ถามพี่ๆเกี่ยวกับการวัดมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
ถามพี่ๆเกี่ยวกับการวัดมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับคือต่อจากกระทู้ที่แล้วหลังจากที่ผมมีแววว่าจะไม่ได้หนังสือ วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง ของคุณสุมาอี้ ดังนั้นผมเลยอย่ากจะปรึกษาพี่ๆทุกคนเกี่ยวกับ"การหามูล่าที่แท้จริงของหุ้น" ว่านักลงทุนมืออาชีพ หรือที่เก่งๆกันเขาวัด"มูล่าที่แท้จริงของหุ้น" ได้ยังไงเหรอครับ คือผมอยากได้แบบละเอียดหน่อยนะครับประมาณว่ามีตัวอย่างหน่อยก็ดี หรือมีเวปใหนที่เขาสอนก็รบกวนเอาลิ้งมาแปะให้น้องๆดูบ้างนะครับ
คือว่าผมขอแนะนำตัวต่อท้ายนิดหน่อยนะครับ พอดีเล่นเว็ปนี้มาเกือบเดือนแล้ว แหะๆ
คือว่าผมชื่อ แอร์ นะครับ แล้วผมก็ยังเด็กอยุ่ อายุยังไม่ถึง 20 เลยเปิดบัญชียังไม่ได้ ถ้าพี่ๆคนใดเคยตอบกระทู้ผมคงจำได้นะครับ แหะๆ แล้วผมก็อยากศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนมากๆครับ แล้วผมก้กำลังจะเรียนคณะวิทยาการจัดการสาขาการเงิน เด๋วก็เปิดเทอมละครับ อิอิ
อนาคต ผมอยากจะไปเป็นนักลงทุนเต็มตัวเลยนะครับ แต่ไม่รู้จะทำได้รึเปล่า และเป้าหมายของผมก็คือ อิสรภาพทางการเงิน ครับ ผมอยากได้มาให้เร็วๆ แต่ก็รู้ว่าต้องใช้เวลา
ตอนที่ผมไปเปิดบัญชีกับกสิกรไทย พี่ที่ธนาคารเขาแนะนำให้ผมวางแผนทางการเงินด้วย แล้วเขาก็ถามว่าผมจะวางแผนทางการเงินเรื่องอะไร ซึ่งเท่าที่จำได้ก็จะมี การออมเพื่อการศึกษา การออมเพื่อเกษรียรอายุ ผมก็บอกเขาไปเลยครับว่า ผมอยากวางแผนเพื่อเกษียรอายุ (อายุยังไม่20ก็คิดเรื่องเกษียรแล้วแฮะเรา อิอิ) พี่ที่ธนาคารเขาก็แปลกใจนิดหน่อยอ่ะครับ แหะๆ แต่ว่าผมก้ยังไม่ได้ไปที่ธนาคารเลย แต่ว่าอาจจะได้ไปที่สาขาอื่นที่ต่างจังหวัดแทนเพราะอีกไม่กี่วันผมก้ต้องไปเรียนต่อแล้วอ่ะครับ
ผมขอจบการแนะนำตัวเท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณพี่ เด็กเลี้ยงไม้ และพี่ๆหลายๆคนที่คอยช่วยเหลือให้คำตอบกับเรื่องการลงทุนกับผมนะครับ
อ้อ อย่าลืมคำตอบสำหรับการ หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น นะครับ (ขอละเอียดหน่อยนะครับ)อิอิ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
คือว่าผมขอแนะนำตัวต่อท้ายนิดหน่อยนะครับ พอดีเล่นเว็ปนี้มาเกือบเดือนแล้ว แหะๆ
คือว่าผมชื่อ แอร์ นะครับ แล้วผมก็ยังเด็กอยุ่ อายุยังไม่ถึง 20 เลยเปิดบัญชียังไม่ได้ ถ้าพี่ๆคนใดเคยตอบกระทู้ผมคงจำได้นะครับ แหะๆ แล้วผมก็อยากศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนมากๆครับ แล้วผมก้กำลังจะเรียนคณะวิทยาการจัดการสาขาการเงิน เด๋วก็เปิดเทอมละครับ อิอิ
อนาคต ผมอยากจะไปเป็นนักลงทุนเต็มตัวเลยนะครับ แต่ไม่รู้จะทำได้รึเปล่า และเป้าหมายของผมก็คือ อิสรภาพทางการเงิน ครับ ผมอยากได้มาให้เร็วๆ แต่ก็รู้ว่าต้องใช้เวลา
ตอนที่ผมไปเปิดบัญชีกับกสิกรไทย พี่ที่ธนาคารเขาแนะนำให้ผมวางแผนทางการเงินด้วย แล้วเขาก็ถามว่าผมจะวางแผนทางการเงินเรื่องอะไร ซึ่งเท่าที่จำได้ก็จะมี การออมเพื่อการศึกษา การออมเพื่อเกษรียรอายุ ผมก็บอกเขาไปเลยครับว่า ผมอยากวางแผนเพื่อเกษียรอายุ (อายุยังไม่20ก็คิดเรื่องเกษียรแล้วแฮะเรา อิอิ) พี่ที่ธนาคารเขาก็แปลกใจนิดหน่อยอ่ะครับ แหะๆ แต่ว่าผมก้ยังไม่ได้ไปที่ธนาคารเลย แต่ว่าอาจจะได้ไปที่สาขาอื่นที่ต่างจังหวัดแทนเพราะอีกไม่กี่วันผมก้ต้องไปเรียนต่อแล้วอ่ะครับ
ผมขอจบการแนะนำตัวเท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณพี่ เด็กเลี้ยงไม้ และพี่ๆหลายๆคนที่คอยช่วยเหลือให้คำตอบกับเรื่องการลงทุนกับผมนะครับ
อ้อ อย่าลืมคำตอบสำหรับการ หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น นะครับ (ขอละเอียดหน่อยนะครับ)อิอิ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
- j21
- Verified User
- โพสต์: 690
- ผู้ติดตาม: 0
ถามพี่ๆเกี่ยวกับการวัดมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
โพสต์ที่ 2
ผม copy มาจากกระทู้พี่โจ ลูกอิสาณครับ
น่าจะละเอียดพอนะครับ
สวัสดีครับพี่โจ รบกวนขอคำปรึกษาหน่อยครับ
ขอเกริ่นก่อนว่า
พอร์ตผมไม่ใหญ่แค่ประมาณ 45000 บาท เพิ่งทำงานไม่กี่ปี และจะเอาเงินเดือนมาเติมทุกเดือน เดือนละอย่างต่ำ 7000 - 10000 บาทลงทุนมาประมาณ 4-5 เดือนแล้วด้วยแนวทาง VI(ดู ratios ต่างๆ,ดูงบเป็นพอสมควรระดับหนึ่ง, ทำความรู้จักบริษัทให้เข้าใจที่สุดเท่าที่จะมีปัญญาทำได้, ซื้อในราคาที่มี MOS, บริษัทต้องมี DCA ฯลฯ) 100%(ไม่เคยศึกษากราฟหรือแนว VS ใดๆเลยเพราะคิดว่าคงไม่เหมาะกับผม) ลงทุนในหุ้น เกือบ 100% ตลอดเวลา
ผมขอถามตรงๆในฐานะมือใหม่หัดลงทุนแนว VI เลยนะพี่
- พี่ช่วยแนะนำเทคนิคในการเลือกหุ้นหน่อยครับ ทำอย่างไรให้พอรตเติบโตเร็วดีครับ? ผมลงทุนมา 4-5 เดือนหักลบปรบหนี้ได้กำไรแค่ประมาณ 6%(ไม่กี่พัน) เอง (ที่จริงตั้งเป้าซัก 10%) แต่อันที่จริงก็อยากได้มากกว่า 10%(ผมโลภไปมั้ย) แต่ผมยังเด็ก รับความเสี่ยงได้มาก ยังไงรบกวนพี่แนะนำแนว Growth แรงๆได้เลยครับ ^^
- ผมเน้นลงทุนในบริษัทประเภทแข็งแกร่ง ซึ่งราคามักไม่ไปไหน แต่ก็อดทนรอจนงบออก งบก็ดันแย่ลงกว่าปีแล้วนิดหน่อย ทำให้ราคาหุ้นแอบคกลง สรุปถือมานานแทบไม่ได้อะไรเลย หุ้นที่ทำให้ได้เงินกลับเป็นหุ้น turnaround ซะมากกว่า(แต่ผมไม่ได้มีแววมองมันออกแต่แรกหรอกว่ามันจะเป็น แค่เดาๆ เท่าที่ความรู้มีแล้วบังเอิญมัน turnaround แค่นั้นอะครับ) งี้ผมไม่ควรเน้นหุ้นประเภทแข็งแกร่งมากไปใช่มั้ย กรณีอยากให้พอร์ตโตเร็ว
- พี่ค้นหาหุ้นที่ซื้อเนี่ย เน้นผลตอบแทนขนาดไหนครับ เน้นแบบต้องได้กำไร เท่าตัวเลยหรือเปล่า แล้วมีวิธีเสาะหาห้นหลายเด้ง ยังไงครับ?(ก็รู้นะว่ามันแล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน ซึ่งผมมีน้อย อิอิ) ยังไงแนะนำหน่อยนะครับ
- พี่หา intrinsic value ยังไงครับ? ใช้สูตรกับเค้าหรือเปล่าเช่น DCF อะไรพวกเนี่ย? ผมก็เคยลองใช้นะ DCF แต่รู้สึกว่ามัน ทฤษฏีมากเกินไป+ใช้สมมติฐานหลายอย่าง พี่ว่ายังไงครับ
- เริ่มต้นเงินน้อยแบบผมเนี่ย จะเติบโตไปเป็นซัก 5 ล้านได้มั่งมั้ยครับพอ 5 ล้านแล้ว ได้ต่อปีซัก 10% = 5 แสน ตกเดือนละ 40000 ผมก็พอแล้วครับอยู่ได้สบายๆแล้ว เป็นไปได้มั้ยพี่ใช้แนว VI กับตลาดหุ้นไทยเนี่ย
ขอโทษทีนะครับที่ถามเยอะมากกกกไปหน่อย บางคำถามอาจจะอ่านแล้ว งงๆ บ้างยังไงขอคำแนะนำด้วยนะครับ
ไม่มีปัญหาครับ ยินดีด้วยที่มีคำถามแบบนี้ ผมคิดว่ามีหลายๆคนที่เพิ่งลงทุนและมีเงินทุนน้อยๆจะคิดแบบนี้ บางครั้งก็คิดว่าเอ..การลงทุนแบบ vi จะเหมาะสมกับเราหรือเปล่าเพราะเงินน่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างช้า คำตอบเรื่องนี้ผมเคยตั้งเป็นกระทู้ไว้ ลองอ่านดูครับ มีพี่นริศให้ข้อแนะนำด้วย ลองอ่านดูก่อน ที่จริงถ้ายังไม่เข้าใจ ลองอ่านดูหลายๆครั้ง คิดว่ายังมีประโยชน์
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
ถ้าอ่านจบแล้ว น่าจะพอเห็นคำตอบเลาๆว่าลงทุนหุ้นแบบไหนถึงจะได้กำไรเยอะๆ มือใหม่มักลงทุนในหุ้นที่ชัวน์ แบบตามตำรา ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเพราะหุ้นประเภทนี้แม้ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ แต่ขาดทุนก็ไม่เยอะเช่นกัน และถือไว้ยาวๆก็ปลอดภัย แต่การที่จะทำให้พอร์ตโตเร็วแบบเห็นหน้าเห็นหลัง ต้องเลือกหุ้นอีกแบบคือหาหุ้นที่กำไรจะโตมากๆ แต่ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนอง หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่ควรสนใจที่สุด แล้วดูพื้นฐานอย่างอื่นๆประกอบก่อนตัดสินใจว่าตัวไหนควรลงทุน ตัวไหนควรหลีกเลี่ยง
ปกติผมซื้อหุ้นก็หวังผลตอบแทนไม่ควรต่ำกว่า 30% ในระยะเวลา 1 ปี ครับ บางตัวก็ให้ผลตอบแทนเป็นเท่าตัวภายในเวลา 1 ปี หลายตัวขายไปแล้วยังขึ้นเป็นเท่าตัวก็มีบ่อย เป็นเรื่องธรรมดา ที่จริงการหาหุ้นหลายเด้งอาจจะไม่ยาก ลองถือหุ้นพื้นฐานดีไว้สัก 10 ปีซิครับ น่าจะได้เป็นเด้งแน่ แต่ต้องคิดดูว่าคุ้มกับเวลาที่เสียไปหรือเปล่า เพราะถ้าคิดเป็นอัตราทบต้นก็ไม่สูง เราไปซื้อหุ้นที่เพิ่ม 30% ภายใน 1 ปีไม่ดีกว่าหรือ
วิธีการหา intrinsic value เป็นอย่างนี้ครับ (ผมเอาโพสต์เก่าๆมาให้อ่าน)
Quote:
วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้ครับ..
1.หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาลเป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่าเช่นพวกรับเหมาก็ให้ P/E ต่ำๆ
2.หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3.หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสมและ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่นเราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่าราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 100% (มี margin of safety 100%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นสัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
หลักๆคือผมดู P/E โดย P/E ของหุ้นแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกิจการครับ นอกจากนั้นผมยังดูสินทรัพย์ เช่นกิจการมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง - หนี้สินแล้วยังสูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นมาก นี่ก็แสดงว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แม้จะมี P/E สูงหรือกิจการไม่มีการเติบโต ผมก็สนใจครับ และระยะหลังผมยังหาโอกาสซื้อหุ้นที่คล้ายๆการอาบริเทรจ มีส่วนต่างระหว่าง 2 ราคาให้เราหาประโยชน์ เช่น scan jas metco ในปัจจุบันครับ
หลักการของการหา DCF คือหากระแสเงินสดที่กิจการจะทำมาหาได้ในอนาคตช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาในตลาดว่าราคาหุ้นถูกหรือแพง ยกตัวอย่างเช่น หุ้น กอ มีกระแสเงินสดที่เราคาดการณ์ว่าจะได้รับในช่วง 10 ปีข้างหน้าเท่ากับ 1000 บ. ปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบันได้เท่ากับ 500 บ. ราคาหุ้นเทรดที่ 200 บ. อย่างนี้ก็ถือว่าราคาหุ้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็นครับ ปัญหาคือ1.การทำนายรายได้ใปในอนาคตถึง 10 หรือ 5 ปี เป็นเรื่องที่ยากสุดๆ บริษัทส่วนใหญ่แค่ 1-2 ปีก็ยากพอแล้ว ปัญหาที่ 2.คืออัตราคิดลด หลายคนจะให้ไม่เท่ากัน ต่างกัน 2-3% แต่ผลลัพธิ์จะต่างกันมากครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าวิธี DCF เราก็ควรศึกษาครับ มีบางบริษัทที่มีคุณภาพของรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน คาดการณ์ได้ ก็เหมาะที่จะใช้วิธี DCF ในการหามูลค่าครับ เช่นหุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นค้าปลีกบางตัว หุ้นโรงพยาบาลที่มีหลายสาขา..
จากตำราวิธีหามูลค่าหุ้นทั้ง 4 แบบที่ผมโพสต์ (ที่จริงอาจจะมีอีกหลายวิธี)
1.Earning Power เข้าใจว่าคือส่วนกลับของ P/E
2.Replacement Cost หาต้นทุนการก่อสร้างใหม่ เช่นต้นทุนการก่อสร้างโรงงานใหม่ ที่กำลังการผลิตเท่าๆกัน เปรียบเทียบกับโรงงานหรือสินทรัพย์เดิม
3.Discount cash flow (DCF) วิธีนี้ใช้หากระแสเงินสดที่กิจการจะสร้างได้ในอนาคต ปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในตลาด วิธีนี้ใช้สมมุติฐานหลายตัว
4.Earning Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผล วิธีนี้เชื่อว่าราคาหุ้นจะแปรผันตามเงินปันผล ข้อด้อยคือระวังกับดักปันผล
สมมุติว่าผมไปเจอบริษัทนึงมี P/E 4 เท่า และกำไรก็ดูจะสม่ำเสมอดี นั่นหมายความว่าผมไปเจอหุ้นที่ให้ผลตอบแทน 25% เข้าแล้ว (ส่วนกลับของ P/E)ซึ่งสูงมากหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนเงินฝาก 1-2% หรือผลตอบแทนหุ้นกู้ พันธบัตร 3-5% ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวนี้น่าจะต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น นี่คือวิธีการหามูลค่าที่แท้จริงตามวิธี Earning Power ต่อมาผมพบหุ้นที่ 2 P/E เท่ากันเป๊ะกับตัวแรก กำไรก็สม่ำเสมอเหมือนกัน แต่หุ้นตัวที่2 มีกระแสเงินสดดีกว่าเพราะตัดค่าเสื่อมเยอะ แต่ลงทุนไม่มาก ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวที่2ถูกกว่าตัวแรก วิธีการหามูลค่าหุ้นแบบนี้ใกล้เคียงกับวิธีที่ 2คือ DCF ต่อมาผมไปเจอหุ้นตัวที่สาม ทุกอย่างเหมือนหุ้นสองตัวแรก แต่ตัวนี้มีนโยบายปันผล 80% ของกำไรสุทธิ หรือผลตอบแทน 20% ของราคาหุ้นในขณะที่สองตัวแรกปันผลแค่ 50% ของกำไรสุทธิ ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวที่สามน่าสนใจที่สุด นี่เป็นการวิเคราะห์แบบ Earning Yield ครับ
ยังไม่พอ ผมไปเจอหุ้นตัวที่สี่ หุ้นตัวนี้มีผลขาดทุนเล็กน้อย ทำให้หา P/E ไม่ได้ เป็นธุรกิจที่หมดอนาคต หลายคนอาจจะไม่สนใจตัวนี้ แต่ช้าก่อนหลังจากดูงบการเงินบริษัทมีเงินสดสุทธิหลังหักหนี้ทั้งหมดแล้วเป็น 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งบริษัท ผมก็คิดว่าเอ..ถ้าอย่างนั้นหุ้นตัวที่สี่ก็น่าสนใจเช่นกัน นี่คล้ายกับการหามูลค่าหุ้นแบบ Replacement Cost เพียงแต่ไม่ใช่ต้นทุนการสร้างใหม่ของโรงงาน แต่เป็นต้นทุนการสร้างเงินสด ซึ่แน่นอนว่าสินทรัพย์ที่เป็นเงินสด 100 ล้าน ก็ต้องสร้างโดยใช้เงินสด 100 ล้านเท่ากันครับ
พอจะเห็นภาพคร่าวๆนะครับ ว่าผมใช้วิธีไหนกับหุ้นแบบใดนะครับ
น่าจะละเอียดพอนะครับ
สวัสดีครับพี่โจ รบกวนขอคำปรึกษาหน่อยครับ
ขอเกริ่นก่อนว่า
พอร์ตผมไม่ใหญ่แค่ประมาณ 45000 บาท เพิ่งทำงานไม่กี่ปี และจะเอาเงินเดือนมาเติมทุกเดือน เดือนละอย่างต่ำ 7000 - 10000 บาทลงทุนมาประมาณ 4-5 เดือนแล้วด้วยแนวทาง VI(ดู ratios ต่างๆ,ดูงบเป็นพอสมควรระดับหนึ่ง, ทำความรู้จักบริษัทให้เข้าใจที่สุดเท่าที่จะมีปัญญาทำได้, ซื้อในราคาที่มี MOS, บริษัทต้องมี DCA ฯลฯ) 100%(ไม่เคยศึกษากราฟหรือแนว VS ใดๆเลยเพราะคิดว่าคงไม่เหมาะกับผม) ลงทุนในหุ้น เกือบ 100% ตลอดเวลา
ผมขอถามตรงๆในฐานะมือใหม่หัดลงทุนแนว VI เลยนะพี่
- พี่ช่วยแนะนำเทคนิคในการเลือกหุ้นหน่อยครับ ทำอย่างไรให้พอรตเติบโตเร็วดีครับ? ผมลงทุนมา 4-5 เดือนหักลบปรบหนี้ได้กำไรแค่ประมาณ 6%(ไม่กี่พัน) เอง (ที่จริงตั้งเป้าซัก 10%) แต่อันที่จริงก็อยากได้มากกว่า 10%(ผมโลภไปมั้ย) แต่ผมยังเด็ก รับความเสี่ยงได้มาก ยังไงรบกวนพี่แนะนำแนว Growth แรงๆได้เลยครับ ^^
- ผมเน้นลงทุนในบริษัทประเภทแข็งแกร่ง ซึ่งราคามักไม่ไปไหน แต่ก็อดทนรอจนงบออก งบก็ดันแย่ลงกว่าปีแล้วนิดหน่อย ทำให้ราคาหุ้นแอบคกลง สรุปถือมานานแทบไม่ได้อะไรเลย หุ้นที่ทำให้ได้เงินกลับเป็นหุ้น turnaround ซะมากกว่า(แต่ผมไม่ได้มีแววมองมันออกแต่แรกหรอกว่ามันจะเป็น แค่เดาๆ เท่าที่ความรู้มีแล้วบังเอิญมัน turnaround แค่นั้นอะครับ) งี้ผมไม่ควรเน้นหุ้นประเภทแข็งแกร่งมากไปใช่มั้ย กรณีอยากให้พอร์ตโตเร็ว
- พี่ค้นหาหุ้นที่ซื้อเนี่ย เน้นผลตอบแทนขนาดไหนครับ เน้นแบบต้องได้กำไร เท่าตัวเลยหรือเปล่า แล้วมีวิธีเสาะหาห้นหลายเด้ง ยังไงครับ?(ก็รู้นะว่ามันแล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน ซึ่งผมมีน้อย อิอิ) ยังไงแนะนำหน่อยนะครับ
- พี่หา intrinsic value ยังไงครับ? ใช้สูตรกับเค้าหรือเปล่าเช่น DCF อะไรพวกเนี่ย? ผมก็เคยลองใช้นะ DCF แต่รู้สึกว่ามัน ทฤษฏีมากเกินไป+ใช้สมมติฐานหลายอย่าง พี่ว่ายังไงครับ
- เริ่มต้นเงินน้อยแบบผมเนี่ย จะเติบโตไปเป็นซัก 5 ล้านได้มั่งมั้ยครับพอ 5 ล้านแล้ว ได้ต่อปีซัก 10% = 5 แสน ตกเดือนละ 40000 ผมก็พอแล้วครับอยู่ได้สบายๆแล้ว เป็นไปได้มั้ยพี่ใช้แนว VI กับตลาดหุ้นไทยเนี่ย
ขอโทษทีนะครับที่ถามเยอะมากกกกไปหน่อย บางคำถามอาจจะอ่านแล้ว งงๆ บ้างยังไงขอคำแนะนำด้วยนะครับ
ไม่มีปัญหาครับ ยินดีด้วยที่มีคำถามแบบนี้ ผมคิดว่ามีหลายๆคนที่เพิ่งลงทุนและมีเงินทุนน้อยๆจะคิดแบบนี้ บางครั้งก็คิดว่าเอ..การลงทุนแบบ vi จะเหมาะสมกับเราหรือเปล่าเพราะเงินน่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างช้า คำตอบเรื่องนี้ผมเคยตั้งเป็นกระทู้ไว้ ลองอ่านดูครับ มีพี่นริศให้ข้อแนะนำด้วย ลองอ่านดูก่อน ที่จริงถ้ายังไม่เข้าใจ ลองอ่านดูหลายๆครั้ง คิดว่ายังมีประโยชน์
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
ถ้าอ่านจบแล้ว น่าจะพอเห็นคำตอบเลาๆว่าลงทุนหุ้นแบบไหนถึงจะได้กำไรเยอะๆ มือใหม่มักลงทุนในหุ้นที่ชัวน์ แบบตามตำรา ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเพราะหุ้นประเภทนี้แม้ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ แต่ขาดทุนก็ไม่เยอะเช่นกัน และถือไว้ยาวๆก็ปลอดภัย แต่การที่จะทำให้พอร์ตโตเร็วแบบเห็นหน้าเห็นหลัง ต้องเลือกหุ้นอีกแบบคือหาหุ้นที่กำไรจะโตมากๆ แต่ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนอง หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่ควรสนใจที่สุด แล้วดูพื้นฐานอย่างอื่นๆประกอบก่อนตัดสินใจว่าตัวไหนควรลงทุน ตัวไหนควรหลีกเลี่ยง
ปกติผมซื้อหุ้นก็หวังผลตอบแทนไม่ควรต่ำกว่า 30% ในระยะเวลา 1 ปี ครับ บางตัวก็ให้ผลตอบแทนเป็นเท่าตัวภายในเวลา 1 ปี หลายตัวขายไปแล้วยังขึ้นเป็นเท่าตัวก็มีบ่อย เป็นเรื่องธรรมดา ที่จริงการหาหุ้นหลายเด้งอาจจะไม่ยาก ลองถือหุ้นพื้นฐานดีไว้สัก 10 ปีซิครับ น่าจะได้เป็นเด้งแน่ แต่ต้องคิดดูว่าคุ้มกับเวลาที่เสียไปหรือเปล่า เพราะถ้าคิดเป็นอัตราทบต้นก็ไม่สูง เราไปซื้อหุ้นที่เพิ่ม 30% ภายใน 1 ปีไม่ดีกว่าหรือ
วิธีการหา intrinsic value เป็นอย่างนี้ครับ (ผมเอาโพสต์เก่าๆมาให้อ่าน)
Quote:
วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้ครับ..
1.หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาลเป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่าเช่นพวกรับเหมาก็ให้ P/E ต่ำๆ
2.หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3.หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสมและ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่นเราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่าราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 100% (มี margin of safety 100%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นสัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
หลักๆคือผมดู P/E โดย P/E ของหุ้นแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกิจการครับ นอกจากนั้นผมยังดูสินทรัพย์ เช่นกิจการมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง - หนี้สินแล้วยังสูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นมาก นี่ก็แสดงว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แม้จะมี P/E สูงหรือกิจการไม่มีการเติบโต ผมก็สนใจครับ และระยะหลังผมยังหาโอกาสซื้อหุ้นที่คล้ายๆการอาบริเทรจ มีส่วนต่างระหว่าง 2 ราคาให้เราหาประโยชน์ เช่น scan jas metco ในปัจจุบันครับ
หลักการของการหา DCF คือหากระแสเงินสดที่กิจการจะทำมาหาได้ในอนาคตช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาในตลาดว่าราคาหุ้นถูกหรือแพง ยกตัวอย่างเช่น หุ้น กอ มีกระแสเงินสดที่เราคาดการณ์ว่าจะได้รับในช่วง 10 ปีข้างหน้าเท่ากับ 1000 บ. ปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบันได้เท่ากับ 500 บ. ราคาหุ้นเทรดที่ 200 บ. อย่างนี้ก็ถือว่าราคาหุ้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็นครับ ปัญหาคือ1.การทำนายรายได้ใปในอนาคตถึง 10 หรือ 5 ปี เป็นเรื่องที่ยากสุดๆ บริษัทส่วนใหญ่แค่ 1-2 ปีก็ยากพอแล้ว ปัญหาที่ 2.คืออัตราคิดลด หลายคนจะให้ไม่เท่ากัน ต่างกัน 2-3% แต่ผลลัพธิ์จะต่างกันมากครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าวิธี DCF เราก็ควรศึกษาครับ มีบางบริษัทที่มีคุณภาพของรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน คาดการณ์ได้ ก็เหมาะที่จะใช้วิธี DCF ในการหามูลค่าครับ เช่นหุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นค้าปลีกบางตัว หุ้นโรงพยาบาลที่มีหลายสาขา..
จากตำราวิธีหามูลค่าหุ้นทั้ง 4 แบบที่ผมโพสต์ (ที่จริงอาจจะมีอีกหลายวิธี)
1.Earning Power เข้าใจว่าคือส่วนกลับของ P/E
2.Replacement Cost หาต้นทุนการก่อสร้างใหม่ เช่นต้นทุนการก่อสร้างโรงงานใหม่ ที่กำลังการผลิตเท่าๆกัน เปรียบเทียบกับโรงงานหรือสินทรัพย์เดิม
3.Discount cash flow (DCF) วิธีนี้ใช้หากระแสเงินสดที่กิจการจะสร้างได้ในอนาคต ปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในตลาด วิธีนี้ใช้สมมุติฐานหลายตัว
4.Earning Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผล วิธีนี้เชื่อว่าราคาหุ้นจะแปรผันตามเงินปันผล ข้อด้อยคือระวังกับดักปันผล
สมมุติว่าผมไปเจอบริษัทนึงมี P/E 4 เท่า และกำไรก็ดูจะสม่ำเสมอดี นั่นหมายความว่าผมไปเจอหุ้นที่ให้ผลตอบแทน 25% เข้าแล้ว (ส่วนกลับของ P/E)ซึ่งสูงมากหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนเงินฝาก 1-2% หรือผลตอบแทนหุ้นกู้ พันธบัตร 3-5% ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวนี้น่าจะต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น นี่คือวิธีการหามูลค่าที่แท้จริงตามวิธี Earning Power ต่อมาผมพบหุ้นที่ 2 P/E เท่ากันเป๊ะกับตัวแรก กำไรก็สม่ำเสมอเหมือนกัน แต่หุ้นตัวที่2 มีกระแสเงินสดดีกว่าเพราะตัดค่าเสื่อมเยอะ แต่ลงทุนไม่มาก ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวที่2ถูกกว่าตัวแรก วิธีการหามูลค่าหุ้นแบบนี้ใกล้เคียงกับวิธีที่ 2คือ DCF ต่อมาผมไปเจอหุ้นตัวที่สาม ทุกอย่างเหมือนหุ้นสองตัวแรก แต่ตัวนี้มีนโยบายปันผล 80% ของกำไรสุทธิ หรือผลตอบแทน 20% ของราคาหุ้นในขณะที่สองตัวแรกปันผลแค่ 50% ของกำไรสุทธิ ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวที่สามน่าสนใจที่สุด นี่เป็นการวิเคราะห์แบบ Earning Yield ครับ
ยังไม่พอ ผมไปเจอหุ้นตัวที่สี่ หุ้นตัวนี้มีผลขาดทุนเล็กน้อย ทำให้หา P/E ไม่ได้ เป็นธุรกิจที่หมดอนาคต หลายคนอาจจะไม่สนใจตัวนี้ แต่ช้าก่อนหลังจากดูงบการเงินบริษัทมีเงินสดสุทธิหลังหักหนี้ทั้งหมดแล้วเป็น 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งบริษัท ผมก็คิดว่าเอ..ถ้าอย่างนั้นหุ้นตัวที่สี่ก็น่าสนใจเช่นกัน นี่คล้ายกับการหามูลค่าหุ้นแบบ Replacement Cost เพียงแต่ไม่ใช่ต้นทุนการสร้างใหม่ของโรงงาน แต่เป็นต้นทุนการสร้างเงินสด ซึ่แน่นอนว่าสินทรัพย์ที่เป็นเงินสด 100 ล้าน ก็ต้องสร้างโดยใช้เงินสด 100 ล้านเท่ากันครับ
พอจะเห็นภาพคร่าวๆนะครับ ว่าผมใช้วิธีไหนกับหุ้นแบบใดนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 0
ถามพี่ๆเกี่ยวกับการวัดมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
โพสต์ที่ 3
หนังสือของคุณสุมาอี้ อ่านง่าย เพราะผ่านการย่อยของคนเขียนมาแล้ว
แต่ถ้าจะเอาเนื้อหาแบบวิชาการ (ต้องมาย่อยภาษาทางวิชาการของคนเขียนเอาเอง)
ก็จะมีหนังสือ การประเมินมูลค่าตราสานทุน พิมพ์โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ (เป็นหนังสือประกอบหลักสูตรการอบรมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหลักทรัพย์)
ผมซื้อมาจาก SE-ED ครับ
อ้อ มีอีกเล่ม ถ้าสนใจ .. ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน .. ของเจ้าเดียวกัน
แต่ถ้าจะเอาเนื้อหาแบบวิชาการ (ต้องมาย่อยภาษาทางวิชาการของคนเขียนเอาเอง)
ก็จะมีหนังสือ การประเมินมูลค่าตราสานทุน พิมพ์โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ (เป็นหนังสือประกอบหลักสูตรการอบรมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหลักทรัพย์)
ผมซื้อมาจาก SE-ED ครับ
อ้อ มีอีกเล่ม ถ้าสนใจ .. ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน .. ของเจ้าเดียวกัน
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
- j21
- Verified User
- โพสต์: 690
- ผู้ติดตาม: 0
ถามพี่ๆเกี่ยวกับการวัดมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
โพสต์ที่ 6
airmanza เขียน:เ่อ่อ.. คือว่าคุณ J21 ครับ ไม่ทราบว่าก๊อปมาจากกระทู้ใหนเหรอครับ มีลิ๊งใหมครับ ช่วยแปะลิ้งใหนผมหน่อยได้ป่ะครับ
อิอิ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=33509
จัดหนักให้แล้วครับ (กระทู้ 79 หน้าแล้วครับ)
ขอบคุณพี่โจ ลูกอีสาณ มากๆ ครับ :D