำได้อย่าง ท่านดร.นิเวศน์ ผมถึงจะเชื่อครับ ถ้าดีแต่วิจารณ์ อันนี้ผมคงไม่อยากในความสำคัญอะไรมาก
เหมือนพวกวิจารณ์หนังอ่ะ วิจารณ์เข้าไป แต่ให้ตัวเองมาสร้างหรือมาแสดง ก็ไม่ได้เรื่องหรอก
วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์หน่อยก็จะดี นี่เห็นหลายคนใช้คำรุนแรง
เหมือนพวกวิจารณ์หนังอ่ะ วิจารณ์เข้าไป แต่ให้ตัวเองมาสร้างหรือมาแสดง ก็ไม่ได้เรื่องหรอก
วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์หน่อยก็จะดี นี่เห็นหลายคนใช้คำรุนแรง
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 23
จริงๆแล้วสำหรับคนวิจารณ์ก็คงมองได้2แบบ แบบแรกวิจารณ์บนเนื้อหาสาระ กับอีกแบบวิจารณ์แบบชวนทะเลาะ ผมว่าอ่านๆดูก็รู้ แน่นอนครับ คนพวกแรกน่าสนใจเพราะเขามีมุมมองที่แตกต่าง แต่พวกหลัง ลบทิ้งไปซะน่าจะดี :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
(เฮ้ย อ่านดีๆทำไมมีเราโผล่อยู่ด้วยละเนี่ย )
(เฮ้ย อ่านดีๆทำไมมีเราโผล่อยู่ด้วยละเนี่ย )
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 24
ชอบที่พี่ loso เขียนครับ
เอาผ้าขาวให้ดู .... เห็นจุดดำ
ประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความครบถ้วน
เอาผ้าขาวให้ดู .... เห็นจุดดำ
ประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความครบถ้วน
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- moo
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 25
ถ้าเปรียบการลงทุนเป็นลัทธิ
เมื่อแนวทางไม่ตรงกัน
ก็ต่างคนต่างไปตามแนวทางที่ตัวเองเชื่อ
ไม่จำเป็นต้องไปวิจารณ์แนวทางอื่นก็ได้นี่ครับ
ท่าน ดร.เป็นแบบอย่างให้เราได้เรียนรู้
และเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ดีแนวทางหนึ่ง
เรียนรู้จากท่าน แต่ไม่จำเป็นต้องก็อปปี้ท่านทุกอย่างนี่ครับ
เมื่อแนวทางไม่ตรงกัน
ก็ต่างคนต่างไปตามแนวทางที่ตัวเองเชื่อ
ไม่จำเป็นต้องไปวิจารณ์แนวทางอื่นก็ได้นี่ครับ
ท่าน ดร.เป็นแบบอย่างให้เราได้เรียนรู้
และเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ดีแนวทางหนึ่ง
เรียนรู้จากท่าน แต่ไม่จำเป็นต้องก็อปปี้ท่านทุกอย่างนี่ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 26
ปกติ แล้วไม่ควรโจมตีบุคคล แต่ถ้าหากอยากจะวิจารณ์ก็ให้วิจารณ์ที่แนวคิด ซึ่งน่าจะเป็นข้อดี คือไม่เห็นด้วยก็พูดออกมา หากว่าไม่เห็นด้วย แล้วไม่พูด ผมว่า ความคิดของพวกเรากันเอง จะไม่เติบโตนะครับ เพราะพวกเราอาจจะเคยชิน เดินตามหลังผู้ใหญ่ สุนัขไม่กัด
เมื่อมีการวิจารณ์กันแล้ว เราก็นำมาคิดพิจารณา เพียงแต่ การวิจารณ์คนที่เรานับถือนี่ซิ มันฟังยาก ใจมันไม่รับอยู่แล้วตั้งแต่อ่านหัวข้อ
ก็ขอให้เป็นกลางกันครับ ผมคิดว่าวิจารณ์ได้ เช่น การเลือกซื้อหุ้นที่จ่ายปันผล กับการเลือกซื้อหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล เป็นต้น หรือกรณี ของคุณฉัตรชัย ซึ่งก็สุดยอด คือแกสนใจเงินสด ที่อยู่ในมือ มากกว่ากำไรเสียอีก เพราะแกมีแนวคิดว่า กำไรที่เป็นตัวเลข ไม่รู้ซ่อนอะไรไว้เยอะแยะ สู้กระแสเงินสดที่อยู่ในมือไม่ได้ อืม ผมก็เห็นด้วยกับแกแล้วครับ แต่คนอื่น ไม่เห็นด้วย ก็วิจารณ์ได้
เมื่อมีการวิจารณ์กันแล้ว เราก็นำมาคิดพิจารณา เพียงแต่ การวิจารณ์คนที่เรานับถือนี่ซิ มันฟังยาก ใจมันไม่รับอยู่แล้วตั้งแต่อ่านหัวข้อ
ก็ขอให้เป็นกลางกันครับ ผมคิดว่าวิจารณ์ได้ เช่น การเลือกซื้อหุ้นที่จ่ายปันผล กับการเลือกซื้อหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล เป็นต้น หรือกรณี ของคุณฉัตรชัย ซึ่งก็สุดยอด คือแกสนใจเงินสด ที่อยู่ในมือ มากกว่ากำไรเสียอีก เพราะแกมีแนวคิดว่า กำไรที่เป็นตัวเลข ไม่รู้ซ่อนอะไรไว้เยอะแยะ สู้กระแสเงินสดที่อยู่ในมือไม่ได้ อืม ผมก็เห็นด้วยกับแกแล้วครับ แต่คนอื่น ไม่เห็นด้วย ก็วิจารณ์ได้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 27
เป็นแค่มุมมองของนักลงทุน ไม่เห็นต้องคิดมากเลยเรื่องนี้
บัฟเฟตต์ก็มีมุมมองเป็นลบกับพวกเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
DELL กับ CISCO เป็นหุ้นกระจอก
คนเรามันเชี่ยวผิดกับครับ หาทางที่ตัวเองถนัด แล้วฝึกให้เก่งไปเลย
ดีกว่ามาเถียงกันเรื่องใครเก่งกว่า
บัฟเฟตต์ก็มีมุมมองเป็นลบกับพวกเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
DELL กับ CISCO เป็นหุ้นกระจอก
คนเรามันเชี่ยวผิดกับครับ หาทางที่ตัวเองถนัด แล้วฝึกให้เก่งไปเลย
ดีกว่ามาเถียงกันเรื่องใครเก่งกว่า
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 28
แฟนๆของอาจารย์นิเวศน์ในนี้ยังเหนียวแน่น เหมือนเดิมนะครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ท่านทำดีมากๆครับ หากสักวันผมประสบความสำเร็จจากการลงทุน ผมกขออ้างได้เลยครับว่า อาจารย์คือผู้ชี้ทางสาย VI ให้ผมครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ท่านทำดีมากๆครับ หากสักวันผมประสบความสำเร็จจากการลงทุน ผมกขออ้างได้เลยครับว่า อาจารย์คือผู้ชี้ทางสาย VI ให้ผมครับ
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
โพสต์ที่ 30
ผมติดใจอยู่อย่างเดียว เมื่อไหร่ One Up ภาษาไทย ที่ ดร นิเวศแปล จะวางแผงซะทีครับ รอเง่กแล้วผม
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying